บทความทั้งหมด

31/01/2563

ปี63 ธนาคารกลางทั่วโลกยังลงทุนทองคำต่อเนื่อง


เมื่อปีที่ผ่านมา(2562) ราคาทองคำทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยปัจจัยลบหลายด้านทั้งความผันผวนของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่เป็นผลมาจากการปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐถึง 3 ครั้งในรอบปี ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงเนื่องจากสงครามการค้าโลกระหว่างสหรัฐกับจีน ที่กินเวลายาวนานถึง 20 เดือน ซึ่งนอกจากทำให้ราคาทองคำสูงขึ้นแล้ว ธนาคารกลางทั่วโลกยังแห่ซื้อทองคำเพิ่มกว่า 20% อีกด้วย โกลด์แมน แซคส์ ธนาคารชั้นนำระดับโลกในสหรัฐ เปิดเผยว่า ในปีที่ผ่านมาธนาคารกลางทั่วโลกเข้าลงทุนทองคำแท่งรวมกันคิดเป็น 1 ใน 5 หรือราว 20% ของปริมาณทองคำแท่งที่มีในตลาดโลก ทำสถิติความต้องการทองคำของธนาคารกลางทั่วโลกมากที่สุดนับตั้งแต่ยุคอดีตประธานาธิบดีนิกสันแห่งสหรัฐ โดยธนาคารกลางของรัสเซียและจีนเป็นผู้ซื้อสูงสุดธนาคารกลางรัสเซียเข้าซื้อทองคำแท่งตลอดทั้งปีรวมทั้งสิ้น 106 เมตตริกตัน ถึงแม้ว่าจำนวนดังกล่าวจะลดลง 19% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี2561 แต่ก็เป็นปริมาณทองคำแท่งที่มีมากกว่าธนาคารกลางทุกแห่งทั่วโลก นอกจากนี้ ทองคำแท่งสะสมของธนาคารกลางรัสเซียก็มีปริมาณเพิ่มเป็น 2,200 เมตตริกตัน ซึ่งมีมูลค่าเป็น 20.7% ของทุนสำรองระหว่างประเทศทั้งหมดของรัสเซีย หรือทองคำแท่งมีสัดส่วนมากที่สุดในทุนสำรองระหว่างประเทศรัสเซียอีกด้วย สำหรับปีที่ผ่านมานั้น มูลค่าของทองคำแท่งที่อยู่ในทุนสำรองระหว่างประเทศของรัสเซียทะยานขึ้น 42% ส่งผลให้มูลค่าทองคำแท่งในธนาคารกลางรัสเซียเพิ่มเป็น 109,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 3.4 ล้านล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีมูลค่าทะยานขึ้นกว่า 4 เท่าในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เช่นเดียวกับธนาคารกลางจีนที่ได้เข้าซื้อทองคำแท่งเพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มสัดส่วนในกองทุนสำรองระหว่างประเทศจีน โดยมีปริมาณทองคำแท่งทะยานขึ้นกว่า 100 เมตตริกตัน นับตั้งแต่เดือนธันวาคมปี2561ที่ธนาคารกลางจีนเริ่มกลับมาซื้อทองคำแท่ง สำหรับสาเหตุที่ธนาคารกลางจีนซื้อทองคำแท่งเพิ่มมากขึ้น ล้วนมีเหตุผลที่ใกล้เคียงกันกับธนาคารกลางรัสเซียทั้งนี้ ธนาคารโกลด์แมน แซคส์ มองราคาทองคำตลาดโลกในปี 2563 จะอยู่ที่ระดับ 1,600 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ นั่นหมายถึง มีความเป็นไปได้สูงมากที่ราคาทองคำตลาดโลกในปีหน้าจะยังมีสถิติสูงสุดในรอบกว่า 6 ปีติดต่อกันเป็นปีที่ 2 ซึ่งจะทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกยังคงให้น้ำหนักในการเพิ่มการลงทุนในทองคำเพื่อชดเชยกับการลดการถือครองเงินดอลลาร์สหรัฐในทุนสำรองระหว่างประเทศลงอย่างต่อเนื่อง

Read More

31/01/2563

เครื่องประดับมงคล รับปีหนูทอง


ในวัฒนธรรมตะวันออก มีความเชื่อว่าหนูเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ เช่นในวัฒนธรรมของชาวฮินดู หนูได้รับการเคารพนับถือในฐานะสัตว์ที่เป็นสัตว์พาหนะของพระพิฆเณศ เทพแห่งศิลปวิทยาการ โดยชาวฮินดูบางคนเชื่อว่าการได้ดื่มน้ำ หรือกินอาหารต่อจากหนู ถือเป็นการได้รับพรวิเศษจากเทพ ในขณะที่ชาวจีนเชื่อว่าหนูเป็นสัตว์นำโชค เป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่งร่ำรวย อันเนื่องมาจากความสามารถในการผลิตลูกหลานที่เพิ่มพูนอย่างรวดเร็วนั่นเองนอกจากนี้ ชาวจีนยังเชื่อว่าหนูเป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแรง ความคล่องแคล่ว และความเฉลียวฉลาดอีกด้วย ดังนั้นในปี 2020 ซึ่งเป็นปีชวดนี้ชาวจีนจึงเชื่อว่าเป็นปีหนูทองที่จะนำความมั่งคั่งร่ำรวยมาให้ทุกคน การหาเครื่องประดับรูปหนูทองจึงเป็น คอลเลคชั่นที่น่าจะเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคในปีนี้ นักออกแบบเครื่องประดับจำนวนมากเชื่อว่า การหาสัญลักษณ์ หรือเครื่องประดับรูปหนูมาประดับหรือมีไว้ในครอบครองนอกจากจะช่วยเพิ่มความสวยงามแล้ว ยังเปรียบได้กับการมีเครื่องรางเสริมมงคลรับปีหนูทองได้เป็นอย่างดี เช่น จี้รูปหนูทำจากทอง 18 กะรัตประดับเพชร และทับทิม จากฝีมือการออกแบบของแบรนด์เครื่องประดีบสุดหรูTiffany & Co. หรือจี้หยกตกแต่งด้วยทอง เพชรมีหนูตัวเล็กๆที่ประดับด้วยเพชรและพลอยสีเกาะอยู่ ผลงานสุดน่ารักจาก Cartier และ จี้รูปหนูทำจากทอง 18 กะรัตประดับเพชร และพลอยสี โดย Van Cleef and Arpels ตำนานผู้ผลิตอัญมณีจากประเทศฝรั่งเศสอายุเก่าแก่กว่า 110 ปีนอกจากนี้ แพนดอร่า (PANDORA) แบรนด์เครื่องประดับและจิวเวลรีดังสัญชาติเดนมาร์กยังออกแบบคอลเลคชั่นใหม่ต้อนรับปีหนูทองด้วยสร้อยข้อมือและชาร์ม โดยนำคติความเชื่อของชาวจีนที่ว่า สีเหลืองทองเป็นสีของจักรพรรดิจีน แสดงถึงความเจริญรุ่งเรือง และสูงส่ง และสีแดงเป็นสัญลักษณ์ของความโชคดีและความสุข มาผสมผสานกัน ออกมาเป็นเครื่องประดับหนังทอสีแดง คู่กับชาร์มสีทองที่ทำจากวัสดุชุบทอง18k แวววาวตามจักรราศีเพื่อเสริมสิริมงคลแก่ผู้สวมใส่ แม้บางครั้งหนู จะเป็นสัตว์ที่ไม่พึงปรารถนาสำหรับผู้คนนัก เพราะมักก่อความเดือดร้อนรำคาญ กัดแทะทำลายข้าวของ อาหาร รวมถึงเป็นพาหะนำโรคต่างๆ แต่ในมุมหนึ่ง หนู ก็เป็นตัวการ์ตูนแสนน่ารักขวัญใจเด็กๆ ทั่วโลกอย่างมิกกี้ เม้าส์ที่สร้างความบันเทิงมานานกว่า 90 ปี และสำหรับผู้มีความเชื่อเรื่องโชคลางและสิ่งมงคล การสวมเครื่องประดับรับปีหนูทองก็อาจทำให้ได้รับแต่สิ่งดีๆตลอดปี 2020 นี้

Read More

31/01/2563

ส่องตลาดทองใน สปป.ลาว


สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เป็นหนึ่งในประเทศย่านอาเซียนที่มีแหล่งแร่มีค่าค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็น ทองคำ เงิน ทองแดง ดีบุก สังกะสี โดยเหมืองแร่สำคัญเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ในลาวได้แก่ เหมืองเซโปน เหมืองภูคำ และเหมืองอัตตะปือ เป็นต้น แหล่งแร่เหล่านี้มีมูลค่ารวมกันกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า3 ล้านล้านบาท เลยทีเดียว สปป.ลาวส่งออกสินค้าในกลุ่มอัญมณีและเครื่องประดับ มากกว่าการนำเข้า โดยมีตลาดที่สำคัญคือ เบลเยี่ยม สหรัฐอเมริกา จีน ออสเตรเลีย และสวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งสินค้าส่งออกส่วนใหญ่ เป็นการส่งออก โดยโรงงานใหญ่กลับไปยังประเทศของผู้ผลิตเอง เช่น ทองคำแท่ง ส่งกลับไปยังประเทศออสเตรเลีย และจีน ส่วนเครื่องประดับประเภททองคำ และทองคำขาว จะมีสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของลาวอย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าลาวจะมีเหมืองที่ผลิตทองคำได้มากแต่จากข้อมูลของสภาทองคำโลก (World Gold Council) ระบุว่าลาวถือครองทองคำสำรองในประเทศเพียง 8.9 ตันซึ่งน้อยกว่าประเทศไทยกว่า 17 เท่าตัว และการซื้อขายทองคำทองคำแท่งในสปป.ลาวก็ยังถือว่ามีไม่มากนัก ในส่วนของอุตสาหกรรมทองคำรูปพรรณ ส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือน โดยมีโรงงานขึ้นรูปตัวเรือนกระจายอยู่ทั่วประเทศ ทองที่นำมาแปรรูปซื้อจากธนาคารแห่งชาติลาว เน้นการผลิตแบบ handmade ที่โชว์ลวดลายแบบดั้งเดิม ซึ่งร้านจำหน่ายเพชรและทองส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการขนาดเล็กกระจายอยู่ตามแขวงต่างๆ รูปแบบการขาย ก็ใช้วิธีชั่งน้ำหนักเป็นกรัม และใช้น้ำหนักทองเป็นบาทและสลึง เช่นเดียวกับประเทศไทยการกำหนดราคาทองคำรูปพรรณของสปป.ลาวจะอ้างอิงราคาของตลาดโลก และบวกค่ากำเหน็จ ประมาณ 200 – 500 บาท ขึ้นอยู่กับลวดลาย หากมีเพชรหรือพลอยประดับ ก็จะมีค่ากำเหน็จสูงขึ้นประมาณ บาทละ 1,000 บาท ส่วนต่างของราคาทองคำแท่งขายออกกับรับซื้อคืน โดยประมาณจะอยู่ที่ 200 – 300 บาท ร้านค้าที่ขายทองคำแท่ง ก็จะมีน้ำหนักตั้งแต่ 5 บาท ไปจนถึง 65.6 บาท หรือประมาณ 1 กิโลกรัม โดยสถานการณ์การซื้อขายทองคำในลาวนั้นจะขึ้นอยู่กับช่วงเวลาต่างๆ เช่น เทศกาลใหญ่ประจำปี หรือช่วงฤดูการเก็บเกี่ยวก็จะมีการซื้อขายทองกันอย่างคึกคัก

Read More

31/01/2563

ผลกระทบจากการเก็บภาษีอัญมณีและเครื่องประดับUAE


สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือ UAE เป็นผู้ส่งออกและผู้บริโภคสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับอย่างทองคำ เพชร และเครื่องประดับแท้สำคัญเป็นลำดับต้นๆ ของโลก โดยมีมูลค่าการซื้อขายแต่ละปีมากกว่า 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากชาว UAE มีกำลังซื้อสูง และมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไปท่องเที่ยวเป็นจำนวนมากถึงปีละกว่า 17 ล้านคน แต่หลังจากมีการเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 5% และภาษีนำเข้าสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับในอัตรา 5% ก็ส่งผลต่อการการเติบโตของตลาดสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับใน UAE ไม่น้อย การเรียกเก็บภาษีส่งผลกระทบต่อความต้องการบริโภคอัญมณีและเครื่องประดับในตลาดสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์อย่างมาก โดยพบว่าปริมาณความต้องการบริโภคเครื่องประดับทองในประเทศลดลงมากที่สุดในรอบ 20 ปี เนื่องจากราคาเครื่องประดับทองที่พุ่งสูงขึ้นจนผู้บริโภคตั้งตัวไม่ทัน ประกอบกับราคาทองคำในตลาดโลกก็ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้การนำเข้าทองคำลดลงตามไปด้วย ซึ่งสถานการณ์นี้ส่งผลกระทบมาถึงประเทศไทยด้วย ทั้งนี้เพราะ UAE เป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทยในภูมิภาคตะวันออกกลางนั่นเอง ในช่วงเดือนมกราคม-ตุลาคม ปี 2019 การส่งออกของไทยไป UAE ลดลงหลายรายการ ไม่ว่าจะเป็น เครื่องประดับทอง ที่มีมูลค่าลดลง 3.78% รองลงมาเป็นพลอยสีและอัญมณีสังเคราะห์มีมูลค่าลดลงมากที่สุดถึง 50.25% ซึ่งการส่งออกไป UAE นี้ลดลงเรื่อยมาตั้งแต่ปี 2018 หรือตั้งแต่มีการเรียกเก็บภาษีนั่นเองเมื่อดูภาพรวมตัวเลขการนำเข้า-ส่งออกของ UAE ช่วงเดือนมกราคม-สิงหาคม 2019 ที่ผ่านมาก็พบว่ามีสัดส่วนลดลงโดยUAE ส่งออกทองคำ เพชร และเครื่องประดับแท้ ไปยังประเทศคู่ค้าหลัก ได้แก่สวิตเซอร์แลนด์ อินเดีย ตุรกี ฮ่องกง และเบลเยียม เป็นมูลค่ากว่า 21ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 16.88% แต่การนำเข้าทองคำ เครื่องประดับแท้ และเหรียญกษาปณ์ จากอินเดีย ฮ่องกง อังกฤษ สวิตเซอร์แลนด์ และตุรกีมูลค่ากว่า 20 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 4.66% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า สำหรับพฤติกรรมการบริโภคสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับใน UAE นั้นชาวอาหรับพื้นเมืองนิยมเครื่องประดับทองคำแบบโบราณ 21 กะรัต แต่หากเป็นเครื่องประดับสมัยใหม่จะนิยมทองคำ 18 กะรัต ส่วนชาวเอเชียใต้ที่อาศัยในUAE นิยมทองรูปพรรณสไตล์อินเดีย 22 กะรัต ขณะที่ชาวตะวันตกที่เข้ามาทำงานและท่องเที่ยวในแถบนี้นิยมเครื่องประดับทองคำสมัยใหม่ 14 กะรัต และ 18 กะรัต ส่วนตลาดบนของชาวมุสลิมนิยมแพลทินัมประดับเพชร และพลอยเจียระไนมากกว่าทองคำ

Read More

31/01/2563

“ทองคำ” เอาไปใช้ทำอะไรบ้าง


สภาทองคำโลกรายงานว่า ปัจจุบันมีทองคำที่ขุดขึ้นมาแล้วทั้งโลกราว 171,300 ตัน หรือคิดเป็น 171,300,000 กิโลกรัม นับเป็นทองคำจำนวนมหาศาลแต่ทราบหรือไม่ว่าทองคำเหล่านี้ไปอยู่ที่ไหนหรือใช้เอาไปทำอะไร แล้วถ้าจะบอกว่า ผู้หญิงอินเดียคือผู้ที่ครอบครองทองคำมากที่สุดในโลก จะเชื่อหรือไม่นี่คือข้อมูลที่สภาทองคำโลกได้รายงานการนำทองคำไปใช้ในด้านต่างๆดังนี้มากที่สุดอันดับ1 นำไปทำเครื่องประดับ โดยทองคำ โดยทองคำจำนวน 84,300 ตัน หรือ 49.2% ของทองคำทั้งหมดถูกนำไปแปรรูปเป็นเครื่องประดับ ว่ากันว่า ผู้หญิง อินเดียเป็นผู้ถือทองคำรายย่อยมากที่สุด นั่นเท่ากับว่า อินเดียเป็นประเทศที่มีปริมาณการซื้อสะสมเครื่องประดับ จากทองคำมากที่สุดในโลกนั่นเองอันดับสอง คือ นำไปใช้เพื่อการลงทุน ทองคำในส่วนนี้ส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบของทองคำแท่งตัวเลขอยู่ที่ 33,000 ตัน หรือคิดเป็น 19.26% อันดับสาม คือ เก็บอยู่ในธนาคารกลางของประเทศต่างๆเพื่อใช้เป็นทุนสำรอง โดยธนาคารกลางทั้งโลกมีทองคำรวมกันราว 29,500 ตัน หรือ คิดเป็น 17.2% โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เป็นธนาคารกลางซึ่งถือครองทองคำมากที่สุดในโลก คิดเป็นสัดส่วนราว 3 ใน 4 ของทุนสำรองเงินตราของสหรัฐ รองลงมาคือเยอรมัน อิตาลี ฝรั่งเศสและรัสเซียอันดับสี่ คือการใช้ในภาคอุตสาหกรรม ในส่วนนี้มีปริมาณการใช้ทองคำราว 20,800 ตัน หรือคิดเป็น 12.14% โดยทองคำถูกนำมาใช้ในวงการอิเล็คทรอนิกส์และการสื่อสารโทรคมนาคม อาทิเช่น สวิตซ์โทรศัพท์ที่ใช้เป็นแผงตัด เพื่อให้กระแสไฟฟ้าเดินได้สะดวก การใช้ลวดทองคำขนาดจิ๋วเชื่อมต่อวัสดุกึ่งตัวนำและทรานซิสเตอร์ การใช้ลวดทังสเตนและโมลิบดีนัมเคลือบทองคำ ใช้ในอุตสาหกรรมหลอดสูญญากาศ การเคลือบผิวเสาอากาศด้วยทองคำเพื่อการสื่อสารระยะไกล การใช้ตาข่ายทองคำเพื่อป้องกันการรบกวนจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในระบบการสื่อสารการบินพาณิชย์ การใช้อลูมิเนี่ยมเคลือบทองในเครื่องถ่ายเอกสารเพื่อทำหน้าที่สะท้อนรังสีอินฟราเรด การใช้โลหะทองคำเจือเงิน และนิกเกิลประกบผิวทองเหลืองสำหรับใช้ในปลั๊ก เป็นต้นส่วนที่เหลืออีกราว 2.2% หรือ 3,700 ตัน ทองคำถูกนำไปใช้ในด้านอื่นๆเช่นวงการอาหาร ความสวยความงาม เป็นต้นจะเห็นได้ว่ามีการนำทองคำไม่เพียงเป็นเครื่องประดับ หรือเป็นทรัพย์สินหรือเป็นทุนสำรองเท่านั้น แต่ทองคำนั้นสามารถนำไปใช้ได้อีกในหลายๆด้าน ขึ้นอยู่กับว่าจะนำไปใช้ทำอะไรเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดเท่านั้นเอง

Read More

31/01/2563

5 เหมืองทองคำที่สำคัญของโลก


การทำเหมืองแร่ทองคำ มีอยู่ใน ๘๒ ประเทศทั่วโลก ประเทศผู้ผลิตทองคำรายใหญ่ ประกอบด้วย แอฟริกาใต้ สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย จีน อินโดนีเซีย รัสเซีย แคนาดา และเปรู โดยประเทศที่มีแหล่งแร่ทองคำมากที่สุดในโลก คือ แอฟริกาใต้ รองลงมาคือ สหรัฐอเมริกา และบราซิล แต่เหมืองแร่ทองคำขนาดใหญ่กลับไม่ได้อยู่ในประเทศที่มีแหล่งแร่ทองคำมากที่สุด และนี่คือ 5 เหมืองแร่ทองคำขนาดใหญ่ที่สุดในโลก5. เหมืองคอร์เตซ (Cortez)เป็นหนึ่งในเหมืองทองของ Barrick Gold ตั้งอยู่ในรัฐเนวาดา สหรัฐอเมริกา เหมือง Cortez ผลิตทองคำได้ 1.059 ล้านออนซ์ในปี 2559 และบริษัท ยังมีโครงการในการพัฒนาจำนวนมากที่เน้นการขยายเหมืองเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตทองคำให้ได้ต่อเนื่องทุกปี เพื่อให้เป็นเหมืองทองคำที่ใหญ่ที่สุดในอนาคต 4. เหมืองกราสเบิร์ก (GRASBERG)ตั้งอยู่ในประเทศอินโดนีเซีย รัฐบาลอินโดนีเซียเป็นเจ้าของร่วมกับบริษัทข้ามชาติ Freeport-McMoRan ผลิตทองคำได้ 1.061 ล้านออนซ์ในปี 2559 สร้างรายได้ 1.03 พันล้านเหรียญสหรัฐ อย่างไรก็ดีเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ได้มีการหยุดทำเหมืองชั่วคราวเนื่องจากเกิดปัญหาเหมืองถล่มทำให้คนงานเสียชีวิตจำนวนมาก 3. เหมืองโกลด์สไตรค์ (Goldstrike)เป็นอีกหนึ่งเหมืองทองคำใหญ่ของกลุ่มบริษัทตั้งอยู่ในเขต Carlin Trend รัฐเนวาดา ซึ่งเป็น "เขตการขุดทองคำที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในซีกโลกตะวันตก" ในปี 2559 Goldstrike ผลิตทองคำได้ 1.096 ล้านออนซ์เพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบเป็นก่อนหน้า และคาดการณ์ว่าเหมืองแห่งนี้จะมีปริมาณทองคำ 8.08 ล้านออนซ์ 2. เหมืองพูเอโบล วิเอโจ้ PUEBLO VIEJOตั้งอยู่ในสาธารณรัฐโดมินิกัน Pueblo Viejo เป็นของบริษัทร่วมทุนระหว่าง Barrick Gold ซึ่งถือหุ้น 60% และ Goldcorp เหมือง Pueblo Viejo ซึ่งเป็นเหมืองเปิดมีมูลค่าการผลิตทองคำ 1.167 ล้านออนซ์ในปี 2559 จากปริมาณทองคำที่คาดว่าจะมีทั้งหมด 13.48 ล้านออนซ์ นอกจาก Barrick และ Goldcorp แล้ว Royal Gold ก็มีความสนใจใน เหมือง Pueblo Viejo เช่นกัน 1. เหมือง มุรันทา (Muruntau)Muruntau ซึ่งเป็นเหมืองแร่ทองคำอันดับต้น ๆ มีรัฐบาลอุซเบกิสถานเป็นเจ้าของ ผลิตทองคำได้ประมาณ 2.15 ล้านออนซ์ในปี 2558 โดยสันนิษฐานว่าผลิตได้ในปริมาณที่ใกล้เคียงกันทุกปีจนถึงปัจจุบัน

Read More

31/01/2563

“ลงทุนทองคำ”อย่างไร? เรื่องที่มือใหม่ควรรู้


การลงทุนทองคำ เป็นทางเลือกใหม่ของการลงทุนที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น เนื่องจากสร้างผลตอบแทนที่ดี ซื้อ-ขายง่าย มีความปลอดภัยสูงและมีความเสี่ยงต่ำเมื่อเทียบกับกองทุนหรือหุ้น แต่การลงทุนทองคำก็มีหลายเรื่องที่นักลงทุนหน้าใหม่ต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจ เพื่อให้การลงทุนเหมาะสมกับเงินทุนและได้ผลตอบแทนคุ้มค่าที่สุด 1.การลงทุนใน ทองคำรูปพรรณ-ทองคำแท่งการลงทุนทองคำทำได้หลายแบบ ที่คุ้นเคยที่สุดคือการ ลงทุนในทองคำแท่งหรือทองคำรูปพรรณ ซึ่งสิ่งแรกที่จำเป็นต้องรู้คือน้ำหนักของทองคำแท่งกับทองรูปพรรณ แม้จะนับเป็นทอง “1 บาท” เท่ากัน แต่น้ำหนักจริงไม่เท่ากัน โดยทองคำแท่ง 1 บาท หนัก 15.244 กรัม ส่วนทองรูปพรรณ 1 บาท หนัก 15.16 กรัม ทำให้ทองคำทั้งสองแบบที่ความบริสุทธิ์เท่ากันมีราคาต่อ 1 บาทไม่เท่ากัน การลงทุนในทองคำรูปพรรณเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเก็บเป็นสินทรัพย์ระยะยาว หรือเป็นมรดกตกทอดมากกว่าการลงทุนเพื่อทำกำไรระยะสั้น สามารถซื้อตามน้ำหนักที่ต้องการได้เลย แต่มีข้อเสียคือมีค่ากำเหน็จ หรือค่าแรงในการทำทองที่เพิ่มเข้ามาทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น ซึ่งจะถูกหรือแพงก็ขึ้นอยู่กับร้านและลวดลายของทองที่ซื้อ นอกจากนี้เมื่อนำไปขายคืนจะถูกหักค่าเสื่อมประมาณ 5% ด้วย ส่วนทองคำแท่งต้องใช้เงินทุนที่มากกว่าในการซื้อเพราะมักกำหนดการซื้อขั้นต่ำเช่น 5 บาท, 10 บาท, 20 บาท และ 50 บาท แต่ไม่มีค่ากำเหน็จจึงมีราคาถูกกว่าทองคำรูปพรรณและไม่โดนหักราคามากเวลาขายคืน ทองคำแท่งจึงทำกำไรได้มากกว่าทองรูปพรรณและเป็นที่นิยมของนักลงทุนที่ลงทุนในทองคำอย่างจริงจัง 2. การลงทุนโดยตรงกับร้านที่ได้มาตรฐานสามารถทำได้หลายรูปแบบ เช่น สัญญาถือครองหรือตั๋วทอง, ซื้อทองคำมาเก็บรักษาเอง หรือฝากไว้กับร้านทองที่ไว้ใจได้ นอกจากนี้ร้านทองยังมีบริการซื้อทองแบบ“ออมทอง” คือการให้นักลงทุนซื้อทองเป็นการเก็บออมได้ในจำนวนเงินทีละน้อยๆเช่นออมเดือนละ 1,000 บาทเก็บสะสมไปเรื่อย ๆ จนครบบาทก็สามารถ ”ถอน” ทองที่ออมไว้จากร้านในรูปแบบทองคำแท่ง หรือขายคืนเป็นเงินสดเพื่อทำกำไรก็ได้ 3. การลงทุนผ่านกองทุนรวมทองคำกองทุนรวมจะทำหน้าที่เป็นตัวแทนนำเงินไปลงทุนในทองคำแทนนักลงทุน ซึ่งจะมีค่าธรรมเนียมในการบริหารจัดการ วิธีนี้นักลงทุนไม่ต้องเดินไปซื้อทองคำที่ร้านทองด้วยตัวเอง แต่ใช้วิธีการติดต่อผ่านกองทุนรวมให้ทำหน้าที่แทน การลงทุนผ่านกองทุนรวมนี้เป็นการลงทุนที่ง่ายและใช้งบน้อย แต่สำคัญคือต้องเลือกตัวแทนที่เชี่ยวชาญคอยดูแลเรื่องการลงทุนให้ อย่างไรก็ดี นักลงทุนมือใหม่ที่อยากเริ่มต้นลงทุนในทองคำจะต้องทำความเข้าใจก่อนว่าทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนตลอดเวลาตามปัจจัยทางเศรษฐกิจโลก เช่น ค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐ และนโยบายการเงินของธนาคารต่าง ๆ ทั่วโลก ดังนั้นการลงทุนในทองคำจึงมีความเสี่ยงเหมือนกับการลงทุนในด้านอื่น ๆ

Read More

31/01/2563

เหมืองแร่ทองคำในอุซเบกิสถาน


สาธารณรัฐอุซเบกิสถาน ตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชียกลาง ภูมิประเทศเป็นทะเลทรายล้อมรอบด้วยเทือกเขาสูง มีพื้นที่ 447,400 ตารางกิโลเมตร มีทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญมากมาย เช่น ทองแดง เงิน ถ่านหิน ตะกั่ว ทองคำ และแร่ยูเรเนียม โดยสาธารณรัฐอุซเบกิสถานนั้นสามารถผลิตทองคำได้มากเป็นอันดับ 9 ของโลกและผลิตแร่ยูเรเนียมได้เป็นอันดับ 7 ของโลก อุซเบกิสถานมีแหล่งแร่ทองคำปฐมภูมิ (Primary Gold Deposits) 33 แหล่ง บริษัทเหมืองทองที่สำคัญ ได้แก่ บริษัท Almalyk GMK และ Navoi GMK มีแหล่งแร่สำคัญ ผลิตทองคำได้ 98 ตันต่อปี (ข้อมูลปีพ.ศ. 2556) ประมาณการว่าอุซเบกิสถานมีปริมาณทองคำสำรองจำนวน 5,300 เมตริกตัน มากเป็นอันดับที่ 4 ของโลก ส่วนแร่ยูเรเนียม ผลิตได้ 2,400 ตันต่อปี (พ.ศ. 2556) มีปริมาณยูเรเนียมสำรองโดยประมาณ 185,800 ตัน นอกจากนี้ยังสามารถผลิตทองแดง ได้ 98,000 เมตริกตันต่อปีมากเป็นอันดับที่ 10 ของโลก อีกด้วย เหมืองทองคำ Muruntau ตั้งอยู่ในทะเลทรายอันแห้งแร้งของเมือง Kyzyl Kum เปิดดำเนินการมาตั้งแต่ปี 1967 จนถึงปัจจุบัน เป็นเหมืองเปิดขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกมีความลึก1,900 ฟุต เป็นอันดับ 5 ของเหมืองที่ลึกที่สุดในโลก นอกจากขุดทองแล้ว Muruntau ยังเป็นแหล่งแร่พลอยเทอร์คอยซ์ที่สำคัญอีกด้วย คาดการณ์กันไว้ว่า เหมืองแห่งนี้จะมีแร่ 2,500 – 5,300 ตันเลยทีเดียววันนี้เหมือง Muruntau ผลิตทองคำได้มากกว่า 60 ตันต่อปี อย่างไรก็ดี แม้ว่าสาธารณรัฐอุซเบกิสถานเป็นประเทศอุดมไปด้วยทรัพยากรแร่ หากแต่ยังขาดเงินทุนและเทคโนโลยีที่จำเป็นในการนำทรัพยากรแร่มาใช้ประโยชน์ ดังนั้น ความร่วมมือระหว่างสาธารณรัฐ อุซเบกิสถานกับต่างประเทศในด้านทรัพยากรแร่จะอยู่ในลักษณะที่บริษัทต่างชาติเข้ามารับสัมปทาน และร่วมลงทุนในสาธารณรัฐอุซเบกิสถาน อาทิ การร่วมทุนทำเหมืองแร่โพแทซโดยบริษัทของสหพันธรัฐรัสเซียและสาธารณรัฐประชาชนจีน การได้สัมปทานเหมืองแร่ทองแดงของบริษัทสหราชอาณาจักร การได้สัมปทานเหมืองแร่ยูเรเนียมของบริษัทญี่ปุ่น และการร่วมทุนทำเหมืองทองคำของบริษัทสหรัฐอเมริกา เป็นต้นปัจจุบัน สาธารณรัฐอุซเบกิสถาน ถือครองทองคำอยู่ 342.1 ตัน มากเป็นอันดับ 16 ของโลก และเป็นอันดับ 6 ของเอเชียรองจากจีน ญี่ปุ่น อินเดีย ไต้หวัน และคาซัคสถาน

Read More

31/01/2563

ภาพรวมราคาทองคำ ปี’62 และแนวโน้มปี’63


ตลอดปี 2562 ที่ผ่านไป ราคาทองคำในตลาดโลกทะยานสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นการปรับตัวในระดับสูงสุดในรอบกว่า 6 ปี และขึ้นไประดับสูงสุดของปีที่บริเวณ 1,556 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือเพิ่มขึ้นถึง 21% ซึ่งมากที่สุด นับตั้งแต่ปี 2550 ราคาทองคำที่ปรับขึ้นนี้มาจากหลายปัจจัย หนึ่งคือสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่มีการเจรจาหาข้อตกลงร่วมกัน มาตลอดทั้งปีทำให้ราคาทองคำในตลาดโลกมีความผันผวนจากความไม่แน่นอนดังกล่าว นอกจากนี้ยังมีความกังวลว่าภาวะเศรษฐกิจสหรัฐจะถดถอย เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเกิดภาวะ inverted yield curve หลายครั้งหรือปรากฏการณ์ที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้น ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนของเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มถดถอย เพราะโดยปกติแล้วอัตราดอกเบี้ยระยะยาวจะสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น อีกทั้งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดถึง 3 ครั้งตลอดปี 2562 ก็ส่งผลต่อราคาทองคำเช่นเดียวกับกรณีที่อังกฤษแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปแบบไร้ข้อตกลง และ สถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางส่วนแนวโน้มราคาทองคำในปี 2563 คาดการณ์ว่าน่าจะเป็นปีทองของราคาทองคำ โดยราคาจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,400-1,600 ดอลลาร์ (ว่าราคาทองคำแท่งในประเทศน่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 20,400-22,700 บาท) ซึ่งราคาทองคำในปี 2563 จะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างได้แก่สงครามการค้าโลกปี 2562 ที่ผ่านมา IMF ปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกลงเหลือ 3.0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินทั่วโลกในปี 2551-2552 เนื่องมาจากสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ และยังได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปี 2563 ลงสู่ระดับ 3.4% จากเดิมที่ระดับ 3.5% นโยบายการเงินของเฟดปี 2563 ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณว่าจะไม่มีการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย หลังจากปีที่ผ่านมาปรับลดอัตราดอกเบี้ยไปแล้ว 3 ครั้ง ทำให้ราคาทองคำในปี 2563 จะไม่มีปัจจัยบวกในเรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ และคาดว่าเฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในปี 2563Brexit จุดยืนที่ชัดเจนแม้ว่าการแยกตัวของอังกฤษออกจาก EU จะขยายเส้นตายเป็นวันที่ 31 ม.ค. 2563 แต่ก็ต้องติดตามนายกรัฐมนตรีอังกฤษว่าจะสามารถผลักดันข้อตกลงการแยกอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาอังกฤษได้ภายในวันที่ 31 ม.ค. 2563 หรือไม่ ซึ่งอาจจะส่งผลต่อความผันผวนต่อราคาทองคำแน่นอน

Read More

31/01/2563

ทองคำในตลาดโลก เอาไปใช้ทำอะไรบ้าง


ในแต่ละปีมีความต้องการใช้ทองคำในปริมาณมาก ซึ่งส่วนใหญ่มาจาก 3 กลุ่มหลัก คือใช้ทำเครื่องประดับ, ใช้ในอุตสาหกรรมและการแพทย์ และใช้เพื่อการลงทุน เราเรียกความต้องการนี้ว่าอุปสงค์ของทองคำ (Gold Demand) ซึ่งในแต่ละภาคส่วนมีความต้องการใช้ทองคำในปริมาณมากน้อยแตกต่างกันไป1) ภาคเครื่องประดับถือเป็นผู้บริโภคทองคำกลุ่มหลักในตลาด คิดเป็นประมาณร้อยละ 68 ของอุปสงค์ทองคำทั้งหมด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศกลุ่มตะวันออกกลางและเอเชีย โดยเฉพาะประเทศอินเดียและประเทศจีน คิดเป็นมูลค่ารวมกันกว่าร้อยละ 60 ของการใช้เครื่องประดับทองคำของโลก โดยทั่วไปแล้ว เหตุผลในการซื้อทองคำส่วนใหญ่จะใช้เป็นเครื่องประดับ และใช้เป็นของขวัญในโอกาสสำคัญ เช่น ประเทศจีนใช้ในโอกาสเทศกาลตรุษจีน ประเทศอินเดียใช้ในเทศกาล Diwali (ช่วงสิ้นสุดเดือนถือศีลอด) ของชาวฮินดูนอกจากนี้ ในกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนา ยังถือว่าการซื้อเครื่องประดับทองคำเป็นการรักษาความมั่งคั่งได้อีกด้วย2) ภาคอุตสาหกรรมการผลิตและการแพทย์การใช้ทองคำในกลุ่มนี้คิดเป็นสัดส่วนประมาณ ร้อยละ 14 ของอุปสงค์ทั้งหมด โดยส่วนแบ่งการใช้ทองคำในภาคอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้นตลอดช่วงศตวรรษที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังมีการใช้ประโยชน์จากทองคำในนาโนเทคโนโลยีเพื่อใช้ในการเร่งปฏิกิริยาใน การควบคุมมลพิษ อุปกรณ์ผลิตกระแสไฟฟ้า และกระบวนการทางเคมี ทำให้มีการประมาณความต้องการ ทองคำในภาคนี้ เพิ่มมากยิ่งขึ้นในอนาคต3) ภาคการลงทุนในอดีต หมายถึง การซื้อทองคำแท่งและเหรียญทองคำ แต่ปัจจุบัน รวมลักษณะ การลงทุนแบบสัญญาซื้อขายล่วงหน้า กองทุนรวม จนถึงการลงทุนต่างๆ ที่มีทองคำเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน ด้วย ถือว่าภาคการลงทุนเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในด้านความต้องการทองคำเพิ่มมากขึ้นและช่วยสร้างสภาพคล่องให้กับตลาดทองคำมากเมื่อเทียบกับอดีต ตั้งแต่ ปี 2003 ความต้องการทองคำจากภาคการลงทุนเติบโตขึ้นมากกว่าร้อยละ 412 ในเชิงมูลค่า โดยในปี 2008 มีเงินลงทุนสูงถึง 3.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ทั้งนี้ อุปสงค์ของทองคำ (Gold Demand) ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อการกำหนดราคาทองคำในตลาดโลก คือถ้าหากมีความต้องการขายทองคำสูง ราคาทองจะลดต่ำลง แต่ถ้าหากมีความต้องการขายต่ำ ราคาทองก็จะสูงขึ้น ตามหลักทางเศรษฐศาสตร์

Read More

31/01/2563

ทองคำที่ซื้อขายกันตลาดโลกมาจากไหน


ปริมาณทองคำในตลาดโลกมาจาก 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ ผลผลิตจากเหมืองแร่ จากธนาคารกลาง จากเศษทองคำเก่าที่หมุนเวียนอยู่ในระบบ จากการขายจากหน่วยงานภาครัฐ และการขายล่วงหน้าเพื่อป้องกันความเสี่ยงของผู้ผลิต ทั้งหมดนี้รวมเรียกว่าอุปทานของทองคำ (Gold Supply)1) ผลผลิตจากเหมืองแร่ (Mine Production)ปัจจุบันผลผลิตทองคำจากเหมืองแร่เป็นปัจจัยที่มีบทบาทสำคัญต่ออุปทานของทองคำมากที่สุด โดยคิดเป็นร้อยละ 60 ของปริมาณทองคำในตลาดแต่ละปี ทั้งนี้ประเทศแอฟริกาใต้เป็นประเทศที่มีการผลิตทองคำออกสู่ตลาดโลกมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 14 ของปริมาณการผลิตทั่วโลก รองลงมาคือ สหรัฐฯ ออสเตรเลีย กลุ่มลาตินอเมริกา จีน รัสเซีย เปรู ฯลฯ ตามลำดับ ซึ่งตั้งแต่ปี1990 เหมืองทองทั่วโลกมีผลผลิตทองคำรวมกันทั้งหมดประมาณ 2,500 ตันต่อปี2) เศษทองคำเก่าที่หมุนเวียนอยู่ในระบบ (Recycled Gold)เป็นทองคำจากผลิตภัณฑ์เก่าที่ถูกแปรรูปแล้วและนำมาสกัดใหม่ในรูปทองคำแท่ง มีบทบาทสำคัญต่อกลไกราคาทองคำ รองจากผลผลิตจากเหมืองแร่ และทำให้ราคาทองคำมีเสถียรภาพมากขึ้น ซึ่งอุปทานเศษทองนี้ ส่วนมากขึ้นกับสภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจและราคาทองคำ โดยจะเพิ่มสูงขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจอยู่ในภาวะซบเซา หรือหลังจากช่วงที่ราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้น3) การขายทองคำจากหน่วยงานภาครัฐ (Official Sector Sales)ปัจจุบันธนาคารกลาง และองค์กรระหว่างประเทศ เช่น องค์กรการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF) ทั้งหมดกว่า 110 องค์กร ถือครองทองคำในรูปของเงินทุนสำรองรวมกันประมาณร้อยละ 25 ของปริมาณทองคำทั้งหมดที่มีในโลก การสำรองทองคำของธนาคารกลางแต่ละแห่ง ขึ้นอยู่กับนโยบายเฉพาะของแต่ละประเทศ โดยผู้ถือครองทองคำรายใหญ่ ได้แก่ ธนาคารกลางของประเทศในแถบยุโรปและอเมริกาเหนือ ทั้งนี้ ประเทศต่างๆ จะถือการครองทองคำคิดเป็นประมาณร้อยละ 10 ของทุนสำรองของประเทศโดยเฉลี่ย นอกจากนี้ธนาคารกลางยังอาจทำการขายทองคำออกสู่ตลาด โดยมีข้อตกลงในการขายทองคำภายใต้ข้อกำหนดของ Central BankGold Agreement (GBGA) ซึ่งกำหนดให้ธนาคารกลางขายได้ไม่เกิน 500 ตันต่อปี4) การขายล่วงหน้าเพื่อป้องกันความเสี่ยงของผู้ผลิต (Net Producer Hedging)บริษัทเหมืองทองสามารถจะทำการขายทองล่วงหน้าในตลาดได้ เพื่อบริหารความเสี่ยงด้านรายได้จากความผันผวนของราคาทองคำ โดยทั่วไป เมื่อบริษัทเหมืองทองทำการขายทองล่วงหน้า คู่ค้าของบริษัทเหมืองทองจะทำธุรกรรมยืมทองคำจำนวนเดียวกันจากผู้ครอบครองทองรายอื่น ซึ่งตามปกติจะเป็นธนาคารกลาง โดยนำทองที่ยืมมาไปขายในราคาตลาด แล้วนำเงินที่ได้จากการขายทองคำไปลงทุนเพื่อให้ได้ดอกผลเพียงพอสำหรับการรับส่งมอบทองคำและค่าใช้จ่ายในการยืมทองคำ เมื่อถึงกำหนดส่งมอบทองคำตามสัญญา บริษัทเหมืองทองจะส่งมอบทองคำให้กับคู่ค้าในราคาตามที่ตกลงกันไว้ ทางคู่ค้าก็จะนำทองคำที่รับมอบมาส่งคืนให้กับผู้ที่ให้ยืมมาพร้อมค่าธรรมเนียมการกู้ยืมทั้งนี้อุปทานของทองคำ (Gold Supply) เป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อการขึ้นลงของราคาทองคำ คือถ้าหากมีความต้องการซื้อทองคำสูง จะส่งผลให้ราคาทองสูงขึ้น ในทางตรงกันข้าม ถ้ามีความต้องการซื้อทองต่ำ ราคาทองก็จะต่ำลงด้วยเช่นกัน

Read More

31/01/2563

5 ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาทองคำ


ปัจจุบันการลงทุนในทองคำได้รับความนิยมมากขึ้นเนื่องจากเป็นทรัพย์สินที่ปลอดภัย เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นหรือพันธบัตร แต่การลงทุนในทองคำก็ต้องคำนึงถึงการขึ้น-ลงของราคาทอง เพราะจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อผลตอบแทนของนักลงทุนด้วย นักลงทุนจึงต้องเช็คราคาทองคำประจำวันและแนวโน้มของราคาทองคำในอนาคต และนี่คือ 5 ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อราคาทองคำในตลาดโลกและตลาดในประเทศ 1. ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ US Dollar movementทองคำนั้นซื้อขายกันด้วยเงินดอลลาร์ ด้งนั้นการขึ้นลงของค่าเงินดอลลาร์จึงส่งผลโดยตรงต่อราคาทองคำ กล่าวคือ ถ้าค่าเงินดอลลาร์ด้อยค่าลง (อ่อนค่า)ราคาทองคำจะเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากเงินลงทุนจะไหลจากการดอลลาร์สหรัฐไปหาทองคำมากขึ้นเนื่องจากเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยกว่าในทางตรงกันข้ามหากเงินดอลลาร์แข็งค่า นักลงทุนก็จะหันมาใช้จ่ายหรือลงทุนในสกุลเงินดอลลาร์แทนทองคำมากขึ้น ส่งผลให้ราคาทองคำลดลงนั่นเอง2.อัตราดอกเบี้ยอัตราดอกเบี้ย มีความสัมพันธ์แบบผกผันกับราคาทองคำ ทุกครั้งที่มีการประกาศดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯจะส่งผลกระทบต่อราคาทองคำทันที เช่น ถ้าประกาศปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้นแสดงว่าเศรษฐกิจเริ่มดี ความเชื่อมั่นเริ่มมากขึ้น ค่าเงินดอลลาร์จะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวลดลง ในทางตรงกันข้ามหากปรับดอกเบี้ยนโยบายลง แสดงว่าเศรษฐกิจเริ่มแย่ ความเชื่อมั่นเริ่มลดลง ค่าเงินดอลลาร์จะปรับตัวลดลง ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้น เช่นสถานการณ์ราคาทองคำที่เกิดขึ้นตลอดปี 2562 ที่ธนาคารกลางสหรัฐปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงถึง 3 รอบ ทำให้ราคาทองคำสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีบางช่วงของปีที่สูงที่สุดในรอบ 6 ปีเลยทีเดียว3.นโยบายการเงิน นโยบายการเงินของธนาคารต่างๆ ทั่วโลกมีผลต่อราคาทองคำ โดยเฉพาะประเทศใหญ่ๆ อย่าง USA เพราะเงินลงทุนจะไหลจากที่ผลตอบแทนต่ำไปที่ผลตอบแทนสูงเสมอ ดังนั้นหากอัตราดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้นก็มีแนวโน้มว่าคนจะนำเงินไปลงทุนในพันธบัตรหรือเงินฝากต่างๆเพิ่มขึ้น อาจมีการเทขายทองคำแล้วนำเงินไปฝากเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาทองคำลดลง 4.อัตราเงินเฟ้อ อัตราเงินเฟ้อ ส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าทุกชนิด เพราะจะทำให้สินค้ามีราคาสูงขึ้นรวมถึงทองคำด้วย โดยเงินเฟ้อกับราคาทองคำนั้นจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งนี้ราคาไปถึงน้ำมันด้วย กล่าวคือ หากราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น เงินเฟ้อก็จะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัว เพิ่มสูงด้วยในทางตรงกันข้ามถ้าหากราคาน้ำมันปรับตัวลดลง เงินเฟ้อก็จะลดลง ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวลดลง ตามไปด้วย 5. อุปสงค์-อุปทาน อุปสงค์ (Demand) คือ ความต้องการใช้ทองคำ ส่วนใหญ่มาจาก 3 กลุ่มหลัก คือ ภาคเครื่องประดับ,ภาคอุตสาหกรรมการผลิตและการแพทย์,ภาคการลงทุนและทุนสำรองในประเทศ ถ้าทั้ง 3 กลุ่มนี้มีมีความต้องการซื้อทองคำสูง จะส่งผลให้ราคาทองสูงขึ้นด้วย ในทางตรงกันข้าม ถ้ามีความต้องการซื้อทองต่ำ ราคาทองก็จะลดต่ำลงเช่นกันส่วนอุปทาน (Supply) ก็คือ ความต้องการขายทองคำ ส่วนใหญ่มาจาก 3 กลุ่มหลัก คือ ผลผลิตทองคำจากเหมืองทอง แรงขายจากธนาคารกลางประเทศต่างๆ และปริมาณทองคำเก่าที่หมุนเวียนอยู่ในระบบ ถ้าหากมีความต้องการขายทองคำสูง ราคาทองจะต่ำลง แต่ถ้าหากมีความต้องการขายต่ำ ราคาทองก็จะสูงขึ้น ตามหลักทางเศรษฐศาสตร์

Read More

07/01/2563

ศาลพระเจ้าปราสาททอง


พระราชวังบางปะอินเป็นพระราชวังโบราณสมัยกรุงศรีอยุธยา สร้างขึ้นโดยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง เนื่องจากเป็นที่ประสูติของพระองค์ และใช้เป็นพระราชวังฤดูร้อนสำหรับพระมหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยาจวบจนกระทั่งเสียกรุงศรีฯให้พม่า ภายในพระราชวังมีสถานที่สำคัญหลายแห่ง หนึ่งในนั้นคือ หอเหมมณเฑียรเทวราชหรือ"ศาลพระเจ้าปราสาททอง"หอเหมมณเฑียรเทวราชหรือที่บางคนเรียกกันว่า "ศาลพระเจ้าปราสาททอง" เป็นปรางค์ศิลา จำลองแบบจากปรางค์ขอม ภายในประดิษฐานเทวรูปพระเจ้าปราสาททอง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนคุณงามความดีและเทิดพระเกียรติของพระเจ้าปราสาททองที่ทรงกตัญญูต่อพระมารดาตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นนอก ริมสระใต้ต้นโพธิ์ ภายในพระราชวังบางปะอินพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างหอเหมมณเฑียรเทวราชขึ้นในระหว่างปีพ.ศ. 2415-2419ต่อมามีการสร้างในครั้งที่ 2 เมื่อปีพ.ศ. 2423เนื่องจากเหตุการณ์เรือพระประเทียบของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ล่ม เป็นเหตุให้พระองค์สวรรคตพร้อมพระราชธิดาและพระราชโอรส(ธิดา)ในพระครรภ์ ดังนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระราชวิตกว่าสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศจะทรงได้รับอันตรายจึงทรงบ่นว่าถ้าสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศปลอดภัยจากการเดินทางในครั้งนี้จะทรงสร้างศาลถวายใหม่ เมื่อสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศทรงปลอดภัยจากการเดินทาง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ก่อสร้างศาลขึ้นมาใหม่ แล้วเสร็จเมื่อปีพ.ศ. 2432หลังจากการเสียกรุงศรีอยุธยา พระราชวังบางปะอินถูกปล่อยให้รกร้างไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง จนกลับมาเป็นที่รู้จักอีกครั้งเมื่อครั้งสุนทรภู่ได้ตามเสด็จรัชกาลที่ 1ไปนมัสการพระพุทธบาทสระบุรี และได้ประพันธ์ถึงพระราชวังบางปะอินไว้ในนิราศพระบาทจนกระทั่งในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่4 มีพระบรมราชโองการให้บูรณะพระราชวังขึ้นใหม่ และบูรณะครั้งใหญ่ ในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยได้สร้างพระที่นั่ง และพระตำหนักต่างๆ ขึ้นเพื่อใช้เป็นที่ประทับรับรองพระราชอาคันตุกะและพระราชทานเลี้ยงในโอกาสต่างๆปัจจุบันพระราชวังบางปะอินอยู่ในความดูแลของสำนักพระราชวังและยังใช้เป็นสถานที่แปรพระราชฐานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ รวมถึงประกอบพระราชพิธีสังเวยพระป้าย แต่ก็ได้เปิดให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวเข้าชมได้ พระราชวังบางปะอินนี้ พระเจ้าปราสาททองทรงให้สร้างขึ้น และพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดชุมพลนิกายารามขึ้นบนเกาะบางปะอิน ตรงบริเวณบ้านเดิมของพระมารดา โดยถวายเป็นพุทธบูชา พระองค์ทรงให้ขุดสระขนาดใหญ่ทางทิศใต้ของวัด และได้สร้างพระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ในพื้นที่ของพระราชวังตามกระแสพระราชดำรัสของพระองค์ว่า “พระองค์ได้ประสูติที่นี่และได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน” เพื่อแสดงให้เห็นอานุภาพแห่งความรักของลูกคนหนึ่งที่มีต่อมารดาผู้ให้กำเนิด

Read More

07/01/2563

อัฐิพระเจ้าตากสินมหาราชที่วัดทองทั่ว


วัดทองทั่ว ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาสระบาป หมู่ 4 ต.คลองนารายณ์ อ.เมือง จังหวัดจันทบุรี เป็นวัดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยอยุธยา ที่อยู่คู่กับเมืองจันทบุรีมานานกว่า 200 ปี มีความเกี่ยวข้องกับพระเจ้าตากสินมหาราช ทั้งเป็นที่รวบรวมไพร่พลก่อนที่จะยกทัพไปกอบกู้เอกราชจากพม่า และเป็นวัดที่เชื่อว่าเป็นที่เก็บ"พระอัฐิของสมเด็จพระเจ้าตากสิน"อีกด้วย ตามประวัติเล่าว่ามีการพบกระดูกเมื่อคราวปฏิสังขรณ์พระอุโบสถและพระประธานในโบสถ์เมื่อปี พ.ศ.2472 ที่เชื่อกระดูกที่พบนี้คือพระอัฐิของพระเจ้าตากครั้งแรก เพราะมีแผ่นทองซึ่งเขียนเป็นภาษเขมรบรรจุไว้ในโกศเขียนไว้ว่า “เป็นพระอัฐิพระเจ้าตาก พระยาจันทบูร(จันทบุรี)นำมา” แต่น่าเสียดายที่ปัจจุบันแผ่นทองคำนั้นได้หายสูญหายไป สันนิษฐานว่าคงจะนำมาไว้เมื่อสมัยรัชกาลที่ 1 เมื่อถวายพระเพลิงพระศพเรียบร้อยแล้ววัดทองทั่ว เป็นวัดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยอยุธยา ที่อยู่คู่กับเมืองจันทบุรีมานานกว่า 200 ปี มีความสำคัญมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าตากสินมหาราช ที่ทรงมารวบรวมไพร่พลอยู่ในเมืองจันทบุรี ก่อนที่จะกอบกู้เอกราชให้กับอยุธยาได้สำเร็จ ชื่อวัดทองทั่ว ตั้งตามตำนาน เมืองพระนางกาไว (พระนางกาไวเป็นมเหสีองค์ใหม่ของพระเจ้าพรหมทัตหลงใหลแห่งเมืองเพนียด เมื่อมีพระราชโอรสนางได้ทูลขอพระราชสมบัติจากพระเจ้าพรหมทัต ทำให้เจ้าชายบริพงษ์และเจ้าชายวงศ์สุริยคราสพระราชโอรสจากมเหสีองค์เก่าต้องไปสร้างเมืองใหม่ เรียกว่า เมืองสามสิบ ต่อมาพระเจ้าพรหมทัตสวรรคต นางกาไวเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระโอรส ทำให้เจ้าเมืองสามสิบยกทับมาตีเมืองเพนียด หวังเอาพระนครคืน ทัพนางกาไวสู้ไม่ได้ลูกชายก็สิ้นพระชนม์ นางคิดหนีจึงได้ขนทรัพย์สิน แก้วแหวนเงินทอง ออกมาโปรยหว่านเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจทหารให้มั่วแต่เก็บเงินทองจะได้ตามนางไม่ทัน) สถานที่ๆนางกาไวหว่านทรัพย์สินเงินทองนั้น ปัจจุบันก็คือบริเวณที่ตั้งวัดทองทั่วนั่นเองวัดทองทั่วได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อ พ.ศ. 2318 สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นพระอารามหลวงมาก่อน เพราะมีหลักฐานจากใบสีมารอบพระอุโบสถเป็นใบสีมาคู่ทั้ง 8 ทิศ อยู่ในสมัยกรุงธนบุรี โบสถ์มีสิงห์ตั้งอยู่ 1 ตัว ส่วนภายในเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปเก่าแก่ตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย คือ "พระพุทธสุวรรณมงคลศากยมุนีศรีสรรญเพ็ชญ์" หรือ "หลวงพ่อทอง" เป็นงานศิลปะช่างพื้นบ้านที่มีพระพุทธลักษณะงดงาม มีเรื่องเล่าว่าเมื่อพ.ศ.2471 ได้มีการบูรณะอุโบสถพร้อมพระประธาน ทำให้พระประธานเอียงทรุดไปด้านหนึ่ง ชาวบ้านจึงช่วยกันดีดแล้วค้ำยันองค์พระให้ตั้งตรง แต่ส่วนฐานพระประธานกลับทรุดหลุดกะเทาะออก จนได้พบพระยอดธงเนื้อชิน เนื้อเงิน เนื้อทอง เนื้อนาค เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ที่วัดทองทั่วยังเป็นสถานที่เก็บรักษาโบราณวัตถุศิลปเขมรอีกหลายชิ้น เช่น ทับหลังแบบถาลาปริวัติ และทับหลังแบบไพรกเมง (พ.ศ.1150-1250) เสาประดับกรอบประตูแบบนครวัด และโกลนพระคเณศทำจากหินทรายสีขาว เป็นต้น

Read More

07/01/2563

สุดยอดพระธำมรงค์แห่งราชวงศ์อังกฤษ


ราชวงศ์อังกฤษได้ชื่อว่ามีทรัพย์สิน เครื่องประดับมากมาย ซึ่งแต่ละชิ้นงดงาม ทรงคุณค่าและบางชิ้นประเมินค่ามิได้ เช่นพระธำมรงค์หรือแหวนหมั้น 5 วงต่อไปนี้ที่ถือเป็นสุดยอดแห่งราชวงศ์กันเลยทีเดียว 1. แหวนหมั้นของควีนเอลิซาเบธที่ 2แหวนหมั้นของควีนเอลิซาเบธที่ 2 เป็นแหวนแหวนเพชรเม็ดงาม ที่เจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ พระสวามีทรงออกแบบ หัวแหวนเป็นเพชรทรงรูปไข่ ขนาด 3 กะรัต ซึ่งถอดมาจากเทียร่าของพระมารดาของเจ้าชายฟิลิป (เจ้าหญิงอลิซแห่งบัทเทนแบร์ก) ล้อมรอบด้วยเพชรเม็ดเล็กๆ 5 เม็ด โดยเม็ดกลางมีขนาดใหญ่ที่สุด นอกจากนี้ตรงไหล่แหวนยังมีเพชรประดับอยู่ด้วยทั้งสองฝั่ง ราคาประมาณ 200,000 ปอนด์ หรือประมาณ 8.7 ล้านบาท เจ้าชายฟิลิป ประกาศหมั้นกับควีนเอลิซาเบธที่ 2 เมื่อวันพฤหัสบดี 10 กรกฎาคม 2490 และมีพิธีเสกสมรส ในวันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน 24902. แหวนหมั้นของเจ้าหญิงไดอาน่า และดัชเชสเคท มิดเดิลตัน แหวนไพลินล้อมเพชร คือแหวนหมั้นที่เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ได้มอบให้กับเจ้าหญิงไดอาน่า และในกาลต่อมาเจ้าชายวิลเลี่ยม ก็ได้ใช้แหวนวงเดียวกันนี้หมั้นหมายกับเคท มิดเดิลตัน โดยแหวนหมั้นวงนี้ตัวเรือนทำจากทองคำขาว ประดับด้วยไพลินศรีลังกาสีน้ำเงินเข้ม ขนาด 12 กะรัต ล้อมด้วยเพชร 14 เม็ด วางเรียงอย่างสวยงามบนตัวเรือนทองคำขาว ออกแบบโดยช่างทำเครื่องประดับประจำราชวงศ์ ซึ่งนักประวัติศาสตร์บางคนเชื่อว่าแหวนวงนี้เจ้าหญิงไดอาน่าได้ออกแบบให้คล้ายกับแหวนของ Frances Shand-Kydd พระมารดา แหวนวงนี้จึงถือว่ามีคุณค่าทางประวัติศาสตร์สำหรับราชวงศ์อังกฤษอย่างมาก ปัจจุบันมีการประเมินราคาอยู่ที่ 300,000 ปอนด์ หรือราว 13 ล้านบาท3.แหวนหมั้นของซาราห์ ดัชเชสแห่งยอร์กเจ้าชายแอนดรูว์ ดยุกแห่งยอร์ก ได้มอบแหวนหมั้นสุดงดงามนี้ให้กับซาราห์ ดัชเชสแห่งยอร์ก เมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2529 เป็นแหวนทับทิมพม่าสีแดงเข้มทรงรี เพื่อสื่อถึงเส้นผมสีแดงของดัชเชสซาราห์ ล้อมรอบด้วยเพชร 10 เม็ดประดับบนตัวเรือนทองคำ ปัจจุบันราคาอยู่ที่ 150,000 – 200,000 ปอนด์ หรือราว 6- 8 ล้านบาท 4.แหวนหมั้นเมแกน มาร์เคิล ดัชเชสแห่งซัสเซ็กซ์แหวนหมั้นของ เมแกน มาร์เคิลนั้น เจ้าชายแฮร์รี่ทรงออกแบบเอง โดยตัวเรือนแหวนทำจากทองหายากจากแคว้นเวลส์ เป็นทอง 24 กะรัต ประดับด้วยเพชรเม็ดใหญ่จากประเทศบอตสวานา 3 เม็ด ขนาด 3.5 กะรัต เรียงตรงกลาง ส่วนอีก 2 เม็ดด้านข้างเป็นเพชรของเจ้าหญิงไดอาน่า พระมารดาผู้ล่วงลับ แหวนหมั้นสุดคลาสสิกนี้มีมูลค่า 250,000 ปอนด์ หรือประมาณ 10 ล้านบาท 5. แหวนหมั้นเจ้าหญิงแหวนของเจ้าหญิงยูจีนีแห่งยอร์กแหวนหมั้นของเจ้าหญิงยูจีนีแห่งยอร์ก เป็นพลอยแซฟไฟร์ Padparadscha sapphire สีชมพูอมส้ม ล้อมรอบด้วยเพชรเจียระไน 10 เม็ด มีลักษณะคล้ายคลึงกับกับแหวนหมั้นของซาราห์ เฟอร์กูสัน ดัชเชสแห่งยอร์ก พระมารดาทรงสวมใส่ โดยผู้เชี่ยวชาญด้านอัญมณีถือว่าเป็นของหายากและมีคุณค่ามากที่สุดในทุกพันธุ์คอรันดัม ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 100,000 ปอนด์ หรือราว 4.3 ล้านบาท

Read More

07/01/2563

Classic Blue เทรนด์สี ปี2020


เป็นธรรมเนียมประจำทุกปีที่สถาบัน The Pantone Color Institute จะประกาศเทรนด์สีมาแรงเป็นประจำทุกปีโดยจะพิจารณาจากเทรนด์สีที่จะเข้าถึงและมีผลกับผู้คนทั่วโลก และมีอิทธิพลกับหลากหลายกลุ่มองค์กร ธุรกิจ อุตสาหกรรม ทั้งสาขาบันเทิง ท่องเที่ยว ศิลปะ แฟชั่น การออกแบบ เศรษฐกิจ และไลฟ์สไตล์ โดยในปี 2020 นี้ สี Classic Blue ได้ประกาศว่า Colour of the Year 2020 แทนสี Living Coral เฉดสีทองผสมแดง ชมพู ของปี2019 สี Classic Blue (19-4052) เป็นเฉดสีน้ำเงินเข้ม สื่อถึงความไร้ซึ่งกาลเวลา (Timeless) ให้ความรู้สึกหรูหรา สง่างาม แต่แฝงไว้ด้วยความสงบนิ่ง ให้ความรู้สึกที่ผ่อนคลาย โดย PANTONE เชื่อว่าความหมายของสีนี้ จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกคนได้ก้าวไปสู่ยุคสมัยใหม่ และแน่นอนว่าสีฟ้าคลาสสิกเป็นสีที่สมาชิกราชวงศ์ทรงฉลองพระองค์กันมาก เช่น ดัชเชส ออฟ เคมบริดจ์ เป็นต้น สำหรับอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับนั้นมีอัญมณีหลากหลายชนิดที่มีเฉดสีน้ำเงินซึ่งสามารถนำมาออกแบบเครื่องประดับได้มากมาย เช่น ไพลิน ลาพิส ลาซูลี แทนซาไนต์ เป็นต้น โดยไพลินถือเป็นอัญมณีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ซึ่งแหวนพลอยไพลินน้ำงามที่สุด ที่คนทั่วโลกรู้จักและถือเป็นตำนานที่คนทั่วโลกกล่าวถึง ก็คือพระธำมรงค์หมั้น หรือแหวนหมั้นที่เจ้าชายวิลเลี่ยมแห่งอังกฤษ ทรงมอบให้กับดัชเชส ออฟ เคมบริดจ์ หรือ เจ้าหญิงแคทเธอรีน พระชายา โดยแหวนหมั้นวงนี้เคยเป็นของเจ้าหญิงไดอาน่า พระมารดาของเจ้าชายวิลเลี่ยมมาก่อน ตัวแหวนเป็นทองคำขาว ประดับด้วยไพลินศรีลังกาสีน้ำเงินเข้ม ขนาด 12 กะรัต และล้อมด้วยเพชร 14 เม็ด วางเรียงอย่างสวยงามบนตัวเรือนทองคำขาว ออกแบบโดยช่างทำเครื่องประดับประจำราชวงศ์ ซึ่งนักประวัติศาสตร์บางคนเชื่อว่าแหวนวงนี้เจ้าหญิงไดอาน่าได้ออกแบบให้คล้ายกับแหวนของ Frances Shand-Kydd พระมารดานอกจากแหวนไพลินล้อมเพชรแล้วยังมีชุดต่างหูไพลินด้วยการแต่งกายทั้งเสื้อผ้า หน้าผม รองเท้า กระเป๋า หรือเครื่องประดับนั้น สีต่างๆ มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะสามารถบ่งบอกทั้งอารมณ์ ความรู้สึก และสไตล์ของผู้สวมใส่ได้เป็นอย่างดี จึงทำให้เกิดบริษัทอย่าง Pantone LLC ซึ่งเป็นบริษัทย่อยในเครือของ X-Ray Rite ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับสีแบบครบวงจร โดยแต่ละปีบริษัททำการการคัดเลือกสีแห่งปีจากการพิจารณาและวิเคราะห์จากเทรนด์ต่างๆ โดยPantone ได้ประกาศสีประจำปีมาตั้งแต่ปี 2000 จนถึงปีนี้เป็นเวลาถึง 20 แล้ว ซึ่งทุกๆ ปี Pantone จะรวบรวมผู้เชี่ยวชาญจากสาขาต่างๆ มากำหนดสีประจำปี ย้อนกลับไปเมื่อปี 2019 สีประจำปีคือ Living Coral ก่อนหน้านั้นหรือในปี 2018 สีที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นสีประจำปีคือสี Ultra Violet ซึ่งไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก และสีเขียวได้รับเลือกให้เป็นสีประจำปี 2017 ซึ่งยังคงได้รับความนิยมในแวดวงแฟชั่นและการตกแต่งบ้านเรื่อยมา

Read More

07/01/2563

8 เหตุผลที่ทำให้ทองคำถูกใช้เป็นทุนสำรอง


ทองคำถูกใช้เป็นทุนสำรองมานานแล้ว ปัจจุบันธนาคารกลางทั่วโลกถือครองทองคำไว้ประมาณ 32,000 ตัน ซึ่งเป็นจำนวนเท่ากับเมื่อ 60 ปีก่อน ชี้ให้เห็นว่ามีเหตุผลที่ดีในการเก็บทองคำไว้เป็นทุนสำรอง และนี่คือ 8 เหตุผลที่ทำให้ ธนาคารกลางทั่วโลกยังคงถือครองทองคำไว้ในฐานะเป็นทุนสำรอง 1. ความหลากหลาย ทองคำมีคุณสมบัติหลากหลายในระบบเงินตรา ราคาและมูลค่าของทองคำถูกกำหนดด้วยปริมาณและความต้องทองคำในตลาดโลก แตกต่างจากเงินตราสกุลต่างๆหรือหุ้นของรัฐบาลที่มูลค่าขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐและนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางซึ่งมั่นคงสู้ทองคำไม่ได้ ดังนั้นค่าของทองคำจึงแตกต่างจากค่าของเงินตราสกุลต่างๆ หรืออัตราการแลกเปลี่ยนระหว่างเงินสกุลต่างๆ 2. ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ด้อยค่า ไม่ว่าเศรษฐกิจจะอยูในสภาวะใด ทองคำสามารถรักษาค่าของตัวเองโดยสามารถเป็นกำลังซื้อในระยะยาวจึงเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะนำมาเป็นทุนสำรองของธนาคารกลาง ในขณะที่ค่าของเงินในรูปธนบัตรจะหมดราคาในระยะยาวและในระยะสั้น ดังที่ปรากฏให้เห็นอยู่เสมอๆ 3. ความมั่นคงที่เป็นรูปธรรม ในอดีตประเทศต่างๆ ได้วางมาตรการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินตราที่เลวร้ายที่สุดก็คือการตรึงราคาสินทรัพย์ไว้ทั้งหมด ดังนั้นทุนสำรองประเภทหุ้นต่างประเทศจึงเป็นอันตรายต่อมาตรการดังกล่าวข้างต้น แต่สำหรับทองคำมีอันตรายน้อยกว่ามาก(หากเก็บในที่เหมาะสม)เป็นทุนสำรองประเภทมีไว้เมื่อคราวที่ต้องการ ดังนั้นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องและสามารถชำระหนี้ได้ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งซึ่งทองคำมีคุณสมบัติในข้อนี้ 4. ความจำเป็นที่คาดไม่ถึง มีสิ่งหนึ่งที่มั่นใจได้ คือ ไม่มีอะไรแน่นอน เราไม่นรู้ว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ไม่รู้ว่าวิกฤตการณ์ต่างๆ ทั่วโลกจะเกิดขึ้นเมื่อใด และจะมีผลกระทบต่อระบบการเงินระหว่างประเทศทั้งระบบมากน้อยแค่ไหน แต่หากมีทองคำเป็นทุนสำรองไว้จะสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดฝันได้ ทั้งนี้เพราะทองคำสามารถประกันภัยต่างๆ ในกรณีที่อาจมีวิกฤตการณ์ที่สร้างความหายนะ เช่น สงคราม สภาวะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน กรณีที่ประเทศใหญ่ๆ ที่เป็นลูกหนี้ปฏิเสธการชำระหนี้ สภาวะเศรษฐกิจถดถอย การคว่ำบาตรทางการค้า และ การถูกถูกคว่ำบาตรจากนานาประเทศ 5. ความเชื่อมั่น ประชาชนจะมั่นใจเมื่อทราบว่ารัฐบาลมีทองคำเป็นทุนสำรอง ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่คงทนถาวร และไม่ไปเกี่ยวข้องกับสภาวะเงินเฟ้อของธนบัตร ทุกประเทศให้ความสำคัญอย่างเด่นชัดในการสนับสนุนทองคำไว้ในระบบเงินตราของประเทศ คณะกรรมการบริหารของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ซึ่งเปรียบเสมือนรัฐบาลของโลก ได้ยอมรับว่าทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์สำรองของกองทุนได้เพิ่มความมั่นคงพื้นฐานต่อบัญชีงบดุล เช่นเดียวกับทองคำที่มีต่อบัญชีงบดุลของธนาคารกลางต่างๆ 6. รายได้ ทองคำสามารถแลกเปลี่ยนเพื่อทำกำไรได้ ประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำไม่ค่อยมีใครนึกถึงโอกาสที่ดีที่มีทองคำอยู่ในครอบครอง ทั้งๆ ที่ผลประโยชน์ต่างๆ ของทองคำอาจจะชดเชยค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ 7. หลักค้ำประกัน การถือครองทองคำเปรียบเสมือนได้รับเบี้ยประกัน เนื่องจากทองคำสามารถนำไปแก้ไขวิกฤตการณ์ที่ก่อให้เกิดความหายนะ เช่น สงคราม ความผันผวนที่คาดไม่ถึงของสภาวะเงินเฟ้อ กรณีที่ประเทศใหญ่ที่เป็นลูกหนี้ปฏิเสธการชำระหนี้ สภาวะเศรษฐกิจถดถอย และการคว่ำบาตรทางการค้า 8. สถานการณ์ภายในประเทศ เป็นตัวกำหนดว่าควรเก็บทองคำไว้เป็นทุนสำรองในปริมาณเท่าใด โดยอัตราเฉลี่ยของประเทศต่างๆทั่วโลกอยู่ที่ประมาณ ๑๐.๕ % ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีทองคำสำรองอยู่ที่ 154 ตัน ปัจจุบันหลายประเทศมีการสะสมทองคำเพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มความน่าเชื่อถือให้แก่สกุลเงินของประเทศตัวเอง และ ลดความเสี่ยงในถือเงินดอลล่าร์ จึงหันมาถือทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น

Read More

07/01/2563

ลูกปัดภูเขาทอง


เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2553 ชาวบ้านปากจั่น อ.กระบุรี จ.ระนอง ขุดพบแหล่งลูกปัดโบราณทั้งลูกปัดแก้ว ลูกปัดหิน และลูกปัดทอง รวมทั้งเศษเครื่องปั้นดินเผาของอินเดีย และภาชนะดินเผาของจีนในยุคราชวงศ์ฮั่น อายุราว 2,000 ปี จากการตรวจสอบของกรมศิลปากรสันนิฐานว่าพื้นที่แห่งนี้เป็นที่ตั้งของชุมชนที่เชื่อมเส้นทางการค้าของโลก มานานกว่า 2,000 ปีแล้วลูกปัดภูเขาทองเป็นหนึ่งในการค้นพบลูกปัดโบราณครั้งสำคัญของประเทศไทย โดยเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงแง่มุมทางประวัติศาสตร์อันเกี่ยวข้องกับอาณาจักรศรีวิชัยโบราณที่เคยรุ่งเรืองอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13-16 นักโบราณคดีเชื่อว่าบริเวณดังกล่าวเป็นเส้นทางการค้าเชื่อมโลกภายนอกเข้ากับเมืองไชยา ซึ่งเป็นศูนย์กลางอำนาจของอาณาจักรศรีวิชัยโบราณ ซึ่งจากหลักฐานที่ขุดพบนอกเหนือจากลูกปัดโบราณจำนวนมากที่ทำจากแก้ว หินสี และหินคาร์นิเลียนแล้ว ยังพบสินค้าฟุ่มเฟือยต่างๆ ที่มีอายุนับพันปีด้วย อาทิ หัวแหวนโบราณ แผ่นหินโรมัน ภาชนะแก้ว เหรียญ และตราประทับจากอินเดีย เป็นต้นนับตั้งแต่ที่มีการขุดพบลูกปัดโบราณภูเขาทองมาตลอดระยะเวลาหลายปี พบว่าลูกปัดที่ขุดพบจะยิ่งมีจำนวนน้อยลงทุกวัน เนื่องจากมีการลักลอบขุดหาลูกปัดที่มีสภาพสมบูรณ์ไปจำหน่ายอยู่เสมอ โดยสินค้าดังกล่าวยังคงเป็นที่นิยมในหมู่นักสะสมทั้งชาวไทยและต่างชาติโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี พ.ศ. 2555 ที่กระแสความนิยมและต้องการในลูกปัดโบราณมาแรงมาก จนเกิดการเข้ามาตามหาลูกปัดในพื้นที่จำนวนมาก ในปี พ.ศ. 2558 โรงเรียนบ้านภูเขาทอง ซึ่งอยู่ในอำเภอเดียวกับแหล่งโบราณคดีภูเขาทองที่มีการขุดพบลูกปัดโบราณ ได้ทำ “โครงการลูกปัดทดแทน” ขึ้น โดยมีการสอนทำลูกปัดให้เป็นของตกแต่งและเครื่องประดับ โดยพยายามใช้วิธีเลียนแบบสีและรูปทรงให้เหมือนกับลูกปัดโบราณของจริง แล้วนำไปวางจำหน่ายในสหกรณ์ชุมชนเพื่อเป็นการสร้างรายได้เสริมให้แก่เด็กนักเรียนที่เข้าร่วมโครงการ และเป็นการปลูกฝังให้นักเรียน มีจิตสำนึกหวงแหนสมบัติของชาติ ไม่ไปลักลอบขุดหาลูกปัดในพื้นที่ดังกล่าวอีก ซึ่งจากการดำเนินโครงการพบว่ามีนักเรียนสนใจเข้าร่วมโครงการนี้เป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม โครงการดังกล่าวยังมีข้อจำกัดอยู่มาก เนื่องจากเป็นโครงการขนาดเล็ก ขาดแคลนเงินทุนสนับสนุนและบุคลากรในการช่วยพัฒนา วัสดุที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่หาได้ในท้องถิ่น อีกทั้งรูปแบบของสินค้าก็เป็นการร้อยแบบเรียบง่าย ซึ่งไม่ได้มีผลทางการตลาดมากนัก

Read More

07/01/2563

วงกลมทองคำ : The Golden Circle


“วงกลมทองคำ” หรือ Golden Circle เป็นชื่อเรียกเส้นทางท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของประเทศไอซ์แลนด์ อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งแต่ละที่ไม่ไกลกันมากนักนักท่องเที่ยวสามารถขับรถไปเที่ยวได้ภายในวันเดียว เป็นเส้นทางท่องเที่ยวที่ต้องบรรจุอยู่ในโปรแกรมการท่องเที่ยวเสมอGolden Circle ประกอบด้วย 3 สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญคือ อุทยานแห่งชาติซิงเควลลิร์ (Þingvellir National Park) น้ำพุร้อนเกย์ซีร์ (Geysir Geothermal Area) และ น้ำตกกุลล์ฟอสส์ (Gullfoss waterfall)อุทยานแห่งชาติซิงเควลลิร์ (Þingvellir National Park) หรือธิงเวลลีย์ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติจากองค์การยูเนสโกเมื่อปี 2004 อยู่ห่างจากเมืองเรคยาวิกเพียง 45 นาที ตั้งอยู่ตรงรอยแยกของหุบเขากับทะเลสาบ Þingvallavatn ซึ่งเป็นทะเลสาบตามธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไอซ์แลนด์ใกล้กับคาบสมุทรเรกยาเนส (Reykjanes) และภูเขาไฟเฮนกิลล์ (Hengill) ที่นี่เป็นจุดกำเนิดสำคัญทางด้านประวัติศาสตร์เพราะเป็นที่ตั้งของรัฐสภาแห่งแรกของไอซ์แลนด์มีอายุอยู่ในปีค.ศ. 930 ถึง ปี ค.ศ. 1789 และเป็นจุดกำเนิดทางด้านธรณีวิทยาเพราะเป็นจุดที่มีรอยเลื่อนของโลกยาวหลายหมื่นกิโลเมตร ธรรมชาติอุทยานแห่งชาติซิงเควลลิร์ งดงาม แปลกตา เป็นที่ประทับใจของนักท่องเที่ยวที่ได้มาเยือนน้ำพุร้อนเกย์ซีร์ (Geysir Geothermal Area)หรือ กีเซอร์ หรือไกเซอร์ ตั้งอยู่ในหุบเขาเฮยคาดาลูร์ (Haukadalur) เป็นน้ำพุร้นที่พุ่งสูงกว่า 180 ฟุต ในทุกๆ 7-10 นาที มีอุหภูมิสูงถึง 60 องศาเซลเซียส ( 140 องศาฟาเรนไฮ ) รัฐบาลไอซ์แลนด์นำความร้อนจากน้ำพุร้อนนี้ไปเป็นพลังงานแจกจ่ายไปทั่วประเทศ น้ำตกกุลล์ฟอสส์ (Gullfoss waterfall) หรือ ไนแองการ่าแห่งไอซ์แลนด์ ถือเป็นน้ำตกที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของไอซ์แลนด์ อยู่ห่างจากน้ำพุร้อนกีเซอร์ประมาณ 10 นาที ชื่อของน้ำตกกุลล์ฟอสส์ (Gullfoss) มาจากคำว่า Gull แปลว่า ทองคำ และคำว่า Foss ที่แปลว่า น้ำตก รวมกันเป็น “น้ำตกทองคำ” เป็นหนึ่งในความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่เกิดจากการละลายของธารน้ำแข็งและลดระดับลงในโตรกเขาไหลลงสู่เบื้องล่างในระดับความสูงกว่า 30 เมตร และจะเกิดเป็นสีรุ้งสวยงามยามเมื่อแสงแดดตกกระทบกับสายน้ำตกนอกจากนี้บนเส้นทางวงกลมทองคำยังสามารถแวะเที่ยวชม ปล่องภูเขาไฟ เคริด (The Crater Kerid) เป็นภูเขาไฟที่ดับแล้วมีอายุ 6500 ปี ปากปล่องด้านบนมีลักษณะเป็นวงรี และมีทะเลสาบอยู่ด้านล่าง มีความกว้าง 270 เมตร และความลึกถึง 55 เมตร น้ำในทะเลสาบมีสีฟ้าเข้มสด ตัดกับสีแดง-ส้มของลาวาเกิดเป็นภาพธรรมชาติที่สวยงามเกินบรรยาย นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมรอบปล่องหรือจะลงไปถ่ายรูปด้านล่างก็ได้ซีเครท ลากูน หรือกัมลาเลยอิน (Gamla laugin) เป็นภาษาพื้นเมืองแปลว่าสระน้ำ ซึ่งที่ลากูนถือเป็นสระน้ำที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไอซ์แลนด์สร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1981 น้ำในสระมีอุณหภูมิราวๆ 38-40 องศาเซลเซียสท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นเนื่องจากเป็นน้ำที่ไหลมาจากแหล่งน้ำพุร้อนที่อยู่รอบๆ นักท่องเที่ยวและชาวไอซ์แลนด์จึงนิยมมาพักผ่อนเพื่อชาร์จพลัง หากมีโอกาสไปเที่ยวไอซ์แลนด์นอกจากไปรอชมแสงเหนือแล้วก็อย่าลืมไปทองเที่ยวในเส้นทางวงกลมทองคำหรือ Golden Circle กันด้วย

Read More

25/12/2562

สคบ .เอาจริงการขายทองผ่านโซเชียลมีเดีย


ปัจจุบันการหลอกขายทองในระบบออนไลน์มีมากขึ้น ซึ่งจะมาในรูปแบบที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นการหลอกลงทุนในแชร์ทองคำ โดยให้เข้ามาเก็งกำไรราคา การซื้อขาย Forex หรือการลงทุนในสกุลเงินต่าง ๆ ล่วงหน้า ซึ่งเรื่องนี้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ.ในฐานะหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงไอ้ออกมาคุมเข้มเรื่องนี้แล้วการหลอกขายทองผ่านโซเชียลมีเดียนี้ เริ่มแรกมิจฉาชีพจะทำให้ผู้บริโภคหลงเชื่อก่อน เช่นการใช้กลยุทธ์ให้สิทธิพิเศษ การให้กำไรที่งดงาม เมื่อเชื่อยอมลงทุนหรือยอมซื้อก็จะได้ของที่ไม่ตรงกับที่โฆษณาไว้ หรือไม่ได้รับค่าตอบแทนใดๆ ซึ่งเรื่องนี้ สคบ.แนะนำว่าหากผู้บริโภคต้องการจะซื้อทองคำขอให้ไปซื้อตามร้านที่ได้รับการรับรองจากสมาคมค้าทองคำและสคบ.แล้ว จึงจะได้ทองที่มีคุณภาพตามมาตรฐานทั้งเรื่องราคาและเปอร์เซ็นต์ทอง แต่บางครั้งราคาอาจจะแตกต่างกัน เรื่องของค่ากำเหน็จตามสถานที่จำหน่าย และลวดลายของทองคำ แต่ทั้งนี้ร้านค้าจะต้องระบุ ราคา เปอร์เซ็นต์ทอง ในฉลากให้ชัดเจนตามที่กฎหมายที่ระบุไว้ และอย่าไปหลงเชื่อคำชักชวนให้ลงทุนที่ได้กำไรงามเกินกว่าที่ควรจะเป็นส่วนในเรื่องของการคุ้มครองผู้บริโภค มีกฎหมายกำหนดอยู่ในรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว ซึ่งทางสคบ. ได้เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสินค้าและบริการโภคได้รับรู้อยู่แล้ว และหากผู้บริโภคได้ซื้อสินค้าหรือบริการจากการโฆษณาไปโดยที่ผู้ขายไม่สามารถส่งมอบสินค้าได้ตามที่ระบุไว้ในโฆษณา ทั้งในเรื่องของคุณภาพสินค้าหรือราคา ก็จะถือว่าทำผิดกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 ซึ่งเดิมจะมีโทษปรับ 60,000 บาท จำคุก 6 เดือน แต่ตอนนี้ได้มีกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคฉบับแก้ไขเพิ่มเติมที่เพิ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา โทษจะเพิ่มเป็น 2 เท่า และหากความผิดที่เกิดขึ้นต่อ 1 คนก็จะถือเป็น 1 กรรม ถ้าหลายๆ คนรวมกัน โทษก็จะขึ้นไปเรื่อย ๆ และฐานความผิดจะแบ่งเป็นความผิดทางอาญา ซึ่งตำรวจจะเป็นผู้ดำเนินการและผู้เสียหายจะต้องไปแจ้งความกับตำรวจ แต่ในส่วนของ สคบ.จะเป็นการเอาผิดทางแพ่งทั้งนี้ในพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภคฉบับใหม่ ได้ให้อำนาจ สคบ. ในการสั่งฟ้องคดีได้ทันที เพื่อความรวดเร็วในการคุ้มครองผู้บริโภค ที่สำคัญหากพบว่า การโฆษณาใดที่เป็นเท็จหรือพูดเกินจริง ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดในสาระสำคัญ คณะกรรมการโฆษณาสามารถมีคำสั่งห้ามการโฆษณาในทุกสื่อได้ทันที ยกเว้นโฆษณา ในออนไลน์ก็อาจจะต้องแจ้งไปยังกระทรวงเศรษฐกิจดิจิตอลเพื่อระงับการโฆษณา หรือการแบนโฆษณาชิ้นนั้น ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา กองคุ้มครองผู้บริโภคด้านโฆษณาได้เปรียบเทียบปรับผู้ที่โฆษณาไม่ตรงกับความจริงไปประมาณ150 ราย รายละ 60,000 บาท ซึ่งเป็นโทษปรับสูงสุด เพราะเห็นว่าการโฆษณาเป็นการนำข้อมูลข่าวสารออกสู่สาธารณะ ทำให้ผู้ที่ได้รับรู้และหลงเชื่อได้รับความเสียหาย จึงต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาด ซึ่งการปรับ 60,000 บาทจะปรับผู้ประกอบการ 30,000 บาท และก็เจ้าของสื่ออีก 30,000 บาท แต่ใน พ.ร.บ.ตัวใหม่โทษจะเพิ่มเท่าตัว ซึ่งปัจจุบันบริษัทต่าง ๆ ค่อนข้างจะระมัดระวัง และก็ทำผิดน้อยลงเพราะว่าอัตราค่าปรับสูงมากขึ้น หากทราบว่าถูกหลอก สามารถติดต่อทาง สคบ.ได้ทั้งทางออนไลน์ผ่านแอพพลิเคชั่นของ สคบ. หรือร้องเรียนทางโทรศัพท์ สายด่วนหมายเลข 1166 หากอยู่ต่างจังหวัดไปได้ที่ศาลากลางจังหวัด ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่ สคบ.จังหวัด คอยดูแลรับเรื่องราวร้องทุกข์อยู่

Read More

25/12/2562

เปิดเหมืองทองคำแห่งแรกในกัมพูชา


ต้นปี 2020 นี้ กัมพูชาจะเปิดให้ดำเนินการทำเหมืองแร่ทองคำเป็นแห่งแรกที่เมืองเหมืองโอกะวาว (O' Kvav) ในเขต อ.แก้วสีมา (Keo Seima) จ.มณฑลคีรี (Modolkiri) ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ โดยบริษัท Emerald Resources จากออสเตรเลีย ซึ่งได้รับใบอนุญาตการเข้าทำเหมืองแร่และทองคำไปเมื่อเดือนกรกฎาคม 2019 ภายใต้ชื่อโครงการ The Okvau Gold ก่อนหน้าที่จะมีการเปิดเหมืองทองคำอย่างเป็นทางการนี้ รัฐบาลกัมพูชา โดยกระทรวงอุตสาหกรรม เหมืองแร่และพลังงานของกัมพูชา เปิดให้มีการสำรวจสินแร่และแร่ล้ำค่าในประเทศ โดยมีบริษัทจากจีน เวียดนาม และออสเตรเลียเข้าสำรวจในหลายพื้นที่ โดยเรอเนซองซ์ หนึ่งในบรรดาบริษัทเหมืองแร่จากออสเตรเลียได้ประกาศการค้นพบทองคำที่เหมืองโอกะวาวเป็นครั้งแรกในเดือน กุมภาพันธ์ 2556 ว่าสำรวจพบทองคำราว 1.2 ล้านออนซ์ (ราว 34,000 กิโลกรัม) เพิ่มขึ้นจากปริมาณคาดการณ์ 720,000 ออนซ์ ที่เหมืองโอกะวาว (O' Kvav) ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ที่อุดมด้วยทอง และสินแร่ล้ำค่าอื่นๆ อีกหลายชนิด ซึ่งหากนำทองคำทั้งหมดที่พบในเหมืองโอกะวาว ไปหลอมเป็นทองคำแท่ง และนำออกจำหน่ายในวันนี้ อาจจะทำเงินได้กว่า 1,400 ล้านดอลลาร์เลยทีเดียว โครงการ The Okvau Gold ในจังหวัดมัณฑลคีรีนี้ คาดว่าจะใช้เงินทุนมากกว่า 19.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยสิ่งที่กัมพูชาจะได้คือ การจ้างงาน ภาษี รายรับจากสิทธิ์ใบอนุญาต แต่เรื่องคอรัปชั่นยังเป็นที่กังขาเพราะไม่มีการเปิดเผยข้อมูลให้กับประชาชนได้ทราบเนื่องจากบริษัทได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในต่างประเทศที่ผ่านมา แม้ว่ากัมพูชาจะมีเหมืองทองในประเทศ หากแต่ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนของบริษัทต่างชาติ ซึ่งยังไม่มีข้อมูลปรากฏ แน่ชัดว่าปริมาณทองคำที่ขุดได้มีศักยภาพเชิงพาณิชย์มากน้อยแค่ไหน และหากบริษัทเหล่านั้นขุดทองคำได้ก็มักส่งออกไปหลอมเป็นทองคำแท่งในต่างประเทศ ทำให้กัมพูชาต้องนำเข้าทองคำเกือบทั้งหมดจากต่างประเทศ โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาการนำเข้าทองคำของกัมพูชาเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยในปี 2560 กัมพูชานำเข้าทองคำรวม 2,952 ล้านเหรียญสหรัฐ สูงขึ้น3.5 เท่าเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้านั้น โดยนำเข้าจากสิงคโปร์สูงที่สุด ด้วยมูลค่านำเข้าสูงถึง 2,110 ล้านเหรียญสหรัฐ และนำเข้าจากไทยมูลค่าราว 842 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึงร้อยละ 28.50 การนำเข้าทองคำส่วนใหญ่ของกัมพูชาเป็นไปเพื่อสะสมเป็นสินทรัพย์ ออมแทนเงินสด และการเก็งกำไร อีกส่วนหนึ่งนำไปผลิตเป็นเครื่องประดับทอง ทั้งนี้ การนำเข้าทองคำจากทุกประเทศไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่ม จึงทำให้การนำเข้าทองคำเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องการทำเหมืองแร่ทองคำอย่างเป็นทางการของกัมพูชาในปี2020 นี้ น่าจะทำให้การนำเข้าทองคำลดลงตามไปด้วย

Read More

25/12/2562

เซินเจิ้น เขตอุตสาหกรรมเครื่องประดับมีค่าใหญ่ที่สุดของจีน


เมื่อพูดถึงเซินเจิ้น (Shenzhen)ร้อยทั้งร้อยจะนึกถึงเมืองแห่งของก๊อปหรือของลอกเลียนแบบจนมีคำเรียกติดปากของปลอมทั้งหลายแหล่ว่า หลุยส์เซินเจิ้น โรเล็กซ์เซินเจิ้น เป็นต้น ใครจะรู้ว่าแท้จริงแล้วเซินเจิ้นได้กำลังกลายเป็น “Silicon Valley of Asia” หรือ “ซิลิคอนวัลเลย์แห่งเอเชีย” ด้วยเป็นศูนย์กลางนวัตกรรม เทคโนโลยี และอุตสาหกรรมที่สำคัญของโลก รวมถึงอุตสาหกรรมเครื่องประดับมีค่าที่ใหญ่ที่สุดของจีนด้วยเซินเจิ้นเป็นตลาดสำหรับซื้อขายเครื่องประดับอัญมณีและทองคำที่สำคัญ เป็นที่ตั้งของบริษัทผู้ผลิตเครื่องประดับทองคำที่ใหญ่ที่สุดของจีนอย่าง BATAR ผู้ผลิตเครื่องประดับทอง 24K ให้กับร้านค้าปลีกกว่า 30.000 แห่ง ภายใต้แบรนด์ต่างๆกว่า 400 แบรนด์ และยังเป็นที่ตั้งของบริษัทผู้ผลิตเครื่องประดับอัญมณีชื่อดังของโลกอย่าง Lorenzo ภายใต้แบรนด์ ENZO และบริษัท Xingguangda Jewelry Industry อีกด้วย โดยเซินเจินมีสัดส่วนการตลาดถึงร้อยละ 70-80 ของเครื่องประดับที่ขายในจีนทั้งหมด เซินเจิ้น มีธุรกิจเอกชนตั้งอยู่กว่า 800 แห่ง และมีคนงานในอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับกว่า 100,000 คน มีศูนย์กลางการจัดจำหน่ายทั้งค้าปลีกและค้าส่ง มูลค่าการผลิตเครื่องประดับในเขตเศรษฐกิจพิเศษเซินเจิ้นรวมกันกว่า 20,000 ล้านหยวนหรือมีสัดส่วนร้อยละ 50 ของการผลิตทั้งประเทศ ทำรายได้จากการส่งออก 1.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ เป็นฐานการผลิตที่มีสัดส่วนร้อยละ 60 ของประเทศ มีการใช้ทองคำเป็นสัดส่วนร้อยละ 80 ของการผลิตเครื่องประดับทองคำทั้งหมดทั้งนี้ในสาธารณรัฐประชาชนจีน ทองคำมากกว่า 90% ถูกใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องประดับผู้บริโภคในจีนส่วนใหญ่ ชื่นชอบการซื้อทองคำบริสุทธิ์ ที่คิดราคาตามน้ำหนัก และหากนำมาประกอบเป็นเครื่องประดับ ก็จะเพิ่มราคาด้านวัตถุดิบและค่าแรงงานเข้าไปด้วย แต่มีราคาไม่สูงมากนัก ทำให้ราคาเครื่องประดับทองคำในแต่ละร้านของจีน จะมีราคาต่างกันเพียงเล็กน้อยปัจจุบันรูปแบบเครื่องประดับทองคำของชาวจีนเปลี่ยนไป โดยหันมานิยมเครื่องประดับที่เป็นนวตกรรมมากขึ้นเช่น Mirror Gold ทกจากทองคำที่มีความบริสุทธิ์ 999s เน้นผิวของสินค้าที่เป็นเงางามและเรียบคลายกระจก เป็นเครื่องงประดับทองยอดนิยมของลูกค้าชาวจีนในตอนนี้ นอกเหนือจากเครื่องประดับทองคำแนวแอนทิค ที่เน้นลวดลายสมัยจักรวรรดิ หรือพุทธศาสนา โดยเน้นสีของทองคำและผิวด้าน ดูเป็นธรรมชาติ โดยเครื่องประดับประเภทนี้ลูกค้าจะต้องการงานทองคำที่มีความบริสุทธิ์สูง ที่เรียกว่า ultra high quality ระดับ 9999s หรือ 99999s หรือที่เรียกว่า four 9s และ five 9s ตามลำดับ นอกจากนี้เครื่องประดับทอง 18K และ 22K ก็กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นด้วยในอดีตเซินเจิ้นเป็นหมู่บ้านชาวประมง ผู้คนพึ่งพาทรัพยากรจากท้องทะเล หาเลี้ยงชีพด้วยการทำนาเกลือ และผลิตผงปรุงอาหาร แต่ในปีค.ศ. 1978 รัฐบาลจีนได้ประกาศนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจและเปิดประเทศ ซึ่งได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของประเทศจีนและเซินเจิ้นในเวลาต่อมา ในปีค.ศ. 1980 จากทำเลที่ตั้งที่ได้เปรียบด้วยการเป็นเมืองท่าและอยู่ติดกับเกาะฮ่องกง เซินเจิ้นจึงได้ถูกเลือกให้เป็นหนึ่งในเขตเศรษฐกิจพิเศษแห่งแรกของจีน

Read More

25/12/2562

OBOR เชื่อมต่อเส้นทางพาณิชย์ใหญ่ที่สุดในโลก


OBOR เป็นชื่อเรียกของเส้นทางสายไหมในศตวรรษที่ 21 ย่อมาจาก คำว่า “One Belt One Rode” หรือ “หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง” หรือที่เราได้ยินกันบ่อยๆว่า “วงแหวนเศรษฐกิจ” เป็นโครงการที่นำแนวคิดมาจากเส้นทางสายไหมเมื่อ 2000 ปีก่อนมาใช้ เพื่อเชื่อมโยงการค้า การคมนาคมและโลจิสติกส์ระหว่าง 60 ประเทศหรือมากกว่านั้น เป็นระบบเชื่อมต่อทางพาณิชย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และจะส่งผลต่อความต้องการขายสินค้าทั้ง เหล็ก ทองแดง สังกะสี คอนกรีต รวมถึงทองคำและเงินในอนาคตตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา มีการพูดถึงการเชื่อมต่อโดยเทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น เงิน กับทองคำ และเงิน ว่าจะเป็นองค์ประกอบใหม่ที่สำคัญเพื่อสร้างมูลค่าให้กับเงินดิจิตอล ซึ่งปัจจุบันมีการผูกเงินดิจิตอลไว้กับดอลล่าร์สหรัฐอยู่แล้ว และต่อไปมีแผนที่จะผูกเงินดิจิตอลกับทองคำ เช่น กำหนดให้ 1 token หรือ 1 เหรียญโทเคน มีค่าเท่ากับ 0.01 กรัมทองคำ หรือ 100 token มีค่าเท่ากับ 1 กรัมทองคำ เป็นต้น โดยนักลงทุนสามารถซื้อขายบนแพลตฟอร์มปกติของสถาบันการลงทุนทั่วไป จากการรวบรวมข้อมูลพบว่าปัจจุบันมีบริษัทไม่น้อยกว่า 20 แห่งทั่วโลกกำลังวางแผนพัฒนาเพื่อออกผลิตภัณฑ์ที่เรียกว่า “gold-backed cryptocurrenciesหากนักลงทุนหันมาซื้อขายบนระบบที่มีการใช้ทองคำเป็นตัวสนับสนุนเช่นนี้ ระบบ“OBOR : One Belt One Rode” ที่กำลังพัฒนาอยู่นี้จะกลายเป็นหัวใจของระบบโลจิสติกส์เพื่อเชื่อมต่อตะวันตกกับตะวันออกไปในทันที ด้วยจะมีการขนย้ายทองคำได้ง่ายขึ้นอนึ่ง One Belt One Road (OBOR) เป็นยุทธศาสตร์เส้นทางสายไหมใหม่ที่เสนอแนวคิดโดย นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีของจีน มีเป้าหมายเพื่อความเชื่อมโยงทางด้านคมนาคม ด้านโลจิสติกส์ เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน เป็นการสร้างความมั่นคงในเส้นทางการค้าทั้งทางบก และทางทะเลของจีน เป็นกรอบการทำงานที่สำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับพหุภาคีของจีน โครงการOne Belt One Road เริ่มขึ้นเมื่อปี 2556 เป็นเส้นทางการค้า การคมนาคมขนส่งที่จะเชื่อมจีนกับยุโรป ด้วยการสร้างโครงสร้างพื้นฐานผ่านเส้นทางถนนและทางรถไฟ มีทั้งเส้นทางบกและเส้นทางทะเล ซึ่งเกี่ยวข้องกับ 60 ประเทศ ในเอเชีย ตะวันออกกลาง ยุโรป แอฟริกาตะวันออกและเหนือ แน่นอนว่าโครงการระดับนี้ต้องใช้งบลงทุนมหาศาลเพื่อสร้างรางรถไฟ ถนน โรงไฟฟ้า ท่อส่งพลังงาน ฯลฯ โดยมีการประมาณการไว้ว่าต้องใช้เงินราว 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ และคาดการณ์กันว่าจะแล้วเสร็จในปี 2592 (ค.ศ. 2049 หรือ 30 ปีข้างหน้า)โครงการเส้นทางสายไหมศตวรรษ 21นี้ จะส่งผลต่อ 65% ของประชากรโลก มีผลกระทบต่อ 1 ใน 3 ของเศรษฐกิจโลกและ 1 ใน 4 ของการค้าโลก

Read More

25/12/2562

ลูกโลกทองคำ 2020


เปิดเผยออกมาแล้วสำหรับรายชื่อผู้ภาพยนตร์เข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำหรือ Golden Globe Awards ครั้งที่ 77 ซึ่งดูเหมือนว่าภาพยนตร์จาก Netflix จะมาแรงแซงหน้าภาพยนตร์จากฝั่งฮอลลีวูดเสียอีก ไม่ว่าจะเป็น The Irishman และMarriage Story. ส่วนภาพยนตร์งฮอลลีวูดนำมาโดย Once Upon a Time…in Hollywoodสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศฮอลลีวูดประกาศรายชื่อผู้เข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำประจำปี 2020 ออกมาแล้ว Marriage Story หนังครอบครัวที่ต้องพบกับทางแยก นำแสดงโดย Scarlet Johansson และ Adam Driver ได้เข้าชิงมากที่สุดถึง 6 รางวัลตามมาด้วย The Irishman ของผู้กำกับมือเก๋า Martin Scorsese ที่เพิ่งกวาดการเสนอชื่อเข้าชิงในเวที Critics’ Choice Awards มาถึง 14 สาขา หนังได้เข้าชิง 5 รางวัลซึ่ง Netflix คงจะภูมิอกภูมิใจไม่น้อยที่หนังซึ่งเป็นผู้สร้างทั้ง 2 เรื่อง มีบทบาทอย่างมากในเวทีรางวัลสำคัญ ส่วน Parasite ก็มาแรงไม่เบา เพราะหนังได้สร้างประวัติศาสตร์ให้กับวงการภาพยนตร์เกาหลีใต้ด้วยการเข้าชิงรางวัลมากที่สุดเท่าที่เกาหลีใต้เคยทำได้ตลอดกาลMarriage Storyภาพยนตร์บน Netflix ที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ในการหย่าร้างระหว่างคนสองคนที่เน้นไปที่อารมณ์ความรู้สึกของตัวละคร มีชื่อเข้าชิงมากที่สุดถึง 6 สาขา ไม่ว่าจะเป็น ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ประเภทดราม่า, นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ประเภทดราม่า (อดัม ไดรเวอร์), นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ประเภทดราม่า (สการ์เลตต์ โจแฮนส์สัน), นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม ประเภทดราม่า (ลอร่า เดิร์น), บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และ ดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมอีกเรื่องจาก Netflix หนังแก๊งสเตอร์ของผู้กำกับมือทองอย่าง The Irishman ที่เข้าชิงทั้งหมด 4 สาขา ไม่ว่าจะเป็น ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ประเภทดราม่า, ผู้กำกับการแสดงยอดเยี่ยม (มาร์ติน สกอร์เซซี), นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม ประเภทดราม่า (อัล ปาชิโน และ โจ เพสซี) และบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมฝั่งภาพยนตร์ที่เข้าฉายในโรงนำหน้ามาโดย Once Upon a Time in Hollywood มีชื่อเข้าชิงทั้งหมด 5 สาขา ได้แก่ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ประเภทตลกหรือเพลง, ผู้กำกับการแสดงยอดเยี่ยม (เควนติน ทาแรนติโน), นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ประเภทตลกหรือเพลง (ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ), นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม ประเภทตลกหรือเพลง (แบรด พิตต์) และ บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมสรุปอันดับภาพยนตร์ที่ได้เข้าชิงมากที่สุดมีดังนี้ Marriage Storyเข้าชิง 6 รางวัล Once Upon a Time…in Hollywood ของผู้กำกับ Quentin Tarantino และ The Irishman ได้อันดับ2ร่วมกันคือเช้าชิง 5 รางวัลส่วนอันดับ 3 นั้นตกเป็นของหนังจากตัวการ์ตูนสุดดาร์ก Joker ที่กลายเป็นที่ชื่นชอบของคนดูทั่วโลกจนรายได้ข้ามหลักพันล้านเหรียญฯ ทั่วโลกไปแล้ว ได้เข้าชิง 4 รางวัล ร่วมกับ The Two Popes ผลงานการสร้างของ Netflix อีกเรื่อง อันดับ4 เป็นของ Knives Out หนังฆาตกรรมหรรษาที่รวมทีมนักแสดงไว้คับคั่ง กำกับโดย Rian Johnson กับ 1917 ของผู้กำกับรางวัลออสการ์ Sam Mendes ได้เข้าชิง 3 รางวัลเท่ากัน นอกจากนี้ก็ยังมีหนังของ Netflix อีกเรื่องที่ได้เข้าชิงรางวัลคือ Dolemite Is My Name หนังตลกร้ายนำแสดงโดย Eddie Murphy ที่ได้เข้าชิงอีก 1 รางวัลสำหรับตัวเต็งสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมและหญิงยอดเยี่ยมมีดังนี้ ภาพยนตร์ประเภทดรามาชาย Joaquin Phoenix จาก Joker ที่เป็นต่อจากกระแสความนิยมของหนังยังไม่แรงไม่ตกภาพยนตร์ประเภทดรามาหญิง Renee Zellweger ที่สวมบทของนักร้องนักแสดงแห่งยุคผู้ล่วงลับ Judy Garland ในหนัง Judy แทบจะนอนมา ส่วนในสาขานักแสดงนำชายและนำหญิงยอดเยี่ยม จากภาพยนตร์เพลงหรือตลก ยังไม่ได้มีใครที่เป็นเต็งโดด ซึ่งเราอาจได้เห็น Leonardo DiCaprio จาก Once Upon a Time…in Hollywood หรือ Awkwafina จาก The Farewell คว้ารางวัลนี้ไปก็เป็นได้ แต่ที่สร้างเซอร์ไพรส์จริง ๆ คงจะเป็นรายของ Jennifer Lopez ในสาขาสมทบหญิงจากหนังตลกที่ฮิตเปรี้ยงอย่าง Hustlersคงต้องรอลุ้นกันในวันที่ 5 มกราคม นี้ว่าใครจะได้รางวัลอันทรงเกียรตินี้ไปครอง

Read More

25/12/2562

เหรียญดีนาร์ทองคำ ทางรอดรับมือการถูกคว่ำบาตร


เป็นเรื่องฮือฮาอย่างมากเมื่อมีข่าวว่าในการประชุมสุดยอดอิสลาม ที่ประเทศมาเลเซีย ในช่วงปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมา(19-22 ธ.ค.62 ) ประเทศมุสลิม 4 ชาติ ประกอบด้วยอิหร่าน มาเลเซีย ตุรกีและกาตาร์ กำลังพิจารณาความเป็นไปได้ในการใช้เหรียญดีนาร์ทองคำ (gold dinar) และระบบแลกเปลี่ยนสินค้า (barter system) มาใช่เพื่อประกันความเสี่ยงจากการถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจในอนาคตโดยดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด นายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย เป็นผู้ออกมาให้ข่าวแนวคิดการใช้เหรียญดีนาร์ทองคำ ซึ่งการให้สัมภาษณ์ตอนหนึ่งผู้นำมาเลเซีย กล่าวยกย่องอิหร่านและกาตาร์ที่ต่อสู้กับมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจอย่างเข้มแข็ง พร้อมทั้งระบุว่าโลกมุสลิมจะต้องพึ่งพาตนเองในการเผชิญหน้ากับภัยคุกคามจากการถูกคว่ำบาตรในอนาคต และเสนอให้ประเทศมุสลิมพิจารณาอย่างจริงจังกับแนวคิดในการทำการค้าระหว่างกันด้วยเหรียญดีนาร์ทองคำของอิสลาม และการใช้ระบบแลกเปลี่ยนสินค้า โดยหวังว่าจะสามารถหากลไกในการทำให้แนวคิดดังกล่าวบังเกิดผลได้ในที่สุดเหรียญดีนาร์ทองคำมีมาตั้งแต่ยุคที่ถือกำเนิดศาสนาอิสลาม ชาวอาหรับในสมัยนั้นได้ใช้ทองคำและเงิน เป็นสิ่งแลกเปลี่ยนทางการค้าโดยการชั่งน้ำหนักจากทองคำและเงินซึ่งในสมัยนั้นอาหรับได้ใช้เหรียญทองคำ(ดีนารุ) และเหรียญเงิน (ดีรฺอัม) ของเปอร์เซียกันอย่างแพร่หลาย ต่อมามีการปลอมทองคำ (ดีนารฺ) และเหรียญเงิน(ดีรฺฮัม)กันมาก จึงได้มีการผลิตเหรียญกษาปณ์ขึ้นมาใช้แทนในปีฮิจเราะฮ์ที่ 74 มีใช้เหรียญกษาปณ์ดังกล่าวทั่วอาณาจักรอิสลาม โดยมีการเขียนข้อความไว้บนเหรียญกษาปณ์ว่า “อัลลอฮฺทรงเอกะ อัลลอฮฺทรงเป็นที่พึ่งแห่งสรรพสิ่งทั้งมวล” ซึ่งถือเป็นเหรียญกาษปณ์ของอิสลามที่ได้ถูกผลิตขึ้นครั้งแรกในสมัยของคอลีฟะฮ์อับดุลมาลิก อิบนุ มัรวาน โดยมีการกำหนดค่าความเป็นเอกภาพ และคุณภาพของเหรียญเงิน(ดีรฺฮัม)และเหรียญทองคำ(ดีนารฺ) บนพื้นฐานเดียวกันกับการกำหนดค่าของคอลีฟะฮ์อุมัร อิบนุ อัลค็อฎฎ็อบ (รอฎิยัลลอฮุอันฮุ) รัฐอิสลามมีความหวงแหนและให้ความสำคัญอย่างมากต่อการรักษาเสถียรภาพและคุณภาพของเงินตราไว้ ดูได้จากเหรียญทองคำ(ดีนารฺ)จะถูกผลิตขึ้นมาอย่างละเอียดด้วยทองคำแท้ ซึ่งในช่วงฮิจเราะฮ์ศตวรรษที่ 14 เฉพาะในภูมิภาคอันดาลูเซียอย่างเดียวมีการผลิตเหรียญกษาปณ์ทองคำแท้ (ดีนารฺ)ถึง200,000 เหรียญต่อปี ไม่นับรวมภูมิภาคอื่นๆ ของอาณาจักรอิสลาม มีการผลิตเหรียญกษาปณ์ทองคำ (ดีนารฺ) ถึง20,000,000 เหรียญดีนารฺ ต่อปีเลยทีเดียว

Read More

25/12/2562

พระกระเป๋าทรงถือทองถัก หนึ่งในผลงานจากห้างฟาแบร์เฌ่


งานพระราชพิธีเฉลิมพระราชมณเฑียรเมื่อต้นรัชกาลที่9 สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงถือพระกระเป๋าทองถักใบเล็กๆเข้าร่วมในพระราชพิธี ซึ่งพระกระเป๋าทรงถือนี้เป็นหนึ่งในคอลเลกชั่นที่ราชสำนักสยามสั่งทำจากห้างฟาแบร์เฌ่ ช่างทองประจำราชสำนักรัชเซียพระกระเป๋าทรงถือนี้ ออกแบบและถักทอโดยช่างทองที่มีชื่อว่า Henrik Wigstrom ด้วยศิลปะการทำทองเฉพาะของห้างฟาแบร์เฌ่ คือการผสมทองคำเข้ากับเนื้อโลหะอื่นๆในอัตราส่วนต่างๆกัน ทำให้ได้เนื้อทองในแบบแบบต่างๆ ซึ่งพระกระเป๋าทรงถือนี้ ทำด้วยทองคำ14K เป็นทองคำสองสี ที่ขอบเป็นทองคำลงยาสีเขียวอ่อน ตกแต่งด้วยช่อดอกไม้ทองคำ และประดับเพชร ในส่วนของที่ปิด-เปิด ประดับด้วยหิน Moonstones จำนวน2เม็ด พระกระเป๋าทรงถือนี้ห้างฟาแบร์เฌ่ ทำขึ้นเพื่อถวายแด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่5 ตามคำสั่งซื้อ โดยมีพระราชหัตถเลขาของล้นเกล้าร.5 สั่งจ่ายเงินเป็นค่าของที่ทรงซื้อจาก นายเอน ฟาแบร์เฌ่ ด้วยงานฟาแบร์เฌเป็นที่นิยมของราชวงศ์ต่างๆในยุโรป สำหรับราชวงศ์ที่มีงานฟาแบร์เฌสะสมอยู่มาก คือราชวงศ์อังกฤษ และเดนมาร์ก ส่วนในราชสำนักไทยมีงานของฟาแบร์เฌอยู่ 40-50 ชิ้น ไทย ชิ้นแรกที่ได้รับเป็น “ซองโอสถมวนลงยา” ที่พระเจ้าซาร์นิโคลัสแห่งรัสเซียส่งมาถวายรัชกาลที่ 5 เมื่อปี ค.ศ.1914 ตั้งแต่ยังทรงเป็นมกุฎราชกุมาร แล้วลงท้ายว่า “จากเพื่อน” โดยทั้ง 2 พระองค์ทรงเป็นพระสหายกันตั้งแต่พระเจ้าซาร์นิโคลัส เสด็จเยือนประเทศสิงคโปร์ แล้วพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเชิญเสด็จมาเยือนเมืองไทย หลังจากได้รับซองโอสถมวนลงยา ล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ก็ทรงสั่งฟาแบร์เฌ ให้ทำเป็นคอลเลกชั่นตามออเดอร์ต่างๆอีกมากมาย จนกลายเป็นราชสำนักในตะวัน ออกแห่งเดียวที่มีคอลเลกชั่นของฟาแบร์เฌ อาทิ เจดีย์ บาตรน้ำมนต์ หีบพระโอสถ ของประดับ เชิงเทียน รวมถึงพระกระเป๋าทรงถือ ต่อมารัชกาลที่ 6 ก็ได้ทรงสั่งทำ “พระแก้วมรกตองค์น้อย พระพุทธมณีรัตนปฏิมากร” ทำจากหินหยกเนฟไฟร์ทสีเขียวเข้มของรัสเซีย ซึ่งปัจจุบันประดิษฐานอยู่ในหอพระสุราลัยพิมาน ในพระบรมมหาราชวังอีกด้วย

Read More

25/12/2562

สิ้นหลวงปู่ทอง เกจิดังแห่งล้านนา


กลางดึกของวันที่ 13 ธันวาคม 2562 พุทธศาสนิกชนได้สูญเสียครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง เมื่อพระเกจิดังแห่งล้านนา พระพรหมมงคล ฉายานาม “สิริมังคโล” หรือหลวงปู่ทอง เจ้าอาวาสวัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร ได้ละสังขารอย่างสงบหลังจากอาพาธอย่างกะทันหันและถูกนำส่งโรงพยาบาลจอมทองโดยแพทย์ได้ให้การรักษาอย่างสุดความสามารถแต่ไม่สามารถยื้อสังขารไว้ได้ก่อนหน้านั้นหนึ่งวันคือเมื่อช่วงเช้าของวันที่ 12 ธันวาคม หลวงปู่ทองได้ออกให้ศีลให้พรลูกศิษย์ที่มาหาด้วยอาการปกติ ไม่มีวี่แววว่าท่านจะอาพาธ จนกระทั่งเวลาประมาณ 16.00 น วันเดียวกัน หลวงปู่ทองมีอาการหมดสติก่อนจะละสังขารลงอย่างสงบท่ามกลางความโศกเศร้าของศิษยานุศิษย์ทั่วประเทศสิริอายุได้ 96 ปี 2 เดือน 21 วัน 76 พรรษา ในการนี้พระบาทสมเด็จพระวชิรเจ้าเกล้าอยู่หัวฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเลื่อนชั้นเกียรติยศประกอบศพจากโกศแปดเหลี่ยม พระราชทานโกศไม้สิบสอง ฉัตรเครื่องตั้งประดับเป็นเกียติยศ พระราชทานพวงมาลาพระราชวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ และพระราชทานพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมในพระบรมราชานุเคราะห์ 7 คืนหลวงปู่ทอง หรือพระพรหมมงคลนั้น มีนามเดิมว่า ทอง พรหมเสน เกิดเมื่อวันศุกร์ที่ 21 ก.ย. พ.ศ. 2466 ตรงกับวันขึ้น 12 ค่ำ เดือน 10 ปีกุน ณ บ้านนาแก่ง ต.บ้านแอ่น อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ บิดาชื่อ นายทา นามสกุล พรหมเสน มารดาชื่อ นางแต้ม นามสกุล พรหมเสน มีพี่น้องด้วยกัน 6 คนหลวงปู่ทองบรรพชาเป็นสามาเณรเมื่อ วันศุกร์ที่ 19 ม.ค. พ.ศ. 2477 ตรงกันวันขึ้น 4 ค่ำ เดือน 3 ปีจอ ณ วัดนาแก่ง ตำบลบ้านแอ่น โดยมีพระครูบาชัยวงศ์ (หลวงปู่ครูบาแก้ว ชยวํโส) เจ้าอาวาสวัดนาแก่ง เป็นพระอุปัชฌาย์ อุปสมบทเมื่อวันจันทร์ที่ 7 ก.พ. พ.ศ. 2487 ตรงกับวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 3 ปี วอก ณ บ้านแอ่น ต.บ้านแอ่น โดยมีพระครูคัมภีรธรรม (ครูบาอินตา พรหฺมปญฺโญ) เจ้าอาวาสวัดชัยพระเกียรติ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการญาณรังสี เจ้าอาวาสวัดห้วยทราย เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระมหาจันทร์ วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายานามว่า “สิริมงฺคโล”ระหว่างบรรพชาท่านได้ฝึกวิปัสสนากรรมฐานอย่างต่อเนื่อง โดยปี พ.ศ.2477 – 2486 หลวงปู่ทองได้เริ่มฝึกการปฏิบัติสมถกรรมฐานกับ พระสุธรรมยานเถร (อินถา อินฺทจกฺโก) พระสุพรหมยานเถร (พรหมา พฺรหฺมจกฺโก) พระครูพัฒนกิจจานุรักษ์ (ครูบาชัยวงศาพัฒนา) ครูบาอภิชัย (ขาวปี) จากนั้นฝึกการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานในแนวสติปัฏฐาน 4 ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหารกับ พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทธิ) จนถึงปี พ.ศ. 2497 – 2500 ท่านได้เดินทางไปฝึกการปฏิบัติและศึกษาแนวทางการปฏิบัติในแนวสติปักฐาน 4 ตามหลักพระไตรปิฎก อรรถกถา และอื่นๆกับมหาสีสยาดอ ณ สำนักวัดศาสนยิสสา ประเทศสหภาพเมียนมาร์

Read More

Loading...
More