บทความทั้งหมด

07/12/2563

ผู้ชายที่หล่อที่สุดในโลก ตามหลักสัดส่วนทองคำ


นายแพทย์จูเลียน เดอซิลวา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมความงามชื่อดังออกมาเปิดเผยว่า ผู้ชายที่หล่อที่สุดในโลกเพื่อคำนวนตามหลักสัดส่วนทองคำของกรีกโบราณ(Greek Golden Ratio of Beauty Phi) คือ โรเบิร์ต แพตทินสัน แวมไพน์หนุ่มที่กุมหัวใจของสาวๆทั่วโลกนายแพทย์จูเลียน ได้ให้คะแนนใบหน้าของโรเบิร์ต แพตทินสันโดยใช้การคำนวณทางคอมพิวเตอร์และตอบคำถามถึงความงามเชิงกายภาพ ทั้งตำแหน่งของดวงตา ริมฝีปาก ความกว้างของหน้าผาก คาง ฯลฯ จากนั้นคำนวณออกมาเป็นสูตรทางคณิตศาสตร์เพื่อให้ได้ออกมาเป็นตัวเลขเพื่อให้ได้ตัวเลขประมาณ 1.618… หรือที่เรียกกันว่าค่าฟี (Phi) หรือค่าคงที่ของธรรมชาติ และตอบข้อสงสัยถึงความงามที่สมบูรณ์แบบในธรรมชาติโดยใช้หลักวิทยาศาสตร์ โดยโรเบิร์ตได้คะแนนความใกล้เคียง(Golden Ratio Rating)ไปถึงร้อยละ 92.15 เมื่อแยกเป็นสัดส่วนแล้วพบว่า หน้าผากได้ 93.6% คิ้ว 94.7% จมูก94.67%ปาก82% คาง95.1% และรูปหน้าได้91.1% ส่วนรายชื่อ 5 อันดับแรกของผู้ชายที่หล่อที่สุดในโลก (คนดังเท่าที่มีการคำนวนตามหลัก Phi)อันดับที่ 2 ตกเป็นของซูเปอร์แมนและนักแสดงจากซีรีส์The Witcherอย่าง เฮนรี คาวิลล์ ที่ได้คะแนนความใกล้เคียงไปร้อยละ 91.64 อันดับ 3 แบรดลีย์ คูเปอร์ ที่ร้อยละ 91.08อันดับ 4 แบรด พิตต์ ร้อยละ 90.51 และ จอร์จคลูนีย์ ร้อยละ 89.91 ตามมาเป็นอันดับ5ก่อนหน้านี้นายแพทย์จูเลียนได้ออกมาจัดลำดับของทางฝ่ายหญิง ซึ่งผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดตกเป็นของนางแบบชื่อดัง เบลลา ฮาดิด ที่ได้คะแนนไปถึงร้อยละ 94.35 ตามมาด้วย บียอนเซ่ ที่ได้คะแนนความใกล้เคียงไปร้อยละ 92.44 ตามมาด้วย แอมเบอร์ เฮิร์ด ร้อยละ 91.85, อะรีอานา กรานเด ร้อยละ 91.81 และเทย์เลอร์สวิฟต์ ร้อยละ 91.64สำหรับ โรเบิร์ต แพตทินสัน นักแสดงชาวอเมริกัน วัย 33 ปี ที่แจ้งเกิดจากภาพยนตร์โรแมนติกอย่างTwilightพร้อมกับนักแสดงสาว คริสเตนสจวร์ต แฟนสาวในขณะนั้น และในปี 2021 นี้เราจะได้เห็นหนุ่มหน้าหล่อที่สุดในโลกคนนี้กลับมาอีกครั้งในบทของอัศวินรัตติกาลคนใหม่อย่าง Batman ผลงานการกำกับของ แมตต์รีฟส์ ร่วมด้วย โซอี้ คราวิตซ์ ในบท Catwomanที่มีกำหนดฉายเดือนมิถุนายนปีหน้า

Read More

07/12/2563

ยอดค้าปลีกทองคำ โลหะเงิน และเครื่องประดับแท้ของจีนขยายตัวหลังวิกฤติโควิด-19 คลี่คลาย


สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนรายงานยอดขายอัญมณีและเครื่องประดับว่าขยับตัวเพิ่มสูงขึ้นหลังจากลดลงอย่างต่อเนื่องจากสาเหตุการหยุดชะงักทางธุรกิจที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโควิด -19 โดยพบว่า ยอดขายทองคำ โลหะเงินและเครื่องประดับแท้กลับมาเพิ่มขึ้นในเดือนสิงหาคม และกันยายน 2563 ด้วยมูลค่า 23.48 และ 22.20 พันล้านหยวน ตามลำดับ ซึ่งขยายตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า อันเนื่องมาจากการที่ประชาชนเริ่มออกมาจับจ่ายใช้สอยและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมทั้งผู้ค้ามีการออกโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภคเมื่อดูยอดค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภคของจีนทั้งระบบพบว่าเพิ่มขึ้น 3.3% ในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งสูงกว่าที่มีการคาดการณ์ไว้ที่ 1.8% นับเป็นเดือนที่สองของยอดค้าปลีกที่เพิ่มขึ้นติดต่อกันอันเป็นผลมาจากหลายปัจจัยได้แก่ • อัตราการว่างงานลดลงตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 หลังจากที่ประสบความสำเร็จในการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด -19 • ทุกอุตสาหกรรมกลับมาดำเนินการตามปกติ • และจีนมีการวางแผนกระตุ้นการบริโภคโดยเปิดตัวโปรโมชั่นและกิจกรรมต่างๆ ทั่วประเทศเพื่อเร่งการฟื้นตัว ทั้งนี้ประเทศจีนเป็นตลาดส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับในอันดับที่ 11 ของไทย โดยไทยส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับ (รวมทองคำ) ไปจีนล่าสุดในเดือนมกราคมถึงสิงหาคม ปี 2563 มีมูลค่ารวม 3,117.56 ล้านบาท ลดลง 55.41% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยสินค้าส่งออกเกือบ 90% เป็นเครื่องประดับเงินมีมูลค่าการส่งออก 2,797.92 ล้านบาท ลดลง 15.09% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้านี้หลังจากเผชิญการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 มาตั้งแต่ต้นปี สถานการณ์ในจีนได้เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกตินับตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นมา โดยชาวจีนได้ออกมาจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้นตามลำดับ แม้ว่าตัวเลขการใช้จ่ายจะยังต่ำอยู่แต่ก็มีอัตราการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นทุกเดือน

Read More

07/12/2563

อัญมณีและเครื่องประดับไทยมีผลกระทบอย่างไรเมื่อสหรัฐฯ ตัดสิทธิ GSP


สหรัฐอเมริกาประกาศตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร หรือGSP สำหรับสินค้าไทยรวมกว่า 200 รายการเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2563 ที่ผ่านมา โดยสินค้าไทยที่จะถูกตัดสิทธิ GSP ได้แก่ชิ้นส่วนรถยนต์ เครื่องครัว อะลูมิเนียม อาหารอบแห้ง หอยบางชนิด และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์บางประเภท รวมถึงอัญมณี 1รายการ คือ พลอยเนื้ออ่อนเจียระไนซึ่งไม่ได้ใช้ในการผลิต ซึ่งจะถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตราปกติที่ร้อยละ 10.5 ทั้งหมดนี้คิดเป็นมูลค่าส่งออก 817 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 25,000 ล้านบาท การตัดสิทธิ GSP ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก เพราะเมื่อย้อนกลับไปราวปี 2550 ไทยได้ถูกสหรัฐฯ ตัดสิทธิ GSP พิกัด 7113.19.50 เครื่องประดับแท้ที่ทำด้วยทองคำหรือแพลทินัม และต่อมาในปี 2555 สหรัฐฯ ได้ตัดสิทธิ GSP ของไทยพิกัดสินค้า 7113.11.50 เครื่องประดับเงินซึ่งมีมูลค่าเกินกว่าโหล/ชิ้นละ 18 ดอลลาร์สหรัฐ และล่าสุดเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2563 สหรัฐฯ ก็ได้ตัดสิทธิ GSP สินค้าอัญมณีและเครื่องประดับจำนวน 22 รายการย่อยใน 4 สินค้าหลักได้แก่ พิกัด 7113 เครื่องประดับแท้ พิกัด 7114 เครื่องทองหรือเครื่องเงิน พิกัด 7116 ของทำด้วยไข่มุก และรัตนชาติ รวมถึงพิกัด 7117 เครื่องประดับเทียม ซึ่งสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่ถูกตัดสิทธิ GSP ไปแล้วปัจจุบันมีอัตราภาษีนำเข้าอยู่ที่ร้อยละ 2.7- 13.5 อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยจะถูกตัดสิทธิ GSP ไปหลายรายการ แต่ก็ยังมีสินค้าที่ไทยยังคงได้รับสิทธิ GSP จากสหรัฐฯ และมีอัตราภาษีนำเข้าเป็นร้อยละ 0 อีกหลายรายการย้อนไปในปี 2562 สหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทยในอันดับที่ 4 (รองจากสวิตเซอร์แลนด์ ฮ่องกง และสิงคโปร์) ด้วยมูลค่าราว 1,272 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสินค้าส่งออกสำคัญไปยังสหรัฐฯ ได้แก่ เครื่องประดับทอง เครื่องประดับเงิน พลอยสีทั้งพลอยเนื้อแข็งและพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน รวมถึงเพชรเจียระไน และเครื่องประดับเทียม ตามลำดับ ซึ่งการตัเสิทธิ์พลอยเนื้ออ่อนเจียระไนของไทยในตลาดสหรัฐฯคิดเป็นสัดส่วนเพียงร้อยละ 0.05 ของมูลค่าการนำเข้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยโดยรวมทั้งหมด ดั้งนั้นการที่สหรัฐฯ ตัดสิทธิ GSP ในครั้งนี้ จึงไม่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับโดยรวมของไทยมากนัก ทั้งนี้อัญมณีและเครื่องประดับไทยเป็นสินค้าศักยภาพในตลาดสหรัฐฯ แม้คู่แข่งสำคัญของไทยอย่างจีนและอินเดียจะได้เปรียบสินค้าไทยที่มีต้นทุนที่ถูกกว่า ทำให้โอกาสที่สินค้าไทยจะช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นทำได้ยาก แต่หากเจาะตลาดระดับกลางขึ้นไป ที่ไม่แข่งขันด้านราคาเน้นคุณภาพสินค้า ประสิทธิภาพในการผลิตและออกแบบสินค้าใหม่ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ก็สามารถเพิ่มโอกาสส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยได้อีกมากข้อมูล :สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ(องค์กรมหาชน)

Read More

07/12/2563

ข้อตกลง RCEP กับโอกาสของตลาดเครื่องประดับไทย


การลงนามความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจระดับภูมิภาคหรือ RCEP (Regional Comprehensive Economic Partnership นับเป็นก้าวแรกแห่งความสำเร็จและก้าวสำคัญของการฟื้นฟูเศรษฐกิจของ ASEAN ทั้ง 10 ประเทศ รวมทั้ง 5 ประเทศคู่เจรจาอย่าง จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ที่มีความพยายามเจรจากันมาอย่างยาวนานถึง 8 ปี (ตั้งแต่ปี 2555 ลงนามเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2563) RCEP เป็นข้อตกลงทางการค้าเสรีที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยประชากรประเทศสมาชิกกว่า 2.2 พันล้านคน คิดเป็น 30% ของประชากรโลก มีขนาด GDP รวมกันกว่า 26.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 30% ของ GDP โลก ซึ่ง RCEP เป็นข้อตกลงทางการค้าที่พัฒนามาจากแนวคิด ASEAN+3 และ ASEAN+6 ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ของ AEC Blueprint ความตกลง RCEP ทั้ง 20 บทนั้น จะเป็นการขยายและต่อยอดจากข้อตกลง FTA ของประเทศในอาเซียนกับจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ให้มาอยู่ภายใต้ข้อตกลงเดียวกัน โดยมีเนื้อหาครอบคลุมทั้งการลดมาตรการกีดกันทางการค้าที่เป็นภาษีและไม่ใช่ภาษีระหว่างกัน ขยายการเปิดเสรีด้านสินค้า บริการ และการลงทุน อีกทั้งยังช่วยลดความซ้ำซ้อนและความแตกต่างในข้อตกลง FTA ที่มีอยู่เดิม ซึ่งจะทำให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจระหว่างกันเพิ่มมากขึ้น ขณะที่หลายประเทศในข้อตกลง RCEP นี้ หวังว่าข้อตกลงดังกล่าวจะสามารถช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ให้กลับมาเติบโตได้เร็วขึ้นกว่าเดิม ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่าสินค้าไทยที่จะได้รับประโยชน์มากที่สุดจากข้อตกลง RCEP นั้น มี 5 หมวด ดังต่อไปนี้ 1. หมวดสินค้าเกษตร: แป้งมันสำปะหลัง สับปะรด สินค้าประมง 2. หมวดอาหาร: ผักผลไม้แปรรูป น้ำส้ม น้ำมะพร้าว อาหารแปรรูปอื่นๆ 3. หมวดสินค้าอุตสาหกรรม: อุปกรณ์ไฟฟ้า พลาสติก กระดาษ เคมีภัณฑ์ ชิ้นส่วนยานยนต์ 4. หมวดบริการ: ธุรกิจก่อสร้าง ธุรกิจด้านสุขภาพ ธุรกิจด้านภาพยนตร์ บันเทิง แอนิเมชั่น 5. หมวดค้าปลีก ทั้งนี้คาดการณ์จะมีการลงนามสัตยาบรรณและเริ่มมีผลบังคับใช้ได้กลางปี 2564 อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้อินเดียซึ่งเป็นสมาชิกดั้งเดิมที่ครั้งนี้ถออนตัวออกไปได้กลับเข้ามาร่วมได้ ส่วนสาเหตุที่อินเดียถอนตัวออกไปเนื่องจากกังวลต่อความสามารถในการแข่งขันกับสินค้าที่มาจากจีนหากเปิดการค้าเสรี สำหรับการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทยกับกลุ่ม RCEP พบว่า 9 เดือนแรกของปี 2563 มีมูลค่า 5,423.85 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 33.62% โดยสินค้าส่งออกหลัก ได้แก่ เครื่องประดับเงิน และเครื่องประดับทอง จึงอาจกล่าวได้ว่า นี่เป็นโอกาสที่ไม่ควรมองข้ามในการรุกเข้าตลาดนี้ โดยผู้ประกอบการต้องเร่งปรับตัวให้สินค้ามีมาตรฐานสอดคล้องกับความตกลงดังกล่าวก่อนที่จะเริ่มบังคับใช้ ซึ่งนักวิเคราะห์ต่างมองว่า RCEP จะกลายเป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้เศรษฐกิจของอาเซียนฟื้นตัวได้เร็วมากขึ้น

Read More

07/12/2563

เมื่อเครื่องประดับของอินเดียก้าวเข้าสู่ออนไลน์


ธุรกิจอีคอมเมิร์ซในอินเดียมีอัตราขยายตัวไม่ต่ำกว่าร้อยละ 30 ต่อปีซึ่งถือว่าเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีผู้ประกอบการ ๓ รายใหญ่ๆที่ขับเคลื่อนการค้าปลีกออนไลน์อยู่ในขณะนี้ได้แก่ Amazon, Flipkartและ Paytm Mall โดยคาดว่าในปี 2022 มูลค่าการค้าออนไลน์จะเพิ่มขึ้นถึง 150,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และ 220,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2026 เนื่องจากผู้บริโภคชาวอินเดียนิยมเลือกซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์กันมากขึ้น รวมถึงการซื้อขายเครื่องประดับออนไลน์ที่มียอดจำหน่ายเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนโดยคาดว่าในปี 2020 ตลาดเครื่องประดับออนไลน์ในอินเดียจะมีมูลค่าเติบโตกว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือมีสัดส่วนราวร้อยละ 1-2 ของตลาดค้าปลีกเครื่องประดับอินเดีย สาเหตุที่ทำให้การค้าเครื่องประดับออนไลน์ในตลาดอินเดีย ขยายตัวสูงขึ้น เนื่องมาจากกำลังซื้อของผู้หญิงอินเดียยุคใหม่ที่สนใจในสินค้าแฟชั่นเพิ่มมากขึ้น ซึ่งผลการสำรวจข้อมูลของบริษัทผู้ค้าเครื่องประดับรายใหญ่ในอินเดีย พบว่า ผู้หญิงอายุ 18 ถึง 35 ปี มีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าเครื่องประดับทางออนไลน์มากกว่าช่วงอายุอื่นๆ โดยผู้หญิงในทุกช่วงอายุมักซื้อเครื่องประดับเพื่อสวมใส่ในชีวิตประจำวันมากกว่าซื้อเพื่อการลงทุน รวมถึงผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 45 ปี ก็หันมานิยมช็อปปิ้งออนไลน์มากขึ้น โดยเฉพาะในโอกาสพิเศษต่างๆเช่น วันครบรอบแต่งงาน วันเกิด นอกเหนือจากวันสำคัญอย่างในเทศกาล Dhanterasหรือ AkshayaTritiya ที่ปริมาณการซื้อเครื่องประดับโดยเฉพาะเครื่องประดับทองคำจะมีมูลค่ามากเป็นปกติอยู่แล้ว ทั้งนี้ความนิยมในรูปแบบของเครื่องประดับก็เปลี่ยนไปจากเดิมโดยผู้หญิงร้อยละ 81.3 นิยมเครื่องประดับที่มีความทันสมัยและมีน้ำหนักเบากว่าเครื่องประดับแบบดั้งเดิม ด้วยเหตุนี้รัฐบาลอินเดียจึงได้ ปรับปรุงกฎระเบียบการค้าออนไลน์ให้รัดกุมยิ่งขึ้น เพื่อแก้ปัญหาการจัดหาสินค้า การผูกขาดการจัดจำหน่ายสินค้า และการตั้งราคา โดยบริษัทอีคอมเมิร์ซที่เปิดการซื้อขายออนไลน์ในตลาดอินเดีย จะถูกสั่งห้ามไม่ให้ขายสินค้าจากผู้จัดหาซึ่งบริษัทอีคอมเมิร์ซนั้นๆ ถือครองหุ้นอยู่ นอกจากนี้ยังไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นเจ้าของหรือมีอำนาจควบคุมคลังสินค้าของผู้จัดหา รวมทั้งผู้จัดหาที่ขายสินค้ามากกว่าร้อยละ 25 ให้แก่บริษัทอีคอมเมิร์ซเพียงรายเดียวจะถือว่าถูกควบคุมโดยบริษัทอีคอมเมิร์ซแห่งนั้นและไม่ได้รับอนุญาตให้ขายสินค้าบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซดังกล่าวอีกต่อไป นอกจากนี้ รัฐบาลอินเดียยังห้ามไม่ให้บริษัทอีคอมเมิร์ซกำหนดให้ผู้ขายขายสินค้าเฉพาะบนแพลตฟอร์มของตัวเองเท่านั้น และการให้ส่วนลดหรือการให้เงินคืนบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซนั้นควรกระทำอย่างเป็นธรรมและไม่แบ่งแยก หมายความว่าไม่ควรมีการลดราคาลงมากผิดปกติในช่วงลดราคา และผู้จัดหา/แบรนด์จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องราคาเองทั้งหมด รวมทั้งห้ามไม่ให้มีการจัดโปรโมชั่นแบบลดกระหน่ำต่อเนื่องเป็นเวลานาน เนื่องจากเป็นการบิดเบือนราคาและกลไกตลาดอีกด้วยข้อมูล : สถาบันวิจัยอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์กรมหาชน)

Read More

07/12/2563

จับปิ้ง วัฒนธรรมการแต่งกายของเด็กหญิงในสยาม


ในห้องนิทรรศการเครื่องประดับและอัญมณี ที่ศาลาเครื่องราชอิสริยยศ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ และเหรียญกษาปณ์ สำนักทรัพย์สินมีค่าของแผ่นดิน กรมธนารักษ์ ได้จัดแสดงเครื่องประดับและปกปิดร่างกายของเด็กหญิงไทยในสมัยโบราณที่เรียกว่า “จับปิ้ง” ที่มีความวิจิตร งดงาม ประณีต ละเอียดอ่อนด้วยฝีมือช่างโบราณในราชสำนัก จัดสร้างด้วยทองคำและอัญมณีมีต่างๆ ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้เข้าชมทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศเป็นอย่างมาก โดยจับปิ้งที่นำออกมาจัดแสดง มีด้วยกัน ๓ ชิ้นคือ ๑. จับปิ้งทองคำประดับทับทิม เป็นจับปิ้งรูปใบโพตรงกลางนูน ทำด้วยทองคำ สลักลายใบเทศประดับด้วยทับทิม ด้านบนมีแท่งทรงกระบอกกลวงตรงกลาง สำหรับร้อยสายสร้อย ๒. จับปิ้งเงินถมตะทอง เป็นจับปิ้งรูปใบโพ ทำด้วยเงินถมตะทอง ตรงกลางนูน สลักดุนลายตรงกลางเป็นลายดอกใบเทศ ขอบด้านข้างเป็นลายใบเทศ มุมด้านบนประดับด้วยดอกไม้สี่กลีบ มุมด้านล่างประดับด้วยกระจังใบเทศ ด้านบนมีห่วงสำหรับร้อยสายสร้อย ๓. จับปิ้งเงินถมตะทอง เป็นจับปิ้งรูปใบโพ ทำด้วยเงินถมตะทอง ตรงกลางนูน สลักดุนลายรักร้อยใบเทศและลายก้านต่อดอกใบเทศโดยรอบ มุมด้านบนประดับด้วยดอกลำดวน มุมด้านล่างประดับด้วยกระจัง ใบเทศ ด้านบนทำเป็นหลอดสำหรับร้อยสายสร้อย ชาวสยามนิยมผูกจับปิ้งให้กับเด็กผู้หญิง ซึ่งจัดทำด้วยวัสดุที่หลากหลายตามฐานะของผู้สวมใส่ นิยมทำด้วยโลหะที่ไม่เป็นสนิม โดยจับปิ้งสำหรับเจ้านาย และบุตรหลานขุนนางชั้นผู้ใหญ่ มักทำด้วยทองคำ ส่วนของเด็กผู้หญิงทั่วไปมักทำด้วยเงินและนาก ส่วนผู้ที่มีฐานะยากจนจะใช้จับปิ้งจากกะลามะพร้าว ญาติผู้ใหญ่จะผูกจับปิ้งให้ลูกหลานหลังจากโกนผมไฟ จนกระทั่งอายุประมาณ ๑๐ – ๑๒ ขวบหรือกระทั่งโกนจุกจึงเลิกใช้จับปิ้งเปลี่ยนไปนุ่งห่มเสื้อผ้าตามฐานะจับปิ้งในสยาม มี ๒ รูปทรง คือ๑. จับปิ้งทรงทะนาน หรือรูปใบโพ มีขนาดประมาณครึ่งฝ่ามือ โตพอที่จะปิดบังอวัยวะเพศของผู้สวมใส่ได้มิดชิด ตอนบนกลมป้อม ตอนล่างเรียวแหลม ตรงกลางโค้งนูนเป็น กระเปาะ ด้านหน้าสลักลวดลายต่างๆ เช่น ลายพันธุ์พฤกษา ด้านหลังเรียบเกลี้ยง ขอบด้านบนมีแท่งทรงกระบอกกลวงตรงกลาง หรือเจาะรูเล็กๆ ๒ รู ใช้ร้อยสร้อยหรือเชือกสำหรับ ผูกบริเวณบั้นเอว ขอบจับปิ้งมักเลี่ยมให้มนเพื่อป้องกันไม่ให้บาดเนื้อผู้สวมใส่ ๒. จับปิ้งทรงร่างแห ถักด้วยเส้นโลหะขึ้นเป็นแผ่นค่อนข้างโปร่งรูปร่างคล้ายกระเบื้องเกล็ดเต่าหรือรูปสี่เหลี่ยมชายแหลม ตอนบนจะมีห่วงสำหรับร้อยสร้อยสำหรับผูกกับบั้นเอวปัจจุบันจับปิ้งกลายเป็นเครื่องประดับที่หายาก และเป็นที่ต้องการของนักสะสมของเก่า อีกทั้งพิพิธภัณฑ์บางแห่งได้นำจับปิ้งมาใช้เป็นวัตถุจัดแสดงเพื่อสะท้อนวิถีชีวิตของสังคมไทยในอดีตให้ผู้เข้าชมได้เรียนรู้และชื่นชม ความงดงาม ที่มา : พืพืธภัณฑ์เหรียญกษาปณานุรักษ์

Read More

07/12/2563

เปิดรายจ่าย ร้านทองตู้แดง ในภาวะราคาทองผันผวน (ตอนที่ 2)


เปิด 7 ค่าใช้จ่ายของร้านทองตู้แดง (ต่อ) 4.ค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น เงินเดือนพนักงาน ค่าเช่าสถานที่ ค่าขนส่ง ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าพาหนะ ค่าไฟฟ้า และค่าน้ำประปา เป็นต้น5. ดอกเบี้ยจ่าย ที่เกิดจากการที่กิจการร้านทองกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินต่างๆ มาเป็นทุนหมุนเวียนในกิจการ ซึ่งส่วนใหญ่สินเชื่อธุรกิจประเภทนี้มักจะกำหนดคุณสมบัติ อย่างเช่น ประสบการณ์ในการทำธุรกิจหรือก่อตั้งกิจการมาแล้วไม่ต่ำกว่า 10 ปีขึ้นไป ซึ่งอัตราค่าธรรมเนียมบางแห่งคิดตามอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำ (MLR) ตามประกาศของแต่ละธนาคาร6. ภาษีอากรของธุรกิจร้านทอง มีทั้งภาษีเงินได้ ซึ่งแยกเป็นบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล โดยภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คำนวนจากรายได้ที่ได้จากการขายทองคำเป็นเงินพึงได้ประเมินตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลกฎหมายรัษฎากร หรือเงินพึงได้ตลอดปีภาษี ซึ่งจะมีวิธีการหักค่าใช้จ่าย 2 วิธี คือ การหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาร้อยละ 60% หรือหักค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควร ขณะที่ด้านนิติบุคคลจะคำนวณจากฐานกำไรสุทธิ ซึ่งหากมีผลขาดทุนสุทธิทางภาษี ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล นอกจากนี้ยังมีภาษีมูลค่าเพิ่มจากการที่ร้านทองที่มีเงินได้จากการขายสินค้าหรือให้บริการเกิน1.8ล้านบาทต่อปีต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม(ภ.พ.01)ภายใน30วันนับแต่วันที่มีเงินได้เกิน1.8ล้านบาทซึ่งการนับมูลค่าฐานภาษีจากการขายทองเพื่อจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มจะต้องนับเงินได้ทั้งจำนวนที่ได้รับไม่ใช่นับจากผลต่างหรือค่ากำเหน็จเนื่องจากผลต่างหรือค่ากำเหน็จเป็นฐานในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้วเท่านั้น7.การทำบัญชีหรือรายงานแสดงรายได้และรายจ่ายซึ่งกิจการร้านทองบุคคลธรรมดาต้องจัดทำบัญชีแบ่งเป็น2กรณีได้แก่1)กรณีผู้ประกอบการกิจการที่เป็นบุคคลธรรมดาห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่ไม่ใช่นิติบุคคลและไม่ใช่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มจะต้องจัดทำบัญชีหรือรายงานแสดงรายได้และรายจ่ายเป็นประจำวันโดยต้องลงรายการในบัญชีรายได้และรายจ่ายภายใน3วันทำการนับแต่วันที่มีรายได้หรือรายจ่าย2)กรณีผู้ประกอบกิจการที่เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่ไม่ใช่นิติบุคคลนอกจากต้องจัดทำรายงานเงินสดรับ-จ่ายแล้วยังต้องทำบัญชีรายรับ-จ่ายของห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่ไม่ใช่นิติบุคคลเพื่อแสดงยอดเงินคงเหลือยกมาโดยจำนวนเงินของยอดรายได้และรายจ่ายที่ได้มีการรับมาและจ่ายไปในระหว่างปีภาษีและยอดเงินคงเหลือยกไปเพื่อยื่นพร้อมกับการยื่นแบบภ.ง.ด.90หรือภ.ง.ด.91ของ ทุกปีภาษีทั้งหมดนี้คือรายจ่ายที่ต้องแบกรับของร้านทองตู้แดงที่มา : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

Read More

07/12/2563

ร้านทองตู้แดง มีรายได้มาจากไหน


ในภาวะที่ราคาทองคำผันผวนหนักอย่างในปัจจุบัน ร้านทองตู้แดงมีเม็ดเงินหมุนเวียนเข้า-ออกจำนวนมากในแต่ละวัน หลายคนจึงสงสัยว่าร้านทองเหล่านี้มีรายได้มากน้อยแค่ไหน และต้องเสียรายจ่ายอะไรบ้างในการทำธุรกิจร้านทองตู้แดง รายได้ของ"ร้านทองตู้แดง" หลักๆมาจากการขายทองคำรูปพรรณและทองคำแท่ง ทั้งขายให้ลูกค้าทั่วไปที่มาซื้อทอง และขายทองรูปพรรณเก่าให้ผู้ค้าส่งทองคำหรือผู้ผลิต รวมถึงรายได้จากค่ากำเหน็จ หรือค่าผลิตทองคำรูปพรรณ ที่บวกค่าการตลาดของผู้ประกอบการร้านทองไปอีกทอดหนึ่ง เพื่อให้คุ้มค่ากับค่าใช้จ่ายอื่นๆนอกเหนือจากค่าสินค้า เช่น ค่าเดินทาง ดังนั้นราคาขายทองรูปพรรณ หนัก 1 บาท จะเท่ากับราคาขายทองคำแท่ง หนัก 1 บาท + ค่ากำเหน็จ โดยตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.2559 ราคาค่ากำเหน็จทองรูปพรรณขั้นต่ำ ซึ่งร้านทองคำใช้เป็นราคาอ้างอิงคือบาทละ 500 บาท นอกจากนี้กิจการร้านทองอาจมีการประกอบธุรกิจอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น การรับขายฝาก (คล้ายกับการจำนำ) โดยมีข้อตกลงว่า ผู้ขายมีสิทธิไถ่ถอนคืนภายในกำหนดเวลาตามสัญญา โดยจะบวกค่าตอบแทนที่คำนวณตามระยะเวลาที่กำหนดในสัญญานั้นๆ รวมถึงการขายเครื่องประดับ สินค้าที่เกี่ยวข้อง และการให้บริการอื่นๆ อาทิ รับซ่อมทอง การใส่กรอบพระ รับจองวัตถุมงคล ชุบทอง เป็นต้น ผู้ประกอบการร้านทองบางร้านประกอบกิจการอื่นๆที่เกี่ยวข้องร่วมด้วย เช่นโรงรับจำนำ การได้รับอนุญาตให้ตั้งโรงจำนำตาม พ.ร.บ.โรงรับจำนำจะทำให้มีรายได้จากดอกเบี้ย ที่มีคนนำทองรูปพรรณมาเป็นประกันเพื่อชำระหนี้ และบางรายอาจมีรายได้จากการให้กู้ยืมเงินและให้เช่าอาคารเพิ่มเติมอีกด้วยส่วนรายจ่ายที่ร้านทองต้องแบกรับนั้น มาจากหลายส่วนเช่น ค่าสินค้าหรือค่าทอง ค่าจ้างช่างทำทอง ประกันภัยร้านทอง เงินเดือนพนักงาน ค่าเช่าสถานที่ ค่าขนส่ง ภาษีอากรของธุรกิจร้านทองทั้งภาษีเงินได้ บุคคลธรรมดา และนิติบุคคล ค่าจัดทำบัญชี เป็นต้นร้านทองใหญ่ๆมีรายได้ก่อนหักค่าใช้จ่ายปีละหลายร้อยล้านบาท เช่น ห้างทองตั้งโต๊ะกัง ห้างขายทองทองใบเยาวราชห้างทองฮั่วเซ่งเฮง ซึ่งร้านทองเหล่านี้รายได้จากธุรกิจอื่นๆด้วยนอกเหนือจากการขายทองหน้าร้าน เช่น ดำเนินธุรกิจนายหน้าซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เป็นโบรกเกอร์ซื้อขายกองทุนรวมอีทีเอฟทองคำ เป็นต้น แต่เมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้วก็เหลือกำไรสุทธิไม่มากนัก ที่มา : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

Read More

07/12/2563

สำรวจแร่ทองคำในโลก ยังเหลือมากน้อยแค่ไหน


ในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ราคา ทองคำขึ้นไปเหนือระดับ 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือราว 63,000 บาท ต่อออนซ์ ซึ่งถือว่าสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ (ก่อนจะลดลงมาที่ระดับต่ำกว่า 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์) ทำให้เกิดถามว่าจะมีการขุดทองคำเพิ่มขึ้นหรือไม่ในสถานการณ์ที่ราคาเป็นแบบนี้ และทั่วโลกยังเหลือทองคำให้ขุดอีกมากน้อยแค่ไหนศูนย์สำรวจทางธรณีวิทยาของสหรัฐอเมริกา(US Geological Survey : USGS) ระบุว่าตั้งแต่มนุษย์รู้จักการใช้ทองคำจนถึงปัจจุบันมนุษย์ได้ขุดแร่ทองคำขึ้นมาแล้วกว่า 190,000 ตัน ยังคงเหลือแร่ทองคำใต้ดินที่ยังไม่ได้ขุดขึ้นมาอีกราว 50,000 ตัน หรือยังเหลือทองคำให้ขุดอีกราว 20% โดยสภาทองคำโลก (World Gold Council : WGC ) ระบุว่า เมื่อปี 2562 ปริมาณทองคำถูกขุดขึ้นมาจากเหมืองทั่วโลกที่ 3,531 ตัน น้อยกว่ายอดทองคำจากเหมืองของปีต่ำกว่าปี 2018 1% ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ต่ำลงครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2008ผู้เชี่ยวชาญด้านทองคำบางคนบอกว่าโลกได้เลยจุดพีคหรือ peak gold หรือความสามารถในการขุดแร่ทองได้มากที่สุดในแต่ละปีแล้ว แต่สภาทองคำโลกแย้งว่าเป็นการด่วนสรุปที่เร็วไปแต่ก็มองว่าจากนี้ในแต่ละปีโลกจะผลิตทองคำได้น้อยลงเพราะว่าแร่ทองคำในแหล่งสำรองเริ่มหมดไป และไม่มีการค้นพบแหล่งทองคำใหม่ๆโดยการผลิตทองคำก็จะไม่ได้ลดลงรวดเร็วอย่างน่าตกใจ แต่จะค่อยๆลดลงในช่วง 2-3 ทศวรรษที่จะมาถึง WGC อธิบายเพิ่มเติมว่า แหล่งสำรอง คือ แหล่งที่มีแร่ทองคำในในปริมาณที่คุ้มทุนหากจะทำเหมืองแร่เมื่อพิจารณาราคาทองคำในปัจจุบัน ส่วนแหล่งทรัพยากร คือแร่ทองคำในที่ๆอาจจะคุ้มทุนที่จะทำเหมืองแร่เมื่อมีการสำรวจเพิ่มหรือมีเทคโนโลยีใหม่ๆไม่ว่าจะเป็นชุดข้อมูลขนาดใหญ่(Big Data)หรือปัญญาประดิษฐ์ที่ช่วยลดกระบวนการผลิตและลดต้นทุนการทำเหมืองแร่ทองได้ หรือราคาทองคำสูงขึ้นกว่าในปัจจุบัน จึงเป็นไปได้ว่าอาจมีแร่ทองคำซ่อนอยู่ในพื้นที่ๆการสำรวจยังเข้าไปไม่ถึง เช่นขั้วโลกใต้หรือใต้พื้นมหาสมุทรก็เป็นได้ ทั้งนี้แหล่งทองคำเดี่ยวขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อยู่ที่ลุ่มน้ำวิทวอเทอร์สแลนด์ ใกล้เมืองโยฮันเนสเบิร์กของแอฟริกาใต้ คิดเป็นประมาณ 30% ของปริมาณทองคำรวมที่ขุดได้จากเหมืองทองทั่วโลกส่วนแหล่งทองคำขนาดใหญ่อื่นๆ รองลงมาคือ เหมืองเอ็มโปเน็ง ในแอฟริกาใต้ เหมืองซูเปอร์ พิท และนิวมองต์ บ็อดดิงตัน ในออสเตรเลีย เมืองแกรสเบอร์ก ในอินโดนีเซีย และเหมืองอีกหลายแห่งที่รัฐเนวาดา สหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศที่มีการทำเหมืองทองรายใหญ่ที่สุดของโลกคือ ตามด้วย แคนาดา รัสเซียและเปรู ส่วนบริษัททองคำรายใหญ่ของโลกคือ บริษัทแบร์ริค โกลด์ ผู้ถือหุ้นใหญ่ของเหมืองทองเนวาดา ที่สามารถผลิตทองคำได้ปีละประมาณ 3.5 ล้านออนซ์ อย่างไรก็ตามยังมีเหมืองทองใหม่เกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ แต่แหล่งทองคำปริมาณมากๆเริ่มหายากขึ้นทุกที ทองคำส่วนใหญ่ของโลกที่ขุดได้ในปัจจุบันจึงมาจากเหมืองทองเก่าอายุใช้งานนับสิบๆปีแล้วนั่นเอง สำหรับในปี 2563 นี้มีรายงานจากสภาทองคำโลก ระบุว่าการผลิตทองคำทั่วโลกในไตรมาสแรกนั้นตกลงไป 3% หากเทียบกับไตรมาสแรกของปีก่อน นอกจากนี้ สถานการณ์โควิดที่ยังไม่ดีขึ้นก็มีความเป็นไปได้ว่าตัวเลขยอดการผลิตในไตรมาสที่สองนี้จะลดลงไปกว่าเดิม

Read More

07/12/2563

จี้ล็อคเก็ตทองคำ ตัวแทนแห่งรักของพระราชินีนาถวิกตอเรียต่อพระสวามี


ภายหลังการสิ้นพระชนม์ของเจ้าชายอัลเบิร์ต พระสวามีผู้เป็นที่รักในปี 1861 ได้นำความโศกเศร้ามาสู่สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักรเป็นอย่างมาก พระองค์ทรงไว้ทุกข์ด้วยการฉลองพระองค์ในชุดสีดำตลอดพระชนม์ชีพที่เหลือ และสวมเครื่องประดับไว้ทุกข์ ซึ่งเป็นสร้อยข้อมือทองคำห้อยด้วยชาร์มและจี้ล็อคเก็ตทองคำที่ด้านในบรรจุเส้นผมและภาพของเจ้าชายอัลเบิร์ตอยู่เสมอเพื่อเป็นตัวแทนแห่งรักและระลึกถึงพระสวามีของพระองค์ สร้อยข้อมือทองคำห้อยด้วยชาร์มและจี้ล็อคเก็ตทองคำ จัดเป็นเครื่องประดับไว้ทุกข์ (Mourning Jewelry) ซึ่งเป็นที่รู้จักกันมาตั้งแต่ในยุคกลางหรือราว ค.ศ. 5 - ค.ศ. 15 ที่มักทำจากอัญมณีที่มีโทนดำและสีขาว เช่นเจ็ท นิล ไข่มุก รวมไปถึงเครื่องประดับลงยาต่างๆ โดยรูปแบบที่ทำขึ้นในยุคนั้นมักสื่อความหมายถึงความตาย เช่น รูปโครงกระดูก หรือไม้กางเขน เป็นต้น ทั้งนี้ก็เพื่อให้เป็นเครื่องเตือนใจว่าความตายนั้นเป็นสัจธรรมของชีวิตจนกระทั่งในรัชสมัยของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ถือเป็นยุคที่เครื่องประดับไว้ทุกข์ได้รับความนิยมอย่างสูงสุด โดยพระองค์ทรงเป็นผู้ปฏิวัติภาพลักษณ์เครื่องประดับไว้ทุกข์จากสัญลักษณ์แห่งความตาย มาสู่เครื่องหมายแห่งการระลึกถึงบุคคลผู้เป็นที่รักซึ่งจากไปอย่างไม่มีวันกลับ จึงทำให้กระแสความนิยมเครื่องประดับประเภทนี้กลับมาเฟื่องฟูในราชสำนัก อีกครั้งหนึ่ง จี้ล็อคเก็ตทองคำตกแต่งด้วยนิลและเพชร ด้านในบรรจุเส้นผมและภาพของเจ้าชายอัลเบิร์ต เป็นเครื่องประดับไว้ทุกข์ที่สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงโปรดและมักทรงสวมอยู่บ่อยครั้ง นอกจากนี้ยังมีสร้อยข้อมือทองคำห้อยด้วยจี้ประดับหรือชาร์ม(Charm)ที่ทำจากทองคำและบางชิ้นทำจากทองคำลงยาสีดำจำนวน 16 ชิ้น ทั้งนี้ สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงมีพระราชประสงค์ที่จะไม่พระราชทานเครื่องประดับทั้ง 2 ชิ้นนี้ให้เป็นสมบัติแก่ผู้ใด อีกทั้งยังมีรับสั่งให้นำเครื่องประดับไว้ทุกข์ทั้ง 2 ชิ้นนี้ ไปเก็บไว้ที่ห้องอัลเบิร์ตซึ่งเป็นห้องที่เจ้าชายอัลเบิร์ตสิ้นพระชนม์ ในพระราชวังวินด์เซอร์หลังจากที่พระองค์สวรรคตแล้วอีกด้วย เครื่องประดับไว้ทุกข์ได้รับความนิยมยาวนานต่อมาอีกราว 40 ปี จนกระทั่งเมื่อสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียสวรรคตในปี 1901 ความนิยมในเครื่องประดับประเภทนี้ก็เริ่มเสื่อมถอยลงและค่อยๆ เลือนหายไปตามกาลเวลา

Read More

07/12/2563

10 สุดยอดอัญมณีในพิพิธภัณฑ์ สมิธโซเนียน


พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ สมิธโซเนียน (Smithsonian Museum of Natural History ) เป็นเครือข่ายพิพิธภัณฑ์ ของสหรัฐอเมริกาที่มีพิพิธภัณฑ์และสถาบันทั้งหมดราว 200 แห่ง ใน 45 รัฐ และได้รับการยอมรับว่าเป็นเครือข่ายพิพิธภัณฑ์ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก จัดแสดงแร่และหินล้ำค่ากว่า 350,000 ชิ้น คอลเลกชันอัญมณีอีกกว่า 15,000 ชิ้น รวมถึงเพชรHope's Diamond และ Sapphire "Star of Asia" ที่มีชื่อเสียงระดับโลก และนี่คือ 10 สุดยอดอัญมณีในพิพิธภัณฑ์ สมิธโซเนียน 1. สร้อยข้อมือ Claghetta ทำจากทองคำขาวเคลือบเพชร 626 เม็ด มรกต 73 เม็ดแซฟไฟร์ 48 เม็ดทับทิม 20 เม็ดและซิตริน 4 เม็ด เป็นสร้อยข้อมือที่งดงามจากประเทศฝรั่งเศส 2. Carmen Lúcia -เป็นแหวนซึ่งประดับด้วยอัญมณีสีแดงสดขนาดใหญ่ถึง 23.10 กะรัต ขนาบด้วยเพชรเจียระไนรูปทรงสามเหลี่ยมด้านละ 1 เม็ด บนตัวเรือนแพลทินัม ทับทิมเม็ดนี้ถูกขุดพบในช่วงทศวรรษที่ 30 ณ เหมืองพลอยในเมืองโมกก ประเทศเมียนมา ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นแหล่งผลิตพลอยสีคุณภาพดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก3. Black Agate / White Agate หินแบล็คอาเกตหรือหินโมรา สีดำและสีขาว ได้ชื่อว่าเป็น ดวงตาสวรรค์ นำมาจากประเทศอินเดีย มีความสวยงามอย่างน่าประหลาด ด้วยลวดลายธรรมชาติที่แปลกตา4. Ametrine Daibera – เป็นแร่รัตนชาติที่มีสีม่วงปนเหลือง โดยมีส่วนผสมของควอตซ์และเกิดจากการผสมของแอเมทิสต์นำมาจากโบลิเวียน้ำหนัก 214.15 กะรัต เจียระไนอย่างงดงามแปลกตาทำให้เห็นความสวยงามของหินโดดเด่นขึ้น 5. สร้อยคอ kunzite - ผลงานศิลปะชิ้นนี้สร้างสรรค์โดย Paloma Picasso ในปี 1986 เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 150 ปีของ Tiffany & Co.ทำจากอัญมณีคุนไซท์ 396.30 กะรัตจากอัฟกานิสถาน ประดับอยู่บนตัวเรือนทองคำขาว 18k และห้อยด้วยจี้เพชรลวดลายริบบิ้น ปรับด้วยไข่มุกบาร็อค South Sea 30 เม็ด 6. สร้อยคอมรกต – ทำขึ้นในช่วงกลางทศวรรษที่ 1960 โดยนักอัญมณีชื่อ Julius Cohen ทำจากมรกตโคลอมเบียเจียระไนหลังเบี้ย 77 เม็ดน้ำหนักรวม 350 กะรัต 7. เทียร่ามาเรียหลุยส์ - ของขวัญจากพระเจ้านโปเลียนมอบให้ภรรยาคนที่สองในวันแต่งงาน เดิมมงกุฎประดับด้วยมรกตต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นคริสตัลเทอร์ควอยซ์ ของเปอร์เซียจำนวน 79 ชิ้นในปีพ.ศ. 2499 8. โอปอล - คอลเลกชันโอปอลของออสเตรเลียที่สวยงาม เปล่งประกายเจิดจรัสอย่างไม่น่าเชื่อ 9. หวีไข่มุกและเพอริดอท - ออกแบบโดยนักอัญมณี Aldo Cipullo ผู้เขียนสร้อยข้อมือ Love ที่มีชื่อเสียงจาก Cartier เป็นการผสมผสานอย่างลงตัวงดงามของไข่มุกน้ำจืดและเพอริดอท 10. เข็มกลัดเพชรวิลคินสัน – ทำจากเพชรเฉดสีส้มถึงน้ำตาลน้ำงาม 71 เม็ด น้ำหนัก 61.3 กะรัต งดงามเกินบรรยาย สถาบันสมิธโซเนียน เป็นพิพิธภัณฑ์และสถานที่วิจัยที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ที่ National Boulevard ในวอชิงตัน ดี.ซี. ประกอบด้วยพิพิธภัณฑ์และหอศิลป์ 19 แห่งสวนสัตว์แห่งชาติและสถาบันวิจัย 9 แห่ง

Read More

07/12/2563

วัลฮัลลา จากเหมืองทองล้างกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวกลางหุบเขา


ใครก็ตามที่เคยไปเยี่ยมชมวัลฮัลล่า เมืองที่ตั้งอยู่ลึกลงไปในหุบเขา Gippsland ของเทือกเขาแอลป์ รัฐวิคตอเรีย ประเทศออสเตรเลีย เชื่อว่าจะต้องตกหลุมรักความงดงามของหมู่บ้านประวัติศาสตร์แห่งนี้ที่ครั้งหนึ่งคือที่ตั้งของเหมืองทองคำ และมีการขุดทองคำในเหมืองทองแห่งนี้ได้กว่า 13 ตันเมืองวัลฮัลลา( Walhalla) อยู่ห่างจากเมลเบิร์นไปทางตันออก 183 กิโลเมตรใช้เวลาเดินทางราว 2 ชั่วโมง ระหว่างปี ค.ศ.1863 – 1914 ถือเป็นช่วงที่ธุรกิจเหมืองทองในเมืองวัลฮัลลารุ่งเรื่องที่สุด จนได้ชื่อว่าเป็นพื้นที่ทองคำที่ร่ำรวยที่สุดแห่งหนึ่งในออสเตรเลีย มีประชากรมากกว่า 3,000 คนอาศัยอยู่ในเมืองเล็กๆแห่งนี้ ก่อนที่การทำเหมืองจะยุติลง และผู้คนเริ่มทยอยย้ายออกไปจนเกือบกลายเป็นเมืองร้าง แต่เนื่องจากมีทำเลที่ดีและมีระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานที่ค่อนข้างพร้อม ทำให้วัลฮัลลาเปลี่ยนสภาพจากเหมืองทองไปเป็นเมืองท่องเที่ยวและสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นมรดกทางประวัติศาสตร์ และเป็นหนึ่งในเส้นทางท่องเที่ยวด้วยการเดินเท้าที่เรียกว่า Australian Alps Walking Track นักท่องเที่ยวที่มาเมืองนี้จะสนุกสนานไปกับกิจกรรมของเมืองเช่นทัวร์ผีนั่งรถไฟ Goldfields หรือทัวร์เหมืองทองคำ Long Tunnel Extended เพื่อดูร่องรอยการทำเหมืองทองคำที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดแห่งหนึ่งในวิกตอเรีย นอกจากนี้นักท่องเที่ยวยังหลงใหลในความงามของถนนสายหลักแคบ ๆ ที่ล้อมรอบด้วยอาคารยุคอาณานิคมและสวนยุโรปที่ทอดยาว ที่แปลกแต่จริงก็คือ มีผู้คนเพียงไม่กี่คนที่อาศัยอยู่ในเมืองนี้ แต่กลับดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ถึง 120,000 คนต่อปี วัลฮัลลา เป็นเมืองสุดท้ายในออสเตรเลียที่เพิ่งมีไฟฟ้าใช้ในในปี 1998 แม้ว่าในปี 1884 จะเป็นหนึ่งในเมืองแรก ๆ ในประเทศที่มีไฟถนนใช้ก็ตาม อีกทั้งยังไม่มีน้ำประปาไม่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตหรือทีวีอีกด้วย

Read More

07/12/2563

จากยุค Gold Rush สู่เมือง ghost town


ในช่วงทศวรรษที่ 1840-1870 อุตสาหกรรมเหมืองแร่ในสหรัฐอเมริกาถือว่ารุ่งเรืองมาก โดยเฉพาะใน ปีค.ศ. 1848 – 1855 เป็นยุคที่อุตสาหกรรมเมืองทองคำรุ่งเรืองที่สุดจนได้ชื่อว่าเป็น ยุคตื่นทองที่แคลิฟอร์เนีย (California Gold Rush) มีเหมืองทองคำกว่า 20 แห่งกระจายอยู่ทั่วเมือง มีประชาชนกว่า 300,000 คน จากทั่วสหรัฐอเมริกา และต่างประเทศ ให้เดินทางมายังแคลิฟอร์เนียเพื่อขุดทอง แต่เมื่อการทำเหมืองทองซบเซาลง แร่ทองคำหายากขึ้นจนแทบหมดไปจากพื้นที่ ผู้คนเริ่มทยอยทิ้งเมืองไปจนทำให้หลายเมืองกลายเป็นเมืองร้าง เหลือทิ้งไว้เพียงซากปรักหักพัง หนึ่งในนั้นคือเมือง โบดี้ (Bodie) Bodie ตั้งอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา เคยเป็นหัวใจสำคัญของเมืองชายแดนตะวันตก เพราะมีการทำเหมืองแร่ทองคำ จึงมีผู้คนอพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในเมืองนี้กว่า 10,000 คน มีร้านค้ามากมายและยังมีย่านไชน่าทาวน์อยู่กลางเมือง ทำให้เมืองโบดี้รุ่งเรืองและคึกคักมาก จนกระทั่งในปี 1879 อุตสาหกรรมเหมืองแร่ซบเซา เหมืองทองทยอยปิดตัวลงทำให้ชาวเมืองเริ่มทยอยย้ายออก ไป อีกทั้งเมืองโบดี้ได้ชื่อว่าเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน มีการฆ่ากันเกิดขึ้นเป็นประจำ กฎหมายเข้าไม่ถึง ประกอบกับเกิดเหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ลุกลามเผาทำลายบ้านเมืองและร้านค้าเกือบทั้งหมดเหลือไว้เพียงอาคารร้าง 150 หลังทำให้เมืองที่เคยคึกคัก กลายเป็นเมืองร้างจนได้ฉายาว่า "ghost town" ปัจจุบันเมืองโบดี้ได้รับการพัฒนาให้เป็นอุทยานประวัติศาสตร์แห่งชาติของรัฐแคลิฟอร์เนีย และเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกเดินทางมาเที่ยวชมปีละกว่า 200,000 คนเลยทีเดียวนอกจากเมือง Bodie ยังมีอีกเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองร้างแห่งแคลิฟอร์เนีย นั่นก็คือ เมือง “Cerro Gordo” ตั้งอยู่ในหุบเขา Inyo ก่อตั้งขึ้นในปีค.ศ.1865 เคยรุ่งเรืองมากด้านการทำเหมืองเงิน และสังกะสี เป็นเมืองที่มีการขุดพบแร่เงินมากที่สุดในสหรัฐอเมริกาช่วงที่รุ่งเรืองที่สุดเมืองนี้เจริญที่สุดเมืองCerro Gordo มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 5,000 คน ต่อมาการทำเหมืองค่อยๆ เสื่อมลง จนในที่สุดเมื่อปี 1950 เมืองนี้ก็ถูกทิ้งร้างไปโดยสมบูรณ์ ปัจจุบันเมืองCerro Gordo อยู่ภายใต้การครอบครองของนักธุรกิจชื่อ Brent Underwood ที่ตกหลุมรักเมืองร้างแห่งนี้ โดยไม่สนประวัติความเป็นมาของเมืองทุ่มเงินซื้อไปเมื่อปีค.ศ.2018 ในราคา 1.4 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 42 ล้านบาท ประกอบไปด้วยอาคารจำนวน 22 หลัง โบสถ์ที่ดัดแปลงเป็นทั้งโรงละคร และร้านขายของชำ Underwood วางแผนจะสร้างสตูดิโอดนตรี และจะเปิดให้บุคคลภายนอกเข้าชมเมืองนี้ในอนาคตหากแผนการของเขาเป็นจริง เมืองนี้ก็อาจจะกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เก๋อีกแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา

Read More

07/12/2563

ธนาคารกลางเริ่มเทขายทองคำ ขณะความต้องการบริโภคทองคำลดลงต่อเนื่อง


หลังจากนาคารกลางรัสเซียประกาศระงับการซื้อเข้าทองคำเพื่อเพิ่มสัดส่วนทองคำสำรองระหว่างประเทศเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งส่งลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนมากพอสมควร เนื่องจากธนาคารกลางรัสเซียเป็นผู้ชื้อทองคำรายใหญ่ทีสุดในโลกในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ล่าสุดสภาทองคำโลก (WGC) รายงานว่าธนาคารกลางทั่วโลกได้เริ่มขายทองคำแทนการซื้อเข้ามาตั้งแต่เดือนสิงหาคมแล้ว WGC เปิดเผยว่า ธนาคารกลางต่างๆได้ขายทองคำออกในเดือนสิงหาคมจำนวนสุทธิ 12.3 ตัน จากจำนวนทองคำที่ธนาคารกลางทั่วโลกถือครองอยู่ทั้งหมดราว 35,000 ตัน รวมมูลค่ากว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ยอดการซื้อทองคำของธนาคารกลางทั่วโลกในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ ลดลง 39% เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปีที่แล้ว แตะที่ 233 ตันทั้งนี้เมื่อปีที่แล้ว(2562)ธนาคารกลางทั่วโลกซื้อทองคำจำนวน 650 ตัน ลดลงจากปี 2561 ที่จำนวนถึง 656 ตัน ซึ่งเป็นจำนวนสูงที่สุดในรอบ 50 ปี โดยปี 2510 ธนาคารกลางต่างๆได้ซื้อทองคำปริมาณมากที่สุดนับตั้งแต่อดีตประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสันตัดสินใจยกเลิกระบบผูกติดค่าเงินดอลลาร์กับทองคำ ในส่วนของราคาทองคำก็มีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างชัดเจรโดยในช่วงต้นปีนี้ ราคาทองอยู่ที่ราว 1,500 ดอลลาร์/ออนซ์ และพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2,072.50 ดอลลาร์ในเดือนสิงหาคม ก่อนที่จะปรับตัวลงสู่ระดับราว 1,900 ดอลลาร์ในเวลาต่อมา ซึ่งนอกจากธนาคารกลางจะลดปริมาณความต้อการลงแล้ว ความต้องการบริโภคทองคำทั่วโลกในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 ก็ทรุดตัวลงด้วย เนื่องจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19สภาทองคำโลก (WGC) ยังระบุในรายงานอีกว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 ความต้องการทองคำทั่วโลกอยู่ที่ 2,076 ตัน ลดลง 6% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ขณะที่ความต้องการทองคำทั่วโลกในไตรมาส 2 ปีนี้ ดิ่งลง 11% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว แตะที่ 1,015.7 ตัน ความต้องการทองคำที่ใช้ในด้านเทคโนโลยีร่วงลง 13% เหลือเพียง 140 ตัน ส่วนความต้องการทองคำในภาค อุตสาหกรรมอัญมณีดิ่งลง 46% ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ แตะที่ 572 ตัน และความต้องการลงทุนในทองคำแท่งและเหรียญทองคำลดลง 17% สู่ระดับ 396.7 ตัน ในช่วงครึ่งปีแรกนี้ คงต้องรอดูกันต่อไปว่าครึ่งหลังของปี 2563 ตัวเลขความต้องการทองคำของธนาคารกลางและผู้บริโภคจะปรับตัวอย่างไร

Read More

28/10/2563

ถนนสายทองคำในเวียดนาม


หากพูดถึงถนนสายทองคำของไทย ก็ต้องนึกถึงถนนเยาวราชที่อยู่คู่กับธุรกิจค้าทองคำมายาวนานนับร้อยปี แต่ถ้าพูดถึงถนนสายทองคำของเวียดนามก็ต้องนึกถึงถนนโบราณ ๓๖ สายที่มีโครงข่ายเชื่อมถึงกันเหมือนใยแมมุมในราชธานีทังลองในอดีตหรือกรุงฮานอยในปัจจุบันนั่นเองถนนโบราณทั้ง ๓๖ สายในกรุงฮานอยนี้มีเอกลักษณ์ของชื่อถนนแต่ละสายที่จะขึ้นต้นด้วยคำว่า Hang เช่น Hang Bac Hang Chieu Hang Bun Hang Voi ฯ โดยความหมายของชื่อถนนเหล่านี้ได้บ่งบอกถึงสินค้าที่ขายประจำในแถวนั้นเช่น ถนน Hang Bac ขายเครื่องเงินเครื่องทอง หรือถนน Hang Thiec มักจะขายของที่ทำจากดีบุกหรืออะลูมิเนี่ยม เป็นต้น และถนนแต่ละสายเสมือนเป็นหมู่บ้านศิลปชีพแบบย่อส่วนแต่ก็ยังคงมีชีวิตชีวาคึกคักเป็นอย่างมาก นอกจากนั้นเสน่ห์อีกอย่างที่สร้างความสนใจให้แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติเมื่อเที่ยวย่านถนนโบราณฮานอยก็คือความสวยงามของสถาปัตยกรรมที่มีการผสมผสานอย่างลงตัวในชีวิตสังคม ไม่ว่าจะเป็นวัดวาอารามเก่าแก่ซ่อนตัวอยู่ในซอยเล็ก ตลาดนัดหรือร้านกาแฟริมถนน ส่วนบ้านเรือนก็มีลักษณะเป็นตึกแถวและขยายพื้นที่ตามส่วนลึก ซึ่งการที่ได้นั่งดื่มกาแฟและเห็นผู้คนไปมาหาสู่กันอย่างครึกครื้นหรือชมความสวยงามของบ้านเก่าๆหลังคามุงกระเบื้องที่มีอายุนับร้อยๆปีก็ถือเป็นความสุขอย่างหนึ่งเมื่อมาเยือนฮานอย ที่ถนนโบราณนี้ล้วนมีประวัติศาสตร์และผูกพันกับอาชีพหัตถกรรมมานับพันปี และช่างฝีมือเหล่านั้นก็ยังคงได้รับการอนุรักษ์และพัฒนาจนกลายเป็นวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่าของเวียดนามโดยเฉพาะ งานหัตถกรรมทำเครื่องประดับเงินประดับ โดยเฉพาะบนถนนห่างบากที่ยังคงประกอบอาชีพทำเครื่องประดับเงินประดับทองกันคึกคัก มีลูกค้าและนักท่องเที่ยวหมุนวียนมาอุดหนุนและเที่ยวชมไม่เคยขาด ไฮไลท์สำคัญบนถนนสายนี้อยู่ที่เลขที่ ๔๒ อันเป็นที่ตั้งของ วัดกิมเงิน และศาลเจ้ากิมเงิน สถานที่บูชาบรรพบุรุษผู้สร้างอาชีพทำเครื่องประดับเงินและทอง ศาลเจ้ากิมเงินถูกสร้างขึ้นเมือปลายศตวรรษที่ ๑๕ ถึงต้นศตวรรษที่ ๑๖ เพื่อบูชาบรรพบุรุษแบ๊กเหง่หรือบรรพบุรุษผู้สร้างอาชีพ ๑๐๐ อาชีพของย่านโบราณ ๓๖ สาย และตั้งอยู่บนถนนเก่าแก่ห่างบากมีสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นสวยงามมักจะถูกใช้เป็นสถานที่จัดกิจกรรมพื้นเมืองเพื่อเชิดชูผู้สืบสานองานศิลปาชีพอยู่เสมอได้รับการรับรองเป็นโบราณสถานสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม นอกจากกรุงฮานอยแล้ว ที่นครโฮจิมินห์ก็มีถนนสายเงินสายทองเช่นเดียวกัน การคณะกรรมการประชาชนเขต 5 นครโฮจิมินห์มีแผนการจัดตั้งถนนสายเงินสายทองบนถนน Nhieu Tam ถนน Nghia Tuc และถนน Bui Huu Nghia ในแขวง 5 เขต 5 เพื่อเป็นสถานที่รวบรวมความรู้และประสบการณ์ของช่างทำทอง ช่างทำเงิน ช่องหลอมทอง ชุบทอง ช่างเชื่อม และช่างทำเครื่องประดับชนิดต่างๆ ในนครโฮจิมินห์ มาไว้ด้วยกันประกอบด้วย ผู้ประกอบการ 55 ร้านค้าซึ่งทำธุรกิจซื้อขายทอง เงิน เครื่องประดับ ของมีค่า เครื่องมือเครื่องใช้ และเพชรพลอยต่าง ๆ สินค้าที่ขายจากร้านต่าง ๆ ในถนนเส้นนี้จะมีเครื่องหมายเพื่อยืนยันมาตรฐานลับรองคุณภาพทุกชิ้น

Read More

28/10/2563

อุตสาหกรรมเหมืองแร่ทองคำในเคนยา


เคนยาเป็นตลาดการค้าที่สำคัญของภูมิภาคแอฟริกาตะวันออก โดยสินค้าส่งออกหลักที่สำคัญ คือ กาแฟ ไม้ดอกไม้ประดับ แร่ทองเหลืองและทองคำ แม้ปัจจุบันเคนยายังไม่ใช่ผู้ผลิตทองรายใหญ่ มีเหมืองทองคำเพียงไม่กี่แห่งและส่วนใหญ่เป็นรายย่อย แต่ก็ยังมีข่าวการค้นพบแหล่งแร่ทองคำใหม่ๆเป็นระยะล่าสุดบรรษัทAcacia Miningของสหราชอาณาจักร ก็ได้ออกมาเปิดเผยว่าได้สำรวจพบแหล่งสำรองทองคำมูลค่ากว่า 16 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในเมืองKakamegaทางทิศตะวันตกของประเทศ ซึ่งเป็นสิ่งที่บ่งชี้ว่าเคนยายังมีแหล่งทรัพยากรสำรองที่รอการสำรวจอยู่อีกมากทั้งสินแร่ทองคำและสินแร่อื่น ๆ เช่นเดียวกับในประเทศเพื่อนบ้านอย่าง แทนซาเนีย และยูกันดาบรรษัทAcacia Miningระบุว่าการค้นพบแหล่งสำรองทองคำข้างต้นทำให้เชื่อได้ว่าเมืองKakamega น่าจะมีแหล่งสำรองสินแร่ทองคำอย่างน้อย1.31 ล้านออนซ์หรือมีสินแร่ทองคำ 12.1 กรัมต่อหินน้ำหนัก 1 ตัน ซึ่งเป็นการค้นพบสินแร่ทองคำที่มีสัดส่วนทองคำในหินสูงที่สุดในทวีปแอฟริกานอกจากนี้ Acacia Miningยังบอกด้วยว่าสินแร่ทองคำที่ค้นพบข้างต้นจะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ได้อย่างแน่นอนและสามารถดำเนินการได้ในทันที โดยAcacia Miningจะใช้เวลา ราว 3 ปี ในการสำรวจพื้นที่ภายใต้สัมปทานของตนเพื่อทำแผนที่แหล่งสำรองสินแร่ทองคำอย่างสมบูรณ์ทั้งนี้ บรรษัทAcacia Miningได้รับใบอนุญาตให้ทำการสำรวจขุดค้นสินแร่ในพื้นที่Liranda Corridorในเคนยาตะวันตกซึ่งครอบคลุมพื้นที่เมืองKakamega Siaya KisumaและVihigaก่อนหน้านี้ทางบรรษัทAcacia Miningประสบความสำเร็จในการค้นพบแหล่งสำรองสินแร่ทองคำในแทนซาเนีย ซึ่งจนถึงปัจจุบันสามารถผลิตทองคำได้มากถึง 8 ล้านออนซ์จากพื้นที่North Mara, Bulyanhulu และ Buzwagi สำหรับเคนยาAcacia Miningได้เข้าไปเริ่มทำการสำรวจเมื่อปี 2555 โดยครอบคลุมพื้นที่สำรวจราว 2.5 พันตารางกิโลเมตร และได้ลงทุนสำรวจไปเกือบ 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐแล้ว นอกจากการสำรวจโดยบรรษัทAcacia Miningแล้วยังมีบรรษัทGoldplatของสหราชอาณาจักรที่ได้ดำเนินการสำรวจและขุดค้นสินแร่ทองคำในพื้นที่เมืองNarokซึ่งสามารถแยกสินแร่ทองคำได้ราว 200 กิโลกรัมต่อปี (มูลค่าราว 8.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 312ล้านบาท)บรรษัทAcacia Miningเป็นผู้ดำเนินธุรกิจสำรวจและขุดค้นสินแร่ทองคำรวมถึงสินแร่อื่น ๆ ในหลายประเทศในทวิปแอฟริกา เช่นเคนยา แทนซาเนีย มาลี และเบอร์กินาฟาโซ

Read More

28/10/2563

ความต้องการเครื่องประดับทองทั่วโลกร่วงต่อเนื่อง


การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 การเพิ่มขึ้นของราคาทองคำ และกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง สงผลให้ตลาดเครื่องประดับทองรายใหญ่ของโลกอย่างจีน และอินเดียหดตัวลง โดยตัวเลขความต้องการเครื่องประดับทองลดลงมากกว่าร้อยละ๕๐ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รวมไปถึงความต้องการเครื่องประดับทองจากทั่วโลกก็ร่วงลงเช่นเดียวกันตลาดสำคัญอย่างตะวันออกกลางและตุรกี ซึ่งเคยเป็นตลาดใหญ่และผู้บริโภคมีกำลังซื้อสูง ความต้องการเครื่องประดับทองลดลงมากอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยความต้องการเครื่องประดับทองในตุรกีและตะวันออกกลางร่วงลงถึงร้อยละ 69ในไตรมาสที่สองเหลือเพียง 3 ตันในตุรกี ซึ่งนับเป็นความต้องการรายไตรมาสที่ต่ำที่สุดในฐานข้อมูลของ World Gold Council ส่วนตลาดตะวันออกกลางความต้องการเครื่องประดับทองลดลงมาอยู่ที่ 13.6 ตัน โดยสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์มีความต้องการลดต่ำลงมากที่สุดเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว คือลดลงร้อยละ 86 มาอยู่ที่ 1.3 ตัน และความต้องการเครื่องประดับทองในอิหร่านลดลงร้อยละ 66 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว มาอยู่ที่ปริมาณ 10.2 ตันในตลาดประเทศตะวันตกโดยเฉพาะในสหรัฐ ลดลงมากถึงร้อยละ 34 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว มาอยู่ที่ 19.1 ตัน ซึ่งเป็นไตรมาสที่มีความต้องการต่ำที่สุด ทำให้ความต้องการเครื่องประดับทองช่วงครึ่งปีแรกนี้ลดลงร้อยละ 21 มาอยู่ที่จุดต่ำสุดในรอบแปดปีที่ 41.9 ตัน ซึ่งการปิดร้านเนื่องจาก COVID-19 เป็นเหตุผลที่เห็นได้ชัดเจน และยิ่งส่งผลรุนแรงหนักขึ้นไปอีกเมื่อการปิดเมืองครอบคลุมช่วงเทศกาลอีสเตอร์และวันแม่ด้วย ความต้องการเครื่องประดับทองในยุโรปก็ลดลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์เช่นกันกล่าวคือ ความต้องการในไตรมาสที่สองลดลงร้อยละ 42 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมาอยู่ที่ 8.2 ตัน ส่งผลให้ความต้องการช่วงครึ่งปีแรกนี้มาอยู่ที่ 19 ตัน ลดลงร้อยละ 29 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยตลาดอิตาลีและอังกฤษได้รับผลกระทบมากที่สุด ความต้องการเครื่องประดับทองลดลงถึงร้อยละ 45 ในไตรมาสที่สองของปีนี้ ในตลาดเอเชียความต้องการเครื่องประดับทองก็ลดลงโดยทั่วหน้ากันทั้งอินโดนีเซียและไทยมีความต้องการเครื่องประดับทองลดลงมากที่สุดในไตรมาสที่สองและครึ่งปีแรก เนื่องจากทั้งสองตลาดต้องรับมือกับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 บวกกับเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอยู่ก่อนแล้ว ส่วนในญี่ปุ่นนั้น ลดลงร้อยละ 40 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มาอยู่ที่ 2.5 ตัน ส่งผลให้ความต้องการในครึ่งปีแรกนี้ลดลงร้อยละ 27 เป็น 5.6 ตัน โดยมีความต้องการสร้อยทองน้ำหนักสูง ซึ่งน่าจะมีจุดประสงค์เพื่อการลงทุนร่วมด้วย

Read More

28/10/2563

ความต้องการเครื่องประดับทองลดลงต่ำสุดในรอบ ๑๐ ปี


World Gold Council รายงานข้อมูล ความต้องการเครื่องประดับทองทั่วโลกในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2020ลดลงเกือบครึ่งที่อัตราร้อยละ 46 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มาอยู่ที่ 572 ตัน ซึ่งนับเป็นระดับต่ำสุด อันเป็นผลมาจากอุปสงค์เครื่องประดับทองที่ลดลง จากผลกระทบของโควิด 19 และราคาทองคำในตลาดโลกพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ World Gold Council ยังรายงานว่าความต้องการช่วงไตรมาสที่สองของปีนี้ว่าต่ำที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยอยู่ที่ 251 ตัน หรือลดลงร้อยละ 53 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว สาเหตุน่าจะมาจากความต้องการเครื่องประดับทองในครึ่งปีแรกของจีนและอินเดียซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดในโลกลดต่ำลง จึงส่งผลกระทบอย่างต่อความต้องการของตลาดทั่วโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้สภาทองคำโลกรายงานว่า ความต้องการเครื่องประดับทองของจีนในไตรมาสที่สองของปีนี้ลดลงร้อยละ 33 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมาอยู่ที่ 90.9 ตัน ส่งผลให้ความต้องการในช่วงครึ่งปีแรกนี้อยู่ที่ 152.2 ตัน หรือลดลงร้อยละ 52 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งนับเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ครึ่งแรกของปี 2007 เป็นต้นมา ทั้งนี้เนื่องจาก COVID-19 ส่งผลกระทบอย่างต่อเนื่องต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคอย่างไรก็ดี คาดว่าความต้องการเครื่องประดับทองของจีนในไตรมาสที่สองของปีนี้ น่าจะกระเตื้องขึ้นจากไตรมาสก่อนเพราะจีนสามารถควบคุมสถานการณ์ไวรัสได้แล้ว ในขณะที่ความต้องการเครื่องประดับทองในอินเดียลดลงในไตรมาสที่สองของปีนี้ด้วยสาเหตุจากการปิดเมืองและการระบาดของโควิด19 ทั่วทั้งประเทศ ทำให้ความต้องการในช่วงเทศกาลสำคัญหายไป ตลอดจนราคาทองที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ความต้องการเครื่องประดับทองในอินเดียลดลงร้อยละ 74 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว มาอยู่ที่ 44 ตัน ซึ่งนับว่าเป็นความต้องการรายไตรมาสที่ต่ำที่สุดเท่าที่เก็บข้อมูลมาในช่วงหลายปีในส่วนของมูลค่าความต้องการเครื่องประดับทองในช่วงครึ่งปีแรกนี้อยู่ที่ 30,100 ล้านเหรียญสหรัฐนับว่าเป็นมูลค่าที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2009 เป็นต้นมา ซึ่งในเวลานั้นทองคำมีราคาในหน่วยเหรียญสหรัฐเพียงราวร้อยละ 50 ของระดับราคาปัจจุบัน ทั้งนี้เพราะความต้องการเครื่องประดับทองในช่วงครึ่งปีแรกนี้เหลือเพียง 572 ตัน คิดเป็นราวครึ่งหนึ่งของค่าเฉลี่ยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาซึ่งอยู่ที่ 1,106 ตัน

Read More

28/10/2563

เข็มกลัด เครื่องประดับจากอดีตสู่ปัจจุบัน


เข็มกลัดประดับ ในสมัยโบราณเรียกว่า เข็มกลัดตรึง หรือ เข็มกลัดฟิบิวลา ใช้ติดประดับเสื้อผ้า มักทำด้วยโลหะมีค่าเช่น เงิน หรือ ทอง แต่บางครั้งก็ทำด้วยสำริดหรือวัสดุอื่น ประดับแตกแต่งด้วยเครื่องเคลือบหรือ อัญมณี เข็มกลัด ถือเป็นหนึ่งในเครื่องประดับที่อยู่คู่กับวิถีชีวิตของผู้คนมายาวนาน มีบันทึกถึงเข็มกลัดชิ้นแรกในประวัติศาสตร์ที่ถูกค้นพบระบุว่ามันทำมาจากหินที่ฝนจนเป็นแท่งอย่างง่ายๆ สำหรับเข็มกลัดที่ทำจากโลหะชิ้นแรกเกิดขึ้นในยุคสำริด เมื่อราว 2,500 -4,000 ปีที่ผ่านมา และจากจุดนั้นเข็มกลัดได้ถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องทั้งในเรื่องประโยชน์ใช้สอย รูปทรง และดีไซน์การออกแบบเข็มกลัดมีความหลากหลาย สวยงามและซับซ้อนมากขึ้นตามกาลเวลา เข็มกลัดที่คนรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยโบราณมีหลายรูปแบบได้แก่เข็มกลัดเซลติก หรือเข็มกลัดไวกิ้ง ทำขึ้นเพื่อใช้ตรึงเสื้อผ้าและผ้าคลุมของชาวเคลต์และชาวไวกิ้งเพื่อเพิ่มความแน่นกระชับ ถูกพบครั้งแรกช่วงยุคกลางในประเทศไอร์แลนด์และสหราชอาณาจักร มีลักษณะเป็นห่วงวงแหวนโลหะ เหน็บด้วยแท่งโลหะแหลมเล็ก เข็มกลัดไว้ทุกข์ ได้รับความนิยมมากในยุควิคตอเรีย มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ระลึกถึงสมาชิกในครอบครัวหรือบุคคลอันเป็นที่รักผู้ล่วงลับ มักออกแบบให้สื่อถึงความตายหรือเชื่อมโยงกับผู้ตาย โดยอาจเป็นภาพวาด หรือการลงยาในโทนสีขาว-ดำ รวมถึงตกแต่งด้วยรูปและเส้นผมของผู้ตาย เข็มกลัด En Tremblant Brooches เป็นภาษาฝรั่งเศส แปลว่า สั่น สะเทือน เริ่มเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมในช่วงศตวรรษที่ 18-19 มักออกแบบให้เป็นช่อดอกไม้ มีการซ่อนกลไกหรือสปริงที่ช่วยให้เข็มกลัดเกิดการเคลื่อนไหวได้ขณะที่สวมใส่ อันเป็นที่มาของชื่อนั่นเอง เข็มกลัดคามิโอ เป็นที่รู้จักมาตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณและได้แพร่หลายเข้าสู่วัฒนธรรมกรีกและโรมัน โดย ได้รับความนิยมสูงสุดในช่วงรัชสมัยของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักรเข็มกลัดหวานใจ หรือเข็มกลัดแห่งรัก เป็นที่รู้จักครั้งแรกในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อบรรดาทหารได้มอบมันให้เป็นของขวัญหรือของที่ระลึกแก่หญิงผู้เป็นที่รักก่อนเข้ากรมทหารเพื่อรับใช้ชาติ และกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เข็มกลัดชนิดนี้ทำจากแผ่นโลหะเงินที่ถูกสลักให้เป็นลวดลายหรือข้อความที่สื่อและสะท้อนถึงความรักที่เขามีให้กับหญิงที่รัก เช่น รูปหัวใจ ดอกไม้ และนก Love Bird เป็นต้น เข็มกลัดเหล่านี้เคยเป็นที่นิยมในอดีต ปัจจุบันรูปแบบของของเข็มกลัดได้เปลี่ยนไปอย่างมาก ทั้งการออกแบบ วัสดุที่ใช้ และวัตถุประสงค์ของการใช้งาน

Read More

28/10/2563

ต่างหู กระจอน ความงาม และความเชื่อที่แตกต่าง


จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์พบว่า มนุษย์รู้จักการนำสิ่งต่างๆ มาประยุกต์ใช้ทำเป็นต่างหู มานานหลายพันปีมาแล้ว โดยไม่ได้จำกัดการใช้งานเฉพาะผู้หญิงเท่านั้น ผู้ชายจำนวนมากก็เลือกที่จะสวมใส่ต่างหูแต่ไม่ใช่เพื่อความสวยงาม แต่เป็นความหมายในเชิงสัญลักษณ์ท่เกี่ยวข้องกับกับศรัทธา ศาสนา และความเชื่อ ในบางวัฒนธรรม ต่างหูถูกนำไปใช้เชื่อมโยงกับขนบธรรมเนียมต่างๆ เช่น การใส่ต่างหูของสตรีชาวจีนในสมัยโบราณ เพื่อเตือนสติให้สาวๆ ระมัดระวังกริยาและความประพฤติ รวมถึงการวางตัวให้เหมาะสม ขณะที่ในบางวัฒนธรรมต่างหูคือ การแสดงออกถึงอัตลักษณ์ของท้องถิ่นอันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาตกทอดมาจากบรรพบุรุษ อย่างเข่น กระจอน ซึ่งพบได้ในแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย กระจอน หรือ กระจ้อน หรือ ขะจอน เป็นเครื่องประดับซึ่งเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมในหมู่สตรีของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ เช่น ไทย-เขมร ไทลื้อ ไทย-ลาว และภูไท ซึ่งอาศัยอยู่ทางแถบอีสานใต้ของไทย เป็นต่างหูโบราณที่ส่วนหัวมีลักษณะเป็นแป้นวงกลมเชื่อมติดเข้ากับส่วนก้านที่โค้งงอเหมือนตะขอ หากมีการตกแต่งด้วยตุ้งติ้งห้อยระย้าย้อยลงมา จะเรียกว่า กระจอนยอย เมื่อสวมแล้วส่วนก้านจะห้อยลงมาจากด้านหลังใบหู โดยก้านของกระจอนนั้นจะมีขนาดใหญ่กว่าก้านของต่างหูทั่วไป ผู้หญิงที่จะสวมกระจอน ต้องเจาะรูที่ปลายใบหูให้มีขนาดใหญ่กว่าปกติ กระจอน มีลวดลายละเอียด ซับซ้อน สวยงาม ส่วนใหญ่ได้แรงบันดาลใจมาจากดอกไม้ เช่น ดอกแก้ว หรือดอกพิกุล ส่วนใหญ่ทำมาจากโลหะมีค่า ทั้งทองคำและเงิน แต่ก็ยังพบกระจอนที่ทำจากทองเหลืองได้เหมืนกัน ซึ่งวัสดุที่ใช้สามารถบ่งบอกฐานะ และสถานภาพทางสังคมของผู้สวมใส่ได้ แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป การใส่ต่างหูและกระจอนไม่ได้เชื่อมโยงกับความเชื่อและขนบธรรมเนียมอีกต่อไปแต่เน้นเรื่องของความสวยงามและแฟชั่นเป็นหลัก ปัจจุบันยังสามารถพบเห็นแม่เฒ่าสวมกระจอนในโอกาสงานบุญต่างๆอยู่บ้าง แต่ก็ดูเหมือนจะลดน้อยลง ด้วยถูกมองว่าล้าสมัยในสายตาคนยุคใหม่ อีกทั้งช่างฝีมือชั้นครูต่างก็ล้มหายตายจากไปมาก ที่หลงเหลืออยู่ก็มีจำนวนไม่มากนัก ยิ่งทำให้กระจอนซึ่งเป็นเครื่องประดับอันทรงคุณค่ากำลังจะสูญหายไปอย่างน่าเสียดาย

Read More

28/10/2563

โอกาสทองของเครื่องประดับเทียม


ในสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ผู้บริโภคมีกำลังซื้อลดลงอย่างในปัจจุบัน สินค้าหลายประเภทได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะเครื่องประดับที่จัดเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย ที่ผ่านมาจึงเห็นตัวเลขความต้องการเครื่องประดับแท้ลดลงไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับทอง หรืออัญมณี โดยผู้บริโภคได้หันมาให้ความสนใจกับเครื่องประดับเทียม หรือ Costume Jewellery หรือ Fashion Jewellery มากขึ้น จึงเป็นโอกาสทองของผู้ประกอบการเครื่องประดับเทียมในการขยายตลาด จากรายงานของ Alliedmarketresearch ระบุว่า ในปี 2019 ตลาดเครื่องประดับเทียมของโลกมีมูลค่า 32.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งผู้หญิงมีส่วนแบ่งกว่าครึ่งหนึ่งของการบริโภคเครื่องประดับเทียมทั้งหมด และคาดว่ามูลค่าเครื่องประดับเทียมของโลกจะเพิ่มเป็น 59.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2027 โดยระหว่างปี 2020-2027 เครื่องประดับเทียมจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 7.8% ในปี 2019 สร้อยคอและสร้อยข้อมือมีสัดส่วนการบริโภครวมกันราว 41.4% และมีแนวโน้มขยายตัวมากขึ้นในกลุ่มผู้บริโภคทั้งผู้หญิงและผู้ชาย อีกทั้งยังคาดว่าแหวนจะเป็นสินค้าที่เติบโตเร็วที่สุดในกลุ่มเครื่องประดับเทียม โดยจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 8.9% ในระหว่างปี 2020-2027 สำหรับตลาดผู้บริโภคเครื่องประดับเทียมสำคัญของโลก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา แคนาดา และเยอรมนี ซึ่งเป็นตลาดเดิม ในขณะที่ตลาดเกิดใหม่อย่าง จีน บราซิล และอินเดีย ก็มีแนวโน้มการเติบโตที่สูงขึ้นจากกลุ่มคนรุ่นใหม่ และผู้หญิงทำงานนอกจากภาวะเศรษฐกิจและราคาโลหะมีค่าจะเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการซื้อเครื่องประดับเทียมแล้ว เซเล็บคนดัง หรือนักแสดงดังจากฮอลลีวูดและบอลลีวูด ก็มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อเครื่องประดับเทียมของคนทั่วไปเป็นอย่างมาก จากผลการสำรวจผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกาพบว่า ผู้ทรงอิทธิพลเหล่านี้มีเป็นผู้สร้างยอดขายและมีส่วนช่วยโน้มน้าวในการตัดสินใจของผู้บริโภคได้ถึง 30% ในการสำรวจผู้หญิงเกือบ 1,500 คน พบว่า กว่า 86% ให้ความไว้วางใจแก่การตัดสินใจของผู้ทรงอิทธิพล (Influencers)เหล่านั้น ทั้งนี้ ไทยเป็นผู้ส่งออกเครื่องประดับเทียมใน 10 อันดับแรกของโลกมานานนับทศวรรษ และล่าสุดในช่วงเดือนมกราคม-กรกฎาคม 2563 ไทยก้าวขึ้นมาเป็นผู้ส่งออกในอันดับที่ 4 ของโลก ด้วยสัดส่วนราว 5.61% ของมูลค่าส่งออกเครื่องประดับเทียมในตลาดโลก หรือมีมูลค่าส่งออก 147 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 1.22% ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยโดยรวม สำหรับตลาดส่งออกหลักใน 5 อันดับแรกของไทย ได้แก่ ลิกเตนสไตน์ สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส และฮ่องกง ตามลำดับ โดยมีจีนหรืออินเดีย เป็นคู่แข่งสำคัญของไทย เพราะมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่า ข้อมูล :สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับ

Read More

28/10/2563

Ear Cuff แฟชั่นสองพันปี


Ear Cuff คือ ต่างหูแบบครอบหู ถูกออกแบบให้เป็นโค้งรับรอยพับของหูด้านนอกใช้สวมที่ส่วนบนของใบหูโดยไม่จำเป็นต้องเจาะหู ทำจากวัสดุหลายชนิดเช่น ทอง เงิน ไทเทเนียม ทองแดง หรือโลหะอื่นๆ ประดับพลอยหรือหินสี มีการค้นพบหลักฐานยืนยันว่ามีการใช้ Ear Cuff มานานกว่าสองพันปีก่อนคริสตกาล โดยพบมากที่สุดแถบฝั่งทวีปเอเชียและตะวันออกกลาง ที่เรียกว่า Kaffa หรือ Kafaในอดีตนั้น Ear Cuff เป็นโลหะทรงโค้งเรียบๆ เท่านั้น แต่ปัจจุบันรูปแบบของ Ear Cuff ได้ถูกพัฒนาให้มีความหลากหลาย มีทั้งแบบหนีบ เกาะ เกี่ยว และคล้องใบหู มี มีน้ำหนักเบา ทำให้เครื่องประดับชนิดนี้สามารถสวมใส่ได้ทุกคน และได้รับความนิยมในหลายประเทศ โดยเฉพาะในประเทศอินเดียที่ เครื่องประดับชิ้นนี้ถูกสวมใส่ในพิธีแต่งงานและเทศกาลสำคัญ อีกทั้งยังเป็นเครื่องประดับแสดงความมั่งมีของผู้สวมใส่ แต่ต่อมาการสวมใส่ต่างหูแบบครอบหูในอินเดียได้เริ่มหายไปเนื่องจากเป็นเครื่องประดับที่มีน้ำหนักค่อนข้างมาก สำหรับประเทศไทยก็มีเครื่องประดับที่คล้ายๆ Ear Cuff ด้วยเช่นกันเรียกว่าจรหู เป็นเครื่องประดับหูลายกนก ใช้ตกแต่งร่วมกับมงกุฎ ชฎา หรือรัดเกล้า เดิมทำเป็นดอกไม้สด ร้อยเป็นช่อข้างใบหู ต่อมาทำจากทอง แต่ไม่ได้เป็นที่นิยมในการสวมใส่ในชีวิตประจำวันเนื่องจากรูปแบบที่ไม่เอื้อ แต่ใช้ในการแต่งกายของนางละคร หรือนางในวรรณคดี เพื่อใช้ในการแสดงเท่านั้น Ear Cuff กลับมาได้รับความสนใจอีกครั้ง ในปี ๒๐๑๓ เมื่อดีไซด์เนอร์คนดัง นำเสนอเครื่องประดับชนิดนี้กับเสิ้อผ้าคอลเลคชั่นใหม่ และได้รับความสนใจมากที่สุดเมื่อแคทริโอนา เกรย์ (Catriona Gray) ผู้ได้รับตำแหน่ง Miss Universe 2018 สวมใส่ต่างหูแบบครอบหู ที่ออกแบบให้ตัวก้านเป็นทรงสำหรับสวมหลังใบหู พร้อมดีไซน์รูปเสี้ยวพระอาทิตย์และดวงดาวจากธงชาติฟิลิปปินส์ จนสาว ๆ หลายคนอยากครอบครอง และกลายเป็นเทรนด์ต่างหูแฟชั่นที่มาแรง ล่าสุดในปี 2020 นี้ ซูเปอร์สตาร์ตัวแม่อย่าง Beyonce ก็ปลุกกระแสการใส่ Ear Cuff ดีไซน์เก๋ด้วยตัวอักษรเท่ๆ นอกจากนี้ Ear Cuff ยังเป็นเครื่องประดับที่แพร่หลายในวงการแฟชั่นเจ้าสาวในปีนี้อีกด้วย

Read More

28/10/2563

"เหมืองทอง"ถล่ม ความเศร้าซ้ำซาก


เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๓ มีรายงานข่าวว่า เกิดเหตุการณ์เหมืองทองคำในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก หลังฝนตกหนักต่อเนื่องหลายวัน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย ๕๐ คน และมีคนงานติดอยู่ในอุโมงค์ใต้ดินเป็นจำนวนมาก ยังไม่มีรายงานชัดเจนเกี่ยวกับจำนวนผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้แต่คาดว่ามีไม่น้อยกว่า ๕๐ คน ผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า ฝนตกหนักต่อเนื่องทำให้น้ำฝนไหลเข้าไปในอุโมงค์ภายในเหมืองซึ่งมีคนอยู่จำนวนมาก คนงานเหมืองพยายามอพยพออกมาแต่ก็ต้องเผชิญกับน้ำไหลเชี่ยว เหมืองทองคำ ‘ดีทรอยต์’ เป็นของบริษัทแบนโร คอร์เปอเรชั่น สัญชาติแคนาดา ตั้งอยู่ในเขตสัมปทานทำเหมืองทองคำในใกล้เมืองคามิตูกา ทางตะวันออกของสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก เกิดถล่มลงมาในช่วงเวลาประมาณ ๑๕.๐๐ น. ตามเวลาท้องถิ่น หลังจากเกิดฝนตกหนัก คนงานเหมืองจำนวนมากซึ่งส่วนใหญ่อายุน้อยติดอยู่ในปล่องอุโมงค์ ทั้งนี้ อุบัติเหตุระหว่างการทำเหมืองในดีอาร์คองโกเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นประจำ เนื่องจากขาดการตรวจสอบ ในแต่ละปีจะมีผู้เสียชีวิตที่เหมืองต่างๆ หลายสิบราย โดยบ่อยครั้งที่สาเหตุเกิดจากอุปกรณ์ไม่ได้มาตรฐานพอ โดยในปี 2562 ก็เพิ่งเกิดเหตุดินสไลด์ที่เหมืองทอง เหมืองทองแดงและโคบอลต์ ทำให้มีผู้เสียชีวิตรวมกว่า 59 ศพ สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกเป็นประเทศที่มีแร่ธาตุมากมาย เช่น โคบอลต์ เพชร ทองแดง และทองคำ แต่ประชากรในประเทศยังคงอยู่ในกลุ่มที่ยากจนที่สุดในโลก หลังจากเกิดความขัดแย้ง ภายในประเทศหลายปีติดต่อกันขณะที่อุบัติเหตุในอุตสาหกรรมเหมืองแร่ในคองโกนั้นเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เนื่องจากมาตรฐานความปลอดภัยที่ไม่ได้มาตรฐานทองคำจากคองโกเคยมีฉายาว่า ทองคำเปื้อนเลือด หรือ Blood Gold เช่นเดียวกับ เพชรโลหิต หรือ Blood Diamond จากประเทศเซียร์รา ลีโอน ซึ่งต่อมาถูกตีแผ่เป็นภาพยนตร์ในชื่อเดียวกัน นำแสดงโดย ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ เพราะได้มาจากการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง

Read More

28/10/2563

กำพูฉัตร เทวดารักษาฉัตร


เครื่องราชกกุธภัณฑ์ที่สำคัญที่สุด มากกว่าพระมหาพิชัยมงกุฎและแสดงถึงความเป็นพระมหากษัตริย์ คือ มหาเศวตฉัตร หรือที่เรียกว่า "นพปฎลมหาเศวตฉัตร" เป็นฉัตร ๙ ชั้น มียอด ขลิบทอง แผ่ลวด และหุ้มผ้าขาวระบาย ๓ ชั้น มหาเศวตฉัตรนี้จะไม่มีการเปลี่ยนใหม่โดยเด็ดขาดนับจากวันที่ประดิษฐานขึ้นวันแรกในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติของพระมหากษัตริย์ ยกเว้นจะมีการเปลี่ยนรัชกาลที่จึงมีการเปลี่ยนพระมหาเศวตฉัตรองค์ใหม่ และเลื่อนมหาเศวตฉัตรองค์เดิมที่ผ่านรัชกาลนั้นไปแล้วลง หรือหากว่ามหาเศวตฉัตรองค์นั้นใช้มานานมากจนขาด หลุดร่วง เปื่อยยุ่ยเป็นผง จึงจะทำการเปลี่ยนใหม่แม้จะยังไม่เปลี่ยนรัชกาลก็ตาม อย่างไรก็ตามในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการเปลี่ยนพระนพปฎลมหาเศวตฉัตรในระหว่างรัชกาล เพราะปรับปรุงนพปฎลมหาเศวตฉัตรหลายย่าง โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้หุ้มทองเกลี้ยงที่คันและซี่ฉัตร หุ้มทองลงยาราชาวดีที่กำพูและยอดพระนพปฎลมหาเศวตฉัตรในท้องพระโรงพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย เศวตฉัตรนั้นประกอบด้วย ส่วนของแกนกลางของฉัตร ที่เรียกว่าคันฉัตร และตัวฉัตร โดยมีส่วนที่ทำให้ฉัตรสามารถกางและหุบได้เช่นเดียวกับร่ม เรียกว่ากำพูฉัตรเป็นรูปเทวดาทำด้วยทองคำลงยาราชาวดีประดับอัญมณี อยู่ในท่าเหาะพระหัตถ์ข้างหนึ่งทรงถือพระขรรค์ พระหัตถ์อีกข้างยกขึ้นเสมอพระเศียรกำก้านโลหะอันสอดตรึงไว้กับคันฉัตรใต้กำพู มีมาลัยห้อยโดยรอบเพื่อเป็นการถวายเป็นเทพบูชาแด่เทพยดาที่รักษาฉัตร พระมหาเศวตฉัตร ๙ ชั้นนี้ มีความหมายว่า พระมหากษัตริย์ของไทยเป็นใหญ่เหนือทิศทั้ง ๙ คือทิศหลัก ๔ ทิศ คือ เหนือ ใต้ ออก ตก ทิศรอง ๔ ทิศ คือ ตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันออกเฉียงเหนือ ตะวันตกเฉียงใต้ ตะวันตกเฉียงเหนือ ทิศที่ ๙ คือเบื้องล่างและทิศที่ ๑๐ คือทิศเบื้องบน ทั้ง ๙ ทิศ พระมหากษัตริย์ไทยทรงถือครองว่าอยู่ภายใต้พระราชอำนาจของพระองค์ ส่วนทิศที่ ๑๐ หรือทิศเบื้องบนนั้น พระองค์ได้ถวายให้เป็นที่สถิตแห่งปวงเทพเทวาเทวดาทั้งหลาย ซึ่งพระมหาเศวตฉัตรนี้ ยังมีนัยยะสำคัญถึงร่มเงาแห่งพสกนิกรขององค์พระมหากษัตริย์

Read More

29/09/2563

ซาโดะคินซัง... จากเหมืองทองใหญ่ที่สุดสู่แหล่งทองเที่ยวยอดนิยม


บนเกาะซาโดะ (Sado Island) ในจังหวัด นิงาตะ(Niigata)คือที่ตั้งของเหมืองทองซาโดะคินซัง(Sado Kinzan Gold Mine) เหมืองทองคำและเหมืองเงินที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น เปิดดำเนินการมาตั้งแต่สมัยเอโดะเพื่อเป็นแหล่งเงินทุนสำหรับโชกุนโทคุกาวะ โดยทำต่อเนื่องมานานกว่า400 ปีจากค.ศ. 1601 มาสิ้นสุดลงเมื่อปี1989 นี่เองเหมืองทองซาโดะ มีสายแร่ทองคำทอดตัวอยู่ในแนวตะวันออก-ตะวันตกกว้าง ประมาณ 3,000 เมตร ในแนวเหนือ-ใต้ ประมาณ 600 เมตร และลึกประมาณ 800 เมตร ปริมาณทองคำและเงินที่ผลิตได้นั้นว่ากันว่า ตลอดเวลาของการเปิดเหมืองสามารถผลิตทองคำได้กว่า 78 ตัน และเงินอีก 23 ตัน ปัจจุบันเหมืองทองซาโดะ ได้รับการขึ้นบัญชีรายชื่อเบื้องต้นของแหล่งมรดกโลกยูเนสโกในปี 2010 ในรายการ "กลุ่มมรดกเหมืองซาโดะโดยเฉพาะทองคำ" และทางการญี่ปุ่นได้จัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์เพื่อเปิดให้นักท่องเที่ยวและผู้สนใจเข้ามาศึกษาการทำเหมืองทองคำ ตั้งแต่สมัยเอโดะจนถึงสมัยเมจิ ในพื้นที่ขนาดใหญ่ที่ยังเต็มไปด้วยร่องรอยการทำเหมืองทั้งอุโมงค์เหมืองที่มีความยาวกว่า 400 กิโลเมตร สถานขุดเจาะ และโรงถลุงแร่เป็นต้น นักท่องเที่ยวที่มาที่นี่เป็นครั้งแรกนิยมเที่ยวแบบ Soudaifukou Course คือการเดินไปในอุโมงค์ที่ขุดไว้สมัยเอโดะ เพื่อเที่ยวชมและศึกษาเครื่องมือเครื่องใช้ มีหุ่นคนงานจำลองขนาดเท่าคนจริงแสดงการทำงานในสมัยนั้น นอกจากนี้ยังมีการท่องเที่ยวแบบ Douyukou Course ซึ่งนักท่องเที่ยวจะได้เห็นอุโมงค์ที่ใช้ในสมัยเมจิและยุคถัดมา มีการจัดแสดงรถไฟลากที่ใช้ในสมัยนั้น และกลไกการทำงาน การขุดทองภายในอุโมงค์ที่มีความยาวหลายร้อยเมตร หากต้องการสัมผัสประสบการณ์ตรงและน่าตื่นเต้นนักท่องเที่ยวสามารถเดินผ่านอุโมงค์มืดซึ่งขุดโดยนักสำรวจแร่สมัยเอโดะ โดยใช้ไฟฉายส่องนำทางได้ แต่ถ้าต้องการความสะดวกสาย ก็สามารถโดยสารรถบัสไปพร้อมกับมัคคุเทศก์เพื่อไปชมการทำเหมืองแบบสมัยใหม่ ซึ่งการท่องเที่ยวแต่ละรูปแบบจะมีค่าใช้จ่ายแตกต่างกันระหว่าง 900 ถึง 3400 เยน

Read More

29/09/2563

เพริดอต อัญมณีแห่งสุริยะ


เพริดอตเปรียบเสมือนอัญมณีประจำชาติของอียิปต์ เพราะมีหลักฐานทางโบราณคดีซึ่งชาวไอยคุปต์บันทึกไว้บนกระดาษปาปิรุสว่ามีการทำเหมืองเพริดอตบนเกาะเซนต์จอห์น (St. John’s Island) ในทะเลแดงเมื่อกว่า 1,500 ปีก่อนคริสตกาล โดยชาวไอยคุปต์โบราณเรียกอัญมณีชนิดนี้ว่า “อัญมณีแห่งสุริยะ” (Gem of the Sun) ในขณะที่ชาวโรมันเรียกอัญมณีชนิดนี้ว่า“มรกตยามอาทิตย์อัสดง”(Evening Emerald)ชื่อของเพริดอตนั้นมาจากคำในภาษากรีกว่า “Peridona” แปลว่า ความคล้ายทองและความร่ำรวย เป็นอยู่ในประเภทพลอยชนิดหนึ่ง มีสีเขียวมะกอกสดใส จัดเป็นพลอยเนื้ออ่อนที่มีค่าความแข็งราว 6.5 - 7 ตามโมห์สเกล นิยมนำมาขัดจนเกลี้ยงกลมเป็นลูกปัดสำหรับทำเป็นเครื่องประดับและเครื่องราง ปัจจุบันแบรนด์จิวเวอรีระดับโลกนิยมนำมาทำเป็นกำไลข้อมือที่ประดับด้วยเพชร สปิเนลและ เพริดอตบนตัวเรือนทองคำ หรือทำเป็นแหวนทองคำประดับด้วยเพริดอตและเพชร บางแบรนด์นำมาประดับบนสร้อยคอทองคำร่วมกับแอเมทิสต์และเพชรในด้านความเชื่อนั้น เพริดอต ชาวอิปต์โบราณเชื่อว่าสามารถช่วยปกป้องคุ้มครองผู้สวมใส่ให้ปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้โดยเฉพาะในยามค่ำคืน ทั้งช่วยป้องกันมนต์ดำ ขับไล่ภูตผีปีศาจ รวมถึงป้องกันฝันร้าย อีกทั้งยังเป็นอัญมณีแห่งสติปัญญา และความกล้าหาญ บรรดานักรบและเหล่าทหาร จึงนิยมพกติดตัวไว้เพื่อคุ้มครองป้องกันภัยและสร้างความฮึกเหิมเมื่อยามต้องออกสู่สนามรบอีกทั้งยังเป็นอัญมณีที่ใช้แสดงความเคารพต่อเทพรา(Ra)หรือสุริยเทพ เทพผู้เสมือนบิดาแห่งมวลมนุษย์และสรรพสิ่งทั้งหลายตามวัฒนธรรมและความเชื่อของชาวอียิปต์นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อว่าเพริดอตสามารถบำบัดรักษาอาการเจ็บป่วยและโรคภัยต่างๆ เช่น โรคระบบทางเดินอาหาร โรคตับ รักษาโรคหอบหืด โรคผิวหนัง ทั้งยังช่วยปรับสมดุลทางจิตใจ นำมาซึ่งความสุขแก่ผู้เป็นเจ้าของได้อีกด้วยแหล่งแร่เพริดอต ยังเป็นอัญมณีประจำเดือนเกิดของผู้ที่เกิดเดือนสิงหาคมพบมากที่เมียนมา ศรีลังกา สหรัฐฯ ออสเตรเลีย บราซิล และเม็กซิโก นอกจากนี้เมื่อปี 2003 องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งสหรัฐฯหรือองค์การนาซา(NASA) ยังรายงานการค้นพบแร่ชนิดนี้บนดาวอังคารอีกด้วย ข้อมูล : ศูนย์วิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับ(องค์กรมหาชน)

Read More

29/09/2563

บ.เหมืองแร่ทองของจีน สบายปีกไปทั่วโลก


สภาทองคำโลกรายงานล่าสุดว่า ประเทศจีนคือผู้ผลิตทองคำรายใหญ่ของโลก มีปริมาณการผลิตมากที่สุดในโลกที่ 383.2 ตัน ภายใต้การทำงานของบริษัทเหมืองทองขนาดใหญ่หลายแห่ง หนึ่งในนั้นคือกลุ่มบริษัทซานตงโกลด์กลุ่มบริษัทซานตงโกลด์เป็นหนึ่งในผู้ผลิตทองคำรายใหญ่ของจีน ที่กำลังขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายที่จะเป็นหนึ่งใน 10 เหมืองแร่ทองคำรายใหญ่ที่สุดในโลกกลุ่มบริษัทฯ ได้กำหนดเป้าหมายสินทรัพย์ในประเทศจีนให้มีสถานภาพที่มั่นคง มีแหล่งทรัพยากรทองคำสำรองที่ดี และต้องการเปิดตลาดสู่นานาประเทศผู้บริหารของบริษัทซานตงโกลด์กล่าว ว่าเป้าหมายหลักของบริษัทคือการเชื่อมโยงการค้า การลงทุน และการขนส่งทั้งทางบกและทางทะเลของจีนเข้ากับภูมิภาคต่าง ๆ ของโลกทั้งเอเชีย ยุโรป แอฟริกา และตะวันออกกลางเข้าด้วยกันตามโครงการ “One Belt, One Road” เพื่อร่วมสร้างหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ของประเทศต่าง ๆ ที่อยู่ในเส้นทางสายไหมในลักษณะที่จะเสริมสร้างประโยชน์ให้กับทุกฝ่าย โดยคาดการณ์ว่า ในปี ค.ศ. 2020 นี้กลุ่มบริษัทฯ จะสามารถผลิตทองคำได้มากกว่า 55 เมตริกตันต่อปี โดยมีรายได้รายปีเกินกว่า 100 พันล้านหยวน (15.1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ) ปัจจุบัน กลุ่มบริษัทซานตงโกลด์เป็นเจ้าของสิทธิบัตร 228 ฉบับ รวมถึงสิทธิบัตรในการคิดค้น 51 ฉบับ นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทฯ ยังมีเทคโนโลยีขั้นสูงในการทำเหมืองแร่ใต้ทะเลและเทคโนโลยีการขุดเจาะสำรวจแร่ทองคำ ซึ่งสามารถขุดเจาะได้ลึกถึง 4,000 เมตร เทคโนโลยีการทำเหมืองแร่อันล้ำสมัยดังกล่าว ทำให้กลุ่มบริษัทซานตงโกลด์ ค้นพบพื้นที่เหมืองทองคำของ ซีหลิง (Xiling) ในมณฑลซานตง โดยคาดว่าจะเป็นแหล่งแร่ทองคำขนาดกว่า 550 ตันและมีมูลค่ากว่า 150 พันล้านหยวน ซึ่งนับเป็นแหล่งแร่ทองคำที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของจีนด้วย ทั้งนี้เมื่อเดือนเมษายนปี 2018 ที่ผ่านมากลุ่มบริษัทซานตงโกลด์ ได้ทำข้อตกลงซื้อขาย เพื่อเข้าถือหุ้น 50 % ของบริษัท Barrick Gold ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตโลหะที่มีค่ารายใหญ่ที่สุดของโลก ในกิจการเหมืองแร่ทองคำ Veladero ในประเทศอาร์เจนตินา ซึ่งคิดเป็นมูลค่า 960 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ข้อตกลงนี้ยังทำให้ทั้งสองบริษัทมีแผนจะร่วมกันพัฒนาแถบเหมืองทอง El Indio ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างชายแดนประเทศอาร์เจนตินาและสาธารณรัฐชิลี อีกทั้งยังเป็นแหล่งที่ตั้งของเหมืองแร่ทองคำที่มีชื่อเสียงและโครงการระดับโลกต่าง ๆ เช่น เหมืองแร่ Veladero เหมืองแร่ Alturas และโครงการ Pascua-Lama โครงการต่าง ๆนี้ เป็นการทำเหมืองแร่ระบบเปิด โดยการเปิดหน้าดินเป็นบ่อลึกลงไปจนถึงชั้นแร่ แล้วจึงทำการขุดแร่ออกมาใช้งาน

Read More

29/09/2563

เหรียญทองคำแรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์


เมื่อปี พ.ศ. 2406 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริให้ผลิตเหรียญกษาปณ์ทองคำขึ้นเป็นครั้งแรก มี 3 ชนิดราคา เรียกว่า เหรียญกษาปณ์ทองคำ ทศ พิศ พัดดึงส์ และนำออกใช้ หมุนเวียนชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ตลอดจนค้าขายกับชาวต่างชาติได้ควบคู่กับเหรียญกษาปณ์เงินที่ใช้อยู่ในระบบ เหรียญกษาปณ์ทองคำที่ผลิตขึ้นในครั้งนั้นมีลักษณะเป็นเหรียญกลมแบน ขอบมีเฟืองจักร ด้านหน้าเหรียญทองทศ และทองพิศมีตราพระมหามงกุฎ ยอดเปล่งรัศมี มีฉัตรกระหนาบทั้ง 2 ข้าง รอบวงขอบเหรียญมีจุดไข่ปลา ระหว่างฉัตรและพระมหามงกุฎมีลายกนก ส่วนเหรียญทองพัดดึงส์มีลายกนกทั้งด้านนอกและด้านในฉัตร รอบวงขอบเหรียญมีเกสรดอกไม้ โดยรอบ ด้านหลังมีรูปช้างยืนอยู่ตรงกลางวงจักร รอบวงขอบเหรียญมีลวดลายเหมือนด้านหน้า เหรียญทองคำทศ คือ เหรียญกษาปณ์ทองคำขนาดใหญ่ (22 มิลลิเมตร) ราคาเหรียญละ 8 บาท (2 ตำลึง) ทศ แปลว่า 10 มีค่าเท่ากับ 1 ใน 10 ของชั่ง หมายถึง จำนวนเหรียญ 10 เหรียญ เท่ากับ 1 ชั่ง เหรียญทองคำพิศ คือ เหรียญกษาปณ์ทองคำขนาดกลาง (17 มิลลิเมตร) ราคาเหรียญละ 4 บาท (1 ตำลึง) พิศ แปลว่า 20 มีค่าเท่ากับ 1 ใน 20 ของชั่ง หมายถึง จำนวนเหรียญ 20 เหรียญ เท่ากับ 1 ชั่ง เหรียญทองคำพัดดึงส์ คือ เหรียญกษาปณ์ทองคำขนาดเล็ก (16 มิลลิเมตร) ราคาเหรียญละ 2 บาทกึ่ง (10 สลึง) พัดดึงส์ แปลว่า 32 มีค่าเท่ากับ 1 ใน 32 ของชั่ง หมายถึง จำนวนเหรียญ 32 เหรียญ เท่ากับ 1 ชั่ง นอกจากนี้ยังมีการจัดสร้างเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2407 ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระชนมายุครบ 60 พรรษา จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้างเหรียญแต้เม้งทงป้อขึ้น เป็นเหรียญทองคำและเงิน มีน้ำหนัก 4 บาท หรือ น้ำหนัก 60 กรัม เท่ากับจำนวน พระชนมายุของพระองค์ บอกชนิดราคาเป็นรูปดาวบนหน้าเหรียญที่วงขอบเหรียญ ลักษณะเป็นเหรียญกลม แบน ขอบเรียบ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 45 มิลลิเมตร ด้านหน้าเป็นตราพระมหามงกุฎ ยอดเปล่งรัศมี มีฉัตร กระหนาบอยู่ 2 ข้าง มีลายกิ่งไม้เป็นเปลวแทรกอยู่ในท้องลาย มีดาวอยู่รอบวงขอบ 32 ดวง หมายถึง 32 เฟื้อง ราคาเท่ากับ 4 บาท น้ำหนัก 1 ตำลึง รอบวงขอบเป็นลายเกสรดอกไม้ด้านหลังเป็นลายแก้วชิงดวง หรือลายรวงผึ้ง มีอักษร "กรุงสยาม" อยู่กลางเหรียญ มีอักษรจีนอยู่ 4 ทิศ อ่านออกสำเนียงภาษาแต้จิ๋วว่า "แต้เม้งทงป้อ" แปลว่า ทรัพย์สินเงินตราของ "แต้เม้ง" (พระปรมาภิไธยอย่างจีนของรัชกาลที่ 4) ทำให้นิยม เรียกเหรียญนี้ว่า "เหรียญแต้เม้ง" ความพิเศษของเหรียญแต้เม้ง คือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดฯ ให้มี พระบรมราชานุญาตนำไปใช้ประดับได้อย่างเครื่องราชอิสริยาภรณ์ รวมถึงจุดเด่นอีกประการคือ เป็นเหรียญกษาปณ์ สามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย เพราะมีราคาระบุที่หน้าเหรียญ แต่ด้วยความที่จำนวนการผลิตมีน้อย จึงเป็นที่นิยมอย่างสูงในเวลาต่อมา

Read More

29/09/2563

ทองคำในระบบเงินตราไทย


มีการพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่บ่งชี้ว่าในพื้นที่ประเทศไทยในปัจจุบันมีการนำทองคำมาใช้ในระบบการค้ามาตั้งแต่สมัยทวารวดีราวพุทธศตวรรษที่ 11 ซึ่งมีทั้งเหรียญกลมและแบน มีทั้งชนิดเงินและทองคำหลายขนาดอีกทั้งข้อมูลเกี่ยวกับทองคำยังปรากฏบนศิลาจารึกหลักที่ 1 ในสมัยสุโขทัยกล่าวถึงการค้าทองคำด้วยในระหว่างปีพ.ศ. 1893 – 2310 บรรดาหัวเมืองในอำนาจการปกครองของอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา เช่นเมืองปัตตานีได้รับอนุญาตให้ผลิตเงินตราขึ้นใช้ได้เอง และมีการผลิตเหรียญทองคำเป็นตราประจำเมืองรูปวัวเพื่อใช้ในการแลกเปลี่ยนสินค้า นอกจากนี้ยังผลิตเหรียญพระอาทิตย์มาตาฮารีและเหรียญที่ใช้อักษรอาหรับด้วย ระหว่าง พ.ศ. 2390 – 2402 ในยุคตื่นทอง ทำให้สหรัฐอเมริกาเป็นแหล่งผลิตทองคำใหญ่ที่สุดในโลกมีการผลิตทองคำเพิ่มขึ้น 7 – 8 เท่าตัว ขณะเดียวกัน ประเทศสยามก็เริ่มเปิดการค้าเสรีกับชาวต่างชาติ ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้มีทองคำหลั่งไหลเข้ามาพร้อมกับระบบ การค้าเสรีแบบใหม่ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีแนวพระราชดำริที่จะแก้ปัญหาทองคำล้นระบบ จึงโปรดเกล้าฯ ให้นำทองคำมาผลิตเป็นเหรียญกษาปณ์ทองคำขึ้นใช้ในประเทศไทย และไม่ประสงค์ให้ทองคำ ในประเทศกลายเป็นทองผสมแบบเหรียญทองของอังกฤษ จึงไม่ผสมทองแดงลงในเหรียญทอง ทำให้ระบบ เงินตราของไทยตั้งแต่สมัยโบราณสัมพันธ์กับน้ำหนักของโลหะมีค่าที่นำมาทำเงินตรานั้น เรียกว่า เงินเต็มค่า ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนี้ การกำหนดราคาทองคำของไทย มาจากธรรมเนียมของชาวเชียงแสนโบราณ ใช้ค่าน้ำหนักและความบริสุทธิ์ของเนื้อทองเป็นหลัก โดยทองบริสุทธิ์ ไม่มีโลหะเจืออื่นเรียกว่า ทองเนื้อเก้า หรือ นพคุณเก้าน้ำ ความบริสุทธิ์รองลงมาเรียกว่า ทองเนื้อแปด เจ็ด หก ถัดกันลงมาตามลำดับ ทองที่มีเนื้อต่ำ เรียกว่า ทองเนื้อสี่ หมายถึง ซื้อขายกันโดยน้ำหนักทอง 1 บาทเป็นราคาเงิน 4 บาทและเพิ่มขึ้นไปสูงสุดถึง 9 บาท เป็นทองเนื้อเก้า ส่วนราคาทองที่ซื้อขายเป็นเศษเกินกว่าบาทขึ้นไป เรียกว่า ขา เช่น ทองเนื้อหกน้ำสองขา หมายถึง ทองโดยน้ำหนัก 1 บาท ขายเป็นราคาเงิน 6 บาท 2 สลึง เป็นต้นต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการติดต่อค้าขายกับชาวต่างชาติ มากยิ่งขึ้น และยังคงมีการผลิตเหรียญกษาปณ์ทองคำใช้อยู่ แต่พระองค์ได้เปลี่ยนระบบเงินตราของไทยมาอยู่ในมาตรฐานเนื้อทองคำเช่นเดียวกับประเทศต่าง ๆ ที่ไทยติดต่อค้าขายด้วย โดยทรงตราพระราชบัญญัติมาตราทองคำขึ้น เพื่อกำหนดเทียบค่าเงินบาทกับทองคำบริสุทธิ์และตั้งแต่นั้นมา และทองคำก็ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของทุนสำรองเงินตราของประเทศที่ใช้ในการผลิตธนบัตรด้วย

Read More

29/09/2563

นักลงทุนหันหา ETFs เหมืองทองและเงิน แทนETFs ทองคำ เหตุให้ผลตอบแทนมากกว่า


จากแนวโน้มสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ดูจะลากยาวออกไป รวมถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในช่วงปลายปีนี้ ส่งผลให้การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนยืดเยื้อ ทำให้ตลาดมีความกังวล เงินลงทุนจึงการไหลเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัย การลงทุนในกองทุนรวมอีทีเอฟทองคํา( ETFs ทองคำ) และกองทุนรวมอีทีเอฟเหมืองทองและเงิน (ETFs เหมืองทองและเงิน) จึงเป็นทางเลือกเพื่อผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุน ETFs ทองคำ คือการลงทุนกับกองทุนที่ลงทุนในทองคำโดยผลตอบแทนจะขึ้นอยู่กับราคาตลาดของทองในเวลานั้น ๆ ซึ่งผู้จัดการกองทุนก็จะซื้อทองคำเข้าไปใส่ในกอง และดูแลสินทรัพย์ทองคำให้กับนักลงทุนส่วน ETFs เหมืองทองและเงิน เป็นการลงทุนในบริษัทที่ทำเหมืองแร่ทองคำหรือแร่เงิน ซึ่งผลตอบ แทนไม่ได้อยู่ที่ราคาทองคำเพียงอย่างเดียว แต่มีตัวแปรอื่นๆเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เช่น การบริหารจัดการของบริษัท ผลประกอบการ และปัจจัยอื่นๆที่ส่งผลกระทบต่อกระแสเงินสด เป็นต้นการจะเลือกลงทุนใน ETFs เหมืองทองและเงิน บริษัทจัดการกองทุนจะคัดเลือกลงทุนใน ETFs เหมืองทองและเงินด้วยการประเมินมูลค่าหุ้น การบริหารจัดการภายในบริษัท ความสามารถของผู้บริหาร งบการเงิน และการเติบโตของบริษัท ตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฎาคม ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 10% เงินปรับเพิ่มขึ้นมากกว่า 35% ขณะที่ราคาหุ้นบริษัทเหมืองทองคำและบริษัทเหมืองเงินปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าการปรับตัวของราคาทองคำแท่งและเงิน ทั้งนี้เพราะตลาดเริ่มรับรู้ถึงผลดำเนินงานของเหมือง เนื่องจากขณะที่ราคาสินทรัพย์ทรงตัวในระดับสูง ต้นทุนการจัดการเหมืองยังอยู่ในระดับต่ำ ประกอบกับราคาน้ำมันปรับตัวลดลงจากช่วงต้นปี ส่งผลให้ผลประกอบการดำเนินธุรกิจเหมืองปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น การลงทุนในกองทุนรวมอีทีเอฟ(ETFs) เหมืองทองและเงิน จึงเป็นทางเลือกที่นักลงทุนให้ความสนใจเพราะให้ผลตอบแทนมากกว่ากองทุนรวมอีทีเอฟ (ETFs)ทองคำ และตลาดการทุนประเภทอื่นตัวอย่างเช่น วอร์เรน บัฟเฟตต มหาเศรษฐีและนักลงทุนระดับโลก ได้ลดลดการลงทุนในหุ้นธนาคารขนาด อย่างธนาคารเวลส์ ฟาร์โก และเจพีมอร์แกน เชส พร้อมทั้งขายหุ้นที่ถืออยู่ในโกลด์แมน แซคส์ และกระโจนเข้าไปลงทุนครั้งใหญ่ในหุ้นของบริษัทบาร์ริค โกลด์ คอร์ปหนึ่งในบริษัทเหมืองทองคำรายใหญ่ที่สุดของโลกในแคนาดาจำนวน 20.9 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่าการลงทุนราว 563.5 ล้านดอลลาร์

Read More

29/09/2563

มงกุฎดอกส้ม ของขวัญแห่งรักและภักดี


เข็มกลัดรูปช่อดอกส้มทำจากกระเบื้องเคลือบสีขาวแซมด้วยใบส้มที่ทำจากทองคำ เป็นเครื่องประดับที่สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย แห่งสหราชอาณาจักร ทรงโปรดปรานมากที่สุด ด้วยเป็นเครื่องประดับที่เจ้าชายอัลเบิร์ต พระราชสวามีเป็นผู้ออกแบบและควบคุมการผลิตด้วยพระองค์เอง เพื่อมอบเป็นของขวัญ แด่พระราชินีเมื่อครั้งยังทรงเป็นพระคู่หมั้น และเป็นเสมือนสาส์นแสดงความรักและความใส่พระทัยที่พระองค์มีต่อสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ย้อนเวลากลับไปใน ค.ศ. 1839 ภายหลังจากทรงขึ้นครองราชสมบัติได้ราว 2 ปีเศษ สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย (ขณะมีพระชนมายุ 20 ชันษา) ทรงหมั้นกับเจ้าชายอัลเบิร์ต โอกาสนั้นเจ้าชายอัลเบิร์ตทรงมอบเข็มกลัดรูปช่อดอกส้มทำจากกระเบื้องเคลือบสีขาวแซมด้วยใบทำจากทองคำ ที่ทรงออกแบบด้วยพระองค์เองเพื่อเป็นของขวัญแก่พระคู่หมั้น ซึ่งตามธรรมเนียมของชาวยุโรปนั้น ดอกส้มถูกยกให้เป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ นับตั้งแต่นั้นมา ดอกส้มจึงความสำคัญและมีความหมายลึกซึ้งระหว่างสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย และเจ้าชายอัลเบิร์ตความรักความผูกพันนี้ปรากฏชัดเจนยิ่งขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 1840 ในพระราชพิธีอภิเษกสมรส สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ทรงฉลองพระองค์ในชุดแต่งงานสีขาว ปราศจากรัดเกล้าที่ตกแต่งด้วยอัญมณีน้ำงามใดๆ แต่พระองค์ทรงเลือกที่จะให้นำช่อเข็มกลัดดอกส้มมาทำเป็นรัดเกล้าสำหรับใช้ในวันสำคัญของชีวิต ต่อมาในเดือนธันวาคม 1845 เจ้าชายอัลเบิร์ตทรงมอบชุดเครื่องประดับดอกส้มให้สมเด็จพระราชินีวิกตอเรีย อีกครั้ง ประกอบด้วย เข็มกลัดและต่างหู อีกทั้งยังทรงทรงออกแบบรัดเกล้ารูปดอกส้มทำจากกระเบื้องเคลือบสีขาว แซมด้วยใบทำจากทอง โดยมีผลส้มเล็กๆ ลงยาสีเขียว จำนวน 4 ผล ซึ่งมีความหมายถึงจำนวนพระโอรสและพระธิดา จำนวน 4 พระองค์ (ในขณะนั้น) เพื่อมอบเป็นของขวัญวันครบรอบการแต่งงานปีที่ 6 ให้แก่สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย อีกด้วย สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ทรงโปรดปรานชุดเครื่องประดับดอกส้มเป็นอย่างมาก พระองค์ทรงสวมเครื่องประดับชุดนี้ในวันครบรอบการแต่งงานของพระองค์และเจ้าชายอัลเบิร์ตเป็นประจำทุกปี จนกระทั่งเมื่อเจ้าชายอัลเบิร์ตสิ้นพระชนม์ในปี 1861 ณ พระราชวังวินด์เซอร์ การสูญเสียพระราชสวามีอันเป็นที่รักยิ่งนำความเสียพระทัยแก่สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียเป็นอย่างมาก พระองค์ทรงไว้ทุกข์ด้วยการฉลองพระองค์ในชุดสีดำตลอดพระชนม์ชีพที่เหลือ อีกทั้งไม่ทรงสวมชุดเครื่องประดับดอกส้มอีกเลย หากแต่มีรับสั่งให้นำเครื่องประดับชุดดังกล่าวไปเก็บไว้ในห้องที่เจ้าชายอัลเบิร์ตสิ้นพระชนม์ โดยมีพระราชประสงค์ที่จะไม่พระราชทานเครื่องประดับชุดนี้ให้เป็นสมบัติแก่ผู้ใด นั่นจึงเป็นสาเหตุที่เราไม่เคยพบว่ามีสมาชิกราชวงศ์อังกฤษพระองค์ใดเคยได้สวมเครื่องประดับชุดสำคัญนี้สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 22 มกราคม 1901 ณ พระตำหนักออสบอร์น ซึ่งเป็นพระตำหนักที่ออกแบบโดยเจ้าชายอัลเบิร์ต พระศพของพระองค์ถูกฝังเคียงข้างกับเจ้าชายอัลเบิร์ต ณ สุสานหลวงในพระราชวังวินด์เซอร์ ที่ซึ่งดอกส้มแห่งความรักของพระองค์จะผลิบานตลอดไป

Read More

29/09/2563

จีนครองอันดับ 1 ประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคทองคำมากที่สุดในโลก ตะลึงไทยบริโภคทองคำมากเป็นที่ 5 ของโลก


สภาทองคำโลกรายงตัวเลขล่าสุดของประเทศผู้ผลิตทองคำมากที่สุด 10 อันดับของโลก ประเทศผู้บริโภคทองคำมากที่สุดในโลก และ ประเทศที่ถือครองทองคำสำรองมากที่สุด10 อันดับของโลกไว้ดังนี้10 อันดับประเทศผู้ผลิตทองคำมากที่สุดในโลก อันดับ 1 จีน 383.2 ตัน อันดับ 2 รัสเซีย 329.5 ตัน อันดับ 3 ออสเตรเลีย 325.1 ตัน อันดับ 4 สหรัฐอเมริกา 200.2 ตัน อันดับ 5 แคนาดา 182.9 ตัน อันดับ6 เปร 143.3 ตัน อันดับ 7 การา142.4 ตัน อันดับ 8 แอฟริกาใต้ 118.2 ตัน อันดับ 9 แมกซิโก 111.4 ตัน อันดับ 10 บราซิล 106.9 ตัน 10 อันดับประเทศผู้บริโภคทองคำมากที่สุดในโลก อันดับ 1 จีน 984 ตัน ปริมาณเฉลี่ยต่อหัว 0.68 กรัม อันดับ 2 อินเดีย 849 ตัน ปริมาณเฉลี่ยต่อหัว 0.62 กรัม อันดับ 3 สหรัฐอเมริกา 193 ตันปริมาณเฉลี่ยต่อหัว 0.58 กรัม อันดับ 4 เยอรมนี 124 ตัน ปริมาณเฉลี่ยต่อหัว 1.48 กรัม อันดับ 5 ไทย 90 ตัน ปริมาณเฉลี่ยต่อหัว 1.29 กรัม อันดับ6 ซาอุดิอาระเบีย 85 ตัน ปริมาณเฉลี่ยต่อหัว 2.44 กรัม อันดับ 7 ตุรกี 72 ตัน ปริมาณเฉลี่ยต่อหัว 0.85 กรัม อันดับ 8 อิหร่าน 71 ตัน ปริมาณเฉลี่ยต่อหัว 0.85 กรัม อันดับ 9 เวียดนาม 63 ตัน ปริมาณเฉลี่ยต่อหัว 0.65 กรัม อันดับ 10 อินโดนีเซีย 59 ตัน ปริมาณเฉลี่ยต่อหัว 0.22 กรัมจะเห็นว่าแม้ประเทศจีนเป็นประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคทองคำมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง แต่หากคิดปริมาณเฉลี่ยแต่หัวแล้ว การบริโภคทองคำของจีนยังน้อยกว่าอีกหลายประเทศทั้งเยอรมัน ตุรกี อิหร่าน หรือแม้แต่ประเทศไทย ในขณะที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย มีปริมาณการบริโภคเฉลี่ยสูงที่สุดถึง 2.44 กรัมต่อหัว

Read More

29/09/2563

WGC update 10 ประเทศที่ถือครอง "ทองคำสำรอง" มากที่สุดของโลก


สภาทองคำโลก (WGC) รายงานตัวเลขจากการสำรวจและจัดอันดับประเทศที่ถือครองทองคำสำรองมากที่สุด 10 อันดับแรกของโลกประจำเดือนสิงหาคม พบว่าสหรัฐอเมริกายังคงครองอันดับ1 อย่างต่อเนื่อง ส่วนอันดับอื่นไม่เปลี่ยนแปลงมากนักแต่มีบางประเทศที่อันดับไม่เปลี่ยนแต่ปริมาณทองคำเพิ่มขึ้น โดย ประเทศที่ถือครองทองคำสำรองมากที่สุด10 อันดับได้แก่ อันดับ 10เป็นเนเธอร์แลนด์ มีจำนวนทองคำสำรอง 621.5 ตันอันดับ 9อินเดีย จำนวน 618.2 ตัน อันดับ 8ญี่ปุ่น จำนวน 765.2 ตัน และ อันดับ 7สวิตเซอร์แลนด์ จำนวน 1,040.0 ตัน อันดับ 6 จีน จำนวน 1,936.5 ตัน แม้จีนจะเป็นประเทศผู้ผลิตทองคำมากเป็นอันดับ 1 แต่สำหรับทองคำสำรองแล้วจีนอยู่ในอันดับที่ 6 โดยในช่วงเดือนธันวาคม.ปี 2561 จนถึงเดือนสิงงหาคท 2562 ประเทศจีนซื้อทองคำรายเดือนสูงกว่า 100 ตันต่อเดือน อย่างไรก็ตามเมื่อคิดเป็นสัดส่วนแล้ว จนถือครองทองคำสำรองเพียงร้อยละ 2.8 เท่านั้นอันดับ 5 รัสเซียจำนวน 2,219.2 ตัน ธนาคารกลางรัสเซีย เป็นผู้ซื้อทองคำรายใหญ่ที่สุดในรอบ 7 ปีที่ผ่านมาและแซงจีนในปี 2561 ทำให้มีปริมาณสำรองที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก โดยในปี 2560 รัสเซียซื้อทองคำแท่งมาสำรองไว้ มากถึง 224 ตันอันดับ 4 ฝรั่งเศส 2,436.1 ตัน ช่วงหลายปีที่ผ่านมา ธนาคารกลางของฝรั่งเศสขายทองคำน้อยลง แม้เงินสดในประเทศไม่เพียงพอ เพราะมีการเรียกร้องให้รัฐบาลฝรั่งเศสหยุดการขายทองคำสำรอง และเมื่อดูจากตัวเลขจะพบว่าหากฝรั่งเศสยังคงขายทองคำสำรองต่อไป และรัสเซียยังซื้อทองคำเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ฝรั่งเศสอาจโดนแซงในอีกไม่ช้านี้อันดับ 3 อิตาลี จำนวน 2,451.8 ตัน อันดับ 2 เยอรมนี จำนวน 3,366.8 ตัน ในปี 2560 เยอรมนีย้ายทองคำ 674 ตันจากธนาคารแห่งประเทศฝรั่งเศส (Banque de France) และ Federal Reserve Bank of New York ในสหรัฐอเมริกา กลับสู่ประเทศตัวเองครั้งแรก โดยคาดว่าการย้ายทองคำสำรอง จะแล้วเสร็จในปี 2563 อย่างไรก็ตาม ประเทศในยุโรปเริ่มหันมาลงทุนทองคำเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินโลก อันดับ 1สหรัฐอเมริกาจำนวน 8,133.5 ตัน มากกว่าทองคำสำรองของประเทศอันดับ 2-3-4 รวมกัน โดยทองคำส่วนใหญ่ของสหรัฐอเมริกาจะถูกเก็บไว้ที่ฟอร์ทน็อกซ์ (Fort Knox) แหล่งเก็บทองของสหรัฐอเมริกาที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของรัฐเคนทักกี นอกนั้นยังมีที่อื่นๆ ทั้ง โรงกษาปณ์ฟิลาเดลเฟีย(Philadelphia Mint) , โรงกษาปณ์เดนเวอร์ (Denver Mint), สำนักงาน San Francisco Assay และ โรงกษาปณ์ West Point Bullion Deposit เป็นต้นส่วนประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 27 มีทองคำสำรองอยู่ที่ 154 ตัน เท่ากับรายงานเมื่อปีก่อนหน้านี้อย่างไรก็ตามปริมาณทองคำสำรองของไทยเพิ่มขึ้นย่างต่อเนื่องจาก ปี 2011 ที่ประเทศไทยถือครองทองคำสำรองไว้เพียง 127.5ตัน เท่านั้น

Read More

29/09/2563

ความต้องการเครื่องประดับทองลดลงทั่วโลก ปัญหาจากราคาทองพุ่งไม่หยุด


ผ่านครึ่งปีแรกไปด้วยความร้อนแรงของราคาทองคำที่ปรับขึ้นต่อเนื่อง แม้จะมีขยับลงบ้างในช่วงแคบๆแต่ก็ยังคงเป็นช่วงขาขึ้นอันเนื่องมาจากความไม่แน่นอนของภาวะตลาดทั้งตลาดเงินและตลาดทุน ทองคำจึงกลายเป็นทางเลือกของการลงทุน และธนาคารกลางทั่วโลกยังใช้ทองคำเป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในระยะยาว ราคาทองคำที่พุ่งขึ้นนี้ส่งผลให้ความต้องการเครื่องประดับทองทั่วโลกลดลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ จากรายงาน “แนวโน้มความต้องการทองคำ” (Gold Demand Trends) ของสภาทองคำโลก ( World Gold Council) ระบุว่า การระบาดของ COVID-19 ทำให้ความต้องการเครื่องประดับทองทั่วโลกลดต่ำลงเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่สอง โดยลดลงถึงร้อยละ 53 เหลือเพียง 251 ตัน เมื่อเทียบกับไตรมาสที่สองของปี 2019 ขณะที่ในช่วงครึ่งแรกของปี 2020 ความต้องการเครื่องประดับทองทั่วโลกลดลงกว่าร้อยละ 46 เหลือเพียง 572 ตัน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุด เนื่องจากผู้บริโภคทั่วโลกได้รับผลกระทบจากการปิดเมืองและเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทาง ตามรายงานระบุว่าตลาดผู้บริโภคเครื่องประดับทองรายใหญ่ของโลกทั้งจีน อินเดีย และสหรัฐฯ ต่างมีความต้องการลดต่ำลง โดยความต้องการเครื่องประดับทองในไตรมาสที่สองของจีนลดลงร้อยละ 33 ส่งผลให้ความต้องการในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ 152.2 ตัน หรือลดลงถึงร้อยละ 52 ซึ่งนับเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ครึ่งแรกของปี 2007 เป็นต้นมาส่วนความต้องการเครื่องประดับทองในอินเดียก็ลดลงเช่นกัน โดยลดลงถึงร้อยละ 74 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่สองของปีที่ผ่านมา เหลือเพียง 44 ตัน ซึ่งนับว่าเป็นความต้องการรายไตรมาสที่ต่ำที่สุดเท่าที่ World Gold Council เก็บข้อมูลมาในช่วงหลายปี ส่งผลให้ความต้องการเครื่องประดับทองในช่วงครึ่งปีแรกลดลงถึงร้อยละ 60 มาอยู่ที่ 117.8 ตัน ซึ่งนับว่าต่ำที่สุดเท่าที่เคยมีมา นอกจากนี้ World Gold Council ยังระบุว่าความต้องการเครื่องประดับทองโดยรวมของสหรัฐฯ ในช่วงครึ่งปีแรกนี้ลดลงต่ำที่สุดในรอบ 8 ปี ส่วนในช่วงไตรมาสที่สองของปี 2020 อุปสงค์เครื่องประดับทองในสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 34 เหลือเพียง 19 ตัน ซึ่งนับว่าต่ำที่สุดในช่วง 10 ปี สาเหตุที่ความต้องการเครื่องประดับทองลดต่ำลงหลังจากเพิ่มขึ้นมาตลอดหลายปีนั้น เป็นเพราะการปิดร้านในช่วง COVID-19 ที่อบยู่ในช่วงเทศกาลสำคัญอย่างเทศกาลอีสเตอร์และวันแม่ ซึ่งเป็นช่วงที่ปกติจะมีการซื้อเครื่องประดับเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ทำให้ความต้องการเครื่องประดับทองในสหรัฐฯ ลดลง และแม้ว่าปัจจุบันร้านค้าเครื่องประดับจะกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง ตลาดเครื่องประดับทองก็ยังไม่ดีขึ้น ทั้งนี้ราคาทองคำในตลาดโลกเคยเพิ่มสูงขึ้นเกินระดับ 2,000 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ โดลทำ All Time High ครั้งใหม่ที่ระดับราคา 2,075 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ในวันที่ 7 สิงหาคม 2020 ซึ่งนับว่าเป็นราคาสูงสุดของโลหะมีค่าชนิดนี้เท่าที่เคยมีมาก่อน ก่อนที่ปัจจุบันราคาทองคำจะกลับเข้าสู่ภาวะการปรับฐานขยับลงมาอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 2,000 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์แล้ว แต่ก็คาดว่าตลาดเครื่องประดับทองคำจะยังคงซบเซาต่อไปอีกระยะหนึ่ง

Read More

29/09/2563

อุตสาหกรรมเหมืองทองในสปป.ลาวคึกคัก รับราคาทองคำโลก


อุตสาหกรรมเหมืองทองคำใน สปป.ลาว อยู่ในภาวะซบเซามาตั้งแต่ปี ๒๕๕๖ ภายหลังจากบริษัท MMG Limited ซึ่งได้รับสัมปทานทำเหมืองแร่ทองแดงและทองคำที่เมืองเซโปน แขวงสะหวันนะเขต ประกาศหยุดการขุดแร่ทองคำเป็นการชั่วคราว เนื่องจากความผันผวนของราคาทองคำในตลาดโลก ซึ่งส่งผลต่อกำไรของบริษัทฯ โดยคงไว้เฉพาะกิจกรรมขุดแร่ทองแดงเท่านั้น สถานการณ์ดังกล่าว ทำให้บริษัท MMG Limited ขายหุ้นของตนในสัดส่วนร้อยละ ๙๐ ของบริษัท Lane Xang Minerals Limited ให้แก่บริษัท Chifeng Jilong Gold Mining ด้วยมูลค่า ๒๗๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ และภายหลังจากการเข้าซื้อหุ้นดังกล่าว บริษัท Chifeng Jilong ประกาศแผนที่จะเริ่มต้นการขุดแร่ทองคำที่เหมืองเซโปนอีกครั้งในปี ๒๕๖๓ ในจำนวน ๑-๑.๖ ตัน และเพิ่มเป็น ๗ ตันในปี ๒๕๖๔ อย่างไรก็ดี จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-๑๙ ซึ่งส่งผลให้ราคาทองคำและโลหะขยับตัวสูงขึ้น ทำให้ผลประกอบการของเหมืองเซโปนกระเตื้องขึ้นตามไปด้วยและสามารถกลับมาทำ กำไรได้อีกครั้ง สถานการณ์ด้านราคาดังกล่าว ทำให้บริษัท Chifeng Jilong ประกาศเริ่มการผลิตแร่ทองคำโดยตั้งเป้าหมายว่า จะสามารถผลิตทองคำเพื่อป้อนตลาดได้สำเร็จในช่วงต้นมิถุนายน ๒๕๖๓ ทั้งนี้ในช่วงระหว่างปี ๒๕๕๙-๒๕๖๓ อุตสาหกรรมพลังงานและเหมืองแร่ของ สปป.ลาว มีอัตราการขยายตัว ร้อยละ ๑๑ เพิ่มขึ้นร้อยละ ๓๕ เมื่อเปรียบเทียบกับช่วง ๕ ปี (๒๕๕๔-๒๕๕๘) ก่อนหน้า แบ่งเป็นภาคพลังงานขยายตัวร้อยละ ๑๕๔ และภาคเหมืองแร่หดตัวลงร้อยละ ๑๘.๖๙ โดยคาดว่าในปี ๒๕๖๓ การผลิตรวมของอุตสาหกรรมจะมีมูลค่า ๑๓๐,๕๒๐ พันล้านกีบ (ประมาณ ๔๓๕,๐๐๐ ล้านบาท) และในช่วงไตรมาสแรกของปี ๒๕๖๓ สปป.ลาว ส่งออกทองคำคิดเป็นมูลค่า ๑๒๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ และส่งออกทองแดงและสิ่งของที่ทำจากทองแดง คิดเป็นมูลค่า ๙๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ปัจจุบัน มีบริษัทเข้าไปลงทุนในอุตสาหกรรมธรณีศาสตร์และแร่ธาตุใน สปป.ลาว แล้ว จำนวน ๑๙๓ บริษัท โดยเริ่มดำเนินการแล้ว ๘๑ บริษัท อยู่ระหว่างการสำรวจแหล่งแร่ธาตุ ๖๙ บริษัท และอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ทางธุรกิจ ๔๓ บริษัทข้อมูล : สถานกงสุลใหญ่ ณ แขวงสะหวันนะเขต

Read More

29/09/2563

ก้อนหินสีทอง ศูนย์รวมแห่งพลังศรัทธาของชาวเมียนมา


ก้อนหินสีทองขนาดความสูง 5.5 เมตร ตั้งอยู่บนหน้าผาสูงชันของยอดเขาพวงลวง เหนือระดับน้ำทะเล 3,615 ฟุต ในเมืองไจ้ก์โถ่ อำเภอสะเทิม เขตรัมอญ ประเทศเมียนมา คนไทยรู้จักกันในชื่อ “ธาตุอินทร์แขวน” แต่ชาวเมียนมาชาวมอญเรียกว่า ไจ้ก์ทิโย ซึ่งมีความหมาย หินรูปหัวฤๅษี เป็นก้อนหินแห่งพลังศรัทธาและความเชื่อว่าเป็นหินที่พระอินทร์นำมาแขวนเอาไว้บนก้อนหินยังมีเจดีย์ที่สร้างไว้เพื่อจำลองให้เป็นพระเกศแก้วจุฬามณี เป็นพระธาตุที่คนเกิดปีจอต้องหาโอกาสไปนมัสการให้ได้สักครั้งในชีวิตตำนานเล่าขานเรื่องพระธาตุอินทร์แขวนนั้นแตกต่างกัน บ้างว่ามีฤาษีพี่น้องสองตน ได้บำเพ็ญเพียรและมีบุญได้ครอบครองพระเกศาคนละ 1 เส้น โดยแยกกันไปบำเพ็ญเพียรบนยอดเขา โดยตอนค่ำของทุกวันจะองส่งสัญญาณไฟไปยังยอดเขาอีกลูกเพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่า ยังมีชีวิตอยู่อยู่มาวันหนึ่งฤาษีผู้พี่ไม่ได้รับสัญญาณไฟเหมือนเช่นเคย จึงได้เดินทางไปยอดเขาที่ฤาษีผู้น้องอยู่ และพบว่าน้องเสียชีวิตแล้ว จึงได้เก็บพระเกศาอีกเส้นซ่อนไว้ในมวยผมของตัวเองและกลับไปบำเพ็ญเพียรที่ เดิมและเกิดคิดขึ้นมาได้ว่า ตนก็ต้องตายสักวันหนึ่ง แล้วจะทำอย่างไรดีกับพระเกศาทั้งสองเส้น จึงบำเพ็ญเพียรจิตขอให้พระอินทร์ช่วยหาสถานที่เหมาะสมในการบรรจุพระเกศาของ พระพุทธเจ้าไว้ในที่สูงที่สุดพระอินทร์จึงได้ก้อนหินจากทะเลลึก นำมาแขวนไว้บนเขา และดลใจให้ฤาษีมาพบเข้า จึงได้นำเอาพระเกศาของพระพุทธเจ้ามาประดิษฐานไว้ที่ก้อนหินนี้ และเรียกกันต่อกันมาว่า "พระธาตุอินทร์แขวน" อีกตำนานเล่าว่ามีฤาษีติสสะผู้หนึ่งได้รับพระเกศาจากพระพุทธเจ้า เพื่อเป็นตัวแทนของพระพุทธองค์ให้ประชาชนได้สักการะ เมื่อครั้งมาแสดงธรรมเทศนา ณ ดินแดนสุวรรณภูมิ ผู้ที่ได้รับมอบพระเกศาต่างก็นำไปบรรจุในสถูปเจดีย์ แต่ฤๅษีติสสะกลับซ่อนไว้ในมวยผมกลับนำไปซ่อนไว้ในมวยผมเมื่อถึงเวลาละสังขาร ตั้งใจว่าจะนำพระเกศาไปบรรจุไว้ในก้อนหินที่มีรูปร่างคล้ายกับศีรษะของตน จึงขอให้พระอินทร์ช่วยหาก้อนหินลักษณะดังกล่าวให้ พระอินทร์จึงนำก้อนหินจากใต้มหาสมุทรมาวางไว้บนภูเขาหินในลักษณะเหมือนแขวนไว้จึงได้ชื่อว่า พระธาตุอินทร์แขวน พระธาตุอินทร์แขวน นับเป็น1 ใน 5 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ชาวพม่าต้องไปสักการะ เชื่อกันว่าการได้มานมัสการพระธาตุอินทร์แขวน ก็เหมือนกับได้นมัสการต่อหน้าพระเกศแก้วจุฬามณีบนสรวงสวรรค์ และหากผู้ใดได้มานมัสการพระธาตุอินทร์แขวนครบ 3 ครั้ง ก็จะมีแต่ความสุขความเจริญ พร้อมทั้งขอสิ่งใดก็จะได้สมดั่งปรารถนาทุกประการ

Read More

29/09/2563

เรื่องของทองคำ : ตำนานเล่าขานไม่รู้จบ


เพราะมนุษย์รู้จักการนำทองคำมาใช้ทำเครื่องลาง เครื่องประดับ และแลกเปลี่ยนซื้อขายมามากกว่า ๖,๐๐๐ ปี เรื่องเล่า ตำนาน ความเชื่อ ความรุ่งเรื่อง และหายนะ ที่เกี่ยวกับทองคำจึงเป็นมีให้ได้ศึกษาค้นคว้ากันไม่รู้จบ และนี่คือส่นหนึ่งของ ทองคำ ตำนานที่เล่าขานกันไม่รู้จบ- อาณาจักรอียิปต์โบราณ มีมหาสมบัติมากมายที่ทำด้วยทองคำ แม้แต่มัมมี่ก็มีทองคำปิด เพื่อให้วิญญาณได้ใช้ในการเปิดทางขึ้นสวรรค์ โดยเฉพาะในสุสานของฟาโรห์ Tutankhamun อันลือเลื่อง- คัมภีร์ไบเบิ้ลได้บันทึกว่า บัลลังก์ที่กษัตริย์ Solomon ทรงประทับนั้นทำด้วยทองคำ - ตำนานเทพนิยายกรีกเล่าว่ากษัตริย์ Midas แห่งเมือง Phrygia ทรงได้รับพรจากเทพ Zeus ให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงสัมผัสกลายเป็นทอง แม้จะดีใจมากเพราะพระองค์ทรงโปรดปรานทองคำเป็นที่สุด แต่เมื่อพระองค์ทรงจุมพิตพระปรางค์ของพระธิดา นางได้เปลี่ยนเป็นรูปปั้นทองคำที่ไม่มีชีวิตในทันที Midas จึงทูลขอเทพ Zeus ให้ยกเลิกพรนั้นเสีย เทพก็ทรงอนุญาตและบัญชาให้พระองค์เสด็จไปที่แม่น้ำ Pactolus เพื่อทรงชำระล้างพระวรกายให้สะอาด ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทรายจึงมีสีเหลืองของทองคำ- ชาวเมือง Buritisa ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ Bogota ในทวีปอเมริกาใต้ล้วนมีความเชื่อว่า ทองคำคือสิ่งเดียวที่ทำให้พวกเขาสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้-ชาวอินเดียนเผ่า Chibcha ในอเมริกาใต้เชื่อว่า ทองคำเป็นสิ่งที่ถือกำเนิดจากพระเสโทของสุริยเทพ หรือเทพแห่งดวงอาทิตย์ เมื่อกษัตริย์องค์ใหม่เสด็จขึ้นครองราชย์ ประชาชนจะต้องนำก้อนยางพาราคลุกฝุ่นทองคำมาแปะติดพระฉวี เพื่อให้พระองค์ดูเหมือนสุริยเทพที่ดูเปล่งปลั่งเป็นสีทองไปทั้งพระวรกาย นี่คือที่มาของชื่อ El Dorado ซึ่งแปลว่า บุรุษทองคำ -ในทวีปอเมริกาเหนือมีช่วงเวลาหนึ่งที่เรียกว่ายุคตื่นทอง ซึ่งเริ่มเมื่อวันที่ 24 มกราคม ค.ศ.1848 เมื่อ James Marshall ประกาศว่าเขาได้ขุดพบทองคำในปริมาณมากที่หุบเขา Sacramento ใน California ข่าวนี้ทำให้ผู้คนทั้งในยุโรป และอเมริกาต่างก็มุ่งหน้าเดินทางไป California หลายคนต้องเสียชีวิตจากการเดินทางไกลเพราะล้มป่วยเป็นโรค และการสู้รบกับชนพื้นเมือง จน California มีผู้อพยพเข้ามาอาศัยใหม่กว่า 80,000 คน -จากนั้นความกระหายทองของผู้คนก็ระบาดไปทั่วทวีปอเมริกาเหนือ จนทำให้สถานที่ใดที่มีคนคลั่งทองไปอยู่ที่นั่นก็จะกลายเป็นเมืองไปในทันที เพราะมีผู้คนหลั่งไหลมาเล่นการพนัน และต่อสู้กัน อย่างผิดกฎหมาย โดยเฉพาะที่เมือง Yerba Bueno ซึ่งมีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 55,000 คน และจากปี 1850-1856 ประวัติศาสตร์ของเมืองได้บันทึกว่า มีคนเสียชีวิตในการต่อสู้ถึง 1,400 คน ในเวลาต่อมาเมื่อขุดทองได้ลดลง ความคลั่งทองก็เริ่มลดระดับ เมืองต่างๆ เริ่มกลายสภาพเป็นเมืองร้าง - ที่ประเทศ Peru จะไม่เคยมียุคตื่นทอง แต่ปัจจุบันชาวเปรูก็กำลังมีความกังวลเรื่องผลกระทบในการทำเหมืองทองคำในแถบ ลุ่มแม่น้ำ Amazon เพราะปัญหาจากการเผชิญหน้าที่มีความขัดแย้งอย่างรุนแรง ระหว่างบริษัทเหมืองทองคำกับประชาชน ในเรื่องการปนปื้อนของปรอทในสิ่งแวดล้อม เรื่องเล่าขานจากทองคำจะยังคงดำรงอยู่ต่อไป และจะมีเรื่องใหม่ๆเป็นตำนานเล่าขานเพิ่มขึ้น ตราบใดที่ทองคำยังคงเป็นที่ต้องการและเป็นสินทรัพย์ที่คนทั่วโลกต้องการ

Read More

29/09/2563

อารยธรรมล้ำค่าใต้น้ำ


ปัจจุบันมีเมืองโบราณที่เคยรุ่งเรื่องหลายแห่งจมอยู่ใต้น้ำ และกลายเป็นซากอารยธรรมให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้ ศึกษา และค้นหาความจริงว่าเกิดอะไรกับเมื่องเหล่านั้น และนี่คือส่นหนึ่งของความยิ่งใหญ่ที่สุดท้ายก็แพ้ภัยให้กับวัฏจักรของธรรมชาติThonis-Heracleion อาณาจักรใต้น้ำของอิยิปต์ ที่นี่เคยเป็นเมืองท่าสำคัญทางตอนเหนือของอียิปต์ ที่ยิ่งใหญ่ในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งจมอยู่ก้นทะเลมากว่า 1,200 ปี มีซากเรือกว่า 60 ลำอัปปางอยู่ที่นี้ พร้อมสินค้า รูปปั้น และเหรียญทองคำมากมายทั้งของกรีก และอียิปต์ ส่วนสาเหตุที่ทำให้เมืองนี้จมลงสู่ก้นทะเลนั้นคาดว่าเป็นเพราะสร้างอยู่บนดินทราย และดินโคลน เมื่อเกิดแผ่นดินไหวเกิดขึ้นจึงทำให้เมืองพังทลายลงไปพระราชวังของคลีโอพัตรา ในอียิปต์ พื้นที่บริเวณนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักร Alexandria อันเป็นที่ประทับของพระนางคลีโอพัตรา ราชินีองค์สุดท้ายของอียิปต์ จมอยู่ใต้น้ำมากว่า 2,000 ปีแล้ว และนักโบราณคดีกำลังพยายามปกป้องไม่ให้ที่นี่ถูกกระแสน้ำพัดพาออกสู่ มหาสมุทรไป นอกเหนือจากพระราชวังแล้ว ใกล้เคียงยังมีทั้งวิหาร ค่ายทหาร ป้อมสังเกตการณ์ รวมไปถึงห้องที่คาดกันว่าน่าจะเป็นที่ประทับแห่งสุดท้ายก่อนที่พระนางคลีโอพัตราจะปลงพระชนม์ด้วยการให้งูพิษกัด รวมไปถึงซากประภาคารแห่ง Alexandria ซึ่งเป็น 1 ในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณด้วยเมืองโบราณ Olous ประเทศกรีก สร้างขึ้นในช่วง 800 ปีก่อนคริสตกาล มีประชากรราว 30,000 คน แต่เพราะสร้างเมืองอยู่บนพื้นที่ที่ดินอ่อนนุ่ม ไม่แข็งแรง เมื่อเกิดแผ่นดินไหวเมืองจึงทลายลงก้นทะเล ปัจจุบันที่นี่เป็นแหล่งดำน้ำตื้นยอดนิยมของกรีซ มีการพบเหรียญทองคำ และวัตถุโบราณอยู่เรื่อยๆ และสามารถมองเห็นซากกำแพงเมืองบางส่วนโผล่พ้นผิวน้ำได้ด้วยเมืองโบราณในทะเลสาบ Titicaca ประเทศโบลิเวียและเปรู แทบไม่น่าเชื่อว่าใต้ทะเลสาบที่แทบจะสูงที่สุดในโลก จะมีเมืองโบราณจมอยู่ใต้น้ำ จากการสำรวจโดยนักดำน้ำกว่า 200 ชีวิตพบเมืองโบราณที่นี่มีอายุกว่า 1,500 ปี เก่าแก่กว่าอารยธรรมอินคา ภายในเมืองมีทั้งวิหาร ถนน กำแพงเมือง ฟาร์มเพาะปลูก ก่อนหน้านั้นเรื่องราวของนครบาดาลแห่งนี้เป็นแค่ตำนานพื้นบ้านของชาเมือง แต่เมื่อนักโบราณคดีเริ่มมีเทคโนโลยี และเครื่องไม้เครื่องมือที่ดีกว่าเดิมในการสำรวจ จึงพบว่าตำนานที่เล่าสืบต่อกันมาเป็นเรื่องจริง ภายในเมืองใต้น้ำนี้ยังพบวัตถุโบราณอีกมากมาย ตั้งแต่โครงกระดูก เครื่องใช้เซรามิก ธุปเทียน เครื่องหอม ไปจนถึงทองคำ เมืองใต้น้ำอ่าว Cambay ประเทศอินเดีย เป็นเมืองโบราณแห่งนี้ถูกพบโดยบังเอิญในขณะที่กำลังมีการสำรวจมลภาวะของน้ำในอ่าว Cambay ช่วงปี 2002 เมืองโบราณนี้อยู่ลึกลงไป 40 เมตร มีอายุประมาณ 4,000-5,000 ปี เจัดว่าเป็นเมืองที่มีอารยธรรมก้าวหน้ามากๆ ในยุคนั้น มีการสร้างระบบชลประทาน ท่าเรือ ถนน ฯลฯ ปัจจุบันการสำรวจที่นี่ทำได้ลำบากกว่าเดิมเพราะปริมาณน้ำที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี

Read More

29/09/2563

มองอนาคตราคาทองคำจากสถานการณ์ปัจจุบัน


ที่ผ่านมาราคาทองคำต่างประเทศ (gold spot) ปรับขึ้นมาอยู่ที่มากกว่า 1,800 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ซึ่งเป็นจุดสูงสุดในรอบเกือบ 9 ปี (ปี 2011 ที่ราคาขึ้นไปถึง 1,912 ดอลลาร์ต่อออนซ์) และยังมีแนวโน้มเป็นขาขึ้นต่อไป ทั้งนี้ก็ด้วยปัจจัยหลายอย่างทั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน ปัญหาเศรษฐกิจโลกที่ยืดเยื้อนำไปสู่การอัดฉีดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางต่าง ๆ ส่งผลให้นักลงทุนกังวลเสถียรภาพของค่าเงินและหันมาถือทองคำมากขึ้น ข้อมูลจากสภาทองคำโลก (World Gold Council) พบว่า ธนาคารกลางทั่วโลกมีแนวโน้มอยากถือทองคำเพิ่มขึ้นที่ระดับ 20-30% จากปี 2562 ที่ 10% ขณะที่กองทุนทองคำโลก (SPDR) มีการซื้อสุทธิทองคำเพิ่มขึ้น 300 ตัน มาอยู่ที่ 1,200 ตัน จากต้นปีที่ถือทองคำ 900 ตัน ซึ่งแนวโน้มราคาทองคำต่างประเทศในช่วงต่อไปจากนี้ สมาคมค้าทองคำ มองว่าน่าจะอยู่ 1,800 ดอลลาร์/ออนซ์ขึ้นไป และจะยังคงเป็นขาขึ้นมากกว่าขาลง เพราะโควิดคงจะยังไม่จบเร็วๆนี้ โดยคาดการณ์ว่ารัฐบาลต่าง ๆ อาจมีการกู้หนี้เพิ่มเพื่ออัดฉีดงบประมาณเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ทำให้ราคาทองมีโอกาสที่จะปรับขึ้นไปใกล้เคียงจุดสูงสุดเดิมที่ 1,900 ดอลลาร์/ออนซ์ในส่วนทองคำในประเทศนั้น คาดว่าน่าจะทะลุ 30,000 บาท/บาททองคำ บนสมมติฐานค่าเงินบาทที่ 31.20 บาท/ดอลลาร์ โดยตั้งแต่ต้นปี 2563 ถึงปัจจุบัน ราคาทองคำต่างประเทศปรับขึ้นแล้ว ประมาณ 19.5% หรือปรับขึ้นประมาณ 283 ดอลลาร์/ออนซ์ ส่วนราคาทองคำในประเทศปรับขึ้นประมาณ 24% หรือ 5,200 บาท/บาททองคำ อย่างไรก็ตามสภาทองคำโลกมองว่าความเสี่ยงและความไม่แน่นอน รวมถึงค่าใช้จ่ายและโอกาสในการลงทุน มีแนวโน้มที่จะสนับสนุนการลงทุนทองคำอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงครึ่งปีแรกมีนักลงทุนเข้าถือครองทองคำเพิ่มขึ้นเพื่อเลี่ยงความเสี่ยงจากตลาดทุนและค่าเงิน ทำให้ราคาทองคำเพิ่มขึ้นถึง 17% สูงกว่าสินทรัพย์หลักทั้งหมดอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ปัจจัยที่ทำให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นไปแตะระดับสูงสุดในนรอบเกือบ 9 ปี ส่วนหนึ่งมาจากการบรรลุข้อตกลงในการจัดตั้งกองทุนฟื้นฟูเศรษฐกิจของสหภาพยุโรป(อียู) วงเงิน 7.5 แสนล้านยูโรเพื่อเยียวยาเศรษฐกิจของอียู จากผลกระทบของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 บวกกับการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ก็เป็นแรงบวกให้ราคาทองคำยังคงเพิ่มสูงขึ้นต่อไปในอนาคต

Read More

29/09/2563

ส่องพฤติกรรมการบริโภคเครื่องประดับของคนอเมริกัน หลังวิกฤติโควิด19


สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศผู้นำเข้าอัญมณีและเครื่องประดับมากเป็นอันดับ 5 ของโลกและของไทย แต่เนื่อจากผลกระทบของการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ทำให้การนำเข้าลดลงอย่างมาก จากข้อมูลสถิติของ Global Trade Atlast พบว่า ในช่วงเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2563 สหรัฐฯ นำเข้าสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับลดลงเกือบ 60% และจากสถิติกรมศุลกากรไทยพบว่า สหรัฐฯ นำเข้าสินค้าจากไทยลดลงถึงเกือบ 30% ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับเงิน เครื่องประดับทอง พลอยเนื้อแข็งและพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน รวมถึงเพชรเจียระไน นอกจากปริมาณการนำเข้าจะลดลงแล้ว ผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ยังทำให้พฤติกรรมการบริโภคเครื่องประดับของชาวสหรัฐฯเปลี่ยนแปลงไปด้วย โดยDe Beers ได้ทำการศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคมนช่งที่ผ่านมาพบว่า ในช่วงที่มีการกักตัวอยู่กับบ้านทำให้ได้ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้นใช้เวลาเดินทางน้อยลง ทำให้ความรู้สึกนี้เชื่อมโยงและขยายไปสู่การสวมใส่เครื่องประดับด้วยเพราะมีการนำเครื่องใส่เครื่องประดับเพชรออกมาสวมใส่แม้ว่าจะอยู่ในบ้านก็ตาม เพราะทำให้รู้สึกเชื่อมต่อกับใครบางคน นั่นเอง ในส่วนของการเลือกซื้อของขวัญ ผู้ตอบแบบสอบถาม 56% ระบุว่า ของขวัญที่ซื้อในครั้งต่อไปจะต้องมีความหมายเหนือสิ่ง อื่นใด และ 90% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่า การเลือกของขวัญที่คงมูลค่าหรือเพิ่มมูลค่าจะเป็นสิ่งสำคัญในการซื้อของขวัญ ในครั้งต่อไป โดยเครื่องประดับเพชรก็เป็นตัวเลือกอันดับต้นๆเหนือของขวัญชนิดอื่น อย่าง เสื้อผ้า สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และเฟอร์นิเจอร์ นอกจากนี้ผู้บริโภคจะซื้อน้อยแต่จ่ายมากสำหรับสินค้าที่ต้องการซื้อ ผลการสำรวจที่น่าสนใจคือ 45% ของผู้ตอบแบบสำรวจระบุว่า จะซื้อสินค้าน้อยชิ้นแต่ลงทุนในสิ่งที่ซื้อมากขึ้นคือ ซื้อน้อยแต่จ่ายแพงกับสิ่งที่เพิ่มมูลค่าในอนาคตนั่นเอง สุดท้ายผู้บริโภคจะกลับไปซื้อสินค้าจากร้านค้าเครื่องประดับแบบอิสระ เพราะผู้บริโภคมีความรู้สึกว่าร้านค้าปลีกอิสระของท้องถิ่นเป็นแหล่งที่ดี ที่สุดสำหรับการหาความรู้และคุณภาพของสินค้าที่จับต้องได้ อีกทั้งร้านค้าปลีกเครื่องประดับท้องถิ่นแบบดั้งเดิมยังเป็นทางเลือกของการ ซื้อเครื่องประดับราคาแพงที่ปลอดภัยที่สุด นอกจากนี้จากงานวิจัยของ De Beers ยังระบุว่าเพชรจะมีบทบาทสำคัญในการใช้ชีวิตของผู้คนในโลกหลังโควิด-19 แม้ว่าตลาดเพชรจะต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวอีกระยะหนึ่งก็ตาม และจากผลการศึกษาครั้งนี้น่าจะทำให้ผู้ค้าเครื่องประดับเข้าใจมุมมองของ ผู้บริโภคเพื่อปรับตัวให้เข้ากับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปนี้ได้ ข้อมูล : ศูนย์ข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับ สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

Read More

29/09/2563

ปีทองของสร้อยข้อมือห่วงโซ่


เครื่องประดับของสุภาพบุรุษที่ได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่องก็คือ สร้อยข้อมือประเภทห่วงโซ่หรือที่เรียกว่า Cuban Link Chain และเทรนด์การสวมใส่ Cuban Link Chain จะยิ่งได้รับความสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะสร้อยข้อมือห่วงโซ่ที่มีขนาดใหญ่ เพราะกูรูในวงการแฟชั่นต่างเห็นตรงกันว่า ปี 2020 นี้คือปีทองของ Cuban Link Chain เห็นได้จากแบรนด์หรูอย่าง Louis Vuitton, Dior, Hermes, Versace และอีกมากมาย ล้วนผลิต Cuban Link Chain ออกจำหน่ายภายใต้แบรนด์ของตนเองทั้งสิ้นปัจจุบันการผลิตเครื่องประดับไม่ได้เจาะเฉพาะลูกค้ากลุ่มผู้หญิงเท่านั้น แต่เริ่มให้ความสำคัญกับกลุ่มลูกค้าที่เป็นสุภาพบุรุษมากขึ้น เนื่องจากทุกวันนี้อิทธิพลของฮิปฮอปกำลังเป็นวัฒนธรรมหลักในวงการแฟชั่น ทำให้ผู้ขายจำนวนไม่น้อย หันมาสวมใส่หรือมองหาเครื่องประดับมีค่าประเภทอื่นๆนอกเหนือจากนาฬิกามากขึ้น ซึ่งนอกจากแบรนด์ดังๆจะผลิตเครื่องประดับชายออกวางจำหน่ายแล้ว ทำให้ผู้ประกอบการร้านขายเครื่องประดับผู้ชายหลายแห่งที่จับกระแสนี้ได้ไว ต่างประสบความสำเร็จจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นอย่างคาดไม่ถึงกันเลยทีเดียว โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา แต่ทั้งนี้ใช่ว่าเครื่องประดับทุกประเภทจะประสบความสำเร็จเพราะผู้ชายจะเลือกสวมใส่เครื่องประดับบางประเภทเท่านั้น โดยสร้อยข้อมือซึ่งเป็นเครื่องประดับสุดคลาสสิก ถือเป็นตัวเลือกอันดับแรกที่ผู้ชายหลายคนเลือกที่จะสวมใส่ เพราะสวมใส่ได้ง่าย อีกทั้งยังสามารถใส่คู่กับนาฬิกาได้ด้วย และแม้รูปแบบและลวดลายของสร้อยข้อมือจะมีมากมายหลายแบบ แต่ที่ได้รับความนิยมสูงสุดคงหนีไม่พ้น Cuban Link Chain หรือสร้อยข้อมือประเภทห่วงโซ่นั่นเองCuban Link Chain หรือสร้อยข้อมือประเภทห่วงโซ่ปรากฏขึ้นครั้งแรกในช่วงปลายยุค 1970 ที่ประเทศคิวบาในวัฒนธรรมฮิปฮอป แต่ในยุคปัจจุบันสามารถเห็น Cuban Link Chain ได้ทั่วทุกมุมโลก นั่นแสดงให้เห็นถึงความชื่นชอบอย่างแพร่หลายของเหล่าผู้ชายตลอดระยะเวลา มากกว่า 5 ทศวรรษ ด้วยลักษณะที่เป็นวงรีหน้าตัดเรียบที่เชื่อมโยงด้วยการบิดเข้าหากันเหมือน โซ่ มีขนาดความกว้างและใช้วัสดุที่หลากหลาย มีทั้งที่ทำจากทองเค ทองคำ ทองผสมเงิน หรือวัสดุอื่นๆ และสามารถสวมใส่คู่กับเครื่องประดับอื่นๆได้ง่าย ทำให้ได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่องข้อมูล :ศูนย์วิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาตื(องค์กรมหาชน)

Read More

29/09/2563

แหวนเงินชุบทอง เครื่องประดับของท่านผู้นำ


เมื่อเดือนกันยายน 2013 ได้มีการนำเครื่องประดับของท่านผู้นำแห่งนาซีอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ออกประมูล โดยเครื่องประดับที่เป็นไฮไลท์ของการประมูลในครั้งนั้นก็คือแหวนเงินชุบทองตกแต่งด้วยทับทิมซึ่งถูกจัดเรียงเป็นตราสัญลักษณ์”สวัสดิกะ”แห่งพรรคนาซี นั่นเอง แหวนวงนี้ถูกพบเมื่อปี 1945 โดยนายทหารชาวอเมริกัน ขณะกองกำลังสหรัฐฯ บุกเข้าโจมตีเมือง Berchtesgaden ของประเทศเยอรมนี ต่อมาเมื่อสงครามโลกสิ้นสุดลงเขามอบแหวนวงนี้ให้คนรัก จนกระทั่งในช่วงปี 1980 แหวนวงนี้ได้ถูกขายให้กับนักธุรกิจผู้หนึ่งในรัฐเนวาดา จากนั้นมันได้ถูกเปลี่ยนมือผู้ถือครองอีกหลายต่อหลายครั้ง จนกระทั่งถูกนำออกประมูลเมื่อปี 2013 และมีผู้ประมูลไปในราคาที่สูงถึง 55,000 เหรียญดอลลาร์สหรัฐแหวนของท่านผู้นำนี้ถูกทำขึ้นโดยช่างทำทองชาวเยอรมันชื่อKarl Berthold เมื่อปี 1939 ทำด้วยเงินชุบทองคำ บนหัวแหวนตกแต่งด้วยทับทิมจำนวน 16 เม็ดจัดเรียงเป็นตราสัญลักษณ์สวัสดิกะ บรรจุอยู่ในฐานซึ่งออกแบบเป็นรูปทรงกลมคล้ายลูกโลก และสลักตราสัญลักษณ์นาซี บริเวณรอยปิดผนึก ทั้งนี้“สวัสติกะ” (Swastika) คือเครื่องหมายกากบาทที่ส่วนปลายหักทำมุมฉาก ในอดีตมันเป็นเครื่องหมายอันเป็นมงคลซึ่งถูกใช้กันมาหลายพันปี ชื่อของมันมาจากคำในภาษาสันสกฤต หมายถึง “ความโชคดี” เครื่องหมายสวัสดิกะจึงเป็นสัญลักษณ์แห่งความดีงาม ความสงบสุข และความอุดมสมบูรณ์ ทั้งยังมีความเกี่ยวข้องในทางศาสนา โดยเฉพาะศาสนาฮินดู และศาสนาพุทธ ในประเทศญี่ปุ่นหากพบเครื่องหมายนี้ที่ใดก็ตาม หมายถึงว่าสถานที่นั้นคือ วัด และยังพบเครื่องหมายนี้ บนองค์พระพุทธรูปในเมืองหนานจิง ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน อีกด้วย อย่างไรก็ดีความหมายอันเป็นมงคลของ ‘สวัสติกะ’ ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ได้นำเอาเครื่องหมายนี้ไปใช้เป็นสัญลักษณ์ของพรรคนาซี จากนั้นภาพลักษณ์ของ ‘สวัสติกะ’ ก็กลาย กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความโหดร้ายทารุณ เผด็จการและกลายเป็นสัญลักษณ์ต้องห้ามไปทันที ข้อมูล : สถาบันวิจัยเละพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ

Read More

29/09/2563

Thai Silver Jewelry is the Best


นอกจากเครื่องประดับทองแล้ว เครื่องประดับเงินของไทยก็มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคทั่วโลก ทั้งในด้านมาตรฐานการผลิต คุณภาพ และดีไซน์ จึงครองความเป็นผู้นำส่งออกเครื่องประดับเงินในตลาดโลกมาอย่างยาวนาน โดยมีแหล่งผลิตกระจายอยู่ทั่วประเทศ ซึ่งส่วนมากเป็นโรงงานขนาดกลางและขนาดย่อม อีกทั้งยังมีแหล่งผลิตเครื่องประดับเงินท้องถิ่นที่มีอัตลักษณ์เป็นของตนเอง ซึ่งมีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมของชาวต่างชาติอีกหลายแหล่งได้แก่ เครื่องเงินสุโขทัย กำเนิดจากฝีมือช่างสุโขทัยในพื้นที่อำเภอศรีสัชนาลัย ซึ่งมีวิชาความรู้เช่นเดียวกับช่างทำเครื่องทอง เอกลักษณ์ของเครื่องเงินสุโขทัยเป็นไปในทิศทางเดียวกับทองสุโขทัย คือ คงลวดลายทางศิลปะของสุโขทัยเอาไว้ ทั้งลายโบสถ์หรือวิหาร ลายเครื่องสังคโลก ลวดลายธรรมชาติ และลายไทยต่างๆ ซึ่งมีเอกลักษณ์โดดเด่นทั้งจากเทคนิคการถักลาย การลงยาสี และการประดับพลอยเหมือนเครื่องทองเครื่องเงินเมืองน่าน ซึ่งมีทั้งเครื่องเงินโบราณท้องถิ่นน่าน และเครื่องเงินชาวเขา ที่เรียกว่า “ชมพูภูคา” ชิ้นงานส่วนใหญ่ทำขึ้นด้วยมือ ใช้วัตถุดิบเป็นเนื้อเงินที่มีค่าความบริสุทธิ์สูงกว่ามาตรฐาน เป็นเม็ดเงินที่มีค่าความบริสุทธิ์ระหว่าง 96-98% ซึ่งมีความอ่อนตัวสูงกว่าเนื้อเงินทั่วไป ทำให้นำไปตีหรือขึ้นรูปได้ง่ายขึ้นเครื่องเงินวัวลาย บ้านวัวลาย จังหวัดเชียงใหม่ ช่างฝีมือรุ่นแรกได้รับการฝึกฝีมือจากช่างพุกาม และถ่ายทอดทักษะ รูปแบบการทำเครื่องเงินมาแบบรุ่นสู่รุ่น เป็นแหล่งผลิตและจำหน่ายเครื่องเงินที่มีชื่อเสียงภายใต้ชื่อ “หมู่บ้านเครื่องเงิน” (Silver Village)มาอย่างยาวนาน เครื่องเงินนครศรีธรรมราช มีการนำลวดลายจากเครื่องทองมาประยุกต์ เอกลักษณ์เครื่องเงินนครเป็นลักษณะเครื่องเงินถักทั้งแบบสี่เสาและหกเสา หรือแบบสามกษัตริย์ทำด้วยทอง เงิน นาก โดยงานเครื่องถมเมืองนครเป็นสินค้าที่ขึ้นชื่อ รวมทั้งเครื่องประดับเม็ดนโม ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของเครื่องเงินนครศรีธรรมราช สาเหตุที่ทำให้เครื่องประดับเงินของไทยได้รับการยอมรับในตลาดโลก คือราคาไม่สูงมาก เมื่อเทียบกับโลหะมีค่าสีขาวอื่นๆ อย่างทองขาวและแพลทินัม นอกจากนี้ยังมีลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะท้องถิ่น อีกทั้งยังสามารถสร้างสรรค์รูปแบบและดีไซน์ สินค้าได้หลากหลายและทันสมัย มีสินค้าคอลเล็กชั่นใหม่ๆ ออกสู่ตลาดได้อย่างต่อเนื่อง และยังมีการนำโลกะมีค่าอื่นๆมาผสมผสานเพื่อเพิ่มมูลค่าและรูปแบบอีกด้วยเช่น ทำเป็นเครื่องประดับเงินหุ้มทองคำแท้ 18 กะรัต และ 24 กะรัต หรือหุ้มด้วยโรเดียมสีดำ เป็นต้น ไทยเป็นผู้ส่งออกเครื่องประดับเงินอันดับที่ 1 ของโลก ตามมาด้วยอินเดีย เยอรมนี อิตาลี และจีน โดยคิดเป็นสัดส่วนการส่งออกร้อยละ 25.95, ร้อยละ 7.65, ร้อยละ 7.14 ร้อยละ 5.34 และร้อยละ 0.56 ตามลำดับ

Read More

29/09/2563

หน้ากากทองคำป้องกันโควิด๑๙


ทองคำกับชาอินเดียดูเหมือนจะแยกกันไม่ออก โดยเฉพาะบรรดาเศรษฐีที่มีเงินทองเหลือกินเหลือใช้ที่นิยมใส่เครื่องประดับทอง ใช้ของใช้ที่ทำจากทอง หรือแม้แต่สวมเสื้อผ้าที่ทำจากทอง ล่าสุดในสถานการณ์ที่ไวรัสโคโลน่า๒๐๑๙ กำลังระบาดอย่างรุนแรงไปทั่วโลก เศรษฐีชาวอินเดียจึงไม่พลาดกับโอกาสพิเศษนี้ โดยเจียดเงินหลักแสน สั่งทำหน้ากากทองคำเพื่อใส่ป้องกันไวรัสแทนหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้าที่คนธรรมดาทั่วไปใช้เรื่องราวนี้เปิดเผยขึ้นเมื่อต้อนเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมา เมื่อสื่อต่างประเทศรายงานว่า นักธุรกิจคนดังวัย 49 ปี ในเมืองปูเน รัฐมหาราษฏระ ทางภาคตะวันตกของอินเดียที่มีชื่อว่านายชานการ์ กูร์ฮาดีสวมใส่หน้ากากสั่งทำพิเศษที่ทำจากทองคำ น้ำหนัก 60 กรัม มูลค่ากว่า 289,000 รูปี หรือราว 120,000 บาท ใช้เวลา 8 วันในการทำหน้ากากทองคำชิ้นนี้หน้ากากทองคำที่สั่งทำพิเศษนี้ เป็นหน้ากากบางๆ และมีรูเล็กๆ กระจายอยู่ทั่วไปเพื่อช่วยให้หายใจสะดวกขึ้น และแม้จะไม่มั่นใจว่าหน้ากากทองคำนี้มีประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อโควิด๑๙ได้หรือไม่แต่นายชานการ์ กูร์ฮาดี บอกว่าไม่เป็นไรเพราะมีวิธีอื่นๆ ในการปกป้องไม่ให้ติดเชื้ออยู่แล้ว และหน้ากากก็เหมือนเครื่องประดับทองคำอย่างสร้อยคอ สร้อยข้อมือ และแหวนที่เขาใส่อยู่ หรือพูดง่ายๆว่า แค่อยากใส่หน้ากากที่ทำจากทองคำเพื่อสนองความชอบก็เท่านั้นเอง แถมตอนนี้เดินไปไหนมาไหนก็มีคนเข้ามาขอถ่ายรูปกลายเป็นคนดังข้ามโลกไปแล้วอย่างไรก็ตาม สำหรับ รัฐมหาราษฏระเป็นรัฐที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด๑๘ สูงที่สุดในประเทศอินเดีย กับยอดผู้ติดเชื้อมากกว่า ๒๐๐,๐๐๐ คน เสียชีวิตแล้วไม่น้อยกว่า ๘,๕๐๐ ราย และรักษาหายประมาณ 105,000 คน ขณะที่ตัวเลขผู้ป่วยสะสมทั้งประเทศเพิ่มขึ้นมากว่า ๑,๕๐๐,๐๐๐ คน รั้งอันดับที่ ๓ ของโลก มียอดผู้เสียชีวิตรวม ๓๔,๐๐๐ ราย และรักษาหายราว ๑ ล้านคนทั้งนี้ นายชานการ์ กูร์ฮาดีเป็นคนที่ขึ้นชื่อว่า ชื่นชอบใส่เครื่องประดับทองครั้งละหลายชิ้นและน้ำหนักหลายกิโลกรัม ทั้งสร้อยคอ สร้อยข้อมมือ และสวมแหวนที่นิ้วมือทั้งสิบนิ้ว

Read More

30/06/2563

พระแสงดาบทองคำ สื่อสัมพันธไมตรีไทย-สหรัฐ


ไทยและสหรัฐฯ มีความสัมพันธ์มายาวนาน โดยเริ่มต้นอย่างเป็นทางการเมื่อปีพ.ศ. 2376 จากการทำสนธิสัญญาไมตรีและการพาณิชย์ (Treaty of Amity and Commerce) ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ โดยในปีนั้น ประธานาธิบดีแอนดรูว์ แจ๊กสัน (Andrew Jackson)ของสหรัฐฯได้ส่งเอกอัครราชทูตเดินทางมายังกรุงเทพฯ พร้อมทั้งนำพระแสงดาบทองคำมาทูลเกล้าฯ ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วยพระแสงดาบนี้ทั้งฝักและด้ามทองคำทำจากทองคำสลักรูปช้างและนกอินทรี แญเป็นสัญลักษณ์ของสหรัฐอเมริกาและไทย โดยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานของพื้นเมืองหลายอย่างเป็นของตอบแทน เช่น งาช้าง ดีบุก เนื้อไม้ และกำยาน เป็นต้น โดยนายรอเบิตส์ (Edmund Roberts) ผู้นำนำดาบทองคำมาถวายนี้ถือเป็นเอกอัครราชทูตคนแรกของสหรัฐอเมริกาที่เดินทางมาประเทศไทย โดยมีภารกิจสำคัญคือการเจรจาจัดทำสนธิสัญญาทางการค้ากับไทย เช่นเดียวกับที่ไทยได้ทำสนธิสัญญาและข้อตกลงทางการค้ากับสหราชอาณาจักรเมื่อ ปี 2369การจัดส่งคณะทูตสหรัฐฯ มายังไทยแสดงให้เห็นถึงความสนใจของสหรัฐฯ ที่จะติดต่อค้าขายกับไทยตั้งแต่ในช่วงต้นของกรุงรัตนโกสินทร์ หลังจากที่ได้มีชาติตะวันตกอื่นๆ เช่น โปรตุเกส และสหราชอาณาจักร ได้เข้ามาค้าขายกับไทยอยู่ก่อนแล้ว ทั้งนี้ ไทยและสหรัฐฯ ได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการในปี 2376อย่างไรก็ดี ในช่วงก่อนหน้านั้นปรากฏหลักฐานการติดต่อระหว่างทั้งสองประเทศตั้งแต่ต้น สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ที่มีเรือกำปั่นของชาวสหรัฐฯ ลำแรก โดยมีกัปตันแฮน (Captain Han) เป็นนายเรือได้แล่นเรือบรรทุกสินค้าผ่านลำน้ำเจ้าพระยาเข้ามาถึงกรุงเทพฯ เมื่อปี 2364 หรือในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย แต่ไม่มีความต่อเนื่องเพราะที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่ห่างไกลกัน และสหรัฐฯ ไม่ค่อยความสนใจหรือมีผลประโยชน์ในภูมิภาคนี้ โดยสหรัฐฯ มีสถานกงสุลเพียงแห่งเดียวในภูมิภาคนี้ที่ปัตตาเวีย (กรุงจาการ์ตาในปัจจุบัน)แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะมีสนธิสัญญาไมตรีและการพาณิชย์ความสัมพันธ์กันอย่างเป็นทางการ รวมทั้งเรือสินค้าสหรัฐฯ ได้เริ่มต้นเดินทางมาถึงไทยแล้วก็ตาม แต่ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศก็ยังไม่ขยายตัว เนื่องจากไม่มีการติดต่อที่ใกล้ชิด รวมทั้งการค้ากับต่างประเทศของไทยโดยเฉพาะกับประเทศตะวันตกก็ยังไม่ขยายตัว เนื่องจากฝ่ายไทยยังคงบังคับใช้กฎเกณฑ์ที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการค้ากับ ต่างประเทศนัก

Read More

30/06/2563

กองทุน ETF ทั่วโลกถือครองทองคำเพิ่มมากสุดเป็นประวัติการณ์


สภาทองคำโลก (World Gold Council) รายงานตัวเลขการถือครองทองคำของกองทุน ETF ทั่วโลกเมื่อเดือนพฤษภาคมว่าในไตรมาสที่ 1 ของปี 2563 มีสัดส่วนการถือครองเพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยตัวเลขการถือครองทองคำของ ETF ทั่วโลกเพิ่มขึ้นทุกเดือนตั้งแต่เดือนมกราคม-เดือนมีนาคม สภาทองคำโลกระบุว่าในเดือนมกราคม 2563 กองทุน ETF ทั่วโลกถือครองทองคำรวมกัน 61.7 ตัน คิดเป็นมูลค่าราว 3.1 พันล้านดอลลาร์ เดือนกุมภาพันธ์การถือครองทองคำเพิ่มขึ้น 22.8 ตันมาอยู่ที่ 84.5 ตัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 4.9 พันล้านดอลลาร์ เดือนมีนาคม ตัวเลขขยับเพิ่มไปอยู่ที่ 151 ตัน เพิ่มขึ้น 66.5 ตัน หรือเพิ่มขึ้นถึง 2.9 เท่าเมื่อเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 8.1 พันล้าน และเมื่อแยกสัดส่วนการถือครองของกองทุนออกไปตามภูมิภาคต่าง ๆทั้วโลกก็จะพบว่า เป็นดังนี้กองทุน ETF ในยุโรป ถือครองเพิ่มขึ้นมากที่สุด 84 ตัน คิดเป็นมูลค่า 4.4 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 5.8% เทียบกับสัดส่วนของทองคำทั้งหมดที่ถือครองก่อนหน้านี้ รองลงมาคือกองทุนอเมริกาเหนือ ถือครองเพิ่มขึ้น 57 ตัน คิดเป็นมูลค่า 3.2 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 3.9% กองทุนเอเชียถือครองเพิ่มขึ้น 4.9 ตัน คิดเป็นมูลค่า 309 ล้านดอลลาร์ คิดเป็น 6.4% (มีอัตราการถือครองเพิ่มขึ้นมากที่สุดเมื่อเทียบกับสัดส่วนการถือครองเดิม) และกองทุนจากภูมิภาคอื่น ๆ ถือครองรวมกันเพิ่มขึ้น 4.7 ตัน คิดเป็นมูลค่า 249 ล้านดอลลาร์ ทั้งนี้เมื่อดูตัวเลขเฉพาะกองทุนพบว่าสัดส่วนการถือครองของกองทุนยักษ์ใหญ่เป็นอย่างไรบ้าง ?ก็มีสัดส่วนทองคำเพิ่มขึ้นทั่วหน้านำมาโดย SPDR Gold Shares กองทุนทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลก ถือครองเพิ่มขึ้น 32.7 ตัน คิดเป็นมูลค่า 1.8 พันล้านดอลลาร์ กองทุน iShares Gold Trust ถือครองเพิ่มขึ้น 13.2 ตัน คิดเป็นมูลค่า 729 ล้านดอลาร์ ,กองทุน Invesco Physical Gold ถือครองเพิ่มขึ้น 33ตัน คิดเป็นมูลค่า 1.7 พันล้านดอลลาร์, กองทุน iShares Physical ถือครองเพิ่มขึ้น 29 ตัน คิดเป็นมูลค่า 1.5 พันล้านเมื่อดูตัวเลขย้อนหลังไปก็จะพบว่าตลอด 12 เดือนที่ผ่านมาสัดส่วนของถือครองทองคำในกองทุน ETF เพิ่มขึ้นถึง 56% โดยในเดือนมีนาคม 2563 จำนวนการถือครองทองคำของกองทุน ETF ทั่วโลกทำสถิติสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมา และแนวโน้มของราคาทองคำก็น่าจะขึ้นไปแตะที่ระดับ 1850 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ในช่วงสิ้นปี 2563 นี้ อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำจะยังคงปั่นป่วนต่อไปอีกสักพัก จนกว่าเศรษฐกิจจะฟื้นฟูและกลับเข้าสู่สภาวะที่มีเสถียรภาพ ซึ่งคาดว่าน่าจะกินเวลานับปีหมายเหตุ : ETFs หรือ Exchange Traded Fund คือ กองทุนรวมดัชนี (Index Fund) ที่มีนโยบายการลงทุนตามดัชนีต่างๆ เช่น ตลาดหุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ ตราสารหนี้ เป็นต้น โดยต้องการสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับการเคลื่อนไหวของดัชนีมากที่สุด โดยสามารถลงทุนในสินทรัพย์ได้หลากหลายประเภท เช่น หุ้นในประเทศ, หุ้นต่างประเทศหรือทองคำ ข้อมูล : World Maker

Read More

30/06/2563

หอกลองกินุส หอกแห่งโชคชะตา


หอกแห่งลองกินุส (Lance of Longinus, Spear of Longinus) เป็นหอกหุ้มด้วยทองคำ มีหลายชื่อบ้างเรียกหอกแห่งโชคชะตา(Spear of Destiny)หอกศักดิ์สิทธิ์(Holy Lance, Holy Spear)และหอกแห่งพระคริสต์(Spear of Christ) นั่นเพราะหอกเล่มนี้ใช้แทงพระเยซูคริสต์ เพื่อตรวจสอบว่า พระองค์สิ้นพระชนม์แล้วหรือยัง หลังจากที่โดนตรึงบนไม้กางเขน จากไบเบิ้ลฉบับพันธสัญญาใหม่ เขียนไว้ว่าเมื่อพระโลหิตของพระเยซูกระเด็นมาโดนทหารคนหนึ่ง ทำให้ตาของเขาที่บอดกลับมามองเห็นได้ดีอีกครั้ง นายทหารผู้นี้จึงเกิดความศรัทธา และบวชเป็นนักบวชในศาสนาคริสต์ ชิ้นส่วนของหอกเล่มนี้ถูกเปลี่ยนมือไปหลายยุคหลายสมัย และมีวัตถุโบราณอีกหลายเล่มถูกอ้างว่าเป็นหอกลองกินุสอ แต่เล่มที่น่าสนใจ และมีชื่อเสียงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ก็คือ หอกลองกินุสแห่งกรุงเวียนนา (Vienna Lance) ซึ่งอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adoft Hitler) ผู้นำเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เคยได้ครอบครองไว้ช่วงหนึ่ง ในช่วงที่ฮิตเลอร์ต้องการสร้างอาณาจักรไรซ์ที่ 3 ขึ้น เขาจึงต้องการของศักดิ์สิทธิที่จะใช้เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจ เขาจึงนำหอกลองกินุสแห่งกรุงเวียนนามาครอบครองไว้ เพราะผู้ถือครองหอกเล่มนี้ล้วนแต่มีอำนาจทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นพระเจ้าคอนสแตนตินมหาราช กษัตริย์ผู้ประกาศให้ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาประจำชาติโรมัน, พระเจ้าชาร์เลอมาญ (Emperor Charlemagne) ผู้ก่อตั้งอาณาจักรโรมันศักดิ์สิทธิ์ แม้แต่นโปเลียน โบนาปาร์ต (Napoleon Bonaparte) ก็ยังหวังในพลังของหอก จนเหล่าสภาชิกสภาเมืองนูเรมเบิร์กที่เก็บหอกลองกินุสในยุคนั้นต้องถูกนำไปซ่อนไว้ในกรุงเวียนนาแทน ปัจจุบันหอกศักดิ์สิทธิ์เล่มนี้ถูกนำกลับไปเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์ในกรุงเวียนนาเช่นเดิมหลังกองทัพนาซีพ่ายแพ้งคราม ตามประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า ในปีช่วง ค.ศ.1046 พระเจ้าเฮนรี่ที่3มหาราช ผู้สืบเชื้อสายมาจาก ชาร์ลมาญ พระเจ้าเฮนรี่ได้ทำการหุ้มหอกด้วยแผ่นเงิน เนื่องจาก หอกลองกินุสเกิดหัก ซึ่งคาดว่าเป็นผลจากความพยายามจะ ฝัง ตะปูศักดิ์สิทธิ์ดอกที่ 2 ลงไปในหอกในช่วง ค.ศ.ที่ 1350 ในยุคสมัยของพระเจ้าชาร์ลที่4 พระองค์ได้สร้างปราสาท Karlstejn ในกรุง ปราก(Prague) เพื่อเป็นที่เก็บรักษา หอกลองกินุส และทรงหุ้มหอกลองกินุสใหม่ด้วยทองคำในช่วง ค.ศ.1400 ผู้สืบเชื้อสายจากพระเจ้าเฮนรี่ที่4 ได้ขายหอกศักดิ์สิทธิ์ ให้แก่สภาเมืองนูเรมเบิร์ก(Nuremberg town council) หอกศักดิ์สิทธิ์ถูกเก็บรักษาไว้ในหีบเงิน และถูกลืมเลือนไปจากหน้าประวัติศาสตร์เกือบ 400 ปีก่อนที่อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ จะเข้ายึดประเทศออสเตรียและพบหอกลองกินุสอีกครั้งในปี ค.ศ.1938 ที่กรุงเวียนนา

Read More

30/06/2563

สกัดโลหะมีค่าจากเครื่องประดับค้างสต็อก ทางรอดจองธุรกิตยุกโควิด-19


ในช่วงวิกฤติการระบาดของCOVID-19 ทำให้ราคาโลหะมีค่ามีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นโดยเฉพาะทองคำแท่งที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย รวมไปถึงโลหะมค่าในอุตสาหกรรมเครื่องประดับอื่นๆไม่ว่าจะเป็นเงิน แพลทินัม และแพลเลเดียม ในขณะที่ความต้องการเครื่องประดับลดลง ทำให้การสกัดโลหะให้บริสุทธิ์เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ขายเครื่องประดับในปัจจุบันสภาทองคำโลก (World Gold Council) รายงานแนวโน้มความต้องการทองคำในไตรมาสที่ 1 ปี 2020 ว่า ความต้องการเครื่องประดับทองทั่วโลกลดลงต่ำสุดในรอบ 10 ปี คือลดลงถึงร้อยละ 39 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2019 ขณะเดียวกันความต้องการเครื่องประดับแพลทินัมก็ลดลงถึงร้อยละ 26 เฉพาะในจีนลดลงร้อยละ 45 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2019 และเครื่องประดับเงินจะลดลงร้อยละ 7แม้ความต้องการเครื่องประดับลดลงแต่โลหะมีค่ายังมีราคาสูงผู้ขายเครื่องประดับจึงมีโอกาสชดเชยรายได้ที่หายไปด้วยการสกัดโลหะมีค่าจากเครื่องประดับและเศษโลหะที่เหลือจากการผลิต โดยโรงสกัดสกัดโลหะมีค่าเกือบครึ่งหนึ่งของทั้งหมดในออสเตรเลียยังคงทำงานทั้งวันทั้งคืนเพื่อสนองความต้องการของตลาด โดยพบว่าในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมางานสกัดโลหะมีค่าเพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์บริษัท Peter W Beck ในออสเตรเลียที่ได้รับการรับรองจาก London Bullion Market Association (LBMA) และ Shanghai Gold Exchange (SGE) ซึ่งรับสกัดทอง เงิน แพลทินัม และแพลเลเดียม แนะนำให้ผู้ขายเครื่องประดับเริ่มต้นจากการนำสินค้าคงคลังเก่าที่เก็บไว้นานกว่าสี่ถึงห้าปีมาสกัดก่อน ซึ่งจากราคาโลหะมีค่าที่เพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบัน จึงเป็นไปได้ว่ามูลค่าของโลหะมีค่าอย่างเดียวอาจสร้างรายได้กลับมามากกว่าราคา เดิมของสินค้านั้นๆ ในภาวะวิกฤติปัจจุบัน เมื่อผู้ขายเครื่องประดับเริ่มกลับมาเปิดร้านและผู้บริโภคใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2020 กลยุทธ์การสกัดโลหะที่มีประสิทธิภาพจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กิจการเครื่องประดับ ตลอดจนช่วยให้กิจการมีโอกาสรอดและโอกาสที่จะประสบความสำเร็จยิ่งขึ้นกว่าเดิมข้อมูล : ศูนย์ข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

Read More

30/06/2563

คำสำคัญที่พบบ่อยในข่าวสารทองคำ


ในข่าวเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนหรือการซื้อขายทองคำ มักพบคำย่อ หรือคำเรียกหน่วยงานต่างๆที่บางครั้งเราอาจไม่เข้าใจว่าหมายถึงหน่วยงานใดหรือมีความหมายว่าอย่างไร บทความนี้จึงขอนำเสนอคำที่พบเห็นได้บ่อยๆตามบทความหรือข่าวสารต่างๆเพื่อความเข้าใจในเนื้อหาของข่าวสารนั้นๆมากยิ่งขึ้น ได้แก่1.SPDRหรือSPDR Gold Trustเป็นชื่อเรียกกองทุนเปิดดัชนีที่จดทะเบียนและซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์(Exchange Traded Fund : ETF)เป็นกองทุนที่ลงทุนในทองคำแท่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อสร้างผลตอบแทนของกองทุนหลังหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการจัดการ ให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของราคาทองคำในตลาดลอนดอน คือLondon Gold PM Fix Priceมีนโยบายลงทุนในทองคำแท่งโดยตรงโดยไม่มีการใช้ตราสารอนุพันธ์หรือมีการให้ยืมทองคำแท่งกับผู้ลงทุนSPDR Gold Trustมีผู้เก็บรักษาทองคำแท่งให้ ได้แก่ ธนาคารฮ่องกงเซี่ยงไฮ้ สหรัฐอเมริกา(HSBC Bank USA, N.A.)กองทุนSPDR Gold Trustจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ 4 แห่ง ได้แก่ นิวยอร์ก สิงคโปร์ ฮ่องกง และญี่ปุ่น กองทุนFeeder Fundหลายกองทุนในประเทศต่างๆ ก็มีนโยบายลงทุนในSPDR Gold Trustอีกทีหนึ่ง ซึ่งรวบรวมคำสั่งซื้อขายหน่วยลงทุนจากนักลงทุนรายย่อย หรือสถาบันในประเทศนั้นๆ มาอีกทอดหนึ่ง ระดับการถือครองทองคำที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงของSPDR Gold Trustจึงเป็นตัวสะท้อนมุมมองต่อทองคำของนักลงทุนจากทั่วโลก2.FED(Federal Reserve Bank)ธนาคารกลางสหรัฐฯซึ่งนาย​เจอโรม โพเวลล์เป็นประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ คนปัจจุบัน เนื่องจากระบบเศรษฐกิจและการเงินของสหรัฐฯ มีขนาดใหญ่ นโยบายทางการเงินและภาษีของสหรัฐฯ จึงมีผลอย่างมากต่อตลาดเงินและตลาดทุน รวมถึงทรัพย์สินอื่นๆ ทั่วโลก ดังนั้นเราจึงมักพบชื่อของนายเจอโรม โพเวลล์อยู่บ่อยครั้งในข่าวสารเกี่ยวกับเศรษฐกิจ การเงิน และการลงทุน รวมถึงทองคำด้วย3.FOMC (The Federal Open Market Committee)คือ คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ(FED) มีหน้าที่ในการกำหนดและรักษาอัตราดอกเบี้ยนโยบายโดยตรง เช่น นโยบายดอกเบี้ยระยะสั้น ซึ่งจะสะท้อนให้เห็นถึง ภาพรวมของเศรษฐกิจในช่วงนั้นๆ ว่ามีความแข็งแกร่งหรืออ่อนแอมากน้อยเพียงใด หรือแม้กระทั่งสะท้อนภาวะเงินเฟ้อในช่วงนั้นๆFOMCจะมีการประชุมทุกๆ 6 สัปดาห์หรือปีละ 8 ครั้ง4.ECB(European Central Bank)ธนาคารกลางแห่งยุโรป มีบทบาทหน้าที่ในการรักษาเสถียรภาพของราคาค่าเงินยูโร และ ดำเนินนโยบายการเงินที่ที่ทำให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจและการสร้างงาน ของกลุ่มประเทศยูโรโซน ปัจจุบันมีนางคริสตีน ลาการ์ด เป็นผู้ว่าการ5.BOE(Bank of England)ธนาคารกลางอังกฤษ ถือเป็นธนาคารกลางของประเทศที่มีความสำคัญต่อทิศทางและนโยบายของเศรษฐกิจโลกประเทศหนึ่ง มีความเป็นอิสระจากรัฐบาลและปราศจากอิทธิพลทางการเมืองทำหน้าที่กำหนดนโยบายการเงินของอังกฤษปัจจุบันมีนายแอนดรูว์ เบลลีย์ เป็นผู้ว่าการฯ 6.IMF(International Monetary Fund)กองทุนการเงินระหว่างประเทศ เป็นองค์กรระหว่างประเทศที่จัดตั้งขึ้นเพื่อสร้างเสถียรภาพให้กับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ ให้ประเทศต่างๆ กู้ยืมเงิน รวมทั้งให้ความช่วยเหลือทางด้านเทคนิค เพื่อสนับสนุนให้เกิดการขยายตัวและดุลยภาพของการค้าและการเงินระหว่างประเทศ ปัจจุบันมีนางคริสตาลินา จอร์เจียวาเป็นผู้อำนวยการผู้อำนวยการกองทุน

Read More

30/06/2563

Yellow Sapphire, Topaz, Citrine ความเหมือนที่แตกต่าง


Yellow Sapphire, Topaz, Citrine คือ บุษราคัม โทแพซ และซิทริน มักพบว่าเป็นอัญมณีที่มีสีคล้ายกันคอสีเหลือง หรือเหลืองทอง แต่ในความเป็นจริงแล้วมีเพียง Yellow Sapphire เท่านั้นที่มีสีเหลืองโดยธรรมชาติ ส่วนสีเหลืองของ Topaz เกิดจากกระบวนการอาบสีและ Citrine แม้จะมีสีเหลืองใสแต่ความแข็งแรงก็น้อยกว่า Yellow Sapphireอยู่มากTopaz (โทแพซ)ที่พบในธรรมชาติ มักเป็นชนิดไร้สี นิยมนำมาทำการเคลือบสี หรือ Coatingให้เป็นสีต่างๆเช่น สีฟ้าเรียกว่า Blue Topaz, สีชมพูเรียก Pink Topaz, สีรุ้งเรียก Mystic Topaz และสีเขียวเรียก Green Topaz ซึ่ง Topaz ที่ได้รับความนิยมและน่าสะสมที่สุดเรียกว่า Yellow Topaz หรือ Imperial Topaz ในสมัยโบราณ คำว่า บุษราคัม จะหมายถึง โทแพซ แต่เมื่อเราพบว่า พลอยสีเหลืองของจันทบุรีที่เราเรียกว่าบุษราคัมนั้นเป็นแซปไฟร์สีเหลือง (Yellow Sapphire) ซึ่งมีคุณภาพเหนือกว่าโทแพซ เราจึงใช้ Yellow Sapphire แทน Topaz นอกจากการสวมใส่เป็นเครื่องประดับแล้วTopaz ยังเกี่ยวข้องกับความเชื่ออีกด้วย เพราะคำว่า Topaz นั้นมาจากภาษากรีกคือคำว่าtopazian (โทแพเซียน) หมายถึงการเสาะแสวงหา คนในสมัยก่อนเชื่อว่าโทแพซ มีพลังอำนาจช่วยให้สติปัญญาดีมีความกล้าหาญสามารถขจัดความทุกข์โศก ป้องกันการฝันร้าย และยังใช้รักษาโรคหืดโรคนอนไม่หลับได้ด้วยส่วน Citrine (ซิทริน) เป็นพลอยโปร่งใสสีเหลือง ส้ม และ ส้มอมน้ำตาล เป็นสีที่เกิดจากธาตุเหล็ก (Fe)โดยซิทรินที่ขายตามท้องตลาดส่วนใหญ่ได้มาจากการเผาอะเมทิสต์ (Amethyst) จัดอยู่ในกลุ่มของหินควอรตซ์ (Quartz) มีความแข็งเท่ากับ 7 (บุษราคัมความแข็งเท่ากับ 9) มีเสถียรภาพทางเคมี ไม่ทำปฏิกิริยากับ สารเคมีทั่วไป จึงเป็นแร่ที่ทนทานต่อการผุกร่อน และทนต่อการทำลายทางเคมีมาก คำว่า "Citron" มาจากภาษาฝรั่งเศสแปลว่ามะนาวเป็นการตั้งชื่อตามสีเพราะมีสีเหลืองมะนาวโดย สีของซิทรินจะคล้ายคลึงกับสีของโทแพซสีเหลืองมาก จึงทำให้เกิดการเข้าใจผิดกันอยู่บ่อยๆครั้ง แต่ปัจจุบัน ซิทรินเป็นที่นิยมกันมากกว่าโทแพซ เพราะโทแพซทีเหลือง หายากกว่าและมีราคาแพงกว่า เชื่อกันว่าใครที่สวมใส่ซิทริน จะนำมาซึ่งสติปัญญา ความคิดสร้างสรรค์ ทำให้สดชื่น ช่วยเรื่องทัศนคติและมุมมองทำให้สามารถสื่อสารกับค้นรอบข้างได้ดี ช่วยขจัดพิษทั้งในร่างการและจิตใจ

Read More

30/06/2563

บุษราคัม อัญมณีสีเหลืองทอง


บุษราคัม หรือ Yellow sapphire เป็นหนึ่งในอัญมณี ๙ ชนิดของไทยเรียกว่า นพรัตน์หรือแก้วเก้าประการซึ่งมีคำกลอนบอกเล่าเรื่องราวของอัญมณีทั้ง ๙ ชนิดโดยลำดับชั้นคุณภาพ ลักษณะสี และชนิดไว้อย่างชัดเจนว่า ๑. เพชร (น้ำ) ดี หมายถึง เพชร - Diamond๒. มณีแดง หมายถึง ทับทิม - Ruby๓. เขียวใสแสง มรกต หมายถึง มรกต - Emerald๔. เหลืองใสสด บุษราคัม หมายถึง บุษราคัม - Yellow - Sapphire ๕. แดงแก่ก่ำ โกเมนเอก หมายถึง โกเมน - Garnet๖. ศรีหมอกเมฆ นิลกาฬ หมายถึง ไพลิน - Blue Sapphire๗. มุกดาหาร หมอกมัว หมายถึง ไข่มุก - Pearl or Moonstone๘. แดงสลัว เพทาย หมายถึง เพทาย - Zircon๙. สังวาลสาย ไพฑูรย์ หมายถึง ไพฑูรย์ - Chrysobery Cat's eye บุษราคัม (Yellow sapphire) ไพลิน และทับทิม จัดเป็นแร่ชนิดเดียวกันเพราะประกอบด้วยธาตุอะลูมิเนียม และออกซิเจนเหมือนกัน แต่มีความแตกต่างกันในเรื่องของสีคือ ไพลินมีสีน้ำเงิน ทับทิมมีสีแดง และบุษราคัมมีสีเหลือง ทำให้เรียกชื่อเป็นชนิดอัญมณีต่างกัน อีกทั้งสีเหลืองของบุษราคัมก็ยังแตกต่างกันคือมีตั้งแต่เหลืองอ่อนเรียกบุษย์น้ำเพชร, สีอมเขียวเรียกว่าบุษย์น้ำแตง, สีเหลืองทองเรียกบุษย์น้ำทอง, สีคล้ายเหล้าเรียกบุษย์น้ำแม่โขง, สีเหลืองเข้มมากเรียกบุษย์น้ำขมิ้นเน่า, สีเหลืองออกส้มเรียกว่าบุษย์น้ำจำปา บุษราคัมสีบุษย์น้ำแม่โขงและน้ำทองเป็นสีที่ได้รับนิยมและมีราคาแพง โดยบุษย์น้ำโขงจะแพงที่สุดบุษราคมจัดเป็นอัญมณีประจำของผู้เกิดเดือนเกิด พฤศจิกายน ผู้ที่เกิดปีวอก และผู้ที่เกิดวันจันทร์ คนไทยเชื่อว่าการได้ครอบครองหรือสวมใส่บุษราคัมจะทำให้เกิดความเป็นสิริมงคล ความแข็งแกร่งของเนื้ออัญมณีจะทำให้ผู้สวมใส่ มีพลังอำนาจ ช่วยขับไล่สิ่งชั่วร้าย ความวิตกกังวลและปัญหากวนใจต่างๆ หากวางไว้ใต้หมอนขณะหลับจะสร้างพลังบวกให้กับร่างกาย ช่วยให้นอนหลับง่าย มีสมาธิตัดสินใจอย่างรอบคอบ วางไว้บนโต๊ะทำงานจะสร้างความร่ำรวย ช่วยปรับสมดุลในร่างกายโดยเฉพาะระบบประสาท มีช่วยในเรื่องความคิดสร้างสรรค์ กระตุ้นให้เกิดความกล้า อีกทั้งสีเหลืองยังให้ความรู้สึกสงบร่มเย็นแก่อารมณ์และจิตใจ บุษราคัมจึงเป็นอัญมณีที่ได้รับความนิยมมาโดยตลอด

Read More

Loading...
More