เศรษฐกิจทรุด ซื้อ-ขายทองคำซบ

22 / 11 / 2562 13:19

สงครามการค้าสหรัฐกับจีนยังมีอิทธิพลต่อภาพรวมตลาดทองคำโลกโดยประเมินราคาทองคำช่วงนี้(พ.ย.2019)อยู่ที่1,445-1,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ส่วนราคาทองคำในประเทศอยู่ที่บาทละ 20,800 บาท ขณะที่มาตรการของแบงก์ชาติ ที่อนุญาตให้คนไทยลงทุนทองคำผ่านบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศ(เอฟซีดี) ที่เปิดกับธนาคารพาณิชย์ในประเทศโดยไม่ต้องแลกเป็นเงินบาท เพื่อรอลงทุนในครั้งต่อไปนั้น เชื่อว่าจะมีส่วนช่วยให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงได้หากมาตรการได้ผล จะทำให้ราคาทองคำในประเทศปรับขึ้นอยู่ที่บาทละ 21,000 บาท

สมาคมค้าทองคำประมาณการว่า ช่วงปลายปีนี้ภาพรวมการซื้อขายทองคำในประเทศจะไม่คึกคักเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ดูได้จากปริมาณการซื้อทองคำรูปพรรณที่มีมูลค่าลดลงมาก เพราะปัญหาเศรษฐกิจของประเทศที่ยังมีแนวโน้มย่ำแย่ มีการเลิกจ้าง หยุดไลน์การผลิต งดโอที ส่งผลให้กำลังซื้อทองรูปพรรณในช่วงเทศกาลพิเศษต่างๆของลูกค้าที่เป็นลูกจ้างโรงงาน หายไป รวมทั้งกลุ่มลูกค้าที่เป็นเกษตรกรก็ยังประสบปัญหาราคาสินค้สตกต่ำ ภัยแล้งและบางส่วนเกิดน้ำท่วมทำให้กำลังซื้อทองคำในตลาดหายไปด้วยเนื่องจากต้องนำเงินไปใช้ในการซ่อมแซมที่อยู่อาศัยและฟื้นฟูกิจการมากกว่า

ปัจจัยต่างๆเหล่านี้ทำให้บรรยากาศซื้อขายทองคำเงียบเหงาลงไป เพราะกำลังซื้อทองคำรูปพรรณภายในประเทศหดหายไป ทั้งนี้ดัชนีความเชื่อมั่นราคาทองคำประจำเดือนพฤศจิกายน 2562 ลดลงอยู่ที่ 54.25 จุด ลดลง 2.10 จุด มาจากการแข็งค่าของเงินบาท กระแสเงินทุนไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น การเจรจาสงครามทางการค้าแรงขายเก็งกำไรของกองทุนและทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) โดยจากการสำรวจจากกลุ่มตัวอย่าง 306 ตัวอย่าง พบว่า 40.20% จะไม่ซื้อทองคำในช่วงเดือนนี้ ขณะที่ 33.33% ไม่แน่ใจว่าจะซื้อทองคำหรือไม่ และ 26.47% คาดว่าจะซื้อทองคำ

อย่างไรก็ดี ทองคำยังคงเป็นสินค้าที่มีมูลค่าส่งออกสูงสุดในช่วง 9 เดือนแรกของปี โดยทองคำที่ยังมิได้ขึ้นรูปหรือทองคำกึ่งสำเร็จรูป มีการส่งออกในสัดส่วนร้อยละ 51.86 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและ
เครื่องประดับไทยโดยรวม ด้วยเติบโตขึ้นกว่า 1 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี2561 อันเป็นผลจากการส่งออกเพื่อทำกำไรจากส่วนต่างของราคา เนื่องด้วยราคาทองคำในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องจนมาอยู่ที่ระดับราคาเฉลี่ย 1,511.31 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์นั่นเอง

โดยตลาดส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับและของไทยที่มีมูลค่าสูงสุดในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ได้แก่ สวิตเซอร์แลนด์ในสัดส่วนร้อยละ 33.28 เพิ่มขึ้นกว่า 2เท่า  รองลงมาคือฮ่องกง สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลีย