“เวอร์มิล” เครื่องประดับชุบทอง

31 / 01 / 2563 15:01

เวอร์มิล(Vermeil)คือเครื่องประดับที่ใช้เงินสเตอร์ลิงบริสุทธ์เป็นวัสดุหลัก(เงินสเตอร์ลิงคือโลหะผสมมีองค์ประกอบเป็นโลหะเงินร้อยละ ๙๒.๕ ทองแดงร้อยละ ๗.๒ ตะกั่วร้อยละ ๐.๒ และทองคำร้อยละ ๐.๑ ประเทศอังกฤษเคยใช้ทำเงินตรา) ชุบด้วยทองคำอย่างน้อย 10 กะรัต มีระดับความหนาอย่างน้อย 2.5 ไมครอน ปัจจุบันกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ทำให้มีนักออกแบบเครื่องประดับมากมาย หันมาสนใจและออกแบบเครื่องประดับประเภทนี้มากขึ้น โดยส่วนใหญ่แล้ว

เครื่องประดับชุบทอง ที่ได้รับความนิยมมักจะเป็นเครื่องประดับแนววินเทจที่สื่อให้ผู้สวมใส่รู้สึกถึงความเป็นอิสระและเสรี ด้วยรูปแบบของดอกไม้ ใบไม้ แต่งเติมด้วยอัญมณีเพื่อช่วยเพิ่มประกายความสดใส และสร้างสีสันให้แก่เวอร์มิลชิ้นนั้นๆ ด้วยโดยพลอยที่นำมาใช้เช่น โรโดไลต์ ซิทริน แอเมทิสต์ ควอตส์สีควันบุหรี่ รวมทั้งการประดับมุกสีต่างๆ นอกจากนี้ขนาดของชิ้นงานส่วนใหญ่ มักมีขนาดค่อนข้างใหญ่ และเน้นความสะดุดตา ซึ่งนี่ถือว่าเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของเครื่องประดับเวอร์มิล 

ข้อมูลของ World Gold Council  ระบุว่า ความต้องการทองคำในแง่มูลค่าอยู่ที่ 236,400 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นโอกาสให้เงินสเตอร์ลิงออกมาทำเงินไม่แพ้กับทองคำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำมาอยู่ในเครื่องประดับที่ผ่านการออกแบบอย่างงดงาม เรียบง่าย สไตล์วินเทจที่กำลังได้รับความนิยมนั่นเอง

ตำนานของเวอร์มิล(Vermeil)หรือเครื่องประดับชุบทอง มีมาตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ เป็นเรื่องของ พระราชาไมดาส(Midas) กษัตริย์พระองค์หนึ่งที่ปกครองนครไฟร์เกียที่มั่งคั่งและรุ่งเรืองที่สุดนครหนึ่ง วันหนี่งไมดาสเสด็จประพาสริมฝั่งแม่น้ำซานการิอัสและได้พบชายชราขี้เมาผู้ หนึ่งถูกมัดนอนกลิ้งอยู่กับพื้น พระองค์จึงเข้าไปช่วยแก้มัดให้ชายผู้นั้น โดยหารู้ไม่ว่าชายผู้นั้นคือ ไซเลนนัส พระอาจารย์ของเทพไดโนนีซุส เทพเจ้าแห่งไวน์และการเฉลิมฉลองนั่นเอง

โดยในวันนั้นไซเลนนัส พลัดกับขบวนของเทพไดโอนีซุสเพราะดื่มจนเมามายและถูกกลุ่มชาวนาที่มาพบตัวจับมัดไว้เพราะเชื่อว่าจะสามารถถามเรื่องในอนาคตจากไซเลนนัสขณะมึนเมาได้ เมื่อกษัตริย์ไมดาสมาพบจึงได้ช่วยไว้ เป็นเวลาเดียวกับเทพไดโนนีซุสเสด็จมาพอดี พระองค์จึงทรงให้ไมดาสขอพรได้ข้อหนึ่ง เรื่องอะไรก็ได้ ด้วยความโลภไมดาสทรงขอให้ทุกสิ่งที่ตนสัมผัสนั้นกลายเป็นทองคำทั้งหมด ซึ่งต่อมา  สัมผัสของ Midas ได้กลายเป็นสำนวนหมายถึง การทำให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดผลกำไรงอกเงยขึ้นมานั่นเอง