เงินตราของไทย จากสุโขทัย-รัตนโกสินทร์

09 / 10 / 2564 09:04

การซื้อขายแลกเปลี่ยนในสมัยโบราณ หรือที่เรียกว่าระบบมาตราเงินของไทยนั้น มีวิวัฒนาการมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย อยุธยา จนมาถึงรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่เบี้ย หอย พดด้วง เหรียญเงิน เหรียญทองแดง เหรียญทองคำ จนมาถึงเหรียญกษาปณ์ ซึ่งมีมูลค่าและอัตราแลกเปลี่ยนที่ต่างกันดังนี้

ในสมัยสุโขทัย  1 ชั่ง = 20  ตำลึง  1 ตำลึง = 4 บาท  1 บาท= 4 สลึง  1 สลึง = 2 เฟื้อง  ถัดจากเฟื้องมาก็เป็นเบี้ย โดย 1 เฟื้อง= 400 เบี้ย

ในสมัยอยุธยา มาตราเงินคงเป็นแบบเดียวกับสมัยสุโขทัย แต่ 1 เฟื้องหนึ่งเท่ากับ 800 เบี้ย เงินที่ใช้มาแต่โบราณเป็นเงินกลม เรียกว่า เงินพดด้วง ในสมัยสุโขทัยมีขนาด 1 ตำลึง และ 1 บาท สมัยอยุธยาใช้เงินพดด้วงอย่างเดียว มีสี่ขนาดคือ 1 บาท 2 สลึง 1 สลึง และ 1 เฟื้อง

สมัยรัตนโกสินทร์ มาตราเงินคงเป็นอย่างเดียวกับสมัยอยุธยา มาจนถึงสมัยรัชกาลที่4 โปรดให้ตั้ง            โรงกษาปณ์ขึ้น เมื่อปี พ.ศ.2403  และทำเงินตราใหม่เป็นรูปแบบกลมเรียกกันว่า เงินเหรียญ มีทั้งหมด 4 ขนาดคือ  1 บาท 2 สลึง และขนาด 1 เฟื้อง  โดยทำเหรียญขนาด 1 ตำลึง กึ่งตำลึง  และกึ่งเฟื้อง ไว้ด้วย แต่ไม่ได้นำไปใช้ในท้องตลาด ต่อมาในปี พ.ศ.2405 โปรดเกล้า ฯ ให้ทำเหรียญดีบุก เป็นเงินปลีกขึ้นใช้แทนเบี้ยอีกสองขนาด ขนาดใหญ่เรียกว่า "อัฐ"  กำหนดให้ 8 อัฐ เป็น 1 เฟื้อง  ขนาดเล็กเรียกว่า "โสฬส"  กำหนดให้ 16 โสฬส เป็น 1 เฟื้อง

พ.ศ.2406  โปรดให้ทำเหรียญทองคำขึ้นสามขนาด ขนาดใหญ่เรียกว่า "ทศ" ราคา 10 อัน ต่อ 1 ชั่ง คือ อันละ 8 บาท  ขนาดกลางเรียกว่า "พิศ" ราคาอันละ 4 บาท  ขนาดเล็กเรียกว่า "พัดดึงส์" ราคาอันละ 10 สลึง

ต่อมาในปี พ.ศ.2408  โปรดให้ทำเหรียญทองแดงขึ้นใช้เป็นเงินปลีกมีสองขนาด  ขนาดใหญ่เรียกว่า "ซีก" สองอันเป็น 1 เฟื้อง และขนาดเล็ก เรียกว่า "เสี้ยว" สี่อันเป็น 1 เฟื้อง