บทความทั่วไป

31/01/2563

เหมืองแร่ทองคำในอุซเบกิสถาน


สาธารณรัฐอุซเบกิสถาน ตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชียกลาง ภูมิประเทศเป็นทะเลทรายล้อมรอบด้วยเทือกเขาสูง มีพื้นที่ 447,400 ตารางกิโลเมตร มีทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญมากมาย เช่น ทองแดง เงิน ถ่านหิน ตะกั่ว ทองคำ และแร่ยูเรเนียม โดยสาธารณรัฐอุซเบกิสถานนั้นสามารถผลิตทองคำได้มากเป็นอันดับ 9 ของโลกและผลิตแร่ยูเรเนียมได้เป็นอันดับ 7 ของโลก อุซเบกิสถานมีแหล่งแร่ทองคำปฐมภูมิ (Primary Gold Deposits) 33 แหล่ง บริษัทเหมืองทองที่สำคัญ ได้แก่ บริษัท Almalyk GMK และ Navoi GMK มีแหล่งแร่สำคัญ ผลิตทองคำได้ 98 ตันต่อปี (ข้อมูลปีพ.ศ. 2556) ประมาณการว่าอุซเบกิสถานมีปริมาณทองคำสำรองจำนวน 5,300 เมตริกตัน มากเป็นอันดับที่ 4 ของโลก ส่วนแร่ยูเรเนียม ผลิตได้ 2,400 ตันต่อปี (พ.ศ. 2556) มีปริมาณยูเรเนียมสำรองโดยประมาณ 185,800 ตัน นอกจากนี้ยังสามารถผลิตทองแดง ได้ 98,000 เมตริกตันต่อปีมากเป็นอันดับที่ 10 ของโลก อีกด้วย เหมืองทองคำ Muruntau ตั้งอยู่ในทะเลทรายอันแห้งแร้งของเมือง Kyzyl Kum เปิดดำเนินการมาตั้งแต่ปี 1967 จนถึงปัจจุบัน เป็นเหมืองเปิดขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกมีความลึก1,900 ฟุต เป็นอันดับ 5 ของเหมืองที่ลึกที่สุดในโลก นอกจากขุดทองแล้ว Muruntau ยังเป็นแหล่งแร่พลอยเทอร์คอยซ์ที่สำคัญอีกด้วย คาดการณ์กันไว้ว่า เหมืองแห่งนี้จะมีแร่ 2,500 – 5,300 ตันเลยทีเดียววันนี้เหมือง Muruntau ผลิตทองคำได้มากกว่า 60 ตันต่อปี อย่างไรก็ดี แม้ว่าสาธารณรัฐอุซเบกิสถานเป็นประเทศอุดมไปด้วยทรัพยากรแร่ หากแต่ยังขาดเงินทุนและเทคโนโลยีที่จำเป็นในการนำทรัพยากรแร่มาใช้ประโยชน์ ดังนั้น ความร่วมมือระหว่างสาธารณรัฐ อุซเบกิสถานกับต่างประเทศในด้านทรัพยากรแร่จะอยู่ในลักษณะที่บริษัทต่างชาติเข้ามารับสัมปทาน และร่วมลงทุนในสาธารณรัฐอุซเบกิสถาน อาทิ การร่วมทุนทำเหมืองแร่โพแทซโดยบริษัทของสหพันธรัฐรัสเซียและสาธารณรัฐประชาชนจีน การได้สัมปทานเหมืองแร่ทองแดงของบริษัทสหราชอาณาจักร การได้สัมปทานเหมืองแร่ยูเรเนียมของบริษัทญี่ปุ่น และการร่วมทุนทำเหมืองทองคำของบริษัทสหรัฐอเมริกา เป็นต้นปัจจุบัน สาธารณรัฐอุซเบกิสถาน ถือครองทองคำอยู่ 342.1 ตัน มากเป็นอันดับ 16 ของโลก และเป็นอันดับ 6 ของเอเชียรองจากจีน ญี่ปุ่น อินเดีย ไต้หวัน และคาซัคสถาน

Read More

31/01/2563

ภาพรวมราคาทองคำ ปี’62 และแนวโน้มปี’63


ตลอดปี 2562 ที่ผ่านไป ราคาทองคำในตลาดโลกทะยานสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นการปรับตัวในระดับสูงสุดในรอบกว่า 6 ปี และขึ้นไประดับสูงสุดของปีที่บริเวณ 1,556 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือเพิ่มขึ้นถึง 21% ซึ่งมากที่สุด นับตั้งแต่ปี 2550 ราคาทองคำที่ปรับขึ้นนี้มาจากหลายปัจจัย หนึ่งคือสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่มีการเจรจาหาข้อตกลงร่วมกัน มาตลอดทั้งปีทำให้ราคาทองคำในตลาดโลกมีความผันผวนจากความไม่แน่นอนดังกล่าว นอกจากนี้ยังมีความกังวลว่าภาวะเศรษฐกิจสหรัฐจะถดถอย เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเกิดภาวะ inverted yield curve หลายครั้งหรือปรากฏการณ์ที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้น ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนของเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มถดถอย เพราะโดยปกติแล้วอัตราดอกเบี้ยระยะยาวจะสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น อีกทั้งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดถึง 3 ครั้งตลอดปี 2562 ก็ส่งผลต่อราคาทองคำเช่นเดียวกับกรณีที่อังกฤษแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปแบบไร้ข้อตกลง และ สถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางส่วนแนวโน้มราคาทองคำในปี 2563 คาดการณ์ว่าน่าจะเป็นปีทองของราคาทองคำ โดยราคาจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,400-1,600 ดอลลาร์ (ว่าราคาทองคำแท่งในประเทศน่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 20,400-22,700 บาท) ซึ่งราคาทองคำในปี 2563 จะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างได้แก่สงครามการค้าโลกปี 2562 ที่ผ่านมา IMF ปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกลงเหลือ 3.0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินทั่วโลกในปี 2551-2552 เนื่องมาจากสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ และยังได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปี 2563 ลงสู่ระดับ 3.4% จากเดิมที่ระดับ 3.5% นโยบายการเงินของเฟดปี 2563 ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณว่าจะไม่มีการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย หลังจากปีที่ผ่านมาปรับลดอัตราดอกเบี้ยไปแล้ว 3 ครั้ง ทำให้ราคาทองคำในปี 2563 จะไม่มีปัจจัยบวกในเรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ และคาดว่าเฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในปี 2563Brexit จุดยืนที่ชัดเจนแม้ว่าการแยกตัวของอังกฤษออกจาก EU จะขยายเส้นตายเป็นวันที่ 31 ม.ค. 2563 แต่ก็ต้องติดตามนายกรัฐมนตรีอังกฤษว่าจะสามารถผลักดันข้อตกลงการแยกอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาอังกฤษได้ภายในวันที่ 31 ม.ค. 2563 หรือไม่ ซึ่งอาจจะส่งผลต่อความผันผวนต่อราคาทองคำแน่นอน

Read More

31/01/2563

ทองคำในตลาดโลก เอาไปใช้ทำอะไรบ้าง


ในแต่ละปีมีความต้องการใช้ทองคำในปริมาณมาก ซึ่งส่วนใหญ่มาจาก 3 กลุ่มหลัก คือใช้ทำเครื่องประดับ, ใช้ในอุตสาหกรรมและการแพทย์ และใช้เพื่อการลงทุน เราเรียกความต้องการนี้ว่าอุปสงค์ของทองคำ (Gold Demand) ซึ่งในแต่ละภาคส่วนมีความต้องการใช้ทองคำในปริมาณมากน้อยแตกต่างกันไป1) ภาคเครื่องประดับถือเป็นผู้บริโภคทองคำกลุ่มหลักในตลาด คิดเป็นประมาณร้อยละ 68 ของอุปสงค์ทองคำทั้งหมด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศกลุ่มตะวันออกกลางและเอเชีย โดยเฉพาะประเทศอินเดียและประเทศจีน คิดเป็นมูลค่ารวมกันกว่าร้อยละ 60 ของการใช้เครื่องประดับทองคำของโลก โดยทั่วไปแล้ว เหตุผลในการซื้อทองคำส่วนใหญ่จะใช้เป็นเครื่องประดับ และใช้เป็นของขวัญในโอกาสสำคัญ เช่น ประเทศจีนใช้ในโอกาสเทศกาลตรุษจีน ประเทศอินเดียใช้ในเทศกาล Diwali (ช่วงสิ้นสุดเดือนถือศีลอด) ของชาวฮินดูนอกจากนี้ ในกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนา ยังถือว่าการซื้อเครื่องประดับทองคำเป็นการรักษาความมั่งคั่งได้อีกด้วย2) ภาคอุตสาหกรรมการผลิตและการแพทย์การใช้ทองคำในกลุ่มนี้คิดเป็นสัดส่วนประมาณ ร้อยละ 14 ของอุปสงค์ทั้งหมด โดยส่วนแบ่งการใช้ทองคำในภาคอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้นตลอดช่วงศตวรรษที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังมีการใช้ประโยชน์จากทองคำในนาโนเทคโนโลยีเพื่อใช้ในการเร่งปฏิกิริยาใน การควบคุมมลพิษ อุปกรณ์ผลิตกระแสไฟฟ้า และกระบวนการทางเคมี ทำให้มีการประมาณความต้องการ ทองคำในภาคนี้ เพิ่มมากยิ่งขึ้นในอนาคต3) ภาคการลงทุนในอดีต หมายถึง การซื้อทองคำแท่งและเหรียญทองคำ แต่ปัจจุบัน รวมลักษณะ การลงทุนแบบสัญญาซื้อขายล่วงหน้า กองทุนรวม จนถึงการลงทุนต่างๆ ที่มีทองคำเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน ด้วย ถือว่าภาคการลงทุนเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในด้านความต้องการทองคำเพิ่มมากขึ้นและช่วยสร้างสภาพคล่องให้กับตลาดทองคำมากเมื่อเทียบกับอดีต ตั้งแต่ ปี 2003 ความต้องการทองคำจากภาคการลงทุนเติบโตขึ้นมากกว่าร้อยละ 412 ในเชิงมูลค่า โดยในปี 2008 มีเงินลงทุนสูงถึง 3.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ทั้งนี้ อุปสงค์ของทองคำ (Gold Demand) ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อการกำหนดราคาทองคำในตลาดโลก คือถ้าหากมีความต้องการขายทองคำสูง ราคาทองจะลดต่ำลง แต่ถ้าหากมีความต้องการขายต่ำ ราคาทองก็จะสูงขึ้น ตามหลักทางเศรษฐศาสตร์

Read More

31/01/2563

ทองคำที่ซื้อขายกันตลาดโลกมาจากไหน


ปริมาณทองคำในตลาดโลกมาจาก 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ ผลผลิตจากเหมืองแร่ จากธนาคารกลาง จากเศษทองคำเก่าที่หมุนเวียนอยู่ในระบบ จากการขายจากหน่วยงานภาครัฐ และการขายล่วงหน้าเพื่อป้องกันความเสี่ยงของผู้ผลิต ทั้งหมดนี้รวมเรียกว่าอุปทานของทองคำ (Gold Supply)1) ผลผลิตจากเหมืองแร่ (Mine Production)ปัจจุบันผลผลิตทองคำจากเหมืองแร่เป็นปัจจัยที่มีบทบาทสำคัญต่ออุปทานของทองคำมากที่สุด โดยคิดเป็นร้อยละ 60 ของปริมาณทองคำในตลาดแต่ละปี ทั้งนี้ประเทศแอฟริกาใต้เป็นประเทศที่มีการผลิตทองคำออกสู่ตลาดโลกมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 14 ของปริมาณการผลิตทั่วโลก รองลงมาคือ สหรัฐฯ ออสเตรเลีย กลุ่มลาตินอเมริกา จีน รัสเซีย เปรู ฯลฯ ตามลำดับ ซึ่งตั้งแต่ปี1990 เหมืองทองทั่วโลกมีผลผลิตทองคำรวมกันทั้งหมดประมาณ 2,500 ตันต่อปี2) เศษทองคำเก่าที่หมุนเวียนอยู่ในระบบ (Recycled Gold)เป็นทองคำจากผลิตภัณฑ์เก่าที่ถูกแปรรูปแล้วและนำมาสกัดใหม่ในรูปทองคำแท่ง มีบทบาทสำคัญต่อกลไกราคาทองคำ รองจากผลผลิตจากเหมืองแร่ และทำให้ราคาทองคำมีเสถียรภาพมากขึ้น ซึ่งอุปทานเศษทองนี้ ส่วนมากขึ้นกับสภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจและราคาทองคำ โดยจะเพิ่มสูงขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจอยู่ในภาวะซบเซา หรือหลังจากช่วงที่ราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้น3) การขายทองคำจากหน่วยงานภาครัฐ (Official Sector Sales)ปัจจุบันธนาคารกลาง และองค์กรระหว่างประเทศ เช่น องค์กรการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF) ทั้งหมดกว่า 110 องค์กร ถือครองทองคำในรูปของเงินทุนสำรองรวมกันประมาณร้อยละ 25 ของปริมาณทองคำทั้งหมดที่มีในโลก การสำรองทองคำของธนาคารกลางแต่ละแห่ง ขึ้นอยู่กับนโยบายเฉพาะของแต่ละประเทศ โดยผู้ถือครองทองคำรายใหญ่ ได้แก่ ธนาคารกลางของประเทศในแถบยุโรปและอเมริกาเหนือ ทั้งนี้ ประเทศต่างๆ จะถือการครองทองคำคิดเป็นประมาณร้อยละ 10 ของทุนสำรองของประเทศโดยเฉลี่ย นอกจากนี้ธนาคารกลางยังอาจทำการขายทองคำออกสู่ตลาด โดยมีข้อตกลงในการขายทองคำภายใต้ข้อกำหนดของ Central BankGold Agreement (GBGA) ซึ่งกำหนดให้ธนาคารกลางขายได้ไม่เกิน 500 ตันต่อปี4) การขายล่วงหน้าเพื่อป้องกันความเสี่ยงของผู้ผลิต (Net Producer Hedging)บริษัทเหมืองทองสามารถจะทำการขายทองล่วงหน้าในตลาดได้ เพื่อบริหารความเสี่ยงด้านรายได้จากความผันผวนของราคาทองคำ โดยทั่วไป เมื่อบริษัทเหมืองทองทำการขายทองล่วงหน้า คู่ค้าของบริษัทเหมืองทองจะทำธุรกรรมยืมทองคำจำนวนเดียวกันจากผู้ครอบครองทองรายอื่น ซึ่งตามปกติจะเป็นธนาคารกลาง โดยนำทองที่ยืมมาไปขายในราคาตลาด แล้วนำเงินที่ได้จากการขายทองคำไปลงทุนเพื่อให้ได้ดอกผลเพียงพอสำหรับการรับส่งมอบทองคำและค่าใช้จ่ายในการยืมทองคำ เมื่อถึงกำหนดส่งมอบทองคำตามสัญญา บริษัทเหมืองทองจะส่งมอบทองคำให้กับคู่ค้าในราคาตามที่ตกลงกันไว้ ทางคู่ค้าก็จะนำทองคำที่รับมอบมาส่งคืนให้กับผู้ที่ให้ยืมมาพร้อมค่าธรรมเนียมการกู้ยืมทั้งนี้อุปทานของทองคำ (Gold Supply) เป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อการขึ้นลงของราคาทองคำ คือถ้าหากมีความต้องการซื้อทองคำสูง จะส่งผลให้ราคาทองสูงขึ้น ในทางตรงกันข้าม ถ้ามีความต้องการซื้อทองต่ำ ราคาทองก็จะต่ำลงด้วยเช่นกัน

Read More

31/01/2563

5 ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาทองคำ


ปัจจุบันการลงทุนในทองคำได้รับความนิยมมากขึ้นเนื่องจากเป็นทรัพย์สินที่ปลอดภัย เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นหรือพันธบัตร แต่การลงทุนในทองคำก็ต้องคำนึงถึงการขึ้น-ลงของราคาทอง เพราะจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อผลตอบแทนของนักลงทุนด้วย นักลงทุนจึงต้องเช็คราคาทองคำประจำวันและแนวโน้มของราคาทองคำในอนาคต และนี่คือ 5 ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อราคาทองคำในตลาดโลกและตลาดในประเทศ 1. ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ US Dollar movementทองคำนั้นซื้อขายกันด้วยเงินดอลลาร์ ด้งนั้นการขึ้นลงของค่าเงินดอลลาร์จึงส่งผลโดยตรงต่อราคาทองคำ กล่าวคือ ถ้าค่าเงินดอลลาร์ด้อยค่าลง (อ่อนค่า)ราคาทองคำจะเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากเงินลงทุนจะไหลจากการดอลลาร์สหรัฐไปหาทองคำมากขึ้นเนื่องจากเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยกว่าในทางตรงกันข้ามหากเงินดอลลาร์แข็งค่า นักลงทุนก็จะหันมาใช้จ่ายหรือลงทุนในสกุลเงินดอลลาร์แทนทองคำมากขึ้น ส่งผลให้ราคาทองคำลดลงนั่นเอง2.อัตราดอกเบี้ยอัตราดอกเบี้ย มีความสัมพันธ์แบบผกผันกับราคาทองคำ ทุกครั้งที่มีการประกาศดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯจะส่งผลกระทบต่อราคาทองคำทันที เช่น ถ้าประกาศปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้นแสดงว่าเศรษฐกิจเริ่มดี ความเชื่อมั่นเริ่มมากขึ้น ค่าเงินดอลลาร์จะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวลดลง ในทางตรงกันข้ามหากปรับดอกเบี้ยนโยบายลง แสดงว่าเศรษฐกิจเริ่มแย่ ความเชื่อมั่นเริ่มลดลง ค่าเงินดอลลาร์จะปรับตัวลดลง ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้น เช่นสถานการณ์ราคาทองคำที่เกิดขึ้นตลอดปี 2562 ที่ธนาคารกลางสหรัฐปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงถึง 3 รอบ ทำให้ราคาทองคำสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีบางช่วงของปีที่สูงที่สุดในรอบ 6 ปีเลยทีเดียว3.นโยบายการเงิน นโยบายการเงินของธนาคารต่างๆ ทั่วโลกมีผลต่อราคาทองคำ โดยเฉพาะประเทศใหญ่ๆ อย่าง USA เพราะเงินลงทุนจะไหลจากที่ผลตอบแทนต่ำไปที่ผลตอบแทนสูงเสมอ ดังนั้นหากอัตราดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้นก็มีแนวโน้มว่าคนจะนำเงินไปลงทุนในพันธบัตรหรือเงินฝากต่างๆเพิ่มขึ้น อาจมีการเทขายทองคำแล้วนำเงินไปฝากเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาทองคำลดลง 4.อัตราเงินเฟ้อ อัตราเงินเฟ้อ ส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าทุกชนิด เพราะจะทำให้สินค้ามีราคาสูงขึ้นรวมถึงทองคำด้วย โดยเงินเฟ้อกับราคาทองคำนั้นจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งนี้ราคาไปถึงน้ำมันด้วย กล่าวคือ หากราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น เงินเฟ้อก็จะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัว เพิ่มสูงด้วยในทางตรงกันข้ามถ้าหากราคาน้ำมันปรับตัวลดลง เงินเฟ้อก็จะลดลง ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวลดลง ตามไปด้วย 5. อุปสงค์-อุปทาน อุปสงค์ (Demand) คือ ความต้องการใช้ทองคำ ส่วนใหญ่มาจาก 3 กลุ่มหลัก คือ ภาคเครื่องประดับ,ภาคอุตสาหกรรมการผลิตและการแพทย์,ภาคการลงทุนและทุนสำรองในประเทศ ถ้าทั้ง 3 กลุ่มนี้มีมีความต้องการซื้อทองคำสูง จะส่งผลให้ราคาทองสูงขึ้นด้วย ในทางตรงกันข้าม ถ้ามีความต้องการซื้อทองต่ำ ราคาทองก็จะลดต่ำลงเช่นกันส่วนอุปทาน (Supply) ก็คือ ความต้องการขายทองคำ ส่วนใหญ่มาจาก 3 กลุ่มหลัก คือ ผลผลิตทองคำจากเหมืองทอง แรงขายจากธนาคารกลางประเทศต่างๆ และปริมาณทองคำเก่าที่หมุนเวียนอยู่ในระบบ ถ้าหากมีความต้องการขายทองคำสูง ราคาทองจะต่ำลง แต่ถ้าหากมีความต้องการขายต่ำ ราคาทองก็จะสูงขึ้น ตามหลักทางเศรษฐศาสตร์

Read More

07/01/2563

ศาลพระเจ้าปราสาททอง


พระราชวังบางปะอินเป็นพระราชวังโบราณสมัยกรุงศรีอยุธยา สร้างขึ้นโดยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง เนื่องจากเป็นที่ประสูติของพระองค์ และใช้เป็นพระราชวังฤดูร้อนสำหรับพระมหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยาจวบจนกระทั่งเสียกรุงศรีฯให้พม่า ภายในพระราชวังมีสถานที่สำคัญหลายแห่ง หนึ่งในนั้นคือ หอเหมมณเฑียรเทวราชหรือ"ศาลพระเจ้าปราสาททอง"หอเหมมณเฑียรเทวราชหรือที่บางคนเรียกกันว่า "ศาลพระเจ้าปราสาททอง" เป็นปรางค์ศิลา จำลองแบบจากปรางค์ขอม ภายในประดิษฐานเทวรูปพระเจ้าปราสาททอง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนคุณงามความดีและเทิดพระเกียรติของพระเจ้าปราสาททองที่ทรงกตัญญูต่อพระมารดาตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นนอก ริมสระใต้ต้นโพธิ์ ภายในพระราชวังบางปะอินพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างหอเหมมณเฑียรเทวราชขึ้นในระหว่างปีพ.ศ. 2415-2419ต่อมามีการสร้างในครั้งที่ 2 เมื่อปีพ.ศ. 2423เนื่องจากเหตุการณ์เรือพระประเทียบของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ล่ม เป็นเหตุให้พระองค์สวรรคตพร้อมพระราชธิดาและพระราชโอรส(ธิดา)ในพระครรภ์ ดังนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระราชวิตกว่าสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศจะทรงได้รับอันตรายจึงทรงบ่นว่าถ้าสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศปลอดภัยจากการเดินทางในครั้งนี้จะทรงสร้างศาลถวายใหม่ เมื่อสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศทรงปลอดภัยจากการเดินทาง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ก่อสร้างศาลขึ้นมาใหม่ แล้วเสร็จเมื่อปีพ.ศ. 2432หลังจากการเสียกรุงศรีอยุธยา พระราชวังบางปะอินถูกปล่อยให้รกร้างไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง จนกลับมาเป็นที่รู้จักอีกครั้งเมื่อครั้งสุนทรภู่ได้ตามเสด็จรัชกาลที่ 1ไปนมัสการพระพุทธบาทสระบุรี และได้ประพันธ์ถึงพระราชวังบางปะอินไว้ในนิราศพระบาทจนกระทั่งในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่4 มีพระบรมราชโองการให้บูรณะพระราชวังขึ้นใหม่ และบูรณะครั้งใหญ่ ในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยได้สร้างพระที่นั่ง และพระตำหนักต่างๆ ขึ้นเพื่อใช้เป็นที่ประทับรับรองพระราชอาคันตุกะและพระราชทานเลี้ยงในโอกาสต่างๆปัจจุบันพระราชวังบางปะอินอยู่ในความดูแลของสำนักพระราชวังและยังใช้เป็นสถานที่แปรพระราชฐานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ รวมถึงประกอบพระราชพิธีสังเวยพระป้าย แต่ก็ได้เปิดให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวเข้าชมได้ พระราชวังบางปะอินนี้ พระเจ้าปราสาททองทรงให้สร้างขึ้น และพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดชุมพลนิกายารามขึ้นบนเกาะบางปะอิน ตรงบริเวณบ้านเดิมของพระมารดา โดยถวายเป็นพุทธบูชา พระองค์ทรงให้ขุดสระขนาดใหญ่ทางทิศใต้ของวัด และได้สร้างพระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ในพื้นที่ของพระราชวังตามกระแสพระราชดำรัสของพระองค์ว่า “พระองค์ได้ประสูติที่นี่และได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน” เพื่อแสดงให้เห็นอานุภาพแห่งความรักของลูกคนหนึ่งที่มีต่อมารดาผู้ให้กำเนิด

Read More

07/01/2563

อัฐิพระเจ้าตากสินมหาราชที่วัดทองทั่ว


วัดทองทั่ว ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาสระบาป หมู่ 4 ต.คลองนารายณ์ อ.เมือง จังหวัดจันทบุรี เป็นวัดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยอยุธยา ที่อยู่คู่กับเมืองจันทบุรีมานานกว่า 200 ปี มีความเกี่ยวข้องกับพระเจ้าตากสินมหาราช ทั้งเป็นที่รวบรวมไพร่พลก่อนที่จะยกทัพไปกอบกู้เอกราชจากพม่า และเป็นวัดที่เชื่อว่าเป็นที่เก็บ"พระอัฐิของสมเด็จพระเจ้าตากสิน"อีกด้วย ตามประวัติเล่าว่ามีการพบกระดูกเมื่อคราวปฏิสังขรณ์พระอุโบสถและพระประธานในโบสถ์เมื่อปี พ.ศ.2472 ที่เชื่อกระดูกที่พบนี้คือพระอัฐิของพระเจ้าตากครั้งแรก เพราะมีแผ่นทองซึ่งเขียนเป็นภาษเขมรบรรจุไว้ในโกศเขียนไว้ว่า “เป็นพระอัฐิพระเจ้าตาก พระยาจันทบูร(จันทบุรี)นำมา” แต่น่าเสียดายที่ปัจจุบันแผ่นทองคำนั้นได้หายสูญหายไป สันนิษฐานว่าคงจะนำมาไว้เมื่อสมัยรัชกาลที่ 1 เมื่อถวายพระเพลิงพระศพเรียบร้อยแล้ววัดทองทั่ว เป็นวัดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยอยุธยา ที่อยู่คู่กับเมืองจันทบุรีมานานกว่า 200 ปี มีความสำคัญมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าตากสินมหาราช ที่ทรงมารวบรวมไพร่พลอยู่ในเมืองจันทบุรี ก่อนที่จะกอบกู้เอกราชให้กับอยุธยาได้สำเร็จ ชื่อวัดทองทั่ว ตั้งตามตำนาน เมืองพระนางกาไว (พระนางกาไวเป็นมเหสีองค์ใหม่ของพระเจ้าพรหมทัตหลงใหลแห่งเมืองเพนียด เมื่อมีพระราชโอรสนางได้ทูลขอพระราชสมบัติจากพระเจ้าพรหมทัต ทำให้เจ้าชายบริพงษ์และเจ้าชายวงศ์สุริยคราสพระราชโอรสจากมเหสีองค์เก่าต้องไปสร้างเมืองใหม่ เรียกว่า เมืองสามสิบ ต่อมาพระเจ้าพรหมทัตสวรรคต นางกาไวเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระโอรส ทำให้เจ้าเมืองสามสิบยกทับมาตีเมืองเพนียด หวังเอาพระนครคืน ทัพนางกาไวสู้ไม่ได้ลูกชายก็สิ้นพระชนม์ นางคิดหนีจึงได้ขนทรัพย์สิน แก้วแหวนเงินทอง ออกมาโปรยหว่านเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจทหารให้มั่วแต่เก็บเงินทองจะได้ตามนางไม่ทัน) สถานที่ๆนางกาไวหว่านทรัพย์สินเงินทองนั้น ปัจจุบันก็คือบริเวณที่ตั้งวัดทองทั่วนั่นเองวัดทองทั่วได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อ พ.ศ. 2318 สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นพระอารามหลวงมาก่อน เพราะมีหลักฐานจากใบสีมารอบพระอุโบสถเป็นใบสีมาคู่ทั้ง 8 ทิศ อยู่ในสมัยกรุงธนบุรี โบสถ์มีสิงห์ตั้งอยู่ 1 ตัว ส่วนภายในเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปเก่าแก่ตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย คือ "พระพุทธสุวรรณมงคลศากยมุนีศรีสรรญเพ็ชญ์" หรือ "หลวงพ่อทอง" เป็นงานศิลปะช่างพื้นบ้านที่มีพระพุทธลักษณะงดงาม มีเรื่องเล่าว่าเมื่อพ.ศ.2471 ได้มีการบูรณะอุโบสถพร้อมพระประธาน ทำให้พระประธานเอียงทรุดไปด้านหนึ่ง ชาวบ้านจึงช่วยกันดีดแล้วค้ำยันองค์พระให้ตั้งตรง แต่ส่วนฐานพระประธานกลับทรุดหลุดกะเทาะออก จนได้พบพระยอดธงเนื้อชิน เนื้อเงิน เนื้อทอง เนื้อนาค เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ที่วัดทองทั่วยังเป็นสถานที่เก็บรักษาโบราณวัตถุศิลปเขมรอีกหลายชิ้น เช่น ทับหลังแบบถาลาปริวัติ และทับหลังแบบไพรกเมง (พ.ศ.1150-1250) เสาประดับกรอบประตูแบบนครวัด และโกลนพระคเณศทำจากหินทรายสีขาว เป็นต้น

Read More

07/01/2563

สุดยอดพระธำมรงค์แห่งราชวงศ์อังกฤษ


ราชวงศ์อังกฤษได้ชื่อว่ามีทรัพย์สิน เครื่องประดับมากมาย ซึ่งแต่ละชิ้นงดงาม ทรงคุณค่าและบางชิ้นประเมินค่ามิได้ เช่นพระธำมรงค์หรือแหวนหมั้น 5 วงต่อไปนี้ที่ถือเป็นสุดยอดแห่งราชวงศ์กันเลยทีเดียว 1. แหวนหมั้นของควีนเอลิซาเบธที่ 2แหวนหมั้นของควีนเอลิซาเบธที่ 2 เป็นแหวนแหวนเพชรเม็ดงาม ที่เจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ พระสวามีทรงออกแบบ หัวแหวนเป็นเพชรทรงรูปไข่ ขนาด 3 กะรัต ซึ่งถอดมาจากเทียร่าของพระมารดาของเจ้าชายฟิลิป (เจ้าหญิงอลิซแห่งบัทเทนแบร์ก) ล้อมรอบด้วยเพชรเม็ดเล็กๆ 5 เม็ด โดยเม็ดกลางมีขนาดใหญ่ที่สุด นอกจากนี้ตรงไหล่แหวนยังมีเพชรประดับอยู่ด้วยทั้งสองฝั่ง ราคาประมาณ 200,000 ปอนด์ หรือประมาณ 8.7 ล้านบาท เจ้าชายฟิลิป ประกาศหมั้นกับควีนเอลิซาเบธที่ 2 เมื่อวันพฤหัสบดี 10 กรกฎาคม 2490 และมีพิธีเสกสมรส ในวันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน 24902. แหวนหมั้นของเจ้าหญิงไดอาน่า และดัชเชสเคท มิดเดิลตัน แหวนไพลินล้อมเพชร คือแหวนหมั้นที่เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ได้มอบให้กับเจ้าหญิงไดอาน่า และในกาลต่อมาเจ้าชายวิลเลี่ยม ก็ได้ใช้แหวนวงเดียวกันนี้หมั้นหมายกับเคท มิดเดิลตัน โดยแหวนหมั้นวงนี้ตัวเรือนทำจากทองคำขาว ประดับด้วยไพลินศรีลังกาสีน้ำเงินเข้ม ขนาด 12 กะรัต ล้อมด้วยเพชร 14 เม็ด วางเรียงอย่างสวยงามบนตัวเรือนทองคำขาว ออกแบบโดยช่างทำเครื่องประดับประจำราชวงศ์ ซึ่งนักประวัติศาสตร์บางคนเชื่อว่าแหวนวงนี้เจ้าหญิงไดอาน่าได้ออกแบบให้คล้ายกับแหวนของ Frances Shand-Kydd พระมารดา แหวนวงนี้จึงถือว่ามีคุณค่าทางประวัติศาสตร์สำหรับราชวงศ์อังกฤษอย่างมาก ปัจจุบันมีการประเมินราคาอยู่ที่ 300,000 ปอนด์ หรือราว 13 ล้านบาท3.แหวนหมั้นของซาราห์ ดัชเชสแห่งยอร์กเจ้าชายแอนดรูว์ ดยุกแห่งยอร์ก ได้มอบแหวนหมั้นสุดงดงามนี้ให้กับซาราห์ ดัชเชสแห่งยอร์ก เมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2529 เป็นแหวนทับทิมพม่าสีแดงเข้มทรงรี เพื่อสื่อถึงเส้นผมสีแดงของดัชเชสซาราห์ ล้อมรอบด้วยเพชร 10 เม็ดประดับบนตัวเรือนทองคำ ปัจจุบันราคาอยู่ที่ 150,000 – 200,000 ปอนด์ หรือราว 6- 8 ล้านบาท 4.แหวนหมั้นเมแกน มาร์เคิล ดัชเชสแห่งซัสเซ็กซ์แหวนหมั้นของ เมแกน มาร์เคิลนั้น เจ้าชายแฮร์รี่ทรงออกแบบเอง โดยตัวเรือนแหวนทำจากทองหายากจากแคว้นเวลส์ เป็นทอง 24 กะรัต ประดับด้วยเพชรเม็ดใหญ่จากประเทศบอตสวานา 3 เม็ด ขนาด 3.5 กะรัต เรียงตรงกลาง ส่วนอีก 2 เม็ดด้านข้างเป็นเพชรของเจ้าหญิงไดอาน่า พระมารดาผู้ล่วงลับ แหวนหมั้นสุดคลาสสิกนี้มีมูลค่า 250,000 ปอนด์ หรือประมาณ 10 ล้านบาท 5. แหวนหมั้นเจ้าหญิงแหวนของเจ้าหญิงยูจีนีแห่งยอร์กแหวนหมั้นของเจ้าหญิงยูจีนีแห่งยอร์ก เป็นพลอยแซฟไฟร์ Padparadscha sapphire สีชมพูอมส้ม ล้อมรอบด้วยเพชรเจียระไน 10 เม็ด มีลักษณะคล้ายคลึงกับกับแหวนหมั้นของซาราห์ เฟอร์กูสัน ดัชเชสแห่งยอร์ก พระมารดาทรงสวมใส่ โดยผู้เชี่ยวชาญด้านอัญมณีถือว่าเป็นของหายากและมีคุณค่ามากที่สุดในทุกพันธุ์คอรันดัม ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 100,000 ปอนด์ หรือราว 4.3 ล้านบาท

Read More

07/01/2563

Classic Blue เทรนด์สี ปี2020


เป็นธรรมเนียมประจำทุกปีที่สถาบัน The Pantone Color Institute จะประกาศเทรนด์สีมาแรงเป็นประจำทุกปีโดยจะพิจารณาจากเทรนด์สีที่จะเข้าถึงและมีผลกับผู้คนทั่วโลก และมีอิทธิพลกับหลากหลายกลุ่มองค์กร ธุรกิจ อุตสาหกรรม ทั้งสาขาบันเทิง ท่องเที่ยว ศิลปะ แฟชั่น การออกแบบ เศรษฐกิจ และไลฟ์สไตล์ โดยในปี 2020 นี้ สี Classic Blue ได้ประกาศว่า Colour of the Year 2020 แทนสี Living Coral เฉดสีทองผสมแดง ชมพู ของปี2019 สี Classic Blue (19-4052) เป็นเฉดสีน้ำเงินเข้ม สื่อถึงความไร้ซึ่งกาลเวลา (Timeless) ให้ความรู้สึกหรูหรา สง่างาม แต่แฝงไว้ด้วยความสงบนิ่ง ให้ความรู้สึกที่ผ่อนคลาย โดย PANTONE เชื่อว่าความหมายของสีนี้ จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกคนได้ก้าวไปสู่ยุคสมัยใหม่ และแน่นอนว่าสีฟ้าคลาสสิกเป็นสีที่สมาชิกราชวงศ์ทรงฉลองพระองค์กันมาก เช่น ดัชเชส ออฟ เคมบริดจ์ เป็นต้น สำหรับอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับนั้นมีอัญมณีหลากหลายชนิดที่มีเฉดสีน้ำเงินซึ่งสามารถนำมาออกแบบเครื่องประดับได้มากมาย เช่น ไพลิน ลาพิส ลาซูลี แทนซาไนต์ เป็นต้น โดยไพลินถือเป็นอัญมณีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ซึ่งแหวนพลอยไพลินน้ำงามที่สุด ที่คนทั่วโลกรู้จักและถือเป็นตำนานที่คนทั่วโลกกล่าวถึง ก็คือพระธำมรงค์หมั้น หรือแหวนหมั้นที่เจ้าชายวิลเลี่ยมแห่งอังกฤษ ทรงมอบให้กับดัชเชส ออฟ เคมบริดจ์ หรือ เจ้าหญิงแคทเธอรีน พระชายา โดยแหวนหมั้นวงนี้เคยเป็นของเจ้าหญิงไดอาน่า พระมารดาของเจ้าชายวิลเลี่ยมมาก่อน ตัวแหวนเป็นทองคำขาว ประดับด้วยไพลินศรีลังกาสีน้ำเงินเข้ม ขนาด 12 กะรัต และล้อมด้วยเพชร 14 เม็ด วางเรียงอย่างสวยงามบนตัวเรือนทองคำขาว ออกแบบโดยช่างทำเครื่องประดับประจำราชวงศ์ ซึ่งนักประวัติศาสตร์บางคนเชื่อว่าแหวนวงนี้เจ้าหญิงไดอาน่าได้ออกแบบให้คล้ายกับแหวนของ Frances Shand-Kydd พระมารดานอกจากแหวนไพลินล้อมเพชรแล้วยังมีชุดต่างหูไพลินด้วยการแต่งกายทั้งเสื้อผ้า หน้าผม รองเท้า กระเป๋า หรือเครื่องประดับนั้น สีต่างๆ มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะสามารถบ่งบอกทั้งอารมณ์ ความรู้สึก และสไตล์ของผู้สวมใส่ได้เป็นอย่างดี จึงทำให้เกิดบริษัทอย่าง Pantone LLC ซึ่งเป็นบริษัทย่อยในเครือของ X-Ray Rite ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับสีแบบครบวงจร โดยแต่ละปีบริษัททำการการคัดเลือกสีแห่งปีจากการพิจารณาและวิเคราะห์จากเทรนด์ต่างๆ โดยPantone ได้ประกาศสีประจำปีมาตั้งแต่ปี 2000 จนถึงปีนี้เป็นเวลาถึง 20 แล้ว ซึ่งทุกๆ ปี Pantone จะรวบรวมผู้เชี่ยวชาญจากสาขาต่างๆ มากำหนดสีประจำปี ย้อนกลับไปเมื่อปี 2019 สีประจำปีคือ Living Coral ก่อนหน้านั้นหรือในปี 2018 สีที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นสีประจำปีคือสี Ultra Violet ซึ่งไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก และสีเขียวได้รับเลือกให้เป็นสีประจำปี 2017 ซึ่งยังคงได้รับความนิยมในแวดวงแฟชั่นและการตกแต่งบ้านเรื่อยมา

Read More

07/01/2563

8 เหตุผลที่ทำให้ทองคำถูกใช้เป็นทุนสำรอง


ทองคำถูกใช้เป็นทุนสำรองมานานแล้ว ปัจจุบันธนาคารกลางทั่วโลกถือครองทองคำไว้ประมาณ 32,000 ตัน ซึ่งเป็นจำนวนเท่ากับเมื่อ 60 ปีก่อน ชี้ให้เห็นว่ามีเหตุผลที่ดีในการเก็บทองคำไว้เป็นทุนสำรอง และนี่คือ 8 เหตุผลที่ทำให้ ธนาคารกลางทั่วโลกยังคงถือครองทองคำไว้ในฐานะเป็นทุนสำรอง 1. ความหลากหลาย ทองคำมีคุณสมบัติหลากหลายในระบบเงินตรา ราคาและมูลค่าของทองคำถูกกำหนดด้วยปริมาณและความต้องทองคำในตลาดโลก แตกต่างจากเงินตราสกุลต่างๆหรือหุ้นของรัฐบาลที่มูลค่าขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐและนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางซึ่งมั่นคงสู้ทองคำไม่ได้ ดังนั้นค่าของทองคำจึงแตกต่างจากค่าของเงินตราสกุลต่างๆ หรืออัตราการแลกเปลี่ยนระหว่างเงินสกุลต่างๆ 2. ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ด้อยค่า ไม่ว่าเศรษฐกิจจะอยูในสภาวะใด ทองคำสามารถรักษาค่าของตัวเองโดยสามารถเป็นกำลังซื้อในระยะยาวจึงเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะนำมาเป็นทุนสำรองของธนาคารกลาง ในขณะที่ค่าของเงินในรูปธนบัตรจะหมดราคาในระยะยาวและในระยะสั้น ดังที่ปรากฏให้เห็นอยู่เสมอๆ 3. ความมั่นคงที่เป็นรูปธรรม ในอดีตประเทศต่างๆ ได้วางมาตรการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินตราที่เลวร้ายที่สุดก็คือการตรึงราคาสินทรัพย์ไว้ทั้งหมด ดังนั้นทุนสำรองประเภทหุ้นต่างประเทศจึงเป็นอันตรายต่อมาตรการดังกล่าวข้างต้น แต่สำหรับทองคำมีอันตรายน้อยกว่ามาก(หากเก็บในที่เหมาะสม)เป็นทุนสำรองประเภทมีไว้เมื่อคราวที่ต้องการ ดังนั้นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องและสามารถชำระหนี้ได้ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งซึ่งทองคำมีคุณสมบัติในข้อนี้ 4. ความจำเป็นที่คาดไม่ถึง มีสิ่งหนึ่งที่มั่นใจได้ คือ ไม่มีอะไรแน่นอน เราไม่นรู้ว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ไม่รู้ว่าวิกฤตการณ์ต่างๆ ทั่วโลกจะเกิดขึ้นเมื่อใด และจะมีผลกระทบต่อระบบการเงินระหว่างประเทศทั้งระบบมากน้อยแค่ไหน แต่หากมีทองคำเป็นทุนสำรองไว้จะสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดฝันได้ ทั้งนี้เพราะทองคำสามารถประกันภัยต่างๆ ในกรณีที่อาจมีวิกฤตการณ์ที่สร้างความหายนะ เช่น สงคราม สภาวะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน กรณีที่ประเทศใหญ่ๆ ที่เป็นลูกหนี้ปฏิเสธการชำระหนี้ สภาวะเศรษฐกิจถดถอย การคว่ำบาตรทางการค้า และ การถูกถูกคว่ำบาตรจากนานาประเทศ 5. ความเชื่อมั่น ประชาชนจะมั่นใจเมื่อทราบว่ารัฐบาลมีทองคำเป็นทุนสำรอง ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่คงทนถาวร และไม่ไปเกี่ยวข้องกับสภาวะเงินเฟ้อของธนบัตร ทุกประเทศให้ความสำคัญอย่างเด่นชัดในการสนับสนุนทองคำไว้ในระบบเงินตราของประเทศ คณะกรรมการบริหารของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ซึ่งเปรียบเสมือนรัฐบาลของโลก ได้ยอมรับว่าทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์สำรองของกองทุนได้เพิ่มความมั่นคงพื้นฐานต่อบัญชีงบดุล เช่นเดียวกับทองคำที่มีต่อบัญชีงบดุลของธนาคารกลางต่างๆ 6. รายได้ ทองคำสามารถแลกเปลี่ยนเพื่อทำกำไรได้ ประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำไม่ค่อยมีใครนึกถึงโอกาสที่ดีที่มีทองคำอยู่ในครอบครอง ทั้งๆ ที่ผลประโยชน์ต่างๆ ของทองคำอาจจะชดเชยค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ 7. หลักค้ำประกัน การถือครองทองคำเปรียบเสมือนได้รับเบี้ยประกัน เนื่องจากทองคำสามารถนำไปแก้ไขวิกฤตการณ์ที่ก่อให้เกิดความหายนะ เช่น สงคราม ความผันผวนที่คาดไม่ถึงของสภาวะเงินเฟ้อ กรณีที่ประเทศใหญ่ที่เป็นลูกหนี้ปฏิเสธการชำระหนี้ สภาวะเศรษฐกิจถดถอย และการคว่ำบาตรทางการค้า 8. สถานการณ์ภายในประเทศ เป็นตัวกำหนดว่าควรเก็บทองคำไว้เป็นทุนสำรองในปริมาณเท่าใด โดยอัตราเฉลี่ยของประเทศต่างๆทั่วโลกอยู่ที่ประมาณ ๑๐.๕ % ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีทองคำสำรองอยู่ที่ 154 ตัน ปัจจุบันหลายประเทศมีการสะสมทองคำเพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มความน่าเชื่อถือให้แก่สกุลเงินของประเทศตัวเอง และ ลดความเสี่ยงในถือเงินดอลล่าร์ จึงหันมาถือทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น

Read More

07/01/2563

ลูกปัดภูเขาทอง


เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2553 ชาวบ้านปากจั่น อ.กระบุรี จ.ระนอง ขุดพบแหล่งลูกปัดโบราณทั้งลูกปัดแก้ว ลูกปัดหิน และลูกปัดทอง รวมทั้งเศษเครื่องปั้นดินเผาของอินเดีย และภาชนะดินเผาของจีนในยุคราชวงศ์ฮั่น อายุราว 2,000 ปี จากการตรวจสอบของกรมศิลปากรสันนิฐานว่าพื้นที่แห่งนี้เป็นที่ตั้งของชุมชนที่เชื่อมเส้นทางการค้าของโลก มานานกว่า 2,000 ปีแล้วลูกปัดภูเขาทองเป็นหนึ่งในการค้นพบลูกปัดโบราณครั้งสำคัญของประเทศไทย โดยเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงแง่มุมทางประวัติศาสตร์อันเกี่ยวข้องกับอาณาจักรศรีวิชัยโบราณที่เคยรุ่งเรืองอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13-16 นักโบราณคดีเชื่อว่าบริเวณดังกล่าวเป็นเส้นทางการค้าเชื่อมโลกภายนอกเข้ากับเมืองไชยา ซึ่งเป็นศูนย์กลางอำนาจของอาณาจักรศรีวิชัยโบราณ ซึ่งจากหลักฐานที่ขุดพบนอกเหนือจากลูกปัดโบราณจำนวนมากที่ทำจากแก้ว หินสี และหินคาร์นิเลียนแล้ว ยังพบสินค้าฟุ่มเฟือยต่างๆ ที่มีอายุนับพันปีด้วย อาทิ หัวแหวนโบราณ แผ่นหินโรมัน ภาชนะแก้ว เหรียญ และตราประทับจากอินเดีย เป็นต้นนับตั้งแต่ที่มีการขุดพบลูกปัดโบราณภูเขาทองมาตลอดระยะเวลาหลายปี พบว่าลูกปัดที่ขุดพบจะยิ่งมีจำนวนน้อยลงทุกวัน เนื่องจากมีการลักลอบขุดหาลูกปัดที่มีสภาพสมบูรณ์ไปจำหน่ายอยู่เสมอ โดยสินค้าดังกล่าวยังคงเป็นที่นิยมในหมู่นักสะสมทั้งชาวไทยและต่างชาติโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี พ.ศ. 2555 ที่กระแสความนิยมและต้องการในลูกปัดโบราณมาแรงมาก จนเกิดการเข้ามาตามหาลูกปัดในพื้นที่จำนวนมาก ในปี พ.ศ. 2558 โรงเรียนบ้านภูเขาทอง ซึ่งอยู่ในอำเภอเดียวกับแหล่งโบราณคดีภูเขาทองที่มีการขุดพบลูกปัดโบราณ ได้ทำ “โครงการลูกปัดทดแทน” ขึ้น โดยมีการสอนทำลูกปัดให้เป็นของตกแต่งและเครื่องประดับ โดยพยายามใช้วิธีเลียนแบบสีและรูปทรงให้เหมือนกับลูกปัดโบราณของจริง แล้วนำไปวางจำหน่ายในสหกรณ์ชุมชนเพื่อเป็นการสร้างรายได้เสริมให้แก่เด็กนักเรียนที่เข้าร่วมโครงการ และเป็นการปลูกฝังให้นักเรียน มีจิตสำนึกหวงแหนสมบัติของชาติ ไม่ไปลักลอบขุดหาลูกปัดในพื้นที่ดังกล่าวอีก ซึ่งจากการดำเนินโครงการพบว่ามีนักเรียนสนใจเข้าร่วมโครงการนี้เป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม โครงการดังกล่าวยังมีข้อจำกัดอยู่มาก เนื่องจากเป็นโครงการขนาดเล็ก ขาดแคลนเงินทุนสนับสนุนและบุคลากรในการช่วยพัฒนา วัสดุที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่หาได้ในท้องถิ่น อีกทั้งรูปแบบของสินค้าก็เป็นการร้อยแบบเรียบง่าย ซึ่งไม่ได้มีผลทางการตลาดมากนัก

Read More

07/01/2563

วงกลมทองคำ : The Golden Circle


“วงกลมทองคำ” หรือ Golden Circle เป็นชื่อเรียกเส้นทางท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของประเทศไอซ์แลนด์ อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งแต่ละที่ไม่ไกลกันมากนักนักท่องเที่ยวสามารถขับรถไปเที่ยวได้ภายในวันเดียว เป็นเส้นทางท่องเที่ยวที่ต้องบรรจุอยู่ในโปรแกรมการท่องเที่ยวเสมอGolden Circle ประกอบด้วย 3 สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญคือ อุทยานแห่งชาติซิงเควลลิร์ (Þingvellir National Park) น้ำพุร้อนเกย์ซีร์ (Geysir Geothermal Area) และ น้ำตกกุลล์ฟอสส์ (Gullfoss waterfall)อุทยานแห่งชาติซิงเควลลิร์ (Þingvellir National Park) หรือธิงเวลลีย์ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติจากองค์การยูเนสโกเมื่อปี 2004 อยู่ห่างจากเมืองเรคยาวิกเพียง 45 นาที ตั้งอยู่ตรงรอยแยกของหุบเขากับทะเลสาบ Þingvallavatn ซึ่งเป็นทะเลสาบตามธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไอซ์แลนด์ใกล้กับคาบสมุทรเรกยาเนส (Reykjanes) และภูเขาไฟเฮนกิลล์ (Hengill) ที่นี่เป็นจุดกำเนิดสำคัญทางด้านประวัติศาสตร์เพราะเป็นที่ตั้งของรัฐสภาแห่งแรกของไอซ์แลนด์มีอายุอยู่ในปีค.ศ. 930 ถึง ปี ค.ศ. 1789 และเป็นจุดกำเนิดทางด้านธรณีวิทยาเพราะเป็นจุดที่มีรอยเลื่อนของโลกยาวหลายหมื่นกิโลเมตร ธรรมชาติอุทยานแห่งชาติซิงเควลลิร์ งดงาม แปลกตา เป็นที่ประทับใจของนักท่องเที่ยวที่ได้มาเยือนน้ำพุร้อนเกย์ซีร์ (Geysir Geothermal Area)หรือ กีเซอร์ หรือไกเซอร์ ตั้งอยู่ในหุบเขาเฮยคาดาลูร์ (Haukadalur) เป็นน้ำพุร้นที่พุ่งสูงกว่า 180 ฟุต ในทุกๆ 7-10 นาที มีอุหภูมิสูงถึง 60 องศาเซลเซียส ( 140 องศาฟาเรนไฮ ) รัฐบาลไอซ์แลนด์นำความร้อนจากน้ำพุร้อนนี้ไปเป็นพลังงานแจกจ่ายไปทั่วประเทศ น้ำตกกุลล์ฟอสส์ (Gullfoss waterfall) หรือ ไนแองการ่าแห่งไอซ์แลนด์ ถือเป็นน้ำตกที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของไอซ์แลนด์ อยู่ห่างจากน้ำพุร้อนกีเซอร์ประมาณ 10 นาที ชื่อของน้ำตกกุลล์ฟอสส์ (Gullfoss) มาจากคำว่า Gull แปลว่า ทองคำ และคำว่า Foss ที่แปลว่า น้ำตก รวมกันเป็น “น้ำตกทองคำ” เป็นหนึ่งในความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่เกิดจากการละลายของธารน้ำแข็งและลดระดับลงในโตรกเขาไหลลงสู่เบื้องล่างในระดับความสูงกว่า 30 เมตร และจะเกิดเป็นสีรุ้งสวยงามยามเมื่อแสงแดดตกกระทบกับสายน้ำตกนอกจากนี้บนเส้นทางวงกลมทองคำยังสามารถแวะเที่ยวชม ปล่องภูเขาไฟ เคริด (The Crater Kerid) เป็นภูเขาไฟที่ดับแล้วมีอายุ 6500 ปี ปากปล่องด้านบนมีลักษณะเป็นวงรี และมีทะเลสาบอยู่ด้านล่าง มีความกว้าง 270 เมตร และความลึกถึง 55 เมตร น้ำในทะเลสาบมีสีฟ้าเข้มสด ตัดกับสีแดง-ส้มของลาวาเกิดเป็นภาพธรรมชาติที่สวยงามเกินบรรยาย นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมรอบปล่องหรือจะลงไปถ่ายรูปด้านล่างก็ได้ซีเครท ลากูน หรือกัมลาเลยอิน (Gamla laugin) เป็นภาษาพื้นเมืองแปลว่าสระน้ำ ซึ่งที่ลากูนถือเป็นสระน้ำที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไอซ์แลนด์สร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1981 น้ำในสระมีอุณหภูมิราวๆ 38-40 องศาเซลเซียสท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นเนื่องจากเป็นน้ำที่ไหลมาจากแหล่งน้ำพุร้อนที่อยู่รอบๆ นักท่องเที่ยวและชาวไอซ์แลนด์จึงนิยมมาพักผ่อนเพื่อชาร์จพลัง หากมีโอกาสไปเที่ยวไอซ์แลนด์นอกจากไปรอชมแสงเหนือแล้วก็อย่าลืมไปทองเที่ยวในเส้นทางวงกลมทองคำหรือ Golden Circle กันด้วย

Read More

25/12/2562

สคบ .เอาจริงการขายทองผ่านโซเชียลมีเดีย


ปัจจุบันการหลอกขายทองในระบบออนไลน์มีมากขึ้น ซึ่งจะมาในรูปแบบที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นการหลอกลงทุนในแชร์ทองคำ โดยให้เข้ามาเก็งกำไรราคา การซื้อขาย Forex หรือการลงทุนในสกุลเงินต่าง ๆ ล่วงหน้า ซึ่งเรื่องนี้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ.ในฐานะหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงไอ้ออกมาคุมเข้มเรื่องนี้แล้วการหลอกขายทองผ่านโซเชียลมีเดียนี้ เริ่มแรกมิจฉาชีพจะทำให้ผู้บริโภคหลงเชื่อก่อน เช่นการใช้กลยุทธ์ให้สิทธิพิเศษ การให้กำไรที่งดงาม เมื่อเชื่อยอมลงทุนหรือยอมซื้อก็จะได้ของที่ไม่ตรงกับที่โฆษณาไว้ หรือไม่ได้รับค่าตอบแทนใดๆ ซึ่งเรื่องนี้ สคบ.แนะนำว่าหากผู้บริโภคต้องการจะซื้อทองคำขอให้ไปซื้อตามร้านที่ได้รับการรับรองจากสมาคมค้าทองคำและสคบ.แล้ว จึงจะได้ทองที่มีคุณภาพตามมาตรฐานทั้งเรื่องราคาและเปอร์เซ็นต์ทอง แต่บางครั้งราคาอาจจะแตกต่างกัน เรื่องของค่ากำเหน็จตามสถานที่จำหน่าย และลวดลายของทองคำ แต่ทั้งนี้ร้านค้าจะต้องระบุ ราคา เปอร์เซ็นต์ทอง ในฉลากให้ชัดเจนตามที่กฎหมายที่ระบุไว้ และอย่าไปหลงเชื่อคำชักชวนให้ลงทุนที่ได้กำไรงามเกินกว่าที่ควรจะเป็นส่วนในเรื่องของการคุ้มครองผู้บริโภค มีกฎหมายกำหนดอยู่ในรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว ซึ่งทางสคบ. ได้เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสินค้าและบริการโภคได้รับรู้อยู่แล้ว และหากผู้บริโภคได้ซื้อสินค้าหรือบริการจากการโฆษณาไปโดยที่ผู้ขายไม่สามารถส่งมอบสินค้าได้ตามที่ระบุไว้ในโฆษณา ทั้งในเรื่องของคุณภาพสินค้าหรือราคา ก็จะถือว่าทำผิดกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 ซึ่งเดิมจะมีโทษปรับ 60,000 บาท จำคุก 6 เดือน แต่ตอนนี้ได้มีกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคฉบับแก้ไขเพิ่มเติมที่เพิ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา โทษจะเพิ่มเป็น 2 เท่า และหากความผิดที่เกิดขึ้นต่อ 1 คนก็จะถือเป็น 1 กรรม ถ้าหลายๆ คนรวมกัน โทษก็จะขึ้นไปเรื่อย ๆ และฐานความผิดจะแบ่งเป็นความผิดทางอาญา ซึ่งตำรวจจะเป็นผู้ดำเนินการและผู้เสียหายจะต้องไปแจ้งความกับตำรวจ แต่ในส่วนของ สคบ.จะเป็นการเอาผิดทางแพ่งทั้งนี้ในพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภคฉบับใหม่ ได้ให้อำนาจ สคบ. ในการสั่งฟ้องคดีได้ทันที เพื่อความรวดเร็วในการคุ้มครองผู้บริโภค ที่สำคัญหากพบว่า การโฆษณาใดที่เป็นเท็จหรือพูดเกินจริง ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดในสาระสำคัญ คณะกรรมการโฆษณาสามารถมีคำสั่งห้ามการโฆษณาในทุกสื่อได้ทันที ยกเว้นโฆษณา ในออนไลน์ก็อาจจะต้องแจ้งไปยังกระทรวงเศรษฐกิจดิจิตอลเพื่อระงับการโฆษณา หรือการแบนโฆษณาชิ้นนั้น ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา กองคุ้มครองผู้บริโภคด้านโฆษณาได้เปรียบเทียบปรับผู้ที่โฆษณาไม่ตรงกับความจริงไปประมาณ150 ราย รายละ 60,000 บาท ซึ่งเป็นโทษปรับสูงสุด เพราะเห็นว่าการโฆษณาเป็นการนำข้อมูลข่าวสารออกสู่สาธารณะ ทำให้ผู้ที่ได้รับรู้และหลงเชื่อได้รับความเสียหาย จึงต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาด ซึ่งการปรับ 60,000 บาทจะปรับผู้ประกอบการ 30,000 บาท และก็เจ้าของสื่ออีก 30,000 บาท แต่ใน พ.ร.บ.ตัวใหม่โทษจะเพิ่มเท่าตัว ซึ่งปัจจุบันบริษัทต่าง ๆ ค่อนข้างจะระมัดระวัง และก็ทำผิดน้อยลงเพราะว่าอัตราค่าปรับสูงมากขึ้น หากทราบว่าถูกหลอก สามารถติดต่อทาง สคบ.ได้ทั้งทางออนไลน์ผ่านแอพพลิเคชั่นของ สคบ. หรือร้องเรียนทางโทรศัพท์ สายด่วนหมายเลข 1166 หากอยู่ต่างจังหวัดไปได้ที่ศาลากลางจังหวัด ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่ สคบ.จังหวัด คอยดูแลรับเรื่องราวร้องทุกข์อยู่

Read More

25/12/2562

เปิดเหมืองทองคำแห่งแรกในกัมพูชา


ต้นปี 2020 นี้ กัมพูชาจะเปิดให้ดำเนินการทำเหมืองแร่ทองคำเป็นแห่งแรกที่เมืองเหมืองโอกะวาว (O' Kvav) ในเขต อ.แก้วสีมา (Keo Seima) จ.มณฑลคีรี (Modolkiri) ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ โดยบริษัท Emerald Resources จากออสเตรเลีย ซึ่งได้รับใบอนุญาตการเข้าทำเหมืองแร่และทองคำไปเมื่อเดือนกรกฎาคม 2019 ภายใต้ชื่อโครงการ The Okvau Gold ก่อนหน้าที่จะมีการเปิดเหมืองทองคำอย่างเป็นทางการนี้ รัฐบาลกัมพูชา โดยกระทรวงอุตสาหกรรม เหมืองแร่และพลังงานของกัมพูชา เปิดให้มีการสำรวจสินแร่และแร่ล้ำค่าในประเทศ โดยมีบริษัทจากจีน เวียดนาม และออสเตรเลียเข้าสำรวจในหลายพื้นที่ โดยเรอเนซองซ์ หนึ่งในบรรดาบริษัทเหมืองแร่จากออสเตรเลียได้ประกาศการค้นพบทองคำที่เหมืองโอกะวาวเป็นครั้งแรกในเดือน กุมภาพันธ์ 2556 ว่าสำรวจพบทองคำราว 1.2 ล้านออนซ์ (ราว 34,000 กิโลกรัม) เพิ่มขึ้นจากปริมาณคาดการณ์ 720,000 ออนซ์ ที่เหมืองโอกะวาว (O' Kvav) ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ที่อุดมด้วยทอง และสินแร่ล้ำค่าอื่นๆ อีกหลายชนิด ซึ่งหากนำทองคำทั้งหมดที่พบในเหมืองโอกะวาว ไปหลอมเป็นทองคำแท่ง และนำออกจำหน่ายในวันนี้ อาจจะทำเงินได้กว่า 1,400 ล้านดอลลาร์เลยทีเดียว โครงการ The Okvau Gold ในจังหวัดมัณฑลคีรีนี้ คาดว่าจะใช้เงินทุนมากกว่า 19.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยสิ่งที่กัมพูชาจะได้คือ การจ้างงาน ภาษี รายรับจากสิทธิ์ใบอนุญาต แต่เรื่องคอรัปชั่นยังเป็นที่กังขาเพราะไม่มีการเปิดเผยข้อมูลให้กับประชาชนได้ทราบเนื่องจากบริษัทได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในต่างประเทศที่ผ่านมา แม้ว่ากัมพูชาจะมีเหมืองทองในประเทศ หากแต่ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนของบริษัทต่างชาติ ซึ่งยังไม่มีข้อมูลปรากฏ แน่ชัดว่าปริมาณทองคำที่ขุดได้มีศักยภาพเชิงพาณิชย์มากน้อยแค่ไหน และหากบริษัทเหล่านั้นขุดทองคำได้ก็มักส่งออกไปหลอมเป็นทองคำแท่งในต่างประเทศ ทำให้กัมพูชาต้องนำเข้าทองคำเกือบทั้งหมดจากต่างประเทศ โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาการนำเข้าทองคำของกัมพูชาเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยในปี 2560 กัมพูชานำเข้าทองคำรวม 2,952 ล้านเหรียญสหรัฐ สูงขึ้น3.5 เท่าเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้านั้น โดยนำเข้าจากสิงคโปร์สูงที่สุด ด้วยมูลค่านำเข้าสูงถึง 2,110 ล้านเหรียญสหรัฐ และนำเข้าจากไทยมูลค่าราว 842 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึงร้อยละ 28.50 การนำเข้าทองคำส่วนใหญ่ของกัมพูชาเป็นไปเพื่อสะสมเป็นสินทรัพย์ ออมแทนเงินสด และการเก็งกำไร อีกส่วนหนึ่งนำไปผลิตเป็นเครื่องประดับทอง ทั้งนี้ การนำเข้าทองคำจากทุกประเทศไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่ม จึงทำให้การนำเข้าทองคำเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องการทำเหมืองแร่ทองคำอย่างเป็นทางการของกัมพูชาในปี2020 นี้ น่าจะทำให้การนำเข้าทองคำลดลงตามไปด้วย

Read More

25/12/2562

เซินเจิ้น เขตอุตสาหกรรมเครื่องประดับมีค่าใหญ่ที่สุดของจีน


เมื่อพูดถึงเซินเจิ้น (Shenzhen)ร้อยทั้งร้อยจะนึกถึงเมืองแห่งของก๊อปหรือของลอกเลียนแบบจนมีคำเรียกติดปากของปลอมทั้งหลายแหล่ว่า หลุยส์เซินเจิ้น โรเล็กซ์เซินเจิ้น เป็นต้น ใครจะรู้ว่าแท้จริงแล้วเซินเจิ้นได้กำลังกลายเป็น “Silicon Valley of Asia” หรือ “ซิลิคอนวัลเลย์แห่งเอเชีย” ด้วยเป็นศูนย์กลางนวัตกรรม เทคโนโลยี และอุตสาหกรรมที่สำคัญของโลก รวมถึงอุตสาหกรรมเครื่องประดับมีค่าที่ใหญ่ที่สุดของจีนด้วยเซินเจิ้นเป็นตลาดสำหรับซื้อขายเครื่องประดับอัญมณีและทองคำที่สำคัญ เป็นที่ตั้งของบริษัทผู้ผลิตเครื่องประดับทองคำที่ใหญ่ที่สุดของจีนอย่าง BATAR ผู้ผลิตเครื่องประดับทอง 24K ให้กับร้านค้าปลีกกว่า 30.000 แห่ง ภายใต้แบรนด์ต่างๆกว่า 400 แบรนด์ และยังเป็นที่ตั้งของบริษัทผู้ผลิตเครื่องประดับอัญมณีชื่อดังของโลกอย่าง Lorenzo ภายใต้แบรนด์ ENZO และบริษัท Xingguangda Jewelry Industry อีกด้วย โดยเซินเจินมีสัดส่วนการตลาดถึงร้อยละ 70-80 ของเครื่องประดับที่ขายในจีนทั้งหมด เซินเจิ้น มีธุรกิจเอกชนตั้งอยู่กว่า 800 แห่ง และมีคนงานในอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับกว่า 100,000 คน มีศูนย์กลางการจัดจำหน่ายทั้งค้าปลีกและค้าส่ง มูลค่าการผลิตเครื่องประดับในเขตเศรษฐกิจพิเศษเซินเจิ้นรวมกันกว่า 20,000 ล้านหยวนหรือมีสัดส่วนร้อยละ 50 ของการผลิตทั้งประเทศ ทำรายได้จากการส่งออก 1.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ เป็นฐานการผลิตที่มีสัดส่วนร้อยละ 60 ของประเทศ มีการใช้ทองคำเป็นสัดส่วนร้อยละ 80 ของการผลิตเครื่องประดับทองคำทั้งหมดทั้งนี้ในสาธารณรัฐประชาชนจีน ทองคำมากกว่า 90% ถูกใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องประดับผู้บริโภคในจีนส่วนใหญ่ ชื่นชอบการซื้อทองคำบริสุทธิ์ ที่คิดราคาตามน้ำหนัก และหากนำมาประกอบเป็นเครื่องประดับ ก็จะเพิ่มราคาด้านวัตถุดิบและค่าแรงงานเข้าไปด้วย แต่มีราคาไม่สูงมากนัก ทำให้ราคาเครื่องประดับทองคำในแต่ละร้านของจีน จะมีราคาต่างกันเพียงเล็กน้อยปัจจุบันรูปแบบเครื่องประดับทองคำของชาวจีนเปลี่ยนไป โดยหันมานิยมเครื่องประดับที่เป็นนวตกรรมมากขึ้นเช่น Mirror Gold ทกจากทองคำที่มีความบริสุทธิ์ 999s เน้นผิวของสินค้าที่เป็นเงางามและเรียบคลายกระจก เป็นเครื่องงประดับทองยอดนิยมของลูกค้าชาวจีนในตอนนี้ นอกเหนือจากเครื่องประดับทองคำแนวแอนทิค ที่เน้นลวดลายสมัยจักรวรรดิ หรือพุทธศาสนา โดยเน้นสีของทองคำและผิวด้าน ดูเป็นธรรมชาติ โดยเครื่องประดับประเภทนี้ลูกค้าจะต้องการงานทองคำที่มีความบริสุทธิ์สูง ที่เรียกว่า ultra high quality ระดับ 9999s หรือ 99999s หรือที่เรียกว่า four 9s และ five 9s ตามลำดับ นอกจากนี้เครื่องประดับทอง 18K และ 22K ก็กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นด้วยในอดีตเซินเจิ้นเป็นหมู่บ้านชาวประมง ผู้คนพึ่งพาทรัพยากรจากท้องทะเล หาเลี้ยงชีพด้วยการทำนาเกลือ และผลิตผงปรุงอาหาร แต่ในปีค.ศ. 1978 รัฐบาลจีนได้ประกาศนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจและเปิดประเทศ ซึ่งได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของประเทศจีนและเซินเจิ้นในเวลาต่อมา ในปีค.ศ. 1980 จากทำเลที่ตั้งที่ได้เปรียบด้วยการเป็นเมืองท่าและอยู่ติดกับเกาะฮ่องกง เซินเจิ้นจึงได้ถูกเลือกให้เป็นหนึ่งในเขตเศรษฐกิจพิเศษแห่งแรกของจีน

Read More

25/12/2562

OBOR เชื่อมต่อเส้นทางพาณิชย์ใหญ่ที่สุดในโลก


OBOR เป็นชื่อเรียกของเส้นทางสายไหมในศตวรรษที่ 21 ย่อมาจาก คำว่า “One Belt One Rode” หรือ “หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง” หรือที่เราได้ยินกันบ่อยๆว่า “วงแหวนเศรษฐกิจ” เป็นโครงการที่นำแนวคิดมาจากเส้นทางสายไหมเมื่อ 2000 ปีก่อนมาใช้ เพื่อเชื่อมโยงการค้า การคมนาคมและโลจิสติกส์ระหว่าง 60 ประเทศหรือมากกว่านั้น เป็นระบบเชื่อมต่อทางพาณิชย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และจะส่งผลต่อความต้องการขายสินค้าทั้ง เหล็ก ทองแดง สังกะสี คอนกรีต รวมถึงทองคำและเงินในอนาคตตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา มีการพูดถึงการเชื่อมต่อโดยเทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น เงิน กับทองคำ และเงิน ว่าจะเป็นองค์ประกอบใหม่ที่สำคัญเพื่อสร้างมูลค่าให้กับเงินดิจิตอล ซึ่งปัจจุบันมีการผูกเงินดิจิตอลไว้กับดอลล่าร์สหรัฐอยู่แล้ว และต่อไปมีแผนที่จะผูกเงินดิจิตอลกับทองคำ เช่น กำหนดให้ 1 token หรือ 1 เหรียญโทเคน มีค่าเท่ากับ 0.01 กรัมทองคำ หรือ 100 token มีค่าเท่ากับ 1 กรัมทองคำ เป็นต้น โดยนักลงทุนสามารถซื้อขายบนแพลตฟอร์มปกติของสถาบันการลงทุนทั่วไป จากการรวบรวมข้อมูลพบว่าปัจจุบันมีบริษัทไม่น้อยกว่า 20 แห่งทั่วโลกกำลังวางแผนพัฒนาเพื่อออกผลิตภัณฑ์ที่เรียกว่า “gold-backed cryptocurrenciesหากนักลงทุนหันมาซื้อขายบนระบบที่มีการใช้ทองคำเป็นตัวสนับสนุนเช่นนี้ ระบบ“OBOR : One Belt One Rode” ที่กำลังพัฒนาอยู่นี้จะกลายเป็นหัวใจของระบบโลจิสติกส์เพื่อเชื่อมต่อตะวันตกกับตะวันออกไปในทันที ด้วยจะมีการขนย้ายทองคำได้ง่ายขึ้นอนึ่ง One Belt One Road (OBOR) เป็นยุทธศาสตร์เส้นทางสายไหมใหม่ที่เสนอแนวคิดโดย นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีของจีน มีเป้าหมายเพื่อความเชื่อมโยงทางด้านคมนาคม ด้านโลจิสติกส์ เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน เป็นการสร้างความมั่นคงในเส้นทางการค้าทั้งทางบก และทางทะเลของจีน เป็นกรอบการทำงานที่สำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับพหุภาคีของจีน โครงการOne Belt One Road เริ่มขึ้นเมื่อปี 2556 เป็นเส้นทางการค้า การคมนาคมขนส่งที่จะเชื่อมจีนกับยุโรป ด้วยการสร้างโครงสร้างพื้นฐานผ่านเส้นทางถนนและทางรถไฟ มีทั้งเส้นทางบกและเส้นทางทะเล ซึ่งเกี่ยวข้องกับ 60 ประเทศ ในเอเชีย ตะวันออกกลาง ยุโรป แอฟริกาตะวันออกและเหนือ แน่นอนว่าโครงการระดับนี้ต้องใช้งบลงทุนมหาศาลเพื่อสร้างรางรถไฟ ถนน โรงไฟฟ้า ท่อส่งพลังงาน ฯลฯ โดยมีการประมาณการไว้ว่าต้องใช้เงินราว 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ และคาดการณ์กันว่าจะแล้วเสร็จในปี 2592 (ค.ศ. 2049 หรือ 30 ปีข้างหน้า)โครงการเส้นทางสายไหมศตวรรษ 21นี้ จะส่งผลต่อ 65% ของประชากรโลก มีผลกระทบต่อ 1 ใน 3 ของเศรษฐกิจโลกและ 1 ใน 4 ของการค้าโลก

Read More

25/12/2562

ลูกโลกทองคำ 2020


เปิดเผยออกมาแล้วสำหรับรายชื่อผู้ภาพยนตร์เข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำหรือ Golden Globe Awards ครั้งที่ 77 ซึ่งดูเหมือนว่าภาพยนตร์จาก Netflix จะมาแรงแซงหน้าภาพยนตร์จากฝั่งฮอลลีวูดเสียอีก ไม่ว่าจะเป็น The Irishman และMarriage Story. ส่วนภาพยนตร์งฮอลลีวูดนำมาโดย Once Upon a Time…in Hollywoodสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศฮอลลีวูดประกาศรายชื่อผู้เข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำประจำปี 2020 ออกมาแล้ว Marriage Story หนังครอบครัวที่ต้องพบกับทางแยก นำแสดงโดย Scarlet Johansson และ Adam Driver ได้เข้าชิงมากที่สุดถึง 6 รางวัลตามมาด้วย The Irishman ของผู้กำกับมือเก๋า Martin Scorsese ที่เพิ่งกวาดการเสนอชื่อเข้าชิงในเวที Critics’ Choice Awards มาถึง 14 สาขา หนังได้เข้าชิง 5 รางวัลซึ่ง Netflix คงจะภูมิอกภูมิใจไม่น้อยที่หนังซึ่งเป็นผู้สร้างทั้ง 2 เรื่อง มีบทบาทอย่างมากในเวทีรางวัลสำคัญ ส่วน Parasite ก็มาแรงไม่เบา เพราะหนังได้สร้างประวัติศาสตร์ให้กับวงการภาพยนตร์เกาหลีใต้ด้วยการเข้าชิงรางวัลมากที่สุดเท่าที่เกาหลีใต้เคยทำได้ตลอดกาลMarriage Storyภาพยนตร์บน Netflix ที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ในการหย่าร้างระหว่างคนสองคนที่เน้นไปที่อารมณ์ความรู้สึกของตัวละคร มีชื่อเข้าชิงมากที่สุดถึง 6 สาขา ไม่ว่าจะเป็น ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ประเภทดราม่า, นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ประเภทดราม่า (อดัม ไดรเวอร์), นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ประเภทดราม่า (สการ์เลตต์ โจแฮนส์สัน), นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม ประเภทดราม่า (ลอร่า เดิร์น), บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และ ดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมอีกเรื่องจาก Netflix หนังแก๊งสเตอร์ของผู้กำกับมือทองอย่าง The Irishman ที่เข้าชิงทั้งหมด 4 สาขา ไม่ว่าจะเป็น ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ประเภทดราม่า, ผู้กำกับการแสดงยอดเยี่ยม (มาร์ติน สกอร์เซซี), นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม ประเภทดราม่า (อัล ปาชิโน และ โจ เพสซี) และบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมฝั่งภาพยนตร์ที่เข้าฉายในโรงนำหน้ามาโดย Once Upon a Time in Hollywood มีชื่อเข้าชิงทั้งหมด 5 สาขา ได้แก่ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ประเภทตลกหรือเพลง, ผู้กำกับการแสดงยอดเยี่ยม (เควนติน ทาแรนติโน), นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ประเภทตลกหรือเพลง (ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ), นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม ประเภทตลกหรือเพลง (แบรด พิตต์) และ บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมสรุปอันดับภาพยนตร์ที่ได้เข้าชิงมากที่สุดมีดังนี้ Marriage Storyเข้าชิง 6 รางวัล Once Upon a Time…in Hollywood ของผู้กำกับ Quentin Tarantino และ The Irishman ได้อันดับ2ร่วมกันคือเช้าชิง 5 รางวัลส่วนอันดับ 3 นั้นตกเป็นของหนังจากตัวการ์ตูนสุดดาร์ก Joker ที่กลายเป็นที่ชื่นชอบของคนดูทั่วโลกจนรายได้ข้ามหลักพันล้านเหรียญฯ ทั่วโลกไปแล้ว ได้เข้าชิง 4 รางวัล ร่วมกับ The Two Popes ผลงานการสร้างของ Netflix อีกเรื่อง อันดับ4 เป็นของ Knives Out หนังฆาตกรรมหรรษาที่รวมทีมนักแสดงไว้คับคั่ง กำกับโดย Rian Johnson กับ 1917 ของผู้กำกับรางวัลออสการ์ Sam Mendes ได้เข้าชิง 3 รางวัลเท่ากัน นอกจากนี้ก็ยังมีหนังของ Netflix อีกเรื่องที่ได้เข้าชิงรางวัลคือ Dolemite Is My Name หนังตลกร้ายนำแสดงโดย Eddie Murphy ที่ได้เข้าชิงอีก 1 รางวัลสำหรับตัวเต็งสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมและหญิงยอดเยี่ยมมีดังนี้ ภาพยนตร์ประเภทดรามาชาย Joaquin Phoenix จาก Joker ที่เป็นต่อจากกระแสความนิยมของหนังยังไม่แรงไม่ตกภาพยนตร์ประเภทดรามาหญิง Renee Zellweger ที่สวมบทของนักร้องนักแสดงแห่งยุคผู้ล่วงลับ Judy Garland ในหนัง Judy แทบจะนอนมา ส่วนในสาขานักแสดงนำชายและนำหญิงยอดเยี่ยม จากภาพยนตร์เพลงหรือตลก ยังไม่ได้มีใครที่เป็นเต็งโดด ซึ่งเราอาจได้เห็น Leonardo DiCaprio จาก Once Upon a Time…in Hollywood หรือ Awkwafina จาก The Farewell คว้ารางวัลนี้ไปก็เป็นได้ แต่ที่สร้างเซอร์ไพรส์จริง ๆ คงจะเป็นรายของ Jennifer Lopez ในสาขาสมทบหญิงจากหนังตลกที่ฮิตเปรี้ยงอย่าง Hustlersคงต้องรอลุ้นกันในวันที่ 5 มกราคม นี้ว่าใครจะได้รางวัลอันทรงเกียรตินี้ไปครอง

Read More

25/12/2562

เหรียญดีนาร์ทองคำ ทางรอดรับมือการถูกคว่ำบาตร


เป็นเรื่องฮือฮาอย่างมากเมื่อมีข่าวว่าในการประชุมสุดยอดอิสลาม ที่ประเทศมาเลเซีย ในช่วงปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมา(19-22 ธ.ค.62 ) ประเทศมุสลิม 4 ชาติ ประกอบด้วยอิหร่าน มาเลเซีย ตุรกีและกาตาร์ กำลังพิจารณาความเป็นไปได้ในการใช้เหรียญดีนาร์ทองคำ (gold dinar) และระบบแลกเปลี่ยนสินค้า (barter system) มาใช่เพื่อประกันความเสี่ยงจากการถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจในอนาคตโดยดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด นายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย เป็นผู้ออกมาให้ข่าวแนวคิดการใช้เหรียญดีนาร์ทองคำ ซึ่งการให้สัมภาษณ์ตอนหนึ่งผู้นำมาเลเซีย กล่าวยกย่องอิหร่านและกาตาร์ที่ต่อสู้กับมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจอย่างเข้มแข็ง พร้อมทั้งระบุว่าโลกมุสลิมจะต้องพึ่งพาตนเองในการเผชิญหน้ากับภัยคุกคามจากการถูกคว่ำบาตรในอนาคต และเสนอให้ประเทศมุสลิมพิจารณาอย่างจริงจังกับแนวคิดในการทำการค้าระหว่างกันด้วยเหรียญดีนาร์ทองคำของอิสลาม และการใช้ระบบแลกเปลี่ยนสินค้า โดยหวังว่าจะสามารถหากลไกในการทำให้แนวคิดดังกล่าวบังเกิดผลได้ในที่สุดเหรียญดีนาร์ทองคำมีมาตั้งแต่ยุคที่ถือกำเนิดศาสนาอิสลาม ชาวอาหรับในสมัยนั้นได้ใช้ทองคำและเงิน เป็นสิ่งแลกเปลี่ยนทางการค้าโดยการชั่งน้ำหนักจากทองคำและเงินซึ่งในสมัยนั้นอาหรับได้ใช้เหรียญทองคำ(ดีนารุ) และเหรียญเงิน (ดีรฺอัม) ของเปอร์เซียกันอย่างแพร่หลาย ต่อมามีการปลอมทองคำ (ดีนารฺ) และเหรียญเงิน(ดีรฺฮัม)กันมาก จึงได้มีการผลิตเหรียญกษาปณ์ขึ้นมาใช้แทนในปีฮิจเราะฮ์ที่ 74 มีใช้เหรียญกษาปณ์ดังกล่าวทั่วอาณาจักรอิสลาม โดยมีการเขียนข้อความไว้บนเหรียญกษาปณ์ว่า “อัลลอฮฺทรงเอกะ อัลลอฮฺทรงเป็นที่พึ่งแห่งสรรพสิ่งทั้งมวล” ซึ่งถือเป็นเหรียญกาษปณ์ของอิสลามที่ได้ถูกผลิตขึ้นครั้งแรกในสมัยของคอลีฟะฮ์อับดุลมาลิก อิบนุ มัรวาน โดยมีการกำหนดค่าความเป็นเอกภาพ และคุณภาพของเหรียญเงิน(ดีรฺฮัม)และเหรียญทองคำ(ดีนารฺ) บนพื้นฐานเดียวกันกับการกำหนดค่าของคอลีฟะฮ์อุมัร อิบนุ อัลค็อฎฎ็อบ (รอฎิยัลลอฮุอันฮุ) รัฐอิสลามมีความหวงแหนและให้ความสำคัญอย่างมากต่อการรักษาเสถียรภาพและคุณภาพของเงินตราไว้ ดูได้จากเหรียญทองคำ(ดีนารฺ)จะถูกผลิตขึ้นมาอย่างละเอียดด้วยทองคำแท้ ซึ่งในช่วงฮิจเราะฮ์ศตวรรษที่ 14 เฉพาะในภูมิภาคอันดาลูเซียอย่างเดียวมีการผลิตเหรียญกษาปณ์ทองคำแท้ (ดีนารฺ)ถึง200,000 เหรียญต่อปี ไม่นับรวมภูมิภาคอื่นๆ ของอาณาจักรอิสลาม มีการผลิตเหรียญกษาปณ์ทองคำ (ดีนารฺ) ถึง20,000,000 เหรียญดีนารฺ ต่อปีเลยทีเดียว

Read More

25/12/2562

พระกระเป๋าทรงถือทองถัก หนึ่งในผลงานจากห้างฟาแบร์เฌ่


งานพระราชพิธีเฉลิมพระราชมณเฑียรเมื่อต้นรัชกาลที่9 สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงถือพระกระเป๋าทองถักใบเล็กๆเข้าร่วมในพระราชพิธี ซึ่งพระกระเป๋าทรงถือนี้เป็นหนึ่งในคอลเลกชั่นที่ราชสำนักสยามสั่งทำจากห้างฟาแบร์เฌ่ ช่างทองประจำราชสำนักรัชเซียพระกระเป๋าทรงถือนี้ ออกแบบและถักทอโดยช่างทองที่มีชื่อว่า Henrik Wigstrom ด้วยศิลปะการทำทองเฉพาะของห้างฟาแบร์เฌ่ คือการผสมทองคำเข้ากับเนื้อโลหะอื่นๆในอัตราส่วนต่างๆกัน ทำให้ได้เนื้อทองในแบบแบบต่างๆ ซึ่งพระกระเป๋าทรงถือนี้ ทำด้วยทองคำ14K เป็นทองคำสองสี ที่ขอบเป็นทองคำลงยาสีเขียวอ่อน ตกแต่งด้วยช่อดอกไม้ทองคำ และประดับเพชร ในส่วนของที่ปิด-เปิด ประดับด้วยหิน Moonstones จำนวน2เม็ด พระกระเป๋าทรงถือนี้ห้างฟาแบร์เฌ่ ทำขึ้นเพื่อถวายแด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่5 ตามคำสั่งซื้อ โดยมีพระราชหัตถเลขาของล้นเกล้าร.5 สั่งจ่ายเงินเป็นค่าของที่ทรงซื้อจาก นายเอน ฟาแบร์เฌ่ ด้วยงานฟาแบร์เฌเป็นที่นิยมของราชวงศ์ต่างๆในยุโรป สำหรับราชวงศ์ที่มีงานฟาแบร์เฌสะสมอยู่มาก คือราชวงศ์อังกฤษ และเดนมาร์ก ส่วนในราชสำนักไทยมีงานของฟาแบร์เฌอยู่ 40-50 ชิ้น ไทย ชิ้นแรกที่ได้รับเป็น “ซองโอสถมวนลงยา” ที่พระเจ้าซาร์นิโคลัสแห่งรัสเซียส่งมาถวายรัชกาลที่ 5 เมื่อปี ค.ศ.1914 ตั้งแต่ยังทรงเป็นมกุฎราชกุมาร แล้วลงท้ายว่า “จากเพื่อน” โดยทั้ง 2 พระองค์ทรงเป็นพระสหายกันตั้งแต่พระเจ้าซาร์นิโคลัส เสด็จเยือนประเทศสิงคโปร์ แล้วพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเชิญเสด็จมาเยือนเมืองไทย หลังจากได้รับซองโอสถมวนลงยา ล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ก็ทรงสั่งฟาแบร์เฌ ให้ทำเป็นคอลเลกชั่นตามออเดอร์ต่างๆอีกมากมาย จนกลายเป็นราชสำนักในตะวัน ออกแห่งเดียวที่มีคอลเลกชั่นของฟาแบร์เฌ อาทิ เจดีย์ บาตรน้ำมนต์ หีบพระโอสถ ของประดับ เชิงเทียน รวมถึงพระกระเป๋าทรงถือ ต่อมารัชกาลที่ 6 ก็ได้ทรงสั่งทำ “พระแก้วมรกตองค์น้อย พระพุทธมณีรัตนปฏิมากร” ทำจากหินหยกเนฟไฟร์ทสีเขียวเข้มของรัสเซีย ซึ่งปัจจุบันประดิษฐานอยู่ในหอพระสุราลัยพิมาน ในพระบรมมหาราชวังอีกด้วย

Read More

25/12/2562

สิ้นหลวงปู่ทอง เกจิดังแห่งล้านนา


กลางดึกของวันที่ 13 ธันวาคม 2562 พุทธศาสนิกชนได้สูญเสียครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง เมื่อพระเกจิดังแห่งล้านนา พระพรหมมงคล ฉายานาม “สิริมังคโล” หรือหลวงปู่ทอง เจ้าอาวาสวัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร ได้ละสังขารอย่างสงบหลังจากอาพาธอย่างกะทันหันและถูกนำส่งโรงพยาบาลจอมทองโดยแพทย์ได้ให้การรักษาอย่างสุดความสามารถแต่ไม่สามารถยื้อสังขารไว้ได้ก่อนหน้านั้นหนึ่งวันคือเมื่อช่วงเช้าของวันที่ 12 ธันวาคม หลวงปู่ทองได้ออกให้ศีลให้พรลูกศิษย์ที่มาหาด้วยอาการปกติ ไม่มีวี่แววว่าท่านจะอาพาธ จนกระทั่งเวลาประมาณ 16.00 น วันเดียวกัน หลวงปู่ทองมีอาการหมดสติก่อนจะละสังขารลงอย่างสงบท่ามกลางความโศกเศร้าของศิษยานุศิษย์ทั่วประเทศสิริอายุได้ 96 ปี 2 เดือน 21 วัน 76 พรรษา ในการนี้พระบาทสมเด็จพระวชิรเจ้าเกล้าอยู่หัวฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเลื่อนชั้นเกียรติยศประกอบศพจากโกศแปดเหลี่ยม พระราชทานโกศไม้สิบสอง ฉัตรเครื่องตั้งประดับเป็นเกียติยศ พระราชทานพวงมาลาพระราชวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ และพระราชทานพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมในพระบรมราชานุเคราะห์ 7 คืนหลวงปู่ทอง หรือพระพรหมมงคลนั้น มีนามเดิมว่า ทอง พรหมเสน เกิดเมื่อวันศุกร์ที่ 21 ก.ย. พ.ศ. 2466 ตรงกับวันขึ้น 12 ค่ำ เดือน 10 ปีกุน ณ บ้านนาแก่ง ต.บ้านแอ่น อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ บิดาชื่อ นายทา นามสกุล พรหมเสน มารดาชื่อ นางแต้ม นามสกุล พรหมเสน มีพี่น้องด้วยกัน 6 คนหลวงปู่ทองบรรพชาเป็นสามาเณรเมื่อ วันศุกร์ที่ 19 ม.ค. พ.ศ. 2477 ตรงกันวันขึ้น 4 ค่ำ เดือน 3 ปีจอ ณ วัดนาแก่ง ตำบลบ้านแอ่น โดยมีพระครูบาชัยวงศ์ (หลวงปู่ครูบาแก้ว ชยวํโส) เจ้าอาวาสวัดนาแก่ง เป็นพระอุปัชฌาย์ อุปสมบทเมื่อวันจันทร์ที่ 7 ก.พ. พ.ศ. 2487 ตรงกับวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 3 ปี วอก ณ บ้านแอ่น ต.บ้านแอ่น โดยมีพระครูคัมภีรธรรม (ครูบาอินตา พรหฺมปญฺโญ) เจ้าอาวาสวัดชัยพระเกียรติ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการญาณรังสี เจ้าอาวาสวัดห้วยทราย เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระมหาจันทร์ วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายานามว่า “สิริมงฺคโล”ระหว่างบรรพชาท่านได้ฝึกวิปัสสนากรรมฐานอย่างต่อเนื่อง โดยปี พ.ศ.2477 – 2486 หลวงปู่ทองได้เริ่มฝึกการปฏิบัติสมถกรรมฐานกับ พระสุธรรมยานเถร (อินถา อินฺทจกฺโก) พระสุพรหมยานเถร (พรหมา พฺรหฺมจกฺโก) พระครูพัฒนกิจจานุรักษ์ (ครูบาชัยวงศาพัฒนา) ครูบาอภิชัย (ขาวปี) จากนั้นฝึกการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานในแนวสติปัฏฐาน 4 ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหารกับ พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทธิ) จนถึงปี พ.ศ. 2497 – 2500 ท่านได้เดินทางไปฝึกการปฏิบัติและศึกษาแนวทางการปฏิบัติในแนวสติปักฐาน 4 ตามหลักพระไตรปิฎก อรรถกถา และอื่นๆกับมหาสีสยาดอ ณ สำนักวัดศาสนยิสสา ประเทศสหภาพเมียนมาร์

Read More

25/12/2562

ต่างชาติยืนยัน กรุงศรีอยุธยาเป็นมหานครแห่งทองคำ (ตอนที่ 2)


เรื่องราวความรุ่งเรืองของอาณาจักกรุงศรีอยุธยาเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของชาวยุโรป แม้แต่ลาลูแบร์ ราชทูตจากฝรั่งเศสที่เข้ามาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และอยู่เมืองไทยเป็นเวลา 3 เดือน 6 วัน ก็ยังได้เขียนบันทึกไว้ในหนังสือจดหมายเหตุของเขาเกี่ยวกับเหมืองแร่ทองคำในพระนครศรีอยุธยาไว้ว่า“ไม่มีประเทศใดจะมีชื่อเสียงในความสมบูรณ์ทางแร่มากกว่าชาวสยาม ดังจะเห็นได้จากพระพุทธรูปและเครื่องโลหะหล่อจำนวนมหาศาล และเช่นเดียวกัน เขาสกัดทองคำได้จำนวนมาก ซึ่งมิใช่จะใช้ประดับพระพุทธรูปที่มีอยู่จำนวนมากมายเหลือคณานับเท่านั้น อาคารสถานที่ เช่น ฝาพนังห้อง เพดาน และหลังคาโบสถ์ ยังดาดทองอีกด้วย บ่อแร่เก่าพบกันอยู่ทุกวัน แล้วยังมีซากเตาถลุงจำนวนมาก ซึ่งเชื่อว่าถูกทอดทิ้งไปเพราะสงครามกับพม่านานมาแล้ว...”ลาลูแบร์ยังได้บันทึกไว้ว่า ในการพระราชทานเลี้ยงแก่คณะทูตฝรั่งเศสชุดก่อนว่า นอกจากจานอาหารจะเป็นทองคำหลายใบแล้ว “สำหรับผลไม้ที่เสิร์ฟ มีบางถาดทำด้วยทองคำ ซึ่งสมเด็จพระนารายณ์ทรงโปรดให้ทำขึ้นเพื่อต้อนรับนี้ โดยเฉพาะสำหรับ มร.เดอ โชมองค์”จากบันทึกของชาวต่างชาตินั้น จะเห็นได้ว่าทองคำมีอยู่ทั่วไปในอยุธยา เป็นทองคำที่มีอยู่ในธรรมชาติไม่ได้ซื้อเข้ามาแต่อย่างใดและยังมีเอกสารยืนยันว่าอยุธยาส่งทองคำออกไปขายต่างประเทศด้วยในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยเอกสารระบุว่า “ในปี 2283 สมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้ส่งทองที่ขุดได้จากบ้านป่ารอน อำเภอบางสะพาน ไปถวายพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ถึง 46 หีบ พระเจ้ากรุงฝรั่งเศสได้ทรงแนะนำให้ราชทูตไทยนำผู้เชี่ยวชาญการขุดทองของฝรั่งเศสไปช่วยด้วย”นอกจากนี้ ทั้งในสมัยกรุงศรีอยุธยาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น พระสุพรรณบัฏ ซึ่งเป็นพระราชสาส์นของพระเจ้าแผ่นดินที่ทรงมีไปถึงกษัตริย์เมืองอื่นนั้น ก็ยังเขียนไปบนแผ่นทองแทนกระดาษ ตลอดจนเครื่องใช้ในราชสำนักก็นิยมทำด้วยทอง แม้แต่ชาวบ้านตั้งแต่เด็กจนถึงคนแก่ก็นิยมเครื่องประดับที่ทำจากทอง แม้แต่ฟันปลอมก็นิยมทำด้วยทองแม้แต่ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ทองคำในสยามก็ยังมีอยู่มากมายดังที่ มิสเตอร์เกรแฮม ที่ปรึกษาราชการแผ่นดินในสมัยรัชกาลที่ 5 และที่ 6 ได้กล่าวถึงแหล่งทองในสมัยรัตนโกสินทร์ไว้ว่า “ทองคำในทราย มีอยู่เกือบจะทุกลำธารในประเทศสยาม”ปัจจุบัน มีการยืนยันแล้วว่า ในประเทศไทยมีแหล่งทองคำ 76 แห่ง ใน 31จังหวัด มีแร่ทองคำประมาณ 700 ตัน หากสกัดเป็นทองคำบริสุทธิ์แล้วจะมีมูลค่าประมาณ 9 แสนถึง 1 ล้านล้านบาท แหล่งทองที่มีชื่อเสียงและขุดกันมาแต่โบราณ เป็นแหล่งแร่ทองคำเนื้อบริสุทธิ์ไม่มีแร่ธาตุอื่นเจือปน ขุดขึ้นมาจากดินได้เป็นก้อนโดยไม่ต้องนำไปถลุงก่อน เรียกกันว่า ทองนพคุณ หรือทองเนื้อเก้า ก็คือบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นทองที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชส่งไปถวายพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ แห่งฝรั่งเศส ทั้งยังบันทึกไว้ว่า ใน พ.ศ.2289 ผู้รั้งเมืองกุยบุรีได้ส่งทองหนัก 3 ตำลึงไปถวายพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ จึงทรงเกณฑ์คนจำนวนกว่า 2,000 คนให้ร่อนทองที่บางสะพาน ได้ทองคำหนักถึง ๕๔ กิโลกรัม ทรงนำทองนี้ไปแผ่เป็นแผ่นหุ้มยอดมณฑปพระพุทธบาทสระบุรีขอขอบคุณข้อมูลจากโรม บุนนาค ผู้จัดการออนไลน์

Read More

25/12/2562

ต่างชาติยืนยัน กรุงศรีอยุธยาเป็นมหานครแห่งทองคำ (ตอนที่ 1)


ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้ชื่อว่าเป็นยุคแห่งความเจริญรุ่งเรื่อง เนื่องจากมีพ่อค้าวาณิชย์ นักบวช ทูต และชาวตะวันตกเข้ามาค้าขาย เจริญสัมพันธไมตรีและอยู่อาศัยในกรุงศรีอยุธยาจำนวนไม่น้อย บุคคลเหล่านี้แม้จะมาจากชาติที่เจริญก้าวหน้าด้วยสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมแต่เมื่อได้มาเห็นปราสาทราชวังของอยุธยา ถึงกับตะลึงในความวิจิตรตระการตาที่ทุกสิ่งอย่างล้วนเหลืองอร่ามไปด้วยทอง จนต้องนำไปเขียนเล่าและพิมพ์เป็นหนังสือออกเผยแพร่ในยุโรปมากมายหลายเล่มโยส เซาเต็น ผู้จัดการบริษัทการค้าของฮอลันดา เป็นหนึ่งในพ่อค้าจากชาติตะวันตกที่มาประจำการอยู่ในกรุงศรีอยุธยาเป็นเวลา 8 ปี ในสมัยพระเจ้าทรงธรรมและสมัยพระเจ้าปราสาททอง ได้เขียนบันทึกไว้ใน“จดหมายเหตุโยส เซาเตน” เมื่อ พ.ศ.2179 ความว่า“...พระนครศรีอยุธยานี้จึงเป็นนครที่โอ่อ่า เต็มไปด้วยโบสถ์วิหารซึ่งมีจำนวนมากกว่า ๓๐๐ และก่อสร้างขึ้นอย่างวิจิตรพิสดารที่สุด โบสถ์วิหารเหล่านี้มีปรางค์เจดีย์และรูปปั้นรูปหล่ออย่างมากมาย ใช้ทองฉาบอยู่ภายนอกสีเหลืองอร่ามทั่วไปหมด เป็นพระมหานครที่สร้างอยู่ข้างฝั่งแม่น้ำ โดยมีผังเมืองวางไว้อย่างเป็นระเบียบ จึงเป็นนครที่สวยงามมาก ตั้งอยู่ในทำเลที่เหมาะสม มีประชาชนหนาแน่น และเต็มไปด้วยสินค้าสิ่งของจำเป็นแก่ชีวิตนำเข้ามาขายจากนานาประเทศ เท่าที่ข้าพเจ้าทราบ ยังไม่มีพระมหากษัตริย์องค์ใดในแถบนี้ของโลกที่จะมีเมืองหลวงใหญ่โตมโหฬารวิจิตรพิสดารและสมบูรณ์พูนสุข เหมือนกับพระมหากษัตริย์ ณ ราชอาณาจักรนี้...”บันทึกรายวันของ บาทหลวงเดอชัวซีย์ หนึ่งในคณะราชทูตเชอวาเลียร์ เดอ โชมอง ก็ได้ยืนยันความงดงามของกรุงศรีอยุธยาไว้ใน “จดหมายเหตุรายวัน การเดินทางไปสู่ประเทศสยาม” ว่า “...เมื่อออกไปกลางแจ้ง ใครๆก็คงจะต้องเห็นช่อฟ้าหลังคาโบสถ์และยอดพระเจดีย์ซึ่งปิดทองถึง ๓ ชั้น มีอยู่ดารดาษทั่วไปดูออกสะพรั่งพราวตา ข้าพเจ้าไม่ทราบแน่ว่าข้าพเจ้าจะทำให้ท่านนึกเห็นสิ่งงามๆเหล่านี้ไปด้วยหรือไม่ ขอจงเชื่อเถิดว่า ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นสิ่งใดที่จะสวยงามยิ่งไปกว่านี้...”ในจดหมายเหตุของนายแพทย์ เอนเยลเบิร์ต แกมเฟอร์ ชาวเยอรมันซึ่งเข้ามากับคณะทูตฮอลันดาในสมัยพระเพทราชา กล่าวไว้ใน “ไทยในจดหมายเหตุของแกมเฟอร์” ว่า “...ในกรุงมีโบสถ์วิหารอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง มีบริเวณพอสมกับถนนและเต็มไปด้วยสถูปเจดีย์ปิดทองขนาดต่างๆ ความใหญ่โตไม่เท่าโบสถ์ของเรา แต่ความงามภายนอกนั้นยิ่งกว่ามากนัก เพราะมีช่อชั้นหลังคางอนซ้อนสลับกันเป็นอันมาก...ในบรรดาชาติผิวคล้ำแห่งเอเชียทั้งหลาย สยามเป็นราชอาณาจักรอันเกรียงไกรยิ่งใหญ่ที่สุด และราชสำนักนั้นเล่าก็วิจิตรมโหฬารหาที่เสมอเหมือนมิได้...”ส่วนจดหมายเหตุของ นิโกลาส์ แชรแวส ซึ่งร่วมคณะราชทูตฝรั่งเศสของ เชอวาเลียร์ เดอ โชมอง เข้ามาในปี ๒๒๒๘ สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้บันทึกไว้ใน “ประวัติศาสตร์ธรรมชาติและการเมืองแห่งราชอาณาจักรสยาม” ว่า “...พระที่นั่งองค์ที่ประทับของพระเจ้าแผ่นดินอยู่ที่ลานชั้นในสุดเพิ่งสร้างขึ้นใหม่ ทองคำที่ประดิษฐ์ประดับไว้ให้รุ่งระยับ...” ในจดหมายชองบาทหลวง มองเซนเยอร์ เดอ โดลลิแยร์ ที่มีไปถึงผู้อำนวยการคณะต่างประเทศ เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2292 กล่าวว่า “...ได้มีคนไปพบบ่อทองคำซึ่งมีทองคำอยู่บนพื้นดินใกล้กับเมืองกุย ซึ่งเปนหัวเมืองขึ้นแก่ไทย อยู่ทางทิศตะวันตกอ่าวสยาม ทองคำที่พบคราวนี้มีมากและเป็นทองเนื้อดีด้วย ทองที่ร่อนมาได้ในคราวแรกนั้น พระเจ้ากรุงสยามได้เอาไปหล่อเป็นรูปพระพุทธบาท ทำรูปเหมือนกับพระพุทธบาทจำลองที่สลักในก้อนศิลา ห่างจากกรุงศรีอยุธยาไม่เท่าไรนัก แล้วพระเจ้ากรุงสยามได้โปรดให้เอาทองคำนั้นทำเป็นดอกบัวดอกใหญ่ สำหรับประดับพระพุทธบาทในเวลาแห่...”(ติดตามต่อตอนที่ 2)ขอขอบคุณข้อมูลจากโรม บุนนาค ผู้จัดการออนไลน์

Read More

25/12/2562

ปี 2020 ราคาทองคำทะยานต่อเนื่อง


ตลอดปี 2019 ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 14% โดยหนึ่งในปัจจัยหลักที่สนับสนุนการขึ้นของราคามาจากการลดดอกเบี้ยของเฟดลง 0.25% ถึง 3 ครั้งในปีนี้ เพราะทุกครั้งที่เฟดประกาศลดดอกเบี้ย ราคาทองคำจะปรับสูงขึ้นเสมอ เนื่องจากมูลค่าเงินที่ลดลงทำให้นักลงทุนจึงหันไปหาทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มั่นคง ยิ่งธนาคารกลางปรับลดดอกเบี้ยและลดค่าเงินลงเท่าใดราคาทองคำก็จะยิ่งปรับสูงขึ้น และนักวิเคราะห์มองว่า เฟดน่าจะคงอัตราดอกเบี้ยไปตลอดปี 2020 ทำให้ราคาทองคำอยู่ในระดับสูงเช่นนี้ต่อไปนักวิเคราะห์จาก Standard Chartered คาดว่าราคาทองคำน่าจะเฉลี่ยอยู่แถว 1,510 เหรียญในช่วงไตรมาสที่ 1/2020 จากนั้นจะขยับขึ้นไปเฉลี่ยแถว 1,570 เหรียญในช่วงไตรมาสที่ 4/2020 สำหรับภาพรวมรายปี 2020 คาดว่าจะเฉลี่ยที่ 1,536 เหรียญนักวิเคราะห์อาวุโสจาก Price Futures Group คาดว่าราคาทองคำจะเฉลี่ยแถว 1,550 เหรียญ สำหรับปี 2020 และมีโอกาสปรับสูงขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง แม้อาจจะไม่ปรับขึ้นรุนแรงมากนัก แต่มีโอกาสแตะระดับ 1,700 หรือ 1,800 เหรียญ ภายในต้นปีถัดไปประธาน Phoenix Futures and Options LLC คาดว่าเศรษฐกิจปีหน้าจะมีปัจจัยเสี่ยงอยู่ 3 ประการ ได้แก่ 1) อัตราดอกเบี้ย 2) การขึ้นภาษีของสหรัฐฯ และ 3) การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งทั้ง 3 ปัจจัยนี้ มีความเป็นไปได้ที่จะช่วยหนุนให้ราคากลับขึ้นไปแถว 1,550 เหรียญ และหากปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งประสบความล้มเหลวและกลายเป็นความเสี่ยงในระยะยาว ก็มีโอกาสที่จะเห็นราคาขึ้นไปถึง 1,600 เหรียญทั้งนี้ธนาคารรายใหญ่ๆทั่วโลกได้คาดการณ์ราคาทองคำในปีหน้าไว้ดังนี้ ABN AMRO คาดว่าราคาอาจลดลงเล็กน้อยในช่วงต้นปี ก่อนที่จะปรับสูงขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงThe Dutch bank คาดว่าราคาจะเฉลี่ยอยู่ที่1,500 เหรียญตลอดปี 2020 โดยจะปรับขึ้นจากระดับ 1,400 เหรียญในช่วงเดือน มีนาคม ขึ้นไปถึง 1,600 เหรียญ ภายในเดือน ธันวาคมTD Securities คาดว่าเฟดจะปรับลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปี 2020 ราคาทองคำจึงมีโอกาสที่จะขึ้นไปถึง 1,650 เหรียญGoldman Sachs ตั้งเป้าหมายราคาทองคำปีหน้าไว้ที่ 1,600 เหรียญCommerzbank คาดราคาแตะ 1,550 เหรียญภายในไตรมาสที่ 4/2020 และเฟดอาจปรับลดดอกเบี้ยภายในไตรมาสที่ 2/2020ทั้งนี้นักวิเคราะห์จาก Goldman Sachs แนะนำให้นักลงทุนกระจายความเสี่ยงการลงทุนในทองคำเพิ่มขึ้น โดยมั่นใจว่า ทองคำมีโอกาสเด้งขึ้นไปแตะระดับ 1,600 เหรียญฯได้ภายในปี 2020 ขอขอบคุณข้อมูลจาก : คลินิกการลงทุน

Read More

25/12/2562

เหรียญแพนด้าทองคำ


เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2019 ธนาคารกลางของจีน(PBOC) ออกชุดเหรียญทองคำชุด 12 เหรียญรุ่นปี2020 และเหรียญเงินที่ระลึกลายแพนด้ายักษ์สำหรับนักลงทุนและนักสะสม ชุดเหรียญที่ระลึกนี้ด้านหน้าของเหรียญออกแบบเป็นลายพระตำหนักฉีเหนียน ซึ่งเป็นสิ่งปลูกสร้างสำคัญของหอฟ้าเทียนถานในกรุงปักกิ่ง ขณะที่อีกด้านหนึ่งของเหรียญเป็นลายแพนด้ายักษ์กำลังกินไผ่หนึ่งในเหรียญทองคำบริสุทธิ์มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 90 มิลลิเมตร ทำด้วยทองคำบริสุทธิ์ 99.9% น้ำหนัก 1,000 กรัม มีราคา 10,000 หยวน(ราว 42.000 บาท) เหรียญนี้จะถูกนำไปหมุนเวียนในระบบ 1,000 เหรียญขณะที่เหรียญทองคำธรรมดาแบบอื่นๆมีราคา 10 หยวน 50 หยวน 100หยวน 200หยวน 500 หยวน 800 หยวน 1,500 หยวน 2,000 หยวนส่วนเหรียญเงินบริสุทธิ์แบบธรรมดามีราคา 10 หยวน 50หยวน และ 300 หยวนประเทศจีนออกเหรียญแพนด้าเป็นประจำทุกปี และมักจะจำหน่ายหมดอย่างรวดเร็วทุกปี โดยเริ่มทำมาตั้งแต่ปี 1982 ตอนแรกผลิตออกมาเป็นเหรียญทองอย่างเดียว ถัดมาอีกปี ในปี1983 จึงผลิตเหรียญเงินรุ่นแรก เป็นเหรียญเงินขัดเงา ชนิดราคา10 หยวน ขนาด 38.6 mm.จำนวนการผลิต 10,000 เหรียญปี1989 มีการผลิตเหรียญเงินธรรมดาชนิดราคา 10 หยวน ขนาด 40 mm. จำนวนการผลิต เพิ่มขึ้นเป็น 255,000 เหรียญ เพิ่มเติมจากเหรียญทองที่ผลิตมาอย่างต่อเนื่องทุกปี หรียญทองและเหรียญเงินแพนด้าเป็นที่นิยมของนักสะสมทั่วโลก เพราะแพนด้าเป็นสัตว์ที่น่ารักและมีชื่อเสียง ประกอบกับการออกแบบหน้าเหรียญที่เปลี่ยนแปลงทุกปี จึงเป็นที่ถูกใจของนักสะสม

Read More

25/12/2562

พิพิธภัณฑ์ศิลปะในนิวยอร์ก ส่งคืนโลงศพทองคำให้อียิปต์


พิพิธภัณฑ์ศิลปะ เมโทรโพลิแทนในสหรัฐอเมริกาส่งโรงศพทองคำคืนสู่อียิปต์ประเทศเจ้าของที่แท้จริง หลังจากที่มันถูกขโมยออกไปจากเมืองมินยา (Minya) ทางตอนใต้ของอียิปต์ในช่วงเหตุการณ์อาหรับสปริง เมื่อปี 2554โลงศพทองคำ นี้มีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ปโตเลมี (Ptolemaic Dynasty) อายุราว 2,100 ปี เป็นโลงที่ใช้บรรจุร่างของเนดเจมอังก์ (Nedjemankh) ซึ่งเป็นนักบวชประจำเทพเจ้าเฮรีเชฟ (Heryshef) หรือเทพหน้าแกะ แห่งเมืองเฮราเคลโอโปลิส โลงศพนั้นมีขนาดไม่ใหญ่นัก ตัวโลงตกแต่งอย่างประณีตด้วยทองคำ มีอักษรอียิปต์โบราณจารึกอยู่โดยรอบและรอบๆประดับด้วยอัญมณีหลายชนิดทั้งคริสตัลสีดำ งาช้าง และไพฑูรย์ เจ้าหน้าที่เผยว่าหลังจากถูกขโมยออกไป โลงศพทองคำถูกลักลอบขนผ่านหลายประเทศโดยเครือข่ายค้าโบราณวัตถุ ทั้งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, เยอรมนี และฝรั่งเศส กระทั่งพิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิแทนในนิวยอร์ก ซื้อต่อไปจากพ่อค้าผลงานศิลปะในกรุงปารีส เมื่อปี 2560 ในราคาราว 4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 122 ล้านบาท โดยไม่ทราบว่าโลงศพนี้ถูกขโมยไป แล้วนำไปจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์เป็นเวลา 6 เดือน ก่อนที่เจ้าหน้าที่ของอียิปต์จะแสดงหลักฐานว่าเอกสารประวัติความเป็นเจ้าของนั้นถูกปลอมแปลง เพราะแท้จริงแล้วมันถูกลักลอบมาโดยผิดกฎหมายพิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิแทนจึงส่งคืนโรงศพทองคำคืนอียิปต์เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2019 ล่าสุด(ตุลาคม) ทางการอียิปต์ได้นำโลงทองคำมาจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์อารยะธรรมแห่งชาติอียิปต์ (NMEC) ในกรุงไคโร เมืองหลวงของอียิปต์เพื่อให้สาธารณชนได้ชม และในปี2020 โลงศพนี้จะถูกนำไปจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์แกรนด์อียิปต์ (Egyptian Grand Museum) พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิแทน ( Metropolitan Museum of Art) ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1870 ทางตะวันออกของเซ็นทรัลพาร์คในนครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง เป็นเจ้าของงานศิลปะถาวรล้ำค่าทั่วโลกกว่าสองล้านชิ้นที่มีอายุกว่า 5,000 ปีจากทั่วโลกทั้งที่มาจากยุโรป แอฟริกา และเอเชีย เป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์มีชีวิตอยู่บนพื้นที่กว่าสองล้านตารางฟุต ยาวประมาณ 1 ใน 4ไมล์ ด้วยความงามของอาคารศิลปะโกธิคแบบดั้งเดิม ด้านหน้าตึกและภายในโถงหลักเป็นศิลปะ Beaux-Arts สไตล์ฝรั่งเศส ทำให้พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ถูกเปรียบเป็นพระราชวังสาธารณะแห่งเมืองนิวยอร์ก เปิดให้เข้าชมเป็นครั้งแรก ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1872

Read More

25/12/2562

พระมาลาเส้าสูง


ในการเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนครโดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสวมพระมาลาเส้าสูง เป็นพระมาลาพับปีกขึ้นด้านข้าง มีสายทองกระหวัดรัดไว้ให้คงรูปทรงสูงทำด้วยสักหลาด รอบองค์ประดับเกี้ยวทองคำลงยาฝังเพชร มีเกี้ยวยอด ด้านข้างประดับขนนกการเวก หรือนกปักษาสวรรค์ ซึ่งมีขนหางสง่างามเป็นพิเศษ ในอดีตแถบทวีปยุโรปนิยมใช้ขนนกการเวกประดับหมวกอย่างแพร่หลาย และมีความเชื่อตามตำนานว่า เป็นนกในเทพปกรณัมของตะวันออกปรากฏในป่าหิมพานต์ รวมถึงวรรณคดีเรื่องไตรภูมิพระร่วงยังเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า นกกรวิก มีจำนวนมากอาศัยอยู่บนเขากรวิก ซึ่งล้อมรอบเขาพระสุเมรุชั้นที่ ๓ บินได้สูงเหนือเมฆ และมีเสียงร้องที่ไพเราะอย่างยิ่ง หากเสียงนกกรวิกผู้ใดได้ยินได้ฟังไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์ จะหยุดนิ่งเหมือนต้องมนต์ทันใดพระมาลาเส้าสูงนี้มีการใช้ในการพระราชพิธีที่สำคัญๆหลายครั้ง เช่นเมื่อคราพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวหลังจากที่ทรงพระมหาพิชัยมงกุฎเสด็จพระราชดำเนินโดยกระบวนพยุหยาตราทางสถลมารคจากพระบรมมหาราชวังไปถึงวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทรงเปลื้องพระมหาพิชัยมงกุฎแล้วทรงพระมาลาเส้าสูงเมื่อเสด็จพระราชดำเนินเข้าวัด เนื่องด้วยตามโบราณราชประเพณีจะไม่ทรงพระมหาพิชัยมงกุฎเข้าในพระอาราม ครั้งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระมาลาเส้าสูงสีเขียวในกระบวนเสด็จพระราชดำเนินทางชลมารค ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ พระองค์ทรงพระมาลาเส้าสูงในกระบวนเสด็จโดยมิได้ทรงพระมหาพิชัยมงกุฎแต่อย่างใด นอกจากพระมาลาเส้าสูง ที่ทรงใช้ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเพื่อแสดงพระเกียรติยศและเป็นเครื่องราชูปโภคแล้ว ก็ยังมีพระมาลาเบี่ยง เป็นอีกหนึ่งในเครื่องราชูปโภคหมวดเครื่องพิชัยสงคราม แต่มิได้ใช้ทรงแต่อย่างใดเพียงตั้งไว้บนพระแท่นมณฑลในพระราชพิธีสำคัญ เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษกเท่านั้นการเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนครโดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารคในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2562 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเครื่องบรมขัตติยราชภูษิตาภรณ์สายสะพายนพรัตนราชวราภรณ์ สวมสายสร้อยจุลจอมเกล้า ทรงพระแสงขรรค์ชัยศรี เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ประทับพระราชอาสน์ทอดเครื่องราชูปโภคเรือ และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมารประทับที่กราบเรือพระที่นั่งด้านขวาเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ส่วนสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญาโดยเสด็จประทับพระเก้าอี้ทอดเครื่องพระอิสริยยศชั้นเจ้าฟ้าประทับเรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ ตามเสด็จในขบวนพยุหยาตราทาง ชลมารคด้วย

Read More

25/12/2562

โรงกษาปณ์แคนาดา เปิดตัวเหรียญทองคำรุ่นใหม่


โรงกษาปณ์แคนาดา เปิดตัวเหรียญรุ่นใหม่สำหรับนักสะสมผลิตขึ้นจากทองคำและเงินแท้ นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่เปิดทำการเมื่อ 43 ปีที่ผ่านมา เหรียญสะสมรุ่นพิเศษนี้เป็นการสร้างสรรค์ผลงานร่วมกันของผู้เชี่ยวชาญจากสาขาวินนิเพ็กและออตตาวาของโรงกษาปณ์แคนาดาเพื่อเชิดชูเหรียญกษาปณ์ใบเมเปิ้ล ผลงานเหรียญทองคำอันโด่งดังระดับโลกของโรงกษาปณ์แคนาดานั่นเองเหรียญสะสมรุ่นใหม่มีหลายราคา โดยเหรียญเงินรุ่น Silver Maple Leaf ราคาหน้าเหรียญ 5 ดอลลาร์ส่วนเหรียญทองคำแท้รุ่น Gold Maple Leaf ราคาหน้าเหรียญ 50 ดอลลาร์ พร้อมสลักเครื่องหมาย 'W'ของสาขาวินนิเพ็ก เหรียญด้านหนึ่งปรากฏให้เห็นลายใบชูการ์เมเปิล ผลงานการออกแบบของวอลเตอร์ ออตต์ ผิวเหรียญขัดด้าน เหรียญรุ่นใหม่นี้ระบุเลขปี 2020 ผลิตขึ้นในจำนวนจำกัดเพียง 10,000 ชิ้นสำหรับเหรียญเงิน และ 400 ชิ้นสำหรับเหรียญทองคำสำหรับเหรียญสะสมรุ่นอื่น ๆ ของโรงกษาปณ์แคนาดายังมีอีกหลายรุ่นได้แก่ • เหรียญเงินเกรดดีราคาหน้าเหรียญ 30 ดอลลาร์ประจำปี 2020 รุ่น Predator and Prey: Snowy Owl and Greater White-Fronted Geese จากตระกูล Golden Reflections ออกแบบโดยดับเบิลยู อัลลัน แฮนค็อก • เหรียญเงินเกรดดีราคาหน้าเหรียญ 25 ดอลลาร์ประจำปี 2020 นูนสูงพิเศษรุ่น Multifaceted Animal Head: Lynx ออกแบบโดยทราเอียน จอร์เกสกู • เหรียญเงินเกรดดีราคาหน้าเหรียญ 3 ดอลลาร์ประจำปี 2019 รุ่น Celebrating Canadian Fun and Festivities – Christmas Tree ออกแบบโดยสตีฟ เฮปเบิร์น และ • เหรียญเงินเกรดดีราคาหน้าเหรียญ 5 ดอลลาร์ประจำปี 2020 รุ่น Birthstones: January ออกแบบโดยแพนดอรา ยัง ผลิตภัณฑ์เหรียญสะสมทั้งหมดสามารถสั่งซื้อได้โดยตรงจากโรงกษาปณ์ หรือสั่งซื้อออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ของทางโรงกษาปณ์ นอกจากนี้เหรียญกษาปณ์ยังมีวางจำหน่ายที่ร้านของโรงกษาปณ์แคนาดาในกรุงออตตาวาและเมืองวินนิเพ็ก เช่นเดียวกับเครือข่ายผู้ค้าปลีกและผู้ค้าส่งระดับโลก ซึ่งรวมถึงร้านค้าของไปรษณีย์แคนาดาที่ร่วมโครงการ โรงกษาปณ์แคนาดา (Royal Canadian Mint) โรงกษาปณ์แคนาดาเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ (Crown Corporation) ที่ดูแลรับผิดชอบเรื่องการผลิตเหรียญกษาปณ์และการจำหน่ายเหรียญหมุนเวียนของแคนาดา เป็นหนึ่งในโรงกษาปณ์ขนาดใหญ่และมีความหลากหลายมากที่สุดในโลก โดยให้บริการผลิตภัณฑ์เหรียญหลายประเภทที่มีความเฉพาะเจาะจงและมีคุณภาพสูง รวมถึงบริการที่เกี่ยวข้องในระดับนานาชาติ

Read More

25/12/2562

งานผ้าลายทองแผ่ลวด


งานช่างผ้าลายทองแผ่ลวด เป็นงานช่างแขนงหนึ่งในหมู่ช่างสนะไทย หรือช่างที่ปฏิบัติเกี่ยวกับเครื่องภูษาอาภรณ์ วัสดุอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับงานเนื่องในสถาบันพระมหากษัตริย์และศาสนา ไม่นิยมใช้กับสามัญชน ได้แก่ ฉัตรเครื่องสูงที่ทำด้วยผ้า ตาลปัตรปักลายในรัฐพิธีสำคัญแต่โบราณผ้าม่าน ผ้าดาดหลังคากัญญาเรือพระที่นั่งฯ ธงงอนราชรถ ผ้าดาดหลังคาพระสีวิกากาญจน์ ผ้าดาดหลังคาพระวอประเวศวัง เป็นต้นเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศประเภทเรือพระที่นั่ง ที่ปรากฏในงานทองแผ่ลวดที่สำคัญคือเรือพระราชพิธี โดยเฉพาะเรือพระที่นั่งประเภทเรือกิ่ง จะปรากฏงานทองแผ่ลวดที่ผ้าดาดหลังคาพระแท่นกัญญาเรือพระที่นั่ง ผ้าม่าน ผ้าหน้าโขนเรือ ฉัตร ธงสามชาย และในขบวนเรือพระราชพิธี ก็จะใช้ผ้าลายทองแผ่นลวดด้วยเช่นกัน ทั้งนี้จะแตกต่างกันก็จะดูที่ลวดลาย ซึ่งขึ้นอยู่กับฐานานุศักดิ์ ชั้นยศ ของผู้ใช้เรือในขบวนเรือ เช่น เรือรูปสัตว์ เรือดั้ง เรือแซง เรือทองขวนฟ้า เรือทองบ้าบิ่น เรืออีเหลือง เรือแตงโม จะทำผ้าลายทองแผ่ลวดดาดหลังคาคฤห์ และกัญญาเรือ และผ้าโขนเรือ เป็นต้น งานช่างผ้าลายทองแผ่ลวด คือ การที่ผู้มีความชำนาญในงานฝีมือหลายแขนงมารวมตัวกันสร้างสรรค์งานศิลปกรรมที่มีขั้นตอนกระบวนการสร้างงาน ตั้งแต่การออกแบบลวดลาย นำมาตอก ฉลุ กางแผ่ต่อเป็นผืนใหญ่นำไปปิดด้วยทองคำเปลว และประดับกระจก แล้วเย็บตรึงลวดลาย โดยใช้ด้ายเส้นใหญ่เดินเส้นไปตามแบบตัวลายเป็นเส้นลวด และใช้ด้ายเส้นเล็กเป็นการเย็บตรึงตามลวดลายให้ติดแน่นบนผืนผ้า ผ้าลายทองแผ่ลวด แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีของชาติที่สืบทอดกันมายาวนาน ปัจจุบันการสืบทอดกระบวนการงานช่างผ้าลายทองแผ่ลวด ดำเนินงานโดยสำนักช่างสิบหมู่ร่วมร่วมกับบุคลากรภายในหน่วยงาน ถ่ายทอดความรู้จากรุ่นสู่รุ่น และยังมีการจัดฝึกอบรมให้กับบุคคลทั่วไปเพื่อสืบทอดวิธีการ กระบวนการทำงาน อีกทั้งเป็นการสร้างเครือข่ายช่าง เมื่อมีการดำเนินงานซ่อมงานผ้าลายทองแผ่ลวดเมื่อใดก็สามารถดึงกลุ่มผู้เข้ารับการฝึกอบรมที่มีความสามารถมาทำงานร่วมกันได้อย่างไรก็ดีการถ่ายทอดความรู้และทักษะที่เกี่ยวข้องกับงานช่างฝีมือผ้าลายทองแผ่ลวดนับวันจะเป็นเรื่องยากลงไปทุกขณะ เนื่องจากการสร้างงานมีกระบวนการขั้นตอนที่มีความซับซ้อนมีส่วนละเอียดอ่อน และเป็นงานที่มีการใช้งานในวงจำกัดหรือนานๆครั้ง ทำให้ช่างผ้าลายทองแผ่ลวดไม่มีโอกาสในการฝึกปรือฝีมือ และหากจะลงทุนปฏิบัติเองก็ต้องใช้งบประมาณสูง คาดว่าในอนาคตงานประณีตศิลป์แขนงนี้อาจจะขาดช่วงหรือสูญหายจากสังคมไทยก็เป็นได้

Read More

25/12/2562

พระที่นั่งพุดตานวังหน้า


พระที่นั่งพุดตานวังหน้า ทำด้วยไม้ปิดทองประดับกระจก สันนิษฐานว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่4 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติยศพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวโดยพระที่นั่งพุดตานวังหน้า มีรูปทรงใกล้เคียงกับพระที่นั่งพุดตานทองหรือพระที่นั่งพุทธตาลกาญจนสิงหาสน์ของวังหลัง ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่5พระที่นั่งพุดตานวังหน้าใช้เป็นเครื่องประกอบพระอิสริยยศพระมหาอุปราช โดยมีหลักฐานคือพระฉายาลักษณ์กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ประทับเหนือพระที่นั่งพุดตานวังหน้า ต่อมาเมื่อพระองค์ทรงประกาศยกเลิกตำแหน่งพระมหาอุปราชแล้ว โปรดเกล้าฯพระราชทานพระที่นั่งพุดตานวังหน้าให้เป็นเครื่องประกอบพระอิสริยยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร ดังปรากฏหลักฐานทั้งภาพถ่ายและจดหมายเหตุ ว่าในพระราชพิธีลงสรงสนานเฉลิมพระปรมาภิไธย พ.ศ. 2429 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศสยามมกุฎราชกุมาร ทรง “พระที่นั่งพุดตานฝ่ายพระราชวังบวร คนหาม 30” นอกจากนี้ พระที่นั่งพุดตานวังหน้ายังมีหลักฐานการใช้งานอื่นๆเช่น หลังพระราชพิธีโสกันต์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา ในช่วงเช้าวันที่ 30 มกราคม 2444 แล้ว เวลาบ่าย 5 โมงเศษ เสด็จประทับ “พระที่นั่งพุดตานในพระราชวังบวร” ในกระบวนแห่ ด้วยเหตุที่ภายหลังยกเลิกตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคลแล้วนั้น พระที่นั่งพุดตานวังหน้า ใช้เป็นพระราชยานสำหรับพระราชกุมารหลายคราว จึงมีการเพิ่มเตียงลา (สำหรับก้าวขึ้นลง และใช้วางพระบาท) ขึ้นอีกชั้นหนึ่ง และ “เตียงลา 2 ชั้น” นี้เองที่ปัจจุบันใช้จำแนกความแตกต่างระหว่าง “พระที่นั่งพุดตานกาญจนสิงหาสน์” กับ “พระที่นั่งพุดตานวังหน้า”นอกจากนี้พระราชพิธีฉลองวันพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เป็นธรรมเนียมที่สำนักพระราชวังจะเชิญพระที่นั่งพุดตานวังหน้า จากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ไปใช้ประดิษฐานพระพุทธรูปชัยวัฒน์ประจำรัชกาลที่7 พระพุทธรูปซึ่งอัญเชิญมาเป็นประธานในการพระราชพิธีทั้งนี้นามพระที่นั่งพุดตานเป็นนามเก่ามีมาตั้งแต่กรุงศรีอยุธยา เนื่องจากได้พบขื่อพระที่นั่งสัปคับพุดตานทองอยู่ในกระบวนแห่เพ็ชรพวง ครั้งแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ช่างเอกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ อนุมานว่านามพระที่นั่งพุดตานอาจมีที่มาจากลายที่ทำขึ้นในพระที่นั่งสัปคับพุดตาน สันนิษฐานว่าเป็นลายอย่างจีนมีต้นแบบมาจากลายเครื่องถ้วยที่มีเข้ามาในสมัยกรุงศรีอยุธยาหรือมีที่มาจากแผ่นรูปกระจังขนาดใหญ่ซึ่งประดับอยู่สองข้างพระที่นั่ง พุดตาน โดยทรงยกอุทาหรณ์เปรียบเทียบจากพัดพุดตาน ว่ามีรูปร่างอย่างดอกบัวแท้ๆ แต่ก็เรียกว่า พัดพุดตาน ดังนั้นลายประดับรูปกระจังดังกล่าวอาจเป็นเหตุให้เรียกพระที่นั่งพุดตานก็เป็นได้ พระที่นั่งพุดตานกรุงรัตนโกสินทร์มี 3 องค์เป็นพระที่นั่งสำหรับพระเจ้าแผ่นดินใช้ในพระบรมมหาราชวัง 2 องค์ และสำหรับพระมหาอุปราชกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ใช้ในฝ่ายพระบวรราชวัง 1 องค์ คือ1. พระที่นั่งพุดตานกาญจนสิงหาสน์ 2. พระที่นั่งพุดตานถม 3. พระที่นั่งพุดตานวังหน้า

Read More

25/12/2562

เมื่อเพชรไม่ใช่ตัวเลือกแรกสำหรับคู่แต่งงานอีกต่อไป


ในแวดวงผู้ค้าเครื่องประดับและแบรนด์ชั้นนำลงความเห็นตรงกันว่ารสนิยมในการเลือกแหวนหมั้นและแหวนแต่งงานของคู่รักยุคใหม่กำลังเปลี่ยนไป โดยเฉพาะในช่วงปีสองปีที่ผ่านมา เพชรสีขาว ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายเหมือนที่ผ่านมา แต่กลับพบว่ามีคนถามหาพลอยสีเพื่อใช้ในแหวนหมั้นเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่แซปไฟร์ก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน เช่นเดียวกับทับทิม เพชรกาแล็กซี(เพชรสีขาวซึ่งภายในมีมลทินสีดำ) หรือแม้แต่ทองคำสีเหลือง ทองกุหลาบ หรือแหวนจากทองคำ 9 กะรัต ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่าคู่แต่งงานหันมาสนใจแหวนแต่งงาน หรืออัญมณีที่แปลกใหม่และมีรูปทรงหลากหลายเพื่อบอกเล่าเรื่องราวความรักอันมีเอกลักษณ์ของตนเองมากกว่ามูลค่าของเพชรเหมือนในอดีตแหวนแต่งงานเป็นสิ่งของสำคัญสำหรับคู่รัก มีหลายราคาหลายระดับขึ้นอยู่กับงบประมาณของแต่ละคู่ จากอดีตที่แหวนเพชรสีขาวบริสุทธิ์คือสุดยอดของแหวนแต่งงาน แต่ทุกวันนี้บางคนอาจเลือกแหวนแต่งงานน้ำหนักเบาแบบธรรมดาที่ทำจากทองคำ 9 กะรัตที่มีราคาขายปลีกเพียง 150 ดอลลาร์ หรือบางคู่แต่งงานอาจเฉลิมฉลองความรักของตนเองด้วยเครื่องประดับเฉพาะตัวหรือเครื่องประดับที่เข้าคู่กันที่แสดงให้เห็นถึงรสนิยมและความชอบ เช่นการเลือกใช้แหวนเซอร์โคเนียมสีดำที่ดูทันสมัยในสไตล์แบบคลาสสิกจับคู่กับทองคำที่กลายมาเป็นการผสมผสานวัสดุในแหวนแต่งงานได้อย่างลงตัวดูดีมีระดับเป็นที่ถูกใจสำหรับคู่รักยุคใหม่มากกว่าแหวนเพชรแบบดั้งเดิมนอกจากนี้การใส่แหวนฝังเพชรเม็ดเล็กบนตัวเรือนทองขาวหรือแพลทินัม ก็ยังคงได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มแหวนสำหรับผู้หญิง ขณะเดียวกันก็เริ่มมีกระแสนิยมแหวนแต่งงานแบบหนามเตยและการกลับมาใช้ทองคำสีเหลืองทั้งในแหวนสำหรับผู้หญิงและผู้ชายอีกด้วยการเปลี่ยนมุมมองและแนวทางการซื้อแหวนหมั้นและแหวนแต่งงานของผู้บริโภคในช่วงไม่กี่ปีมานี้สะท้อนให้เห็นว่า คนรุ่นใหม่ไม่ยึดติดกับขนมธรรมเนียมการแต่งงานเหมือนก่อน แต่ก็ยังคงเล็งเห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างความรักกับการสวมแหวน คนรุ่นนี้จึงต้องการสัญลักษณ์แทนความรักที่สะท้อนเรื่องราวของตัวเองมากกว่าธรรมเนี่ยมปฏิบัติแบบเดิม เจ้าสาวยุคใหม่มักมองหาแหวนที่ไม่ซ้ำซากจำเจ ขณะเดียวกันก็ยังให้คุณค่าทางจิตใจไปพร้อมๆกัน ซึ่งปัจจุบันการซื้อแหวนเป็นการตัดสินใจร่วมกันของคู่แต่งงานและการแต่งงานระหว่างคนเพศเดียวกันก็มีมากขึ้นด้วยเช่นกัน ในขณะที่สื่อสังคมออนไลน์มีส่วนต่อการเปลี่ยนแปลงนี้ เนื่องจากผู้บริโภคสามารถเห็นเครื่องประดับสไตล์ต่างๆได้มากกว่าที่เห็นตามร้านเครื่องประดับทั่วไป ในขณะเดียวกัน ผู้ขายเครื่องประดับก็พยายามพัฒนากระบวนการออกแบบและเทคนิคการขายเพื่อตอบสนองความต้องการ ความคาดหวัง และงบประมาณที่เปลี่ยนแปลงไปของกลุ่มผู้ซื้อในปัจจุบันด้วย

Read More

25/12/2562

ย้อนอดีตเหมืองแร่ทองคำชาตรี ก่อนปิดตัว(ตลอดกาล?)


เหมืองแร่ทองคำชาตรีตั้งอยู่บนพื้นที่รอยต่อระหว่างอำเภอทับคล้อ จังหวัดพิจิตร และอำเภอวังโป่ง จังหวัดเพชรบูรณ์ ห่างจากกรุงเทพมหานครราว 280 กิโลเมตร ดำเนินการโดยบริษัทอัครา รีซอร์สเซส จกกัด (มหาชน)ได้ยื่นขออนุญาตประทานบัตรเพื่อการทำเหมืองแร่ทองคำในบริเวณดังกล่าวจำนวน 4 แปลง ในเนื้อที่รวมประมาณ 1,166 ไร่ ต่อกรมทรัพยากรธรณี ภายใต้ชื่อโครงการ“เหมืองแร่ทองคำชาตรี” และได้รับอนุญาตประทานบัตรทำเหมืองแร่ทองคำมีอายุ 20 ปีเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2543 เหมืองแร่ทองคำชาตรีเริ่มการผลิตทองคำในเชิงพาณิชย์ภายใต้ชื่อ “โครงการชาตรีใต้” โดยมีผลผลิตเป็นโลหะผสมระหว่างทองคำและเงินแท่งแรกในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2544 ถูกนำมาแยกและขึ้นรูปเป็นแท่งทองคำและเงินบริสุทธิ์ น้ำหนักแท่งละ 9.0 กิโลกรัม นำขึ้นทูลเกล้าถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนม์พรรษา เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2544 หลังจากความสำเร็จในการสำรวจแหล่งทองคำเพิ่มเติมทางบริษัทจึงได้ขอประทานบัตรเพื่อการทำเหมืองแร่เพิ่มเติมจำนวน 9 แปลง ภายใต้ชื่อ “โครงการชาตรีเหนือ”และได้รับอนุญาตให้เปิดดำเนินการเมื่อปี 2551 พร้อมกันนั้นได้ขออนุญาตก่อสร้างโรงงานที่ 2 ซึ่งเป็นส่วนขยายจากโรงงานเดิม ในปี 2555 ทำให้เพิ่มกำลังการผลิตได้เป็นสองเท่าแร่ทองคำและแร่เงินที่พบในแหล่งแร่ทองคำชาตรี ส่วนใหญ่เกิดอยู่ร่วมกับสายแร่ควอตซ์-คาร์บอเนตซึ่งปรากฏแทรกอยู่ตามรอยแตกและรอยเลื่อนของหินภูเขาไฟที่ถูกแปรสภาพด้วยขบวนการเติมน้ำแร่ซิลิกาสายแร่ดังกล่าวพบได้ตั้งแต่ผิวดินลงไปจนถึงที่ระดับความลึกประมาณ 150 เมตร เม็ดแร่ทองคำและแร่เงินในสายแร่ทองคำมีความละเอียดมากจนไม่สามารถมองได้ด้วยตาเปล่า ซึ่งผลจากการสำรวจประเมินได้ว่าปริมาณสำรองสินแร่ทองคำมีเงินปะปนอยู่ประมาน 9.8 ล้านเมตริกตัน ความสมบูรณ์ในสินแร่ 1 เมตริกตัน มีแร่ทองคำโดยเฉลี่ย 2.8 กรัม และมีแร่เงินโดยเฉลี่ย 14 กรัม ตลอดอายุการทำเหมืองจะสามารถผลิตทองคำได้ประมาณ 27.7 เมตริกตัน มูลค่าประมาณ 10,000 ล้านบาท และผลิตโลหะเงินได้ประมาณ 98 เมตริกตัน มูลค่ำประมาณ 600 ล้านบาท ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับรำคำทองคำและเงินในตลาดโลก เหมืองแร่ทองคำชาตรีใช้วิธีการทำเหมืองแบบเหมืองเปิดโดยการขุดเป็นบ่อเหมืองลึกลงไปจากผิวดินในบริเวณที่มีสายแร่ทองคำปรากฏอยู่ บ่อเหมืองมีอยู่ 2 บ่อ ได้แก่ บ่อตะวันซึ่งอยู่ในท้องที่จังหวัดพิจิตร และบ่อจันทราซึ่งอยู่ในท้องที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ในระยะสุดท้ายของการทำเหมืองบ่อตะวันจะครอบคลุมพื้นที่ประมาณ206 ไร่ ความลึกที่พื้นบ่อประมาณ 150 เมตรจำกระดับผิวดิน ส่วนบ่อจันทราจะครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 52 ไร่ความลึกที่พื้นบ่อประมาณ 70 เมตรจำกระดับผิวดิน หลังจากการทำเหมืองสิ้นสุดลง บ่อเหมืองทั้งสองจะกลายเป็นแหล่งน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคขนาดใหญ่ความจุมากกว่า 12 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งจะมีส่วนช่วยบรรเทาความแห้งแล้งในพื้นที่บริเวณรอบเหมืองลงไปได้ระดับหนึ่งในการสกัดแร่ทองคำนั้น สินแร่ทองคำจากบ่อเหมืองจะถูกนำเข้าเครื่องบดหยาบเพื่อย่อยให้มีขนาดเล็กกว่า 10 เซนติเมตร หลังการบดหยาบ สินแร่จะถูกบดอีกครั้งด้วยเครื่องบดละเอียด จนมีขนาดละเอียดกว่า 75 ไมครอนหรือประมาณเม็ดทรายละเอียด หลังจากนั้นลำเลียงไปแช่ไว้ในถังสารละลายไซยาไนด์เป็นระยะเวลาประมาณ 20 ชั่วโมง เพื่อให้ทองคำและเงินที่อยู่ในสินแร่ถูกชะล้ำงออกมาอยู่ในสารละลาย ในเวลาเดียวกันจะใส่เม็ดถ่านกัมมันต์ ซึ่งมีขนาดประมาณ 6x12 เมช เข้าไปเพื่อดูดซับทองคำและเงินเอาไว้ที่ผิว ขบวนการนี้เรียกว่า Carbon-In-Leach (CIL Process) หลังจากนั้นเม็ดถ่านจะถูกกรองแยกออกมาและนำไปใช้ชะล้างทองคำและเงินที่ถูกซับเอาไว้ด้วยสารละลายผสมระหว่างโซเดียมไซยาไนด์ และสารโซเดียมไฮดรอกไซด์ ทั้งนี้เพื่อให้ทองคำและเงินกลับไปอยู่ในรูปของสารละลายอีกครั้ง จากนั้นจะจับโลหะทองคำและเงินออกจากสารละลายนี้ด้วยขั้วไฟฟ้าซึ่งกระบวนการนี้เรียกว่า Electrowinning Process ใน ขบวนการนี้โลหะทองคำและเงินจะไปจับพอกตัวอยู่ที่ขั้วไฟฟ้าขั้วลบ ซึ่งทำด้วยแผ่นตะแกรงเหล็ก เมื่อมี ทองคำและเงินพอกตัวอยู่ที่แผ่นตะแกรงเหล็กมากในระดับหนึ่งแล้ว ทองคำและเงินที่มีลักษณะคล้ายโคลนจะถูก ชะล้ำงออกจากแผ่นตะแกรงเหล็กและนำไปหลอมพร้อมกับเติมสาเคมีจำพวกตัวช่วยหลอม (Flux) ลงไปเพื่อให้ สิ่งปนเปื้อนในโลหะที่หลอมเหลวแยกตัวออกไปเหลือเพียงโลหะทองคำและเงินเป็นส่วนใหญ่จากนั้นจึงเทโลหะผสมที่ได้ใส่เบ้าปล่อยทิ้งไว้ให้เย็นจะได้เป็นแท่งโลหะผสมระหว่างทองคำและเงินซึ่งเรียกในทางการค้าว่า“โดเร่” (Dore) จากนั้นนำแท่งโลหะผสมที่ได้นี้ส่งไปทำให้บริสุทธิ์ (Refining) ในห้องปฏิบัติการของเอกชนรายอื่นในกรุงเทพฯหรือในต่างประเทศเพื่อให้ได้เป็นโลหะทองคำบริสุทธิ์ 99.99% และโลหะเงินบริสุทธิ์99.99% ก่อนที่จะทำการจำหน่ายต่อไปกาพัฒนาเหมืองแร่ทองคำชาตรีแสดงถึงความสำเร็จในการค้นพบแหล่งแร่ทองคำที่อยู่ในระดับตื้น ที่มีอยู่ในประเทศไทย แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันรัฐบาลได้สั่งยกเลิกการทำเหมืองแร่ทองคำในพื้นที่สัมปทานในประเทศไทยทุกแห่งตั้งแต่เดือนธันวาคม 2559 และยุติการอนุญาตอาชญาบัตรพิเศษสำรวจแร่ทองคำและประทานบัตรทำเหมืองแร่ทองคำ รวมถึงคำขอต่ออำยุประทานบัตรทั่วประเทศด้วย จึงทำให้เหมืองแร่ทองคำชาตรีไม่สามารถดำเนินการผลิตทองคำได้ดังเช่นที่เคยทำในอดีต

Read More

25/12/2562

นอกจากทองคำ คนจีนชอบเครื่องประดับอะไร


นอกจากชาวจีนจะนิยมซื้อหยกและเครื่องประดับทอง เครื่องประดับเพชรและพลอยสีก็กำลังได้รับความนิยมจากชาวจีนเพิ่มขึ้น ที่สำคัญชาวจีนกำลังนิยมสินค้าแบรนด์จากต่างประเทศมากกว่าแบรนด์ในประเทศ และมีแนวโน้มที่จะซื้อเครื่องประดับที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากกว่าเครื่องประดับรูปแบบเดิมๆจีนเป็นผู้บริโภคอัญมณีและเครื่องประดับรายใหญ่ของโลก แม้ว่าจะสามารถผลิตเครื่องประดับได้เองในประเทศ แต่ชาวจีนชื่นชอบสินค้านำเข้าจากต่างประเทศมากกว่าสินค้าที่ผลิตในประเทศโดยเฉพาะสินค้าแบรนด์เนม และถึงแม้เศรษฐกิจจีนกำลังอยู่ในช่วงชะลอตัวลง แต่ตลาดอัญมณีและเครื่องประดับจีนยังเติบโตได้จากแรงขับเคลื่อนของกลุ่มชนชั้นกลางที่มีกำลังซื้อมากกว่า 300 ล้านคน ทำให้ผู้ประกอบการจีนให้ความสำคัญในการผลิตเครื่องประดับในรูปแบบที่แตกต่าง และนำเทคโนโลยีมาใช้ในการผลิตมากขึ้นเช่นเทคนิคCNC และ 3D printing เพื่อทำให้เครื่องประดับมีดีไซน์หลากหลาย สามารถผลิตได้ตามความต้องการของลูกค้า ล่าสุดบางบริษัทได้ซื้อลิขสิทธิ์การ์ตูนหรือภาพยนตร์ดังแล้วคาร์แรกเตอร์ของตัวการ์ตูนหรือตัวนักแสดงในภาพยนตร์มาผลิตเป็นเครื่องประดับในรูปแบบต่างๆ ซึ่งได้กระแสการตอบรับจากลูกค้าทั้งในและต่างประเทศเป็นอย่างดี เช่น สไปเดอร์แมน กับตันอเมริกา เป็นต้นเป็นที่น่าสังเกตุว่าปัจจุบันชาวจีนกว่าร้อยละ 80 ซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น โดยรูปแบบการซื้อขายกำลังจะเปลี่ยนไปจากการซื้อขายผ่านเว็บไซต์ E-Market Place แบบเดิม เป็นการซื้อสินค้าแบบ Live สดกันมากขึ้น และมีแนวโน้มว่าการขายเครื่องประดับด้วยการ Live สดจะมีมากขึ้นในอนาคต Taobao (เปิดตัวปี 2003 Taobao.com เป็น Mobile Commerce ภายในประเทศจีน ที่ขายสินค้าของ SMEs และ คนทั่วไป ฉะนั้น International Brands ก็จะไม่ได้ขายในนี้) เห็นโอกาสนี้จึงได้พัฒนาฟังก์ชั่น Live Stream ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา และได้รับคำสั่งซื้อกว่า 3.3 ล้านครั้ง ซึ่งเป็นการซื้อขายเครื่องประดับกว่า 50% ของการซื้อขายสินค้าทั้งหมด ทำให้เครื่องประดับขยับขึ้นมาเป็นสินค้าที่มียอดขายเป็นอันดับ 1 ของเว็บไซต์ ส่วนการขายอีกรูปแบบหนึ่งที่กำลังเริ่มนิยมก็คือ การขายสินค้าด้วยการสร้างเรื่องราวผ่านคลิปวีดีโอสั้นๆ ทำให้คนติดตาม สามารถทำรายได้ให้บางบริษัทถึง 100 ล้านหยวน ปัจจุบันผู้ขายบนเว็บไซต์อาลีบาบาได้เริ่มขายสินค้าด้วยคลิปวิดีโอสั้นๆ เพิ่มมากขึ้น นับเป็นช่องทางการขายใหม่ที่น่าสนใจสำหรับผู้ค้าขายในตลาดจีนส่วนอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับจีนพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ สมาคมที่เกี่ยวกับอัญมณีและเครื่องประดับจับมือกันอย่างเหนียวแน่นในการร่วมมือกันพัฒนาอุตสาหกรรม มีการบูรณการร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างหน่วยงานภาครัฐ รวมถึงสถาบันการศึกษาทั้งของรัฐและเอกชนที่ต่างออกหลักสูตรการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาและเพิ่มทักษะบุคลากรที่อยู่ในอุตสาหกรรมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ปัจจัยเหล่านี้น่าจะทำให้อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับจีนเติบโตอย่างแข็งแกร่งในอนาคต ขอขอบคุณข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

Read More

25/12/2562

สถานการณ์การส่งออกเครื่องประดับทองและอัญมณีของไทย ปี62


กรมศุลกากร โดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)ประมวลผลตัวเลขการส่งออกเครื่องประดับทอง เงิน และอัญมณีของไทยระหว่างเดือนมกราคม-ตุลาคม 2562 พบว่ามีการเติบโตสูงถึงร้อยละ 34.01 มูลค่า 434,752.85 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่าแสนล้านบาทจากช่วงเดียวกันของปีก่อน(324,427.47 ล้านบาท)เป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญในอันดับที่ 3 ของไทย แต่เมื่อแยกพิจารณาการส่งออกเป็นรายผลิตภัณฑ์กลับพบว่าเครื่องประดับทอง เครื่องประดับเงิน และเครื่องประดับแพลทินัม มีสัดส่วนลดลงตลาดสำคัญของไทยที่มีสัดส่วนการส่งออกลดลงได้แก่ ตลาดฮ่องกง ส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบจากสงครามการค้า และสถานการณ์การประท้วงที่ยืดเยื้อและเพิ่มความรุนแรง ส่งผลให้นักท่องเที่ยวเข้าไปท่องเที่ยวในฮ่องกงลดลง กระทบต่อร้านค้าปลีกที่ต้องปิดตัวลงหลายแห่ง ส่งผลให้การนำเข้าเพชรเจียระไน และเครื่องประดับทองของไทยลดลง เช่นเดียวกับการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐอเมริกา ที่สงครามการค้าส่งผลให้ผู้บริโภคมีความระมัดระวังการใช้จ่ายซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยมากขึ้นเพราะภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มอ่อนแอลง เครื่องประดับเงินและเครื่องประดับทองซึ่งเป็นสินค้าหลักส่งออกในปีนี้จึงมี มูลค่าการส่งออกลดลงถึงร้อยละ 23.82 และร้อยละ 3.86 ตามลำดับ การส่งออกไปยังญี่ปุ่นสินค้าสำคัญหลายรายการไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับทอง เพชรเจียระไน และเครื่องประดับเงิน ล้วนมีมูลค่าการส่งออกลดลงทั้งสิ้น ส่วนการส่งออกไปยังจีนแน่นอนว่าผลกระทบของสงครามการค้ามีผลทำให้ภาวะเศรษฐกิจจีนชะลอตัว การส่งออกเครื่องประดับเงิน เครื่องประดับทองและสินค้าสำคัญรองลงมาอย่างพลอยเนื้อแข็งเจียระไน ไปยังประเทศจีนจึงมีสัดส่วนลดลงถึงร้อยละ 23.31 เช่นเดียวกับออสเตรเลีย ตลาดหลักของไทยในหมู่เกาะแปซิฟิกก็มีสัดส่วนการส่งออกลดลงถึงร้อยละ 26.85 เนื่องจากการส่งออกเครื่องประดับเงินซึ่งเป็นสินค้าหลักลดลง ส่วนสินค้ารองลงมาอย่างเครื่องประดับทอง ก็หดตัวลงร้อยละ 22.67 การส่งออกไปยังรัสเซียในส่วนของเครื่องประดับเงินที่เคยเป็นสินค้าหลักในปีที่ผ่านมามีมูลค่าลดลงเกือบเท่าตัว แต่เครื่องประดับทองมีสัดส่วนการส่งออกเพิ่มขึ้น อันเป็นผลมาจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องและความไม่มั่นคงในภูมิภาค ผู้บริโภคจึงลดการใช้จ่ายซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย และเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นการสะสมสินทรัพย์ที่มีมูลค่าเพิ่ม อย่างทองคำเพิ่มขึ้น แม้การส่งออกเครื่องประดับและอัญมณีของไทยในหลายประเทศจะมีสัดส่วนลดลง แต่การส่งออกไปยังอินเดีย อาเซียน และกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง กลับมีการเติบโตเพิ่มขึ้น โดยการส่งออกไปยังอินเดียสินค้าส่วนใหญ่เป็น เพชรเจียระไน พลอยก้อน พลอยเนื้ออ่อนเจียระไน โลหะเงิน และพลอยเนื้อแข็งเจียระไน ในขณะที่มูลค่าการส่งออกไปยังอาเซียนเพิ่มขึ้นราว 1.98 เท่า จากการส่งออกไปยังสิงคโปร์ กัมพูชา และมาเลเซียโดยสินค้าส่งออกที่สำคัญไปยังสิงคโปร์คือ เศษหรือของที่ใช้ไม่ได้ทำด้วยโลหะมีค่า รองลงมาเป็นเครื่องประดับเทียม และเครื่องประดับทอง สินค้าส่งออกไปยังกัมพูชาเป็นเพชรเจียระไน และเครื่องประดับทอง สินค้าส่งออกสำคัญไปยังมาเลเซียคือเครื่องประดับทอง ส่วนการส่งออกไปยังกลุ่มประเทศตะวันออกกลางก็เพิ่มขึ้นแม้จะไม่มากเพียงร้อยละ 0.95จากการส่งออกไปยังสหรัฐ-อาหรับเอมิเรตส์ โดยมีสินค้าสำคัญอย่างเพชร-เจียระไน ส่วนสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับทองยังคงปรับตัวลดลงร้อยละ 3.78 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากราคาทองคำที่ปรับตัวสูงขึ้นตั้งแต่เดือนมีนาคมและทำสถิติสูงสุดในรอบ 6 ปีในเดือนสิงหาคม ทำให้ความต้องการเครื่องประดับทองของชาวยูเออีลดลงต่ำสุดในรอบเกือบ 10 ปี ส่วนการส่งออกไปยังกาตาร์ มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.35 จากการส่งออกเครื่องประดับทอง

Read More

25/12/2562

กำไลข้อเท้า ความเชื่อทางวัฒนธรรมที่หายไป


กำไลข้อเท้า จัดเป็นเครื่องประดับชิ้นแรกๆที่ได้รับ หรือมอบให้แก่กันเพื่อเป็นของรับขวัญตั้งแต่แรกเกิด ซึ่งกำไลแต่ละวงก็จะมีลักษณะแตกต่างกันไปตามสถานะทางสังคม มีทั้งที่ทำจากทองคำ เงิน จนถึงสำริด มีทั้งแบบลวดลายวิจิตรไปจนถึงแบบเรียบๆ ดังปรากฏในบันทึกภาพถ่าย ภาพเขียนหรือเอกสารต่างๆคนสมัยก่อนเชื่อว่าการใส่กำไลข้อเท้าให้เด็กนั้น จะทำให้เกิดความเป็นมงคลได้รับโชคลาภวาสนา นำพาสิ่งดีๆเข้าสู่เด็ก แต่ความจริงอาจเป็นเพียงกุศโลบายของคนโบราณในการเลี้ยงเด็ก เพราะกำไลข้อเท้าเด็กส่วนมาจะมีกระพรวนห้อยอยู่ด้วย เมื่อได้ยินเสียงกระพวนก็จะทำให้พ่อแม่รู้ว่าลูกกำลังหลับหรือตื่น รวมถึงการบอกตำแหน่งของเด็กว่าอยู่ที่ไหนนั่นเอง ส่วนการสวมกำไลของสตรีไทยในสมัยโบราณนั้น นอกจากเพื่อความสวยงามแล้ว ยังถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติอีกประการหนึ่ง โดยเฉพาะกำไลข้อเท้า ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงออกถึงฐานะและสถานภาพทางสังคมของผู้สวมใส่ เจ้านายในวังหรือชนชั้นสูง จะนิยมสวมกำไลที่ทำจากทองหรือเงิน โดยมักมีลวดลายที่ประณีตวิจิตรบรรจง มีการลงยาหรือตกแต่งด้วยอัญมณี ส่วนชนชั้นสามัญรวมถึง คหบดีก็จะนิยมสวมกำไลทอง หรือเงิน ที่ไม่มีลวดลายหรือมีลวดลายเพียงเล็กน้อย หรือจะเป็นกำไลทองเหลืองหรือนากก็ได้เช่นกัน แต่หากเป็นชาวบ้านธรรมดาก็จะสวมกำไลที่ทำจากโลหะสำริดและไม่มีลวดลายใดๆ ซึ่งรูปแบบกำไลที่ได้รับความนิยมมากคือ กำไลหัวบัว โดยปลายทั้งสองข้างมีรูปทรงคล้ายดอกบัวตูมนอกจากนี้ กำไลข้อเท้ายังเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าลูกสาวบ้านไหนที่ยังไม่มีคู่ครอง ในอดีตสตรีไทยที่ยังสวมกำไลข้อเท้าครบทั้งสองข้างนั้น หมายถึงหญิงที่ยังไม่ได้ออกเรือน การถอดกำไลข้อเท้าจะกระทำได้ก็ต่อเมื่อหญิงผู้นั้นได้แต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาไปแล้วเท่านั้น แม้ว่าธรรมเนียมการสวมกำไลข้อเท้าจะหายไปจากสังคมไทยแล้ว หากแต่ความนิยมในเครื่องประดับชนิดนี้ก็ยังคงมีอยู่แต่เปลี่ยนรูปแบบและความเชื่อไป โดยยึดคำว่า กำไร ซึ่งพ้องเสียงกับคำว่า กำไล จึงเชื่อว่าการรสวมกำไลจะช่วยเพิ่มพูนกำไรในด้านการค้าและการทำธุรกิจได้ พบว่าการใส่กำไลข้อเท้ามีมานับพันปีแล้ว ทั้งในอียิปต์และในเอเชีย ซึ่งอาจทำจากเงิน ทอง ลูกปัด หรือหนังสัตว์ และการใส่กำไลข้อเท้าก็เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมอินเดียโดยเฉพาะในพิธีแต่งงาน

Read More

25/12/2562

เพชรกาญจนาภิเษก ที่สุดแห่งอัญมณีแด่องค์มหาราช


เมื่อปี 2538 กลุ่มนักธุรกิจไทยได้รวมตัวกันซื้อเพชรเจียระไนสีเหลืองทองที่ใหญ่ที่สุดในโลกเม็ดหนึ่ง เพื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช(พระราชอิสริยยศในขณะนั้น) ในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี (ในปี 2539)เพชรเม็ดนี้มีจึงได้ชื่อว่า‘เพชรกาญจนาภิเษก’ ซึ่งถือเป็นที่สุดแห่งอัญมณีเพื่อองค์มหาราชของปวงชนชาวไทย เพชรกาญจนาภิเษกหรือ Golden Jubilee Diamond คือ เพชรเจียระไนสีเหลืองทองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ถูกพบที่ เหมืองพรีเมียร์ ประเทศแอฟริกาใต้ เมื่อปี 2528 เมื่อตอนพบนั้นเป็นก้อนแร่ขนาด 755.5 กะรัต สีเหลืองแกมน้ำตาล ถูกเรียกว่าเจ้าสีน้ำตาลไร้ชื่อ หรือ Unnamed Brown เดิมทีเพชรเม็ดนี้ถูกนำมาใช้ในการทดสอบอุปกรณ์และเทคนิคการเจียระไนสำหรับเพชรอีกเม็ดหนึ่ง โดย Gabriel Tolkowsky ช่างเจียระไนเพชรฝีมือเยี่ยมจากเมืองแอนท์เวิร์ป Mr.Tolkowsky ใช้เวลานานถึง 3 ปี ในการออกแบบและเจียระไนเพชรเม็ดนี้ จนเปล่งประกายงดงามและสมบูรณ์แบบ ด้วยเหลี่ยมเจียระไนรวมทั้งสิ้น 148 เหลี่ยม โดยเขาเรียกรูปทรงการเจียระไนนี้ว่า Fire Rose Cushion Cut มีน้ำหนักหลังการเจียระไนอยู่ที่ 545.67 กะรัต ซึ่งได้กลายเป็นเพชรเจียระไนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก (แชมป์เก่าคือเพชรคัลลิแนน ขนาด 530.2 กะรัตซึ่งประดับอยู่บนคทา หนึ่งในเครื่องราชกกุฎภัณฑ์แห่งราชวงศ์วินด์เซอร์ สหราชอาณาจักร)เพชร (Diamond) คือ แร่ชนิดหนึ่งที่มีคาร์บอนเป็นองค์ประกอบหลัก มาจากภาษาละตินว่า Adamas หมายถึง ความแข็งแกร่ง และไม่สามารถทำลายได้ ในภาวะบริสุทธิ์เพชรจะไม่มีสี แต่เราสามารถพบเพชรสีต่างๆ ได้เช่นกัน ทั้งสีน้ำเงิน เหลือง ชมพู แดง ฯลฯ โดยสีต่างๆ ที่เกิดขึ้นเนื่องจากมีธาตุอื่นเจือปนอยู่เพชรกับมนุษย์ มีความสัมพันธ์กันมานานนับพันปี ทั้งในเรื่องของความเชื่อ ตำนาน อารยธรรม หรือวัฒนธรรมต่างๆ ทั่วโลก เช่น ชาวไอยคุปต์โบราณเชื่อกันว่าเพชรคือตัวแทนของพระอาทิตย์ เป็นสัญลักษณ์ของพลังอำนาจ ความกล้าหาญ และความจริง ขณะที่ในวัฒนธรรมของชาวอินเดียโบราณเชื่อว่าเพชรมีพลังวิเศษที่ช่วยคุ้มครองผู้สวมใส่ให้รอดพ้นจากภยันตรายทั้งปวงเพชรมักถูกประดับอยู่บนมงกุฎของพระมหากษัตริย์เพื่อเป็นการแสดงออกซึ่งพระเกียรติยศ ด้วยเชื่อกันว่าเพชรเป็นศูนย์รวมของพลังอำนาจ เป็นเครื่องหมายของความยิ่งยศและมั่งคั่ง ทั้งยังช่วยคุ้มครองผู้เป็นเจ้าของให้รอดพ้นจากสิ่งชั่วร้าย และมีชัยชนะเหนืออริราชศัตรูอีกด้วย

Read More

25/12/2562

สัมพันธ์สองราชสำนัก สยาม-รัสเซีย


กล่องใส่พระโอสถมวน (บุหรี่)ลงยาสีทองที่มีตรามงกุฎรัสเซียประดับเพชร มีข้อความจารึกภายในว่า“From Your Friend Nicholas 1897” จากฝีมือของฟาแบร์เชร้านเครื่องทองหลวงประจำราชสำนักรัสเซีย เป็นของที่ระลึกหนึ่งในหลายชิ้นจากพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ที่พระพุทธเจ้าหลวงทรงโปรดมากที่สุดพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่5 กับพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2แห่งรัชเซียมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นดุจพี่น้อง ตั้งแต่ครั้ง พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2เสด็จเยือนสยามอย่างเป็นทางการในฐานะพระราชอาคันตุกะ ในขณะทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น ซาร์เรวิช แกรนด์ ดยุค นิโคลัส (Tsarevich Grand Duke Nicholas) มกุฎราชกุมารแห่งรัสเซีย ซึ่งสยามได้จัดงานต้อนรับอย่างใหญ่โตสมพระเกียรติที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดฯ ให้จัดพระราชวังสราญรมย์เป็นที่ประทับแก่ซาร์เรวิช ทั้งยังจัดพิธีพระราชทาน “เครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์” ซึ่งเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุดของไทยให้แก่ซาร์เรวิช อันถือเป็นการประกาศเชิงสัญลักษณ์ว่าได้รับพระราชอาคันตุกะแห่งราชวงศ์จักรี และพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 3 แห่งรัสเซีย ก็ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์เซนต์แอนดรูชั้นที่ 1 อันเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุดของรัสเซียแก่องค์พระพุทธเจ้าหลวงแห่งสยามด้วยเช่นกัน และนี่คือจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของกษัตริย์สิงราชวงศ์ความสัมพันธ์ของสองปิยะมิตรแสดงให้เห็นอีกครั้งเมื่อ เมื่อพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จพระราชดำเนินเยือนกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ได้ทรงมารอรับเสด็จด้วยพระองค์เองถึงสถานีรถไฟ และได้ทูลเชิญเสด็จฯ ไปประทับ ณ พระราชวังปีเตอร์ฮอฟ (Peterhof Palace) หรือพระราชวังฤดูร้อน ตลอดช่วงเวลาที่ประทับอยู่ในรัสเซีย พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ได้ให้การรับรองในหลวงรัชกาลที่ 5 แห่งสยามอย่างดียิ่งประหนึ่งพระญาติ ด้วยทรงรักใคร่และให้ความเคารพนับถือในหลวงรัชกาลที่ 5 เป็นอย่างมาก ถึงขนาดเคยมีรับสั่งว่า “เขา (ร. 5) คือพี่ชายของฉัน” ในการนี้พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ได้ทราบถึงความกังวลพระทัยของในหลวงรัชกาลที่ 5 ในเรื่องเหตุบ้านการเมือง ที่กำลังถูกชาติตะวันตกแสดงแสนยานุภาพด้วยการล่าอาณานิคมพระองค์ก็ไม่ทรงรีรอที่จะช่วยเหลือ โดยโปรดฯ ให้ฉายพระรูปคู่กับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และส่งไปตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ L’Illustration ของฝรั่งเศส เพียงไม่กี่วันหลังจากนั้น พระบรมฉายาลักษณ์ของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 2 พระองค์ ก็ได้ปรากฎอยู่บนหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ทั่วฝรั่งเศส และไม่นานนักก็ได้ไปปรากฎบนหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ในประเทศต่างๆ ทั่วยุโรป ถือเป็นการประกาศความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างสยามและรัสเซียและทำให้สยามรอดจากการล่าอาณานิคมในครั้งนั้นเมื่อถึงช่วงเวลาแห่งการลาจาก พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ได้ถวายของที่ระลึกจำนวนมากแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5ซึ่งล้วนเป็นฝีมือของฟาแบร์เช ช่างทองหลวงแห่งราชสำนักรัสเซีย ซึ่งนอกจากของที่ระลึกกล่องพระโอสถมวนจากพระเจ้าซาร์แล้ว ฟาแบร์เชก็มีโอกาสได้ถวายงานรับใช้ราชสำนักสยามอีกหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีรับสั่งให้ทำขึ้นเช่น บาตรน้ำมนต์ หีบพระโอสถมวน กรอบใส่พระบรมฉายาลักษณ์ ฯลฯเป็นต้น

Read More

25/12/2562

แหวนค็อกเทล สัญลักษณ์สาวมั่น


หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 (ค.ศ. 1920 ) ถือเป็นยุคของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมของอเมริกาครั้งใหญ่ เมื่อผู้หญิงลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเองสลัดผ้ากั้นเปื้อนและหน้ามันอยู่ก้นครัว ออกมาหางานทำเพื่อพึ่งพาตนเอง เรียกร้องความเสมอภาค ความเท่าเทียม และสิทธิในการเลือกตั้ง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ร่วมไปถึงเรืองแฟชั่นการแต่งกายที่กระโปรงยาวฟูฟ่องทรงสุ่มแบบวิกตอเรียกับการสวมอุปกรณ์รัดเอวให้คอดเล็ก กลายเป็นเรื่องล้าสมัย สาวๆสมัยนั้นต้องหั่นผมให้สั้น แล้วหันมาสวมกระโปรงสั้นทรงตรงหลวมไม่เน้นรูปร่างที่เรียกว่า “Flapper Dress” ส่วนนิ้วมือข้างขวาสวมแหวนเพชรพลอยสีหรืออัญมณีอื่นๆบนตัวเรือนที่ทำจากทองขาวหรือทองคำ ที่เรียกกันในยุคนั้นว่า “แหวนค็อกเทล”“แหวนค็อกเทล”จัดอยู่ในเครื่องประดับที่อยู่ในหมวดของมันต้องมีของผู้หญิงหัวสมัยใหม่ในสมัยนั้น พวกเธอจะจัดเต็ม ด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์หรูหรา งดงาม ตกแต่งร่างกายด้วยเครื่องประดับนานาชนิด และสวมแหวนค็อกเทลวงโตบนนิ้วมือเรียวยาวข้างขวา เพื่อให้ผู้คนเห็นเวลายกแก้วเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ขึ้นดื่มซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามหรือไม่ได้รับการยอมรับในขณะนั้น แหวน“แหวนค็อกเทล”จึงมีความหมายแฝงถึงการต่อต้านข้อห้ามและกฎเกณฑ์ต่างๆของสังคมก่อนหน้านั้นบรรดาคนหัวเก่าเชื่อว่าผู้หญิงที่ดีต้องเรียบร้อยไม่ด่างพร้อยด้วยพฤติกรรม ต่างเห็นตรงกันว่าการเข้าร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์ เต้นรำ ดื่มสุรา สูบบุหรี่ เป็นการกระทำที่ผิดแผกไปจากจารีต ล้วนนำความเสื่อมเสียมาสู่ภาพลักษณ์อันดีงามของสังคมอเมริกัน จึงได้เกิดเป็นกระแสต่อต้าน จนเป็นเหตุให้สุราและงานปาร์ตี้กลายเป็นของต้องห้ามและผิดกฎหมายในหลายๆ รัฐ แต่ถึงกระนั้น เหล่าคนรุ่นใหม่ทั้งชายและหญิงก็พร้อมที่จะแหวกกฎเกณฑ์ทางสังคมที่พวกเขามองว่าคร่ำครึ ด้วยการปาร์ตี้ตามสถานบันเทิงเริงใจซึ่งส่วนใหญ่เป็นธุรกิจสีเทาลักษณะของแหวนค็อกเทล จะเน้นที่ตัวเรือนมีขนาดใหญ่หรือหนามากอาจทำจากทองคำหรือทองขาวก็ได้ ประดับตกแต่งด้วยเพชรเม็ดโต หรืออัญมณีหายากขนาดใหญ่อื่นๆ โดยเน้นลวดลายธรรมชาติ ใบไม้ ดอกไม้ ลายเถาวัลย์ หรือแม้แต่สัตว์เช่น งู สิงโต นก ตามแต่จินตนาการของดีไซเนอร์ และแม้จะผ่านมานานหลายทศวรรษ แหวนค็อกเทล หรือ Cocktail ring ก็ยังคงได้รับความนิยมอยู่ แต่มีการใช้เพชรสังเคราะห์ เช่นสวารอฟสกี้ หรือคริสตัล แทนเพชรแท้ หรือพลอยขนาดใหญ่ เพราะหายากและมีราคาแพงมาก ปัจจุบันแหวนค็อกเทลกลายเป็นตัวแทนของผู้หญิงเก่ง ผู้มีอิสระ กล้าคิดกล้าทำ และมีความเชื่อมั่นในตัวเอง ยิ่งถ้าเธอสวมมันไว้บนมือข้างขวาก็จะหมายถึงการที่ผู้เธอนั้นไม่ขึ้นอยู่กับพันธนาการและข้อผูกมัดของการแต่งงานกับชายใด เธอผู้ซึ่งสามารถยืดหยัดได้ด้วยตนเอง

Read More

25/12/2562

มอร์แกไนท์ อัญมณีแห่งความสำเร็จ


ความเชื่อกับเครื่องประดับเป็นของคู่กันมาแต่โบราณ เครื่องประดับหรืออัญมณีอย่างทองคำ เพชร พลอบ มรกต ทับทิม หยก เหล่านี้เราคุ้นเคยกันดีว่ามีเรื่องความเชื่อแฝงมากับความสวยงามและมูลค่า แต่มีอัญมณีชิ้นหนึ่งที่เพิ่งถูกค้นพบได้ไม่นาน แต่มีความสวยงามและเชื่อว่าผู้ใดได้ไว้ครอบครองจะมั่งคั่ง ร่ำรวยและประสบความสำเร็จในธุรกิจ อัญมณีชนิดนี้ มีชื่อว่ามอร์แกไนท์ มอร์แกไนท์ (Morganite) เป็นอัญมณีในตระกูลเบริลเช่นเดียวกับมรกต และอะความารีน ถูกพบครั้งแรกในประเทศมาดากัสการ์เมื่อปี 1910 เดิมมันถูกเรียกว่า ‘เบริลสีชมพู’ ตามสีที่พบ จนกระทั่ง George Kunz นักอัญมณีวิทยาชื่อดังชาวอเมริกัน ได้ตั้งชื่อพลอยชนิดนี้เสียใหม่เป็น Morganite ตามชื่อของ J.P. Morgan ผู้ก่อตั้งสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของโลก และนักสะสมอัญมณีและงานศิลปะ เพื่อให้เกียรติและยกย่องเขาในฐานะที่เป็นผู้สนับสนุนเงินทุนรายใหญ่ให้แก่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ (The American Museum of Natural History) ในมหานครนิวยอร์ก มอร์แกไนท์เป็นอัญมณีในโทนสีส้ม ส้มอมชมพู และชมพูอมส้มปัจจุบันขุดพบได้ใน มาดากัสการ์ โมซัมบิก นามิเบีย อัฟกานิสถาน ปากีสถาน บราซิล สหรัฐอเมริกา เป็นต้น และเนื่องตากชื่อมอร์แกไนท์ มีที่มาจากชื่อของเจ้าพ่อแห่งวงการการเงินการธนาคาร มอร์แกไนท์จึงถูกนำมาใช้เป็นเครื่องรางแห่งความสำเร็จของการเริ่มต้นธุรกิจ นอกจากนี้ยังเชื่อว่ามอร์แกไนท์เป็นอัญมณีที่มีพลังวิเศษสามารถช่วยบำรุงรักษาการทำงานของหัวใจ บำบัดอาการเจ็บป่วย โรคที่เกี่ยวกับดวงตา อีกทั้งยังมีคุณสมบัติที่ช่วยบำบัดอาการทางจิตใจ ผู้ที่ครอบครองอัญมณีชนิดนี้จะสามารถก้าวผ่านขีดจำกัดของความกลัว และความไม่มั่นใจที่ซ่อนอยู่ภายในจิตใจของตัวเองได้ มอร์แกไนท์ยังเป็นหนึ่งในอัญมณีที่ช่วยเสริมส่งพลังงานด้านบวกและก่อให้เกิดความสมหวังในเรื่องของความรักอีกด้วย และในปี2019 มอร์แกไนท์ได้รับการคัดเลือกให้เป็นอัญมณีที่เป็นสีสันแห่งปี โดยการจัดของ Pantone หน่วยงานจัดระบบการตั้งรหัสมาตรฐานสีและวิเคราะห์เทรนด์สีสากล โดยการคัดเลือกเทรนด์สีประจำปีที่จะมีอิทธิพลต่ออุตสาหกรรมทุกแขนงบนโลก ไม่ว่าจะเป็นในแวดวงแฟชั่น เฟอร์นิเจอร์ กีฬา รวมไปถึงเครื่องประดับ และโทนสี “Living Coral” ซึ่งเป็นโทนสีส้มอมชมพูที่ดูสดใส สนุกสนานร่าเริง และเต็มไปด้วยชีวิตชีวา เป็นเทรนด์สีแห่งปี 2019 ซึ่งเป็นเฉดสีเดียวกับ มอร์แกไนท์ นั่นเองส่วนปี 2020 จะเป็นเทรนด์สีอะไร อีกไม่นานก็คงมีรายงานออกมาให้ทราบต่อไป ความเชื่อของคนไทยที่มีต่ออัญมณีชนิดต่างๆ ทับทิม ตัวแทนของความสำเร็จ ลาภยศ / มุกดาหมายถึง ร่มเย็น เป็นสุข /เพทายคือมั่งคั่ง ร่ำรวย / มรกตคือความศรัทธา กล้าหาญ /บุษราคัมทำให้มีเสน่ห์ เป็นที่รัก /เพชรสื่อถึงยิ่งใหญ่ ชัยชนะ /ไพลิน คือความเมตตา กรุณา / โกเมน ทำให้สุขภาพดี อายุยืนยาว และทองเป็นตัวแทนของความรุ่งเรื่อง รุ่งโรจน์เหมือนดังแสงทองของพระอาทิตย์

Read More

25/12/2562

อุตสาหกรรมทองคำกับความรับผิดชอบต่อภาวะโลกร้อน


ปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ร้ายแรงต่อเศรษฐกิจโลก ทุกฝ่ายต่างให้ความสำคัญและตื่นตัวกับสิ่งแวดโลกมากขึ้น รวมถึงในอุตสาหกรรมทองคำตั้งแต่ต้นน้ำคือการทำเหมืองจนถึงการใช้ทองคำในอุตสาหกรรมปลายน้ำ เช่น เครื่องประดับ ทองคำแท่ง และผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้า ก็ให้ความสำคัญกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศด้วยเช่นกันสภาทองคำโลก (World Gold Council) เปิดเผยรายงานเรื่อง 'ทองคำและการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ: ผลกระทบในปัจจุบันและอนาคต' หรือ 'Gold and Climate Change: Current and future impacts' เพื่อให้ข้อมูลแก่นักลงทุนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอุตสาหกรรมทองคำ ทั้งในเรื่องการสร้างมลภาวะของผู้ผลิตทองคำและบทบาทของทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ช่วยบรรเทาความเสี่ยงด้านสภาพอากาศในแผนการลงทุนระยะยาวโดยผลการศึกษายังยืนยันว่าการใช้ทองคำในอุตสาหกรรมปลายน้ำ เช่น เครื่องประดับ ทองคำแท่ง และผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้า สร้างผลกระทบเกี่ยวกับการปล่อยคาร์บอนของทองคำไม่มาก ในขณะที่อุตสาหกรรมทองคำมีเหตุผลให้เชื่อว่าการใช้พลังงานและเชื้อเพลิงในการทำเหมืองทองคำสามารถปรับเปลี่ยนไปสู่วิธีปฏิบัติที่ลดคาร์บอนจนเป็นศูนย์และมีประสิทธิภาพได้ นอกจากนี้ ทองคำในฐานะสินทรัพย์ ดูมีความแข็งแกร่งในบริบทความเสี่ยงทางกายภาพและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับสินทรัพย์ลงทุนในกระแสหลักส่วนใหญ่ ความยืดหยุ่นของทองคำสะท้อนให้เห็นกลไกขับเคลื่อนความต้องการทองคำในบางส่วน ซึ่งหนุนให้เกิดการลงทุนในทองคำอย่างกว้างขวางเมื่อพิจารณาประกอบกันแล้ว ผลการศึกษาเหล่านี้ยังชี้ว่าทองคำอาจมีบทบาทเพิ่มเติม ในฐานะสินทรัพย์บรรเทาความเสี่ยงด้านสภาพอากาศในแผนกลยุทธ์ลงทุนระยะยาวทั้งนี้ รายงานฉบับใหม่จัดทำขึ้นจากงานริเริ่มของสภาทองคำโลกในปี 2561 โดยนำเสนอมุมมองที่ครอบคลุมมากขึ้นเกี่ยวกับผลกระทบด้านสภาพอากาศของทองคำ และวิธีการที่ภาคอุตสาหกรรมผลิตและเหมืองทองคำจะลดการปล่อยคาร์บอน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายความตกลงปารีสนอกจากนี้ รายงานฉบับนี้ยังพิจารณาด้วยว่า บทบาทของทองคำในฐานะสินทรัพย์ลงทุนจะได้รับผลกระทบจากความเสี่ยงทางกายภาพและการเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวข้องกับปัญหาสภาพภูมิอากาศได้อย่างไร เมื่อเทียบกับการลงทุนในสินทรัพย์กระแสหลักอื่น ๆ

Read More

25/12/2562

ตลาดทองคำโลกยังมีแนวโน้มสดใส


รายงานผลวิจัยสำรวจความคิดเห็นผู้บริโภคฉบับใหม่ของสภาทองคำโลก (World Gold Council) เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา(2562) ชี้ให้เห็นว่าตลาดทองคำยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก เมื่อผู้บริโภครายย่อยเลือกลงทุนในผลิตภัณฑ์ทองคำมากเป็นอันดับสามรองจากบัญชีออมทรัพย์และประกันชีวิต ขณะที่ผู้ที่ชื่นชอบเครื่องประดับ แฟชั่น ที่ไม่เคยซื้อทองคำเลยก็ไม่ปิดกั้นโอกาสที่จะซื้อ หากความต้องการเหล่านี้แปลงเป็นแรงซื้อได้ก็จะเป็นแรงผลักดันให้ตลาดทองคำให้เติบโตได้มาก ในการทำวิจัยครั้งนี้ สภาทองคำโลกศึกษาตัวอย่างราว 18,000 รายการ ครอบคลุมตลาดต่าง ๆ ทั้งจีน อินเดีย อเมริกาเหนือ เยอรมนี และรัสเซีย เพื่อศึกษา เจาะลึกถึงทัศนคติและความเข้าใจที่มีต่อทองคำ ช่องทางและเหตุผลที่ซื้อทองคำ และเหตุผลที่ตัดสินใจไม่ซื้อทองคำของนักลงทุนรายย่อยและผู้ชื่นชอบแฟชั่นในตลาดเครื่องประดับ ผลการวิจัยสรุปได้ว่า 1. ผู้คนเชื่อมั่นและยึดมั่นกับทองคำ นักลงทุนรายย่อยกว่าสองในสามหรือราว67% เชื่อว่า ทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ในการรับมือกับเงินเฟ้อและความผันผวนของค่าเงิน ขณะที่ 61% เชื่อมั่นในทองคำมากกว่าสกุลเงิน 2. ในกลุ่มคนที่ไม่เคยซื้อทองคำมาก่อน (แต่ก็ไม่ปิดโอกาสการซื้อในอนาคต)ยังไม่ค่อยเชื่อมั่นในทองคำโดยมีความกังวลว่าจะเจอทองคำแท่งและเหรียญทองคำปลอมหรือเลียนแบบ รวมถึงความกังวลเรื่องความบริสุทธิ์ของผลิตภัณฑ์ หรือความน่าเชื่อถือของผู้ค้าบางรายด้วย 3. ความเชื่อของผู้บริโภครุ่นใหม่หรือคนกลุ่ม Gen Z เปลี่ยนไป โดยเฉพาะในตลาดเครื่องประดับของจีน ผู้ซื้อสินค้าแฟชั่นอายุ 18-24 ปีคิดเป็นสัดส่วน 40% เชื่อว่าทองคำจะทำให้โชคดี ซึ่งลดลงอย่างมากกับผู้บริโภคที่มีอายุระหว่าง 55-65 ปีที่มีความเชื่อใรเรื่องนี้ถึง 88% เหล่านี้ส่งผลให้การบิโภคทองคำลดลง 4. นักลงทุนรายย่อยทั่วโลกซื้อเหรียญทองคำเป็นสัดส่วนเพียง 9% และเครื่องประดับเพียง 6% เมื่อเทียบกับกองทุน ETF ทองคำที่มีผู้ซื้อ 25% สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่า นวัตกรรม เทคโนโลยี การตลาด และการสื่อสาร มีผลต่อการตัดสินใจ 5. ผู้บริโภคทองคำกลุ่มใหม่ๆสองในสามหรือราว66% ทั่วโลกยังขาดความรู้ความเข้าใจที่จำเป็นในการซื้อทอง จึงจำเป็นต้องส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับทองคำผ่านสื่อต่างๆมากขึ้น โดยสรุปคือตลาดทองคำรายย่อยยังคงแข็งแกร่ง โดยพบว่าทองคำยังคงเป็นตัวเลือกของการลงทุนของนักลงทุนรายย่อยทั่วโลกราว 46% มากเป็นอันดับสาม เมื่อเทียบกับ78%ของบัญชีออมทรัพย์ และ54%ของประกันชีวิต ในส่วนของเครื่องประดับนั้น ผลสำรวจพบว่าผู้บริโภค 56% ซื้อเครื่องประดับทองคำชั้นดี อีก34% ที่ซื้อเครื่องประดับทองคำขาวนอกจากนี้ยังพบว่า นักลงทุนรายย่อยและผู้ชื่นชอบแฟชั่นกว่าหนึ่งในสามหรือราว 38% ไม่เคยซื้อทองคำมาก่อนแต่ก็มีทัศนคติที่ดีต่อทองคำ สิ่งนี้แสดงให้เห็นศักยภาพในการผลักดันตลาดทองคำให้เติบโต หากความต้องการเหล่านี้แปลงเป็นแรงซื้อได้

Read More

27/11/2562

ทำการตลาดอย่างไรกับคนGen Y ในอาเซียน


บริษัทสำรวจและวิจัยได้ประเมินประชากรอาเซียนของอาเซียนในปี 2020 คาดว่าจะมีจำนวนประชากร 680 ล้านคน มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกรองจากจีนและอินเดีย โดยประชากรในสัดส่วนราวร้อยละ 40 นั้นเป็นคนในกลุ่ม Gen Y อัตราการบริโภคของอาเซียนจะขยายตัวสูงขึ้นจากหลายปัจจัยโดยเฉพาะรายได้ที่เพิ่มมากขึ้น จนผลักดันให้ประชากรในอาเซียนราว 60 ล้านคนยกระดับเข้าสู่การเป็นผู้บริโภคที่มีกำลังจับจ่ายใช้สอยในระดับกลางค่อนไปทางสูง และมีความต้องการสินค้าฟุ่มเฟือยซึ่งรวมถึงอัญมณีและเครื่องประดับเพิ่มขึ้น พฤติกรรมการบริโภคของคนรุ่น Gen Y ในอาเซียนแปรเปลี่ยนไปจากเดิมที่คนส่วนใหญ่มีค่านิยมซื้อทองรูปพรรณหรือเครื่องประดับทองโทนสีเหลืองเพื่อสวมใส่ในชีวิตประจำวัน มาเป็นเพียงการซื้อเพื่อสวมใส่ในงานแต่งงานหรือประเพณีสำคัญต่างๆ และเป็นการออมสะสมความมั่งคั่งเสียมากกว่า คนรุ่น Gen Y มักมองว่าการสวมใส่เครื่องประดับทองเริ่มไม่เข้ากับการแต่งกายและการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งนอกจากความกังวลเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินแล้ว ยังได้รับอิทธิพลจากเทรนด์แฟชั่นที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว กลุ่มคน Gen Y ในตลาดอาเซียนทั้งชายและหญิงจึงค่อนข้างใส่ใจกับการแต่งตัวให้ดูดี มีสไตล์เป็นของตนเอง สนใจเครื่องประดับที่มิกซ์แอนด์แมตช์เข้ากับเสื้อผ้า และมักตามติดกระแสเทรนด์แฟชั่นอยู่เสมอ คนรุ่นนี้นิยมเครื่องประดับที่ทำด้วยโลหะโทนสีขาวกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับทองขาว เครื่องประดับเงิน ทั้งที่ตกแต่งหรือไม่ตกแต่งด้วยอัญมณี เครื่องประดับเงินลงยาประเภทชาร์มหรือตกแต่งลูกปัดแก้วมูราโนหลากสี ไปจนถึงเครื่องประดับแฟชั่น เน้นดีไซน์และคุณภาพของสินค้ามากกว่าราคา นำไปสู่การยอมจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อให้ได้สินค้าที่ตอบโจทย์กับความต้องการของตนเอง ดังนั้นกลยุทธ์ทางการตลาดที่จะชนะใจลูกค้าชาว Gen Y ก็คือการคำนึงถึงความต้องการของลูกค้าและตอบสนองความต้องการให้ตรงจุด ด้วยการสร้างจุดขายให้แก่สินค้า ด้วยการออกแบบสร้างสรรค์ดีไซน์เครื่องประดับที่มีความแปลกและแตกต่างมีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร หรือบอกเล่าเรื่องราวของชิ้นงานเครื่องประดับที่มีความพิเศษเป็นเอกลักษณ์ มีความหายากและความงามตามธรรมชาติของอัญมณีแต่ละเม็ด หรือสอดแทรกเรื่องราวความเชื่อทางวัฒนธรรมที่มีความคล้ายคลึงกันในประเทศอาเซียน รวมถึงชิ้นงานเครื่องประดับนั้นสามารถปรับแต่งให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้ เช่น เครื่องประดับที่ลูกค้าสามารถออกแบบได้เองหรือออกแบบร่วมกับดีไซน์เนอร์ทั้งนี้ แคมเปญทางการตลาดที่คนกลุ่มนี้ชื่นชอบก็คือ การจัดโปรโมชั่น การให้ส่วนลดหรือสิทธิพิเศษต่างๆ ซึ่งแบรนด์ต้องพูดหรือแสดงให้ชัดเจนว่าจะให้โปรโมชั่น หรือสิทธิพิเศษกับคนกลุ่มนี้อย่างไรโดยไม่อ้อมค้อม เพราะคนกลุ่มนี้มีเวลาน้อย การสื่อสารทุกอย่างจึงต้องรวดเร็ว รวมถึงการออกสินค้าคอลเลกชันใหม่ๆ ตามเทศกาลสำคัญต่างๆ หรือตามเทรนด์กระแสแฟชั่นในช่วงเวลานั้นนอกจากนั้นการนำเสนอบริการหลังการขายเช่น บริการทำความสะอาดหรือซ่อมแซมเครื่องประดับสำหรับลูกค้าเดิม ก็ยังช่วยสร้างความประทับใจให้แก่ลูกค้า เป็นกลยุทธ์หลักที่ช่วยให้ลูกค้าเกิดความไว้วางใจ เชื่อมั่นและจูงใจให้กลับมาซื้อซ้ำ รวมถึงการบอกต่อไปยังกลุ่มเพื่อนหรือคน อื่นๆ ให้ลองมาใช้บริการหรือซื้อสินค้า ส่วนกลุ่มลูกค้าใหม่ควรเน้นไปที่การให้ข้อมูลหรือคำแนะนำถึงคุณภาพสินค้า การเลือกซื้อหรือตรวจสอบอัญมณี และการบริการหลังการขาย โดยเลือกใช้ช่องทางการสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดียไปยังคนกลุ่มนี้ จะช่วยให้แบรนด์ได้รับการตอบรับอย่างรวดเร็วและเป็นที่รู้จักในวงกว้างได้มากขึ้น

Read More

27/11/2562

พระบรมราชินีพระองค์แรกแห่งราชวงศ์จักรี


พระชนกทอง ณ บางช้าง เป็นพระราชชนกในสมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี พระบรมราชินีพระองค์แรกแห่งราชวงศ์จักรี เดิมชื่อทอง เกิดที่บ้านบางช้าง ตำบลอัมพวา อำเภอเมืองสมุทรสงคราม ในสมัยแผ่นดินสมเด็จพระเพทราชา เป็นบุตรของท่านตาเจ้าพรกับท่านยายเจ้าชี ท่านทองได้สืบทอดมรดกของบิดามารดาเป็นคหบดีและเป็นเศรษฐีแห่งบ้านบางช้าง ได้สมรสกับนางสั้นมีโอรส-ธิดาด้วยกัน 11 พระองค์หนึ่งในนั้นคือนาค ซึ่งต่อมาคือสมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี ระบรมราชินีพระองค์แรกแห่งราชวงศ์จักรีสมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี มีพระนามเดิมว่า นาค เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2280 ในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ แห่งอาณาจักรอยุธยา เป็นพระธิดาของพระชนกทอง ณ บางช้าง และสมเด็จพระรูปศิริโสภาคย์มหานาคนารี(สั้น)เป็นอรรคชายาเดิม ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และเป็นสมเด็จพระพันปีหลวงในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย มีบันทึกว่าเมื่อครั้งที่พระเจ้าแผ่นดินแห่งกรุงศรีอยุธยา โปรดให้มหาดเล็กสืบเสาะหาสตรีรูปงามไปถวาย มหาดเล็กคนสนิทกราบทูลว่า มีสตรีรูปงามในแขวงบางช้างนางหนึ่งเป็นบุตรของนายทอง เศรษฐีบางช้าง จึงโปรดให้เจ้าเมืองราชบุรีไปสู่ขอต่อบิดา-มารดา ด้วยสมัยนั้นเมืองสมุทรสงครามเป็นหัวเมืองตรีขึ้นต่อเมืองราชบุรี ส่วนเมืองราชบุรีเป็นหัวเมืองชั้นโท นายทองและภรรยา ได้บ่ายเบี่ยงว่าขอถามความสมัครใจของธิดาก่อน ด้วยธิดาของนายทองไม่สมัครใจเป็นนางสนมในวัง นายทองสงสารธิดาจึงนำความไปปรึกษาพระแม่กลองบุรี(เสม) เจ้าเมืองแม่กลองซึ่งเป็นญาติ จากนั้นทั้งสองคนจึงนำความเข้าหารือกับหลวงพินิจอักษร (ทองดี) เสมียนตรากรมมหาดไทย หลวงพินิจอักษรก็ได้เกิดปัญญาว่านายทองด้วงบุตรชายได้บวชเรียน แล้วยังไม่มีคู่ครอง หากได้ธิดาเศรษฐีทองมาเป็นภรรยาก็นับว่าเหมาะสมกันยิ่ง เพราะเป็นหญิงอุดมด้วยทรัพย์สมบัติและรูปสมบัติ ฝ่ายชายแลก็รูปงามมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด รับราชการในวังนับว่าเหมาะสมกันดียิ่งนัก ทั้งยังเป็นเกราะป้องกันมิให้ธิดาตกเป็นสนมในวัง เมื่อคิดอุบายได้ทั้งสองฝ่าย จึงเห็นดีด้วย หลวงพินิจอักษร (ทองดี)จึงได้ทำฎีกากราบทูลว่าธิดาท่านเศรษฐีบางช้างตนได้สู่ ขอให้นายทองด้วงบุตรชายแล้วขอพระราชทานให้แก่บุตรชายของตนเสียเถิด พระเจ้าแผ่นดินได้ทราบเพียงกิตติศัพท์ความงามของนางนาก แต่ยังมิเคยได้ทอดพระเนตรรูปร่างหน้าตา จึงมิได้อาลัยและพระราชทานอนุญาตให้วิวาห์ได้ตามความประสงค์ ธิดาท่านเศรษฐีทองจึงได้สมรสกับนายทองด้วงทหารมหาดเล็ก ซึ่งต่อมาได้ตำแหน่งหลวงอร่ามฤทธิ์ หลวงยกบัตรราชบุรี และเมืองสมุทรสงคราม รับราชการในกรุงธนบุรีได้เลื่อนเป็นพระราชวรินทร์ เจ้ากรมพระตำรวจซ้าย พระยาอภัยรณฤทธิ์ พระยายมราช เจ้าพระยาจักรี สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก และเมื่อหมดบุญสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้ปราบดาภิเษกเป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ธิดาของนายทองจึงได้เป็นอัครมเหสีของพระมหากษัตริย์ พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์นายทองได้พิราลัยในสมัยกรุงศรีอยุธยา เมื่อ นาค ธิดาของท่านได้รับการสถาปนาเป็น "สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี"นางสั้นมารดาจึงได้รับการสถาปนาเป็น "สมเด็จพระรูปศิริโสภาคย์มหานาคนารี" ต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานนามสกุล และได้พระราชทานนามสกุล ณ บางช้าง แก่ผู้สืบเชื้อสายจากท่าน

Read More

27/11/2562

เรือพระที่นั่ง ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก


ในการเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารคในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกที่จะมีขึ้นในวันที่ 12 ธันวาคม 2562นี้ จะมีการริ้วขบวนเรือตามโบราณราชประเพณีโดยมีเรือพระราชพิธี 52 ลำ ในจำนวนนี้เป็นเรือพระที่นั่งที่มีความสำคัญยิ่ง 4 ลำคือ เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ และเรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9 เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์โขนเรือแกะสลักเป็นรูปหงส์ มีพู่ห้อยที่ตรงปลายพู่เป็นแก้วผลึก ลำตัวเรือทอดยาวคือส่วนตัวหงส์ จำหลักไม้ลงรักปิดทอง ภายนอกทาสีดำ ท้องเรือทาสีแดง ตอนกลางลำเรือมีที่ประทับเรียก ราชบัลลังก์กัญญา สำหรับพระเจ้าอยู่หัวหรือพระราชวงศ์ชั้นสูง เรือมีความยาว 46.15 เมตร กว้าง 3.17 เมตร ลึกจนถึงท้องเรือ 94 เซนติเมตร กินน้ำลึก 41 เซนติเมตร น้ำหนัก 15 ตัน ใช้กำลังพลประกอบด้วย ฝีพาย 50 คน จัดเป็นเรื่องพระที่นั่งที่มีความสำคัญและสง่างามที่สุดในขบวนเรือพระราชพิธี นอกจากนี้องค์การเรือโลกแห่งสหราชอาณาจักร(The World Ship Trust Maritime Heritage) ยังมอบรางวัลมรดกทางทะเลขององค์กรเรือโลก แก่เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ โดยคณะกรรมการขององค์การเรือโลกแห่งสหราชอาณาจักรได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เพื่อทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเหรียญรางวัลมรดกทางทะเลโลกประจําปีพ.ศ.2535ด้วย เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช เป็นเรือพระที่นั่งกิ่ง มีโขนเรือเป็นรูปพญานาค 7 เศียร ลงรักปิดทองประดับกระจก กลางลำเรือเป็นบุษบกประดิษฐานพระพุทธรูปหรือผ้าพระกฐิน สร้างขึ้นครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 3 และสร้างขึ้นอีกครั้งในสมัยรัชกาลที่ 6 มีความยาว 44.85 เมตร ใช้ฝีพาย 54 คน ในภาษาสันฤกต คำว่า อนนฺตะ หมายถึง ไม่สิ้นสุดหรือความเป็นนิรันดร นาคะ หมายถึง นาคหรืองู ส่วนคำว่า ราชะ แปลว่า เจ้านายหรือพระราชา ดังนั้นอนันตะ จึงหมายถึง ราชาแห่งนาคหรืองูทั้งหลายเรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์หัวเรือลงรักปิดทองลายรดน้ำเป็นรูปนาคตัวเล็กจำนวนมาก ภายนอกทาสีชมพู ท้องเรือภายในทาสีแดง เรือมีความยาว 45.67 เมตร ใช้ฝีพาย 61 คน กลางลำเรือมีราชบัลลังก์กัญญา ใช้เป็นที่ประทับเปลื้องเครื่อง หรือเปลื้องพระชฎามหากฐินของพระเจ้าอยู่หัว ก่อนเสด็จขึ้นหรือลงเรือพระที่นั่งอีกลำ สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9 สร้างขึ้นน้อมเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในพระราชพิธีกาญจนาภิเษก พ.ศ.2539 โดยกองทัพเรือร่วมกับกรมศิลปากร และเนื่องจากชื่อเรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณมีมาแล้วตั้งแต่ครั้งสมัยรัชกาลที่ 3 จึงเติมคำว่า “รัชกาลที่ 9” เพื่อแสดงว่าเรือลำนี้สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 9 ขบวนพยุหยาตราชลมารคในงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เริ่มเป็นครั้งแรกในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 เมื่อ พ.ศ. 2394 เพื่อให้ราษฎรได้ชื่นชมพระบารมีกษัตริย์พระองค์ใหม่ และจะได้เป็นพระเกียรติยศไปภายหน้าพระราชพิธีครั้งนั้นไม่เพียงจะยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของกรุงรัตนโกสินทร์ แต่ยังเป็นการเริ่มต้นธรรมเนียมปฏิบัติในรัชกาลต่อ ๆ มาด้วยโดยการจัดขบวนพยุหยาตราชลมารคในครั้งนั้น มีเรือในขบวนถึง 269 ลำ มีเรือนอกขบวนที่เข้าร่วมด้วยกว่า 50 ลำ และมีจำนวนฝีพายทั้งหมดกว่า 10,000 คน โดยเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนครโดยทางชลมารครอบพระนคร เริ่มจากท่าราชวรดิษฐ์ เข้าคลองรอบพระนครไปยังวัดบวรนิเวศวิหาร จากนั้นจึงเสด็จพระราชดำเนินไปยังวัดอรุณราชวราราม แล้วเสด็จพระราชดำเนินกลับยังพระบรมมหาราชวัง การเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารคในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกห่างหายไปนานกว่าร้อยปีเพราะในสมัยรัชกาลที่ 8 ไม่ได้จัดพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ขณะที่ในสมัยรัชกาลที่ 9 นั้น ไม่มีการเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนครโดยขบวนพยุหยาตราชลมารคในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก แม้ว่าจะมีขบวนพยุหยาตราชลมารคหลายครั้งก็ตามด้วยเหตุนี้ ระยะห่างจากการจัดพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารคในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ครั้งสุดท้ายในสมัยรัชกาลที่ 7 เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี พ.ศ. 2469 จึงห่างจากพระราชพิธีในในวันที่ 12 ธันวาคม 2562 ในสมัยรัชกาลที่10 ถึง 93 ปีเลยทีเดียว

Read More

27/11/2562

ไม้เท้ายอดครุฑ


ในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จออก เพื่อทรงรับสมเด็จพระสันตะปาปาฟรันซิส ประมุขแห่งนครรัฐวาติกัน เสด็จเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ที่ผ่านมา เป็นอีกครั้งที่คนไทยได้เห็น. “ไม้เท้ายอดครุฑ”ที่สมุหราชมณเฑียร หรือรองเลขาธิการพระราชวัง ฝ่ายที่ประทับ ถือนำเสด็จสมเด็จพระสันตปะปาเข้าเฝ้า “ไม้เท้ายอดครุฑ” เป็นไม้กลมยาวทำด้วยไม้มะเกลือสีดำ ที่หัวไม้เป็นรูปครุฑทำด้วยโลหะสีทอง ไม่มีชื่อเรียกเฉพาะใช้เป็นไม้ถือประจำตำแหน่งของสมุหราชมณเฑียรหรือสมุหพระราชพิธี ตำแหน่งนี้เข้าใจว่าเริ่มมีมาตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 โดยได้แบบอย่างมาจากราชสำนักอังกฤษ นอกจากการนำออกมารับเสด็จบุคคลสำคัญแล้ว “ไม้เท้ายอดครุฑ” ยังนำมาใช้เมื่อมีเอกอัครราชทูตต่างประเทศประจำประเทศไทย เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการถวายอักษรสาส์นตราตั้ง โดบมุหราชมณเฑียร หรือรองเลขาธิการพระราชวัง ฝ่ายที่ประทับ จะปฏิบัติหน้าที่ถือไม้เท้ายอดครุฑ นำอกอัครราชทูตเข้าเฝ้าฯ เสมอ สำหรับพิธีการนำเอกอัครราชทูตต่างประเทศประจำประเทศไทย เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายอักษรสาร์นตราตั้งนั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ กำหนดวันให้เอกอัครราชทูตเข้าเฝ้าถวายพระราชสาสน์แล้ว คณะทูตจะต้องมารอที่กระทรวงการต่างประเทศ สำนักพระราชวังจะจัดขบวนรถพระประเทียบไปรับมายังพระบรมมหาราชวัง โดยมีอธิบดีกรมพิธีการทูตและเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศมาร่วมในขบวนด้วย เมื่อเข้ามาถึงพระบรมมหาราชวังแล้วขบวนรถของคณะทูตจะจอดเทียบชาลาอัฒจันทร์พระที่นั่งจักรีมหาปราสาทด้านตะวันออก สมุหพระราชมณเฑียรยืนถือไม้เท้ายอดครุฑรอรับอยู่พร้อมด้วยกรมวังผู้ใหญ่และราชองครักษ์ จากนั้นสมุหพระราชมณเฑียรจะนำเอกอัครราชทูตและคณะไปพักที่ห้องมุขกระสันด้านทิศตะวันออก ในขณะเดียวกันพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งมายังพระบรมมหาราชวังเข้าทางประตูศักดิ์ไชยสิทธิ์ และผ่านประตูราชสำราญเข้าเขตพระราชฐานชั้นใน แล้วเทียบรถพระที่นั่งที่ชาลาอัฒจันทร์พระที่นั่งจักรีมหาปราสาทด้านตะวันออก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินขึ้นบนพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทและทรงประทับพัก ณ ห้องเฉลียงท้องพระโรงหลังพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท แล้วจึงเสด็จพระราชดำเนินสู่ท้องพระโรงกลาง ประทับยืนหน้าพระแท่นบัลลังก์นพปฎลมหาเศวตฉัตรภายในท้องพระโรงกลางมีข้าราชการยืนเฝ้ารับเสด็จอยู่ดังนี้คือ ๑.สมุหราชองครักษ์ ๒.ราชเลขาธิการ ๓.เลขาธิการสำนักพระราชวัง ๔.ราชองครักษ์ ๕.หัวหน้ากองวัง ๖.รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินสู่ท้องพระโรงกลางพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ประทับยืนหน้าพระแท่นบัลลังก์นพปฎลมหาเศวตฉัตรแล้ว มหาดเล็กเวรแย้มพระทวารเพื่อให้สมุหราชองครักษ์เดินออกไปบอกคณะทูตว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพร้อมแล้ว สมุหพระราชมณเฑียรจะจัดแถวคณะทูต แล้วเดินนำออกจากมุขกระสันด้านตะวันออก ไปตามทางเข้าสู่ท้องพระโรงกลางพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท สมุหพระราชมณเฑียรหยุดหน้าพระทวาร และให้สัญญาณต่อมหาดเล็กหลวงหับเผยพระทวาร โดยใช้ไม้เท้ายอดครุฑเคาะตรงประตูมหาดเล็กจึงเผยพระทวารออกให้สมุหพระราชมณเฑียรนำคณะทูตเข้าเฝ้าถวายพระราชสาสน์ต่อไป

Read More

27/11/2562

ชุดเครื่องเขียนเงินลงถมตะทอง ของขวัญถวายพระสันตประปา


เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2562 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ได้เสด็จลง ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ทรงออกรับสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ประมุขแห่งนครรัฐวาติกันในโอกาสเสด็จเยือนไทยอย่างเป็นทางการ ในการนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ถวาย"ชุดเครื่องเขียนเงินลงถมตะทอง ประดับอักษรพระปรมาภิไธย ภ.ป.ร.ชุดใหญ่" เป็นของขวัญแด่องค์พระสันตประปาด้วย นอกจาก"ชุดเครื่องเขียนเงินลงถมตะทอง ประดับอักษรพระปรมาภิไธย ภ.ป.ร.ชุดใหญ่" แล้วยังมีเหรียญที่ระลึกในโอกาสพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 แผ่นคำจารึกของขวัญประดับพระปรมาภิไธย ว.ป.ร. และอักษรพระนามาภิไธย ส.ท.ทองคำลงยาติดบนแท่นไม้มะค่า และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ถวายเทียนหอม ในส่วนของสมเด็จพระสันตะปาปา ฟรานซิสทรงถวายภาพวาดบนกระเบื้องสีโมเสก สร้างจากภาพต้นแบบ "การอวยพรของสมเด็จพระสันตะปาปา ณ ลานมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์", เหรียญที่ระลึกในโอกาส ครบ 7 ปี การสมณภิเษกของสมเด็จพระสันตะปาปา และหนังสือที่ระลึกแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และถวายเหรียญที่ระลึกในโอกาสเสด็จเยือนประเทศไทย และญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 19-26 พ.ย.2562 แด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เป็นการแลกเปลี่ยนด้วย ศิลปะการทำถมตะทอง หมายถึง วิธีการระบายทองคำ ละลายปรอท หรือแต้มทองเป็นแห่งๆ เฉพาะที่ มิใช่ระบาย จนเต็มเนื้อที่อย่างเดียวกับการทำถมทอง โดยเอาทองคำแท้ๆ ใส่ลงในปรอท ทองละลายอยู่ในน้ำปรอท เมื่อเอาน้ำปรอท ที่มีทองคำละลายปนอยู่ ไปแต้มตามแห่งที่ต้องการให้เป็นสีทองนั้น ในขั้นแรกปรอท จะยังคงอยู่ เมื่อไล่ด้วยความร้อนปรอทจะหลุดออกมา เหลือเนื้อทองติดแน่นอยู่บนตำแหน่งหรือลายที่แต้ม ทองนั้น การแต้มทองหรือระบายทองในที่บาง แห่งของถมดำ เป็นการเน้นจุดเด่น หรือต้องการ แสดงอวดภาพหรือลายเด่นๆ ฉะนั้นเครื่องถม ตะทองจึงเป็นของที่หายากกว่าถมเงินหรือถมทอง ในสมัยกรุงศรีอยุธยามีความนิยมในถมตะทอง มากกว่าถมทอง สำหรับสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ทรงได้รับแต่งตั้งและทรงเข้าดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสันตะปาปา เป็นองค์พระประมุขแห่งคริสตจักรนิกายโรมันคาทอลิก พระองค์ที่ 266 เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2556 สืบต่อจากอดีตสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ที่ทรงสละตำแหน่งเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2556 พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างในการใช้ชีวิตอย่างสมถะ เรียบง่ายเสมอมา การเสด็จมาเยือนประเทศไทยของพระสันตะปาปาฟรานซิส นับเป็นการเสด็จมาเยือนขององค์พระประมุขคริสตจักรนิกายโรมันคาทอลิกครั้งแรกในรอบ 35 ปี นับตั้งแต่พระสันตะปาปา จอห์น ปอลที่ 2 ได้เสด็จมาเยือนประเทศไทย เมื่อปี 2527 เพื่อทรงต้องการเสริมสร้างสัมพันธไมตรีระหว่างผู้นับถือศาสนาคริสต์กับชาวพุทธ ให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น สำหรับการเสด็จมาเยือนประเทศไทยในครั้งนี้ได้นำมาซึ่งความปลื้มปีติยินดีแก่ปวงชนชาวไทยทุกเชื้อชาติศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคริสต์ศาสนิกชนในประเทศไทย ที่ตามข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติปี 2557 ระบุว่า มีจำนวน 814,508 คน ของประชากรในประเทศไทย 64,076,033 ล้านคน และในจำนวนคริสต์ศาสนิกชนในไทย นับถือนิกายโรมันคาทอลิก 369,636 คน

Read More

27/11/2562

จอกกาลิกส์ เงินกะไล่ทอง มรดกแห่งความสำพันธ์คริสค์จักรในสยาม


ในพิธิมิสซา หรือการประกอบพิธีบูชาขอบพระคุณ ที่สนามศุภชลาศัยและอาสนวิหารอัสสัมชัญ เมื่อวันที่ 21-22 พฤศจิกายน 2562 สภาประมุขบาทหลวงโรมันคาทอลิกแห่งประเทศไทยได้นำจอกเก่าแก่ใบหนึ่งหรือที่เรียกว่าจอกกาลิกส์ ออกมาให้สมเด็จพระสันตะปะปาฟรานซิสใช้ในการประกอบพิธี ซึ่งจอกใบนี้มีประวัติความเป็นมามีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ และคุณค่าทางจิตใจต่อคริสตศาสนิกจนคาทอลิกในประเทศไทยเป็นอย่างยิ่งถ้วยเล็ก ๆ ที่มีก้านยาวเชื่อมต่อระหว่างตัวถ้วยกับฐานรองใบนี้ คือ จอกกาลิกส์ หรือ ถ้วยใส่เหล้าองุ่นเพื่อรำลึกถึงอาหารค่ำมื้อสุดท้ายของพระเยซูคริสต์ ซึ่งจากการสืบค้นทางประวัติศาสตร์เชื่อว่าจอกใบนี้เป็นสมบัติส่วนตัวของพระสังฆราชฌอง บัปติสต์ ปัลเลอกัว มิชชันนารีฝรั่งเศสคนสำคัญที่เข้ามาเผยแผ่ศาสนาในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3ซึ่งมีอายุเก่าแก่กว่า 173 ปีจอกกาลิกส์ นี้ถูกผลิตขึ้นที่ประเทศฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1846 หรือช่วงสมัยรัชกาลที่ 3 ผู้ที่ชื่อโชเซฟ พิลลิปป์ เดอล์ฌอง ซึ่งเป็นช่างเงินที่มีชื่อเสียงของราชสำนักนโปเลียนที่ 3 แห่งฝรั่งเศส มีการแกะสลักลวดลายซึ่งเป็นคริสตศิลป์จำนวนมากปรากฏอยู่ ทำจากเงินแท้ทั้งใบ และใช้กรรมวิธีกะไหล่ทอง คือกรรมวิธีให้เนื้อทองคำซึมเข้าไปในเนื้อเงินด้วยสารปรอท และใช้ความร้อนไล่ปรอทออกมาเพื่อเคลือบจอกด้วยเนื้อทอง เราจึงเห็นบางส่วนของจอกเป็นสีทอง และบางส่วนยังคงความเป็นสีเงินอยู่ ตามลวดลายศิลปะยุคบาโรกที่ใช้การออกแบบจอกกาลิกส์นี้จอกกาลิกส์มีความสำคัญในพิธีมิสซาเพราะ เชื่อกันว่าเป็นจอกศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นสัญลักษณ์ของการถวายบูชามิสซา เมื่อเทเหล้าองุ่นลงไปขณะที่อยู่ในพิธีกรรม เหล้าองุ่นนั้นก็จะเปลี่ยนเป็นพระโลหิตของพระเยซูเจ้า ซึ่งทุกพิธีมิสซาจำเป็นต้องมีจอกกาลิกส์เป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมเสมอ “พิธีมิสซา”คือ พิธีบูชาขอบพระคุณพระเป็นเจ้า (Eucharistic Celebration) เป็นการแสดงออก ซึ่งความเป็นหนึ่งเดียวกันของคริสต์ศาสนิกชน โดยมีองค์พระเยซูเจ้าเป็นเครื่องบูชาเพื่อไถ่บาปมนุษย์ อาศัยพระกายและพระโลหิตที่พระองค์ทรงยอมสละและพลีชีวิต ดังนั้น การร่วมในพิธีมิสซา จึงหมายถึง ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันที่คริสต์ศาสนิกชนจะขอบพระคุณพระเจ้าที่ได้ทรงประทานพระบุตรของพระองค์ ลงมาไถ่บาปของมนุษย์ทุกคน ส่วนฌ็อง-บาติสต์ ปาลกัว หรือที่รู้จักในนามพระสังฆราชปัลเลอกัวซ์ผู้สร้างจอกกาลิกส์ เป็นบาทหลวงสังกัดคณะมิสซังต่างประเทศแห่งกรุงปารีส ปฏิบัติหน้าที่มิชชันนารีในประเทศไทยในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวถึงพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีสมณศักดิ์เป็นประมุขมิสซังสยามตะวันออก และมุขนายกเกียรตินามแห่งมาลลอสหรือมัลลุส ท่านได้นำวิทยาการการถ่ายรูปเข้ามาในประเทศไทย และยังจัดทำพจนานุกรมสี่ภาษาเล่มแรกของไทยขึ้นคือ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส และภาษาละติน อีกด้วยเนื่องในโอกาส 350 ปีมิสซังสยาม คุณค่าจอกกาลิกส์ใบนี้จึงเป็นเหมือนตัวแทนของความเชื่อที่บรรดามิชชันนารีได้นำเข้ามาสู่มิสซังสยามในหลายร้อยปีก่อน เป็นมรดกที่มิชชันนารีได้มอบให้กับสังคมไทยจนถึงปัจจุบัน ปัจจุบันเก็บรักษาที่อาสนวิหารอัสสัมชัญ บางรัก

Read More

27/11/2562

อาภรณ์ศักดิ์สิทธิ์ ถวายแด่สมเด็จพระสันตะปาปา


ในการเสด็จเยือนประเทศไทยของพระสันตปะปาฟรานซิส ระหว่างวันที่ 20-22 พฤศจิกายน 2562 ที่ผ่านมา รัฐบาลไทยได้ทูลเกล้าฯ ถวายฉลองพระองค์อาภรณ์ศักดิ์สิทธิ์ (holy vestment) ที่เรียกว่าเสื้อกาสุลา เพื่อเป็นของที่ระลึก และทรงสวมในการประกอบพิธีมิสซา โดยแผนกอาภรณ์ศักดิ์สิทธิ์และศาสนภัณฑ์ คณะภคินีพระหฤทัยแห่งกรุงเทพมหานครเป็นผู้รับผิดชอบในการตัดเย็บมี 2 ชุดตือ ชุด“สีทอง”และชุด“สีแดง” ฉลองพระองค์ของพระสันตะปาปาทั้ง 2 ชุด เป็นผ้าไหมไทยซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว นุ่ม มีน้ำหนักและมีความมันวาวในตัว ดูสง่างาม โดยชุดสีทองนั้นใช้ในวันงานที่สนามศุภชลาศัยวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ เพราะสีทองและสีขาวแสดงถึงความบริสุทธิ์และความชื่นชมยินดี ตรงกับวันระลึกถึงแม่พระถวายพระองค์ที่พระวิหาร ส่วนชุดสีแดงใช้ในวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ที่อาสนวิหารอัสสัมชัญ โดยสีแดงเป็นการระลึกถึงนักบุญเซซีลีอา ซึ่งเป็นมรณสักขี หรือนักบุญผู้พลีชีพเพื่อยืนยันความเชื่อในพระเจ้า จึงใช้สีแดงที่สะท้อนถึงความรักและโลหิตที่หลั่งออกมาเพราะความรักต่อพระเจ้า ชุดกาสุลา ของ “สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส”ทั้งสีทองและสีแดงมีความพิเศษ การปักลวดลายกระหนกลงบนเนื้อผ้า เพื่อสื่อถึงความอ่อนช้อยแบบไทย เรียบง่ายแต่สง่างาม สะท้อนวัฒนธรรมไทยให้ทั่วโลกได้เห็น ซึ่งนอกจากอาภรณ์ศักดิ์สิทธิ์ของพระสันตะปาปาแล้ว ทีมงานยังต้องตัดเย็บอาภรณ์ของบรรดามุขนายก สีทอง 120 ชุด และ สีแดง 76 ชุด โดยใช้วิธี “พิมพ์แบบซัพพลีเมนชั่น” คือการใช้ความร้อนพิมพ์ลายบนผ้าแทนการปักเพื่อความรวดเร็วในการผลิตและประหยัดต้นทุน นอกจากนี้รัฐบาลไทยยังได้จัดทำอาภรณ์ศักด์สิทธิ์เพื่อถวายเป็นที่ระลึดแด่องค์พระสันตประปาอีก 4 ชุดซึ่งออกแบบโดย อธิวัฒน์ ชื่นวุฒิ นักออกแบบอาภรณ์ในพิธีกรรม โดยเลือกใช้ผ้าแพรวาจากอีสาน ในการตัดเย็บเพราะต้องการสนองพระราชปณิธานสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงเป็นผู้นำการเผยแพร่ผ้าไหมไทยสู่ประชาคมโลก และเพื่อระลึกถึงบุญราศีและมรณสักขีชาวไทยอีสานทั้ง 7 ท่านแห่งสองคอน (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งในจังหวัดมุกดาหาร) ที่ได้ยืนหยัดในความเชื่อทางศาสนาของตนแม้จะต้องพลีชีวิตก็ตามส่วนลวดลายที่ปักประกอบไปด้วยลายไม้กางเขน รวงข้าว และเถาองุ่น อันเป็นลายสัญลักษณ์ทางศาสนาคริสต์ ไม้กางเขนหมายถึงการไถ่บาปให้มนุษย์ของพระเยซูเจ้าด้วยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระองค์, รวงข้าวและเถาองุ่น ยังเป็นสัญลักษณ์สำคัญในพิธีมิสซา นอกจากนี้ยังมีลวดลายอีสาน และลวดลายไทยประยุกต์ต่างๆ อาทิเช่น ลายขอท้องปุ้ง ลายขอไต่เครือ ลายขอไต่น้อย ลายบันไดสวรรค์ ลายกระหนก ลายประจำยาม ฯลฯ เพื่อสื่อถึงความเป็นไทยสำหรับสีของอาภรณ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 4 ชุด เป็นสีแบบไทยโบราณหรือที่เรียกกันว่า Thai Tone ได้แก่ • ชุดสีขาว ตัวชุดเลือกใช้ผ้าโทนสีสังข์ ปักแถบกลางและปกคอเป็นสีฝาด ซึ่งสีขาวในคริสตศาสนามีความหมายถึงพระเยซู เแม่พระ และนักบุญที่ไม่เป็นมรณสักขี ใช้สำหรับช่วงเทศกาลคริสต์มาสและอีสเตอร์ • ชุดสีแดงผ้าตัวชุดใช้ผ้าสีแดงตัด ผ้าปักแถบกลางและคอปกเป็นสีก้านดอกกรรณิการ์ ซึ่งสีแดงสื่อความหมายถึงเลือด แสดงถึงความรักและการเสียสละชีวิตเพื่อพระศาสนา • ชุดสีเขียว ผ้าตัวชุดใช้ผ้าสีเขียวตองอ่อน ผ้าปักแถบกลางและคอปกเป็นสีเขียวไพร สีเขียวสื่อถึงความเจริญเติบโต มีชีวิตชีวา ใช้ในเทศกาลธรรมดา • สีม่วงผ้าตัวชุดใช้ผ้าสีม่วงเม็ดมะปราง ผ้าปักแถบกลางและคอปกเป็นสีลูกหว้าเม็ดมะปราง สีม่วงเป็นสีที่ใช้ในพิธีมิสซา เทศกาลมหาพรต ทั้งนี้ปกตินักบวชในศาสนาคริสต์จะใส่ชุดเสื้อผ้าสีขาว เหมือนกับเป็นเครื่องแบบปกติ แต่ในพิธีกรรมของคาทอลิก จะมีการใช้อาภรณ์ศักดิ์สิทธิ์สีต่างๆ 5 สี คือ สีขาว, เขียว, แดง, ม่วง และชมพู ที่มีการใช้แตกต่างกันไปตามที่ปฏิทินคาทอลิกกำหนดไว้ นอกจากนี้ยังมีหมวกทรงสูง หรือ Mitre หนึ่งในอาภรณ์ของบรรดามุขนายก ที่ใช้เป็นเครื่องแต่งกายร่วมในพิธีพร้อมกับ สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสด้วย สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส เสด็จเยือนราชอาณาจักรไทยระหว่างวันที่ 20-23 พ.ย. 2562 ตามคำกราบบังคมทูลเชิญของรัฐบาลไทยและสภาประมุขบาทหลวงโรมันคาทอลิกแห่งประเทศไทย เนื่องในโอกาสเชิญเฉลิมฉลอง 350 ปี แห่งการสถาปนามิสซังสยาม และฉลอง 50 ปีแห่งสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างราชอาณาจักรไทยและนครรัฐวาติกัน

Read More

22/11/2562

สินทรัพย์ปลอดภัย คืออะไร


Safe Haven คือที่หลบภัยในการลงทุน เป็นทรัพย์สินอะไรก็ได้ที่นักลงทุนสามารถเข้าไปทำกำไรหรือนำเงินลงทุนไปพักไว้ชั่วคราวเมื่อตลาดอยู่ในภาวะผันผวน ซึ่งอันดับแรกที่นักลงทุนจะนึกถึงก็คือ มองคำนั่นเอง ทองคำ เป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ได้รับความนิยมของนักลงทุน โดยให้ผลตอบแทนเป็นส่วนต่างของราคาซื้อขาย ซึ่งทองคำถือเป็นสินทรัพย์ที่สามารถป้องกันความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อได้ เพราะทองคำบนโลกนั้นมีอยู่อย่างจำกัด ไม่เหมือนเงินสกุลต่างๆ ที่สามารถพิมพ์เพิ่มขึ้นใหม่ได้ตลอดเวลา ปัจจุบัน การลงทุนในทองคำมีทั้งการซื้อทองคำจริงๆ มาเก็บไว้หรือ ลงทุนทางอ้อมผ่านกองทุนรวมทองคำนอกจากนี้ยังมีทรัพย์สินอื่นๆที่อยู่ในฐานะ Safe Haven ด้วยได้แก่พันธบัตรรัฐบาล เป็นตราสารหนี้ระยะยาวออกโดยหน่วยงานราชการ หรือรัฐบาล มีผลตอบแทนเป็นอัตราดอกเบี้ย แม้ว่าพันธบัตรรัฐบาลมีผลตอบแทนต่ำ แต่ก็มีความผันผวนน้อย เมื่อเทียบกับสินทรัพย์อื่นๆ เพราะเราจะได้ดอกเบี้ยในอัตราที่แน่นอน และได้เงินต้นคืนเมื่อครบกำหนดอายุ เงินสด เรามักได้ยินคำพูดที่ว่า“Cash is King” แม้ว่าเงินสดจะเป็นที่การลงทุนที่มีความไม่แน่นอน และการถือเงินสดก็ไม่ได้สร้างผลตอบแทนอะไร แต่นักลงทุนบางคน ยอมที่จะถือเงินสดอยู่ในมือมากๆ โดยอาจฝากธนาคารไว้ เพื่อรอโอกาสเข้าไปลงทุน เวลาที่สินทรัพย์หลายๆ อย่าง มีราคาลดลง เมื่อเทียบผลตอบแทนของสินทรัพย์ที่เป็น Safe Haven ทั้ง 3 ประเภทระหว่างปี 2008-2018 จะพบว่าทองคำให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 4.3% ต่อปี พันธบัตรรัฐบาล 10 ปี ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 3.2% ต่อปี เงินสด (กรณีฝากประจำ 12 เดือน) ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 1.7% ต่อปี ในขณะที่ผลตอบแทนของตลาดหุ้น SET Index ในช่วงเวลาดังกล่าวซึ่งอาจมีความผันผวนและไม่จัดอยู่ในทรัพย์สินปลอดภัยกลับให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี 13.3% ซึ่งมากกว่าทองคำ พันธบัตรรัฐบาล 10 ปี และ เงินสด จึงอาจกล่าวได้ว่า ในช่วงที่ภาวะการลงทุนมีความไม่แน่นอนและผันผวนสูง การนำเงินมาลงทุนในสินทรัพย์ที่เป็นหลุมหลบภัยเป็นการรักษาเงินต้นมากกว่าที่จะสร้างผลตอบแทนสูงๆ เพราะโดยธรรมชาติแล้ว การลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำย่อมได้ผลตอบแทนที่ต่ำตามไปด้วย สำหรับประเทศไทยเอง ถูกนักลงทุนต่างชาติมองว่าเป็นแหล่งลงทุนที่ปลอดภัยในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่(Emerging Markets: EMs) ส่วนหนึ่งเพราะมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ดี คือ ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลสูงทั้งในดุลการค้าและบริการ เงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ สูงขึ้นหลังรัฐบาลเร่งผลักดันโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ด้านคมนาคมขนส่ง พลังงาน สาธารณูปโภค เครือข่ายดิจิทัล รวมถึงโครงการ EEC และมีความชัดเจนในนโยบายส่งเสริมการลงทุนเพื่อดึงดูดอุตสาหกรรมใหม่ๆ ทำให้เศรษฐกิจไทยมีกระแสรายได้เงินตราต่างประเทศเข้ามาต่อเนื่อง เสถียรภาพต่างประเทศเข้มแข็งจากเงินสำรองระหว่างประเทศสูง สัดส่วนหนี้ต่างประเทศต่ำ และสัดส่วนนักลงทุนต่างชาติที่ถือหลักทรัพย์ไทยไม่สูงนัก ทำให้ไทยสามารถรองรับความผันผวนการไหลเข้าออกของเงินลงทุนต่างชาติได้ค่อนข้างดี อย่างไรก็ดี การถูกมองเป็นแหล่งลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยก็มีส่วนทำให้ค่าเงินแข็งกว่าประเทศอื่น

Read More

22/11/2562

เงินกับทอง ของคู่กัน


เงิน ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างกัน ดังนั้นความเชื่อมั่น จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะเมื่อขายสินค้าเพื่อแลกกับเงิน ย่อมต้องการความมั่นใจว่าเงินนั้นสามารถนำไปแลกเป็นสินค้าอื่นๆที่เราต้องการต่อไปได้ ในสมัยโบราณมนุษย์จึงใช้สิ่งที่เชื่อว่ามีมูลค่ามากมาเป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยน เช่นเกลือ โลหะมีค่าต่างๆและทองคำ ในช่วงศตวรรษที่ 19 จักรวรรดิอังกฤษเป็นศูนย์กลางการเงินที่สำคัญที่สุดของโลกได้นำ “ระบบมาตรฐานทองคำ (Gold Standard)” มาใช้ผูกกับเงินปอนด์ในฐานะสกุลเงินหลักของโลก จนมาถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1รัฐบาลของประเทศต่างๆ มักจะห้ามการนำเข้าหรือส่งออกทองคำ เนื่องจากต้องการเก็บทองคำไว้ในประเทศของตนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการซื้อสินค้าหรือแม้แต่อาวุธที่จำเป็นในยามสงคราม เนื่องจากเชื่อมั่นในทองคำมากกว่าเงินสกุลต่างๆทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนทองคำขึ้น ซึ่งนำไปสู่ระบบการเงินใหม่ที่เรียกว่า “มาตราปริวรรตทองคำ (Gold Exchange Standard)”มาตราปริวรรตทองคำ คือ ให้ประเทศที่มีเศรษฐกิจแข็งแกร่งและเป็นศูนย์กลางการเงิน เป็นผู้ถือทองคำแทนประเทศต่างๆ และประเทศเหล่านั้นก็นำเงินของประเทศศูนย์กลางนี้ไปถือไว้แทนทองคำ ช่วงนี้เองที่ อังกฤษเริ่มสูญเสียความเป็นพี่ผู้นำในเงินสกุลปอนด์ให้กับเงินดอลลาร์ของประเทศเกิดใหม่อย่าง สหรัฐอเมริกา และ“ดอลลาร์สหรัฐ” ก็กลายมาเป็นสกุลเงินที่สำคัญที่สุดจนถึงปัจจุบัน ระยะแรกนั้นเงินดอลลาร์สามารถนำไปแลกกลับมาเป็นทองคำได้ ในฐานะใบแทนทองคำแต่ในเวลาต่อมามีการพิมพ์เงินดอลลาร์ออกมาเกินกว่าปริมาณทองคำที่มีอยู่ ทำให้รัฐบาลสหรัฐไม่สามารถหาทองคำที่มีมูลค่าเท่ากันมาคืนให้ได้หากมีการขอแลกเงินกลับไปเป็นทองคำ ซึ่งว่ากันว่ารัฐบาลสหรัฐพิมพ์เงินออกมาเป็นมูลค่าเท่ากับทองคำอย่างน้อย 30,000 ตันในขณะที่ทองจริงๆนั้นมีเพียงราว 6,000 ตันเท่านั้นด้วยเหตุนี้รัฐบาลสหรัฐจึงแก้ปัญหาการมีทองคำไม่พอด้วยการยกเลิกการผูกติดเงินดอลลาร์กับทองคำและออกกฎหมาย(5 มิถุนายน 1933) ห้ามเจ้าหนี้เรียกคืนหนี้ ในรูปแบบทองคำแต่ให้เรียกคืนหนี้ในรูปแบบเงินดอลลาร์เท่านั้น นั่นคือเริ่มต้นของออกจากมาตรฐานทองคำอย่างเต็มตัว แต่ถึงแม้จะยกเลิกมาตรฐานทองคำแล้ว คนก็ยังเชื่อมั่นในเงินดอลลาร์อยู่จนในปี 1971 ประธานาธิปดีนิกสัน ได้ประกาศเลิกรับแลกดอลลาร์สหรัฐกับทองคำโดยสิ้นเชิง ทองคำจึงได้จบการทำหน้าที่เป็นเงินสำรองระหว่างประเทศโดยสมบูรณ์มาตั้งแต่นั้นปัจจุบันสิ่งที่เป็นหลักค้ำประกันแทนทองคำ คือ เงินตราสำรองต่างประเทศ โดยเกือบทุกประเทศก็จะมีเงินดอลลาร์ หรือ พันธบัตรรัฐบาลของสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก อาจจะมีบ้างที่ทุนสำรองระหว่างประเทศยังเป็นรูปแบบทองคำ แต่ก็ถือเป็นสัดส่วนที่น้อยมากประเทศที่มีเงินสำรองระหว่างประเทศมากที่สุดในโลกตอนนี้ คือ ประเทศจีน ซึ่งมีมากถึง 100 ล้านล้านบาท

Read More

22/11/2562

ซื้อทองจริงหรือซื้อกองทอง แบบไหนดีกว่ากัน


ปัจจุบันการลงทุนในทองคำได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ทั้งในรูปแบบของการสะสมทองคำแท่งซึ่งเป็นการลงทุนที่ง่ายและคนไทยคุ้นเคยที่สุด กับการลงทุนในรูปแบบใหม่ๆที่นักลงทุนอาจยังไม่ค่อยคุ้นเคยเช่นการลงทุนในกองทุนทองคำหรือ Gold Fund จึงทำให้ไม่แน่ใจว่าการลงทุนแบบไหนดีกว่ากัน ก่อนอื่นคงต้องบอกว่าการลงทุนกับทองคำนั้นให้ประโยชน์หลายทางเช่น มีโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการที่ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นแม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาราคาทองคำอาจจะมีความผันผวน แต่เนื่องจากทองคำเป็นทรัพยากรที่จำกัดทำให้ทองคำมีโอกาสที่จะมีราคาสูงขึ้นได้ในระยะยาว ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อได้เพราะถ้าอัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น ราคาทองคำก็มักจะขยับขึ้นด้วย นอกจากนี้ยังเป็นการกระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยงด้วย ในส่วนของข้อดี ข้อเสีย ของการลงทุนในทองคำแท่งและทองทุนทองคำ มีเรื่องที่นักลงทุนต้องคำนึงถึงคือ การลงทุนในทองคำแท่งนั้น ต้องคำนึงถึงราคาทองคำที่มีความผันผวน เรื่องของการเก็บรักษาและส่วนต่างของราคาระหว่างซื้อขาย จะเห็นว่าการลงทุนทองคำแท่งมีข้อจำกัดหลายอย่าง แต่ข้อดีคืออุ่นใจที่มีทองเก็บไว้ในมือ การลงทุนกองทุนรวมทองคำหรือ Gold Fund นั้นเป็นการลงทุนทางอ้อมผ่านกองทุนหลักในต่างประเทศ โดยการนำเงินไปลงทุนในทองคำแท่ง 99.99% หรือ 99.50% อีกทีหนึ่ง มูลค่าหน่วยลงทุนของกองทุนรวมจึงไม่ได้ขึ้นลงตามราคาทองคำในประเทศ แต่จะอิงกับราคาทองคำโลก แต่การที่กองทุนนำเงินไปลงทุนในต่างประเทศก็มีความเสี่ยงในเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยนมาเกี่ยวข้องด้วย ข้อดีของการลงทุนในกองทุนรวมทองคำ คือ นักลงทุนใช้เงินลงทุนเริ่มต้นไม่มาก ส่วนใหญ่กำหนดเงินลงทุนไว้ต่ำกว่า 10,000 บาท และสามารถทำการซื้อขายได้สะดวกโดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปร้านทอง และปลอดภัยเนื่องจากไม่ต้องกังวลเรื่องการสูญหาย มีมืออาชีพคอยดูแลบริหารจัดการให้ และมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากส่วนต่างมูลค่าหน่วยลงทุนเมื่อสั่งขายหรือได้รับเงินปันผลจากกองทุนนอกจากนี้ หากต้องการขายทำกำไรหรือทยอยสะสมซื้อ ก็สามารถทำได้โดยไม่ต้องซื้อหรือขายทองคำแท่งทั้งก้อน แต่ข้อเสียคือจะมีค่าธรรมเนียมในการบริหารจัดการ จึงเหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะยาว และไม่มีเวลาติดตามราคาทองคำมากนัก โดยสิ่งที่เราจะนำมาพิจารณาในการเลือกลงทุนในกองทุนรวมทองคำ ได้แก่ ผลตอบแทนย้อนหลัง ค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมของกองทุน และนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ในการเลือกซื้อกองทุนรวมทองคำ หากสนใจเฉพาะผลตอบแทนจากราคาทองคำเพียงอย่างเดียว โดยไม่สนใจผลตอบแทนจากอัตราแลกเปลี่ยน ก็อาจเลือกลงทุนในกองทุนรวมที่ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไว้เต็มจำนวน (Fully Hedged) แต่ถ้าหาโอกาสทำกำไรเพิ่มเติมจากอัตราแลกเปลี่ยนด้วย ก็ควรเลือกลงทุนในกองทุนรวมที่ไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงไว้เลย (Non-hedged) แต่ต้องระวังว่ามีโอกาสขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนได้เช่นกัน

Read More

22/11/2562

พระสันตะปาปา กับ แหวนชาวประมง


แหวนชาวประมง (The Ring of the Fisherman) เป็นเครื่องหมายประจำพระองค์ของสมเด็จพระสันตะปาปา ประมุขแห่งศาสนจักรโรมันคาทอลิก ถือเป็นหนึ่งในเครื่องสมณกกุธภัณฑ์ในพระสันตะปาปา ปรากฏครั้งแรกในปี ค.ศ. 1265 ในสมัยพระสันตะปาปาเคลเมนต์ที่ 4 (Pope Clement IV) สมเด็จพระสันตะปาปาพระองค์ที่ 183 ซึ่งตามธรรมเนียมปฏิบัติของวาติกันพระคาร์ดินัลผู้ที่ได้การคัดเลือกให้เป็นสมเด็จพระสันตะปาปา (ได้คะแนนเสียงมากที่สุดจากการประชุมของคณะพระคาร์ดินัลทั้วโลก)จะได้รับแหวนทองซึ่งสลักรูปนักบุญปีเตอร์สมเด็จพระสันตะปาปาพระองค์แรกในอิริยาบถกำลังเหวี่ยงแหจับปลาเนื่องด้วยพระองค์เคยเป็นชาวประมงมาก่อน โดยมีการสลักพระนามของสมเด็จพระสันตะปาปาพระองค์ปัจจุบันไว้ที่บริเวณหัวแหวนแหวนชาวประมงนี้นอกจากใช้เป็นเครื่องแสดงสมณศักดิ์แล้ว ในอดีตยังถูกใช้เป็นตราประทับบนเอกสารควบคู่กับลายเซ็นของพระสันตะปาปาด้วยแต่ภายหลังถูกยกเลิกไป และเมื่อสมเด็จพระสันตะปาปาพระองค์นั้นๆสิ้นพระชนม์ลง สำนักวาติกันจะมีการประกอบพิธีทำลายแหวนโดยคาเมอร์เลงโก(Camerlengo)หรือเลขาธิการพระราชวังพระสันตะปาปา ด้วยการใช้ฆ้อน ทุบทำลายแหวนให้ยุบตัวลง ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์แห่งการสิ้นสุดสมัยของสมเด็จพระสันตะปาปาพระองค์นั้น และเพื่อเป็นการป้องกันการแอบอ้างนำตราประจำพระองค์ไปใช้โดยมิชอบอีกด้วย สำหรับสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ที่ 1 (Pope Francis) ประมุขแห่งศาสนจักรโรมันคาทอลิกพระองค์ที่ 266 องค์ปัจจุบันนได้เลือกแหวนชาวประมง ที่ทำจากเงินเป็นแหวนประจำตำแหน่งแทนแหวนทองคำ ออกแบบโดย เอ็นริโก้ มานฟรินี ประติมากรชาวอิตาลี ผู้สร้างผลงานทางศาสนามาหลายชิ้น รวมทั้งยังได้เคยออกแบบแหวนให้สมเด็จพระสันตะปาปาอีกหลายองค์ เช่น สมเด็จพระสันตะปาปาปีอุส ที่ 12 และสมเด็จพระสันตะปาปาปอล ที่ 4 โดยลวดลายของแหวนนั้น เป็นรูปของนักบุญเซนต์ ปีเตอร์ ถือกุญแจไว้คู่หนึ่ง ซึ่งแทนสัญลักษณ์ของสมเด็จพระสันตะปาปา ที่ได้กุมกุญแจสู่สรวงสวรรค์ที่นักบุญเซนต์ ปีเตอร์มอบให้ เป็นแหวนวงใหม่ที่ใช้ลวดลายแบบเดียวกับแหวนวงเดิมที่ใช้โดยสมเด็จพระสันตะปาปาปอลที่ 4 ไม่มีการบอกเหตุผลว่าเพราะเหตุใดสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส จึงเลือกแหวนที่ทำจากเงินชุบทองแทนแหวนที่ทำจากทองคำ และก่อนหน้านี้สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ปฏิเสธการแขวนสร้อยคอกางเขนทองคำของสมเด็จพระสันตะปาปา ในการปรากฏตัวครั้งแรกหลังจากการเลือกตั้งอีกด้วยและเป็นที่น่ายินดีสำหรับคริสต์ศาสนิกชน คาทอลิกในประเทศไทย เมื่อสำนักวาติกันเปิดเผยว่า สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส (Pope Francis) ประมุขแห่งศาสนจักรโรมันคาทอลิกพระองค์ที่ 266 มีหมายกำหนดการเสด็จเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 20-23 พฤศจิกายนนี้ พระองค์ทรงเป็นสมเด็จพระสันตะปาปาพระองค์ที่ 2 ที่เสด็จเยือนประเทศไทย ต่อจากสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอล ที่ 2 (Pope John Paul II) ซึ่งเสด็จมาเมื่อเดือนพฤษภาคม 1984 การเสด็จเยือนประเทศไทยของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสในครั้งนี้ ยังตรงกับวาระ 350 ปี แห่งการสถาปนาศาสนจักรคาทอลิกไทยอีกด้วย

Read More

Loading...
More