บทความทั้งหมด

27/09/2561

สภาทองคำโลก


เรามักได้เห็นชื่อ “สภาทองคำโลก” อยู่บ่อยๆตามสื่อต่างๆในฐานะองค์กรที่คอยรายงานสถานการณ์ทองคำในตลาดโลก ปริมาณดีมานด์-ซัพพลาย หรือการเผยแพร่งานวิจัย บทวิเคราะห์ที่เกี่ยวข้องกับทองคำ จริงๆแล้วสภาทองคำโลกคืออะไร และมีหน้าที่อะไรสภาทองคำระดับโลก หรือ World Gold Council (WGC) เป็นองค์กรพัฒนาตลาดสำหรับอุตสาหกรรมทองคำ ก่อตั้งขึ้นเพื่อกระตุ้นและรักษาอุปสงค์ทองคำให้มีความยั่งยืน นอกจากนี้สภาทองคำโลกยังทำหน้าที่กระตุ้นความต้องการทองคำในตลาดใหม่ๆโดยร่วมมือกับผู้นำในอุตสาหกรรมอัญมณีและสถาบันการศึกษาระดับโลกทำการศึกษา วิจัยห่วงโซ่อุปทานเพื่อให้มั่นใจว่าอุตสาหกรรมเหมืองแร่ทองคำจะมีความยั่งยืนและรับผิดชอบต่อผู้บริโภคล่าสุด สภาทองคำโลก ได้เผยแพร่บทความพิเศษ ที่มีชื่อว่า “Gold 2048” พูดถึงทิศทางของตลาดทองคำ ในอีก 30 ปีข้างหน้า โดยได้ผู้เชี่ยวชาญชั้นนำในอุตสาหกรรมทองคำจากทั่วโลกมาร่วมกันวิเคราะห์ ซึ่งข้อสรุปสำคัญที่ได้จากข้อเขียนนี้คือการขยายตัวของชนชั้นกลางในจีนและอินเดีย รวมถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจในวงกว้างมากขึ้น จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อความต้องการทองคำการใช้ทองคำในภาคพลังงาน เฮลท์แคร์ และเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่สถานะของทองคำจะยังคงเป็นวัตถุทางเลือกต่อไป และจะค่อยๆเปลี่ยนแปลงในอีกหลายทศวรรษข้างหน้าแอปพลิเคชันมือถือสำหรับการลงทุนในทองคำ ซึ่งจะช่วยให้บุคคลทั่วไปสามารถซื้อ,ขาย ลงทุนและมอบทองคำเป็นของขวัญจะได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วในอินเดียและจีนประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและการเมืองการปกครองจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการปรับเปลี่ยนรูปแบบวิธีการผลิตของอุตสาหกรรมเหมืองแร่อุตสาหกรรมเหมืองแร่ทองคำจะต้องรับมือกับความท้าทายในการผลิตทองคำให้ได้ในระดับใกล้เคียงกับระดับเดิมในอีก 30 ปีข้างหน้า เพื่อให้สอดคล้องกับปริมาณที่เคยส่งมอบในอดีตบทความนี้สรุปไว้ในตอนท้ายว่า ในอีก 30 ปีข้างหน้า ตลาดทองคำจะพบกับเปลี่ยนแปลงในครั้งสำคัญ บางสิ่งเป็นเรื่องที่ได้คาดการณ์ไว้แล้ว แต่บางสิ่งก็อยู่เหนือความคาดหมายเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

27/09/2561

วงจรชีวิตของเหมืองทองคำ


การทำเหมืองแร่เป็นเพียงขั้นตอนเดียวในกระบวนการทำเหมืองทองคำที่ใช้เวลายาวนานและซับซ้อน ก่อนที่ทองคำจะถูกสกัดออกมาต้องผานกระบวนการต่างๆมากมายตั้งแต่การสำรวจ พัฒนา การประเมินปริมาณสินแร่ ก่อนที่จะเปิดเหมืองเพื่อขุดทองจนถึงการปิดเหมืองและการฟื้นฟูสภาพแวดล้อม ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นวงจรชีวิตของเหมืองทองคำการสำรวจเหมืองทองคำ การสำรวจเหมืองทองเป็นเรื่องที่ท้าทายและซับซ้อน ต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญในหลายด้าน เช่น ด้านภูมิศาสตร์ ด้ารธรณีวิทยา ด้านเคมี และด้านวิศวกรรมในขณะที่ความเป็นไปได้ที่จะค้นพบแหล่งทรัพยากรจนนำไปสู่การพัฒนาเป็นเหมืองทองนั้นมีน้อยกว่า 0.1% ขั้นตอนการสำรวจนี้ใช้เวลา 1 - 10 ปีการพัฒนาเหมืองทองคำการพัฒนาเหมืองทองเป็นขั้นตอนที่สองของกระบวนการทำเหมืองแร่ทองคำ โดยเมื่อพบพื้นที่ๆเหมาะสมแล้ว บริษัทเหมืองแร่จะต้องทำการวางแผนการก่อสร้างเหมือง การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆเพื่อรองรับความต้องการด้านลอจิสติกส์และสวัสดิการของพนักงาน ทั้งนี้บริษัทเหมืองแร่ต้องได้รับใบอนุญาตให้เข้าดำเนินกิจการก่อนจึงจะสามารถเริ่มการก่อสร้างได้ โดยทั่วไปจะใช้เวลา 1 - 5 ปี ขึ้นอยู่กับสถานที่ การทำเหมืองแร่ทองคำขั้นตอนการทำเหมืองแร่ทองคำหมายถึงอายุการใช้งานของเหมืองซึ่งในระหว่างนั้นแร่จะถูกสกัดและแปรรูปเป็นทองคำโดยทั่วไปจะมีทองคำ 60-90% เหมืองแต่ละแห่งจะมีอายุการใช้งาน 10 - 30 ปีการปลดประจำการเหมืองแร่ทองคำหลังจากที่เหมืองหยุดการดำเนินงานอาจเป็นเพราะแร่หมดหรือเหลือแร่ในปริมาณน้อยมากไม่คุ้มค่าการลงทุนต่อไป บริษัทเหมืองแร่ต้องทำการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากพื้นที่ และทำการฟื้นฟูพื้นที่ สภาพแวดล้อม เพื่อให้กลับมาอยู่ในสภาพที่ดีอีกครั้ง และเพื่อทำให้แน่ในว่าจะไม่มีปัญหาสิ่งแวดล้อมเกิดขึ้นตามมาในระยะยาว ซึ่งในการฟื้นฟูนี้จะต้องใช้เวลานาน 1 - 5 ปีหลังการปิดเหมืองเพราะเป็นงานที่ซับซ้อนและต้องใช้เวลา เช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

27/09/2561

ดูแลทองอย่างไรไม่ให้สึกหรอ


หลายคนไม่รู้จักวิธีดูแลรักษาทองรูปพรรณ ทำให้เกิดการชำรุดสึกหรอทั้งที่ความจริงสามารถป้องกันและหลีกเลี่ยงได้ รวมถึงไม่รู้จักการทำความสะอาด ส่วนมากมักไปให้ร้านทองล้างให้ทั้งที่สามารถทำได้ง่ายๆด้วยตัวเองการทำความสะอาดทองมีหลายวิธี สามารถเลือกใช้ได้ตามความสะดวก วิธีที่ 1. นำเครื่องประดับทองไปแช่ในน้ำอุ่นผสมกับน้ำยาล้างจานแล้วขัดด้วยแปรงสีฟันขนนุ่มๆและล้างออกด้วยน้ำสะอาดวิธีที่ 2. ใช้แปรงสีฟันชุบยาสีฟัน แปรงให้ทั่วๆแล้วล้างด้วยน้ำสะอาดเสร็จแล้วเช็ดให้แห้งด้วยผ้านิ่มๆวิธีที่ 3. แช่น้ำมะนาวไว้ประมาณ 1 วัน หลังจากนั้นถูคราบสกปรกออกเบาๆเช็ดให้แห้ง โรยด้วยแป้งเด็ก ใช้ผ้านิ่มๆขัดอีกรอบเพื่อความเงางามวิธีที่ 4. ขัดด้วยน้ำมะขามเปียก แล้วล้างน้ำออกให้สะอาดและเช็ดให้แห้งวิธีที่ 5. ในกรณีที่เครื่องประดับมีลวดลายละเอียดมากๆ การขัด หรือแปรงอาจทำให้เกิดความเสียหายได้ ให้ใช้น้ำเดือดผสมโซเดียมไบคาร์บอเนตหนึ่งหยิบมือ แล้วนำทองลงไปแช่ทีละชิ้น ใช้เวลาประมาณ 30 วินาที จากนั้นนำขึ้นมาซับให้แห้งด้วยผ้านิ่ม แต่วิธีนี้ห้ามใช้กับเครื่องประดับที่ตกแต่งด้วยพลอย เพราะอาจทำให้พลอยร้าวเกิดความเสียหายได้การทำเครื่องประดับทอง จะช่วยให้เครื่องประดับกลับมาเงางามเหมือนใหม่อีกครั้ง เพราะเมื่อใช้สร้อย แหวน กำไล สร้อยข้อมือฯ ไปนานๆเมื่อไปสัมผัสกับเหงื่อซึ่งมีความเป็นกรดและมีความเค็มก็จะทำให้เครื่องประดับเหล่านั้นหมองคล้ำไปได้ อีกทั้งในขณะสวมใส่เครื่องประดับทองก็ต้องระมัดระวังเพื่อไม่ให้เกิดชำรุดเสียหายเช่น ควรถอดเครื่องประดับทองออกก่อนทุกครั้งเมื่อจะว่ายน้ำในสระว่ายน้ำ เนื่องจากคลอรีนในน้ำ อาจทำลายผิวของทองหรือทำให้หนามเตยคลายออกได้ รวมถึงการแช่ตัวในอ่างน้ำร้อน ออนเซน หรือน้ำที่มีอุณหภูมิสูงด้วย เวลาใช้โลชั่นหรือสเปรย์ต่าง ๆ ก็ต้องระวังอย่าให้โดนเครื่องประดับที่ทำจากทอง เพราะ ไขมันจากเครื่องสำอางเหล่านี้จะไปเคลือบผิวทองทำให้ความแวววาวของทองคำลดลงได้ การเก็บรักษาก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ไม่ควรเก็บเครื่องประดับทองไว้รวมกัน เพราะอาจจะขูดขีดกันเป็นรอยได้ ควรแยกเก็บโดยอาจจะใช้กระดาษทิชชู หรือสำลีม้วนเก็บไว้หรือใส่กล่องแยกเก็บทีละชิ้นก็ได้การดูแลรักษาเครื่องประดับทอง ก็เพื่อให้ของเหล่านี้สวย เงางาม อยู่กับเราไปนานๆนั่นเองเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

27/09/2561

ตู้เอทีเอ็ม(กด)ทองคำ


ปัจจุบันการซื้อ-ขาย ทองคำไม่จำเป็นต้องไปที่ร้านทองเสมอไป เพราะวิวัฒนาการของเทคโนโลยีทำให้ลูกค้าสามารถซื้อทองผ่านตู้เอทีเอ็มได้แล้ว และหลายประเทศได้นำมาให้บริการแล้วรวมถึงประเทศไทยด้วย ที่ประเทศอังกฤษ ในศูนย์การค้า Westfield ลูกค้าสามารถใช้บัตรเครดิตหรือเงินสด เพื่อซื้อเหรียญทองคำ หรือทองคำแท่งขนาดต่างๆ ได้ตั้งแต่เหรียญฯทองคำแท้ 24 กะรัตไปจนถึงทองคำแท่งขนาดต่างๆ เพียงแค่สัมผัสหน้าจอเลือกขนาดทองคำที่ต้องการ แล้วเสียบบัตรเครดิตหรือสอดธนบัตรเข้าไปตามราคาทองคำที่เลือก ภายในไม่กี่วินาทีทองคำพร้อมกล่องใส่ก็จะร่วงลงมาทางช่องรับ แต่เนื่องจากราคาทองคำมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ตู้หยอดเหรียญฯ Gold to Goจึงมีการอัพเดตราคาทุกๆ10 นาที เพื่อรักษาส่วนต่างกำไรให้อยู่ในระดับเดียวกับท้องตลาด และลูกค้าสามารถสั่งซื้อทองคำได้สูงสุดถึง 10,000 เหรียญสิงคโปร์ เป็นประเทศแรกในเอเชียที่ให้บริการตู้เอทีเอ็มทองคำในปี 2014 โดยบริษัท Asia Gold ATM มีการติดตั้งเครื่องเอทีเอ็มกดเหรียญทองคำจำนวน 2 เครื่อง ติดตั้งที่รีสอร์ต เวิลด์ เซนโตซาเครื่องหนึ่ง และอีกเครื่องติดตั้งไว้ที่ มารินา เบย์ แซนด์ สำหรับเหรียญทองคำที่อยู่ในเครื่องเอทีเอ็ม เป็นเหรียญทองที่ผลิตโดยบริษัท PAMP ซึ่งเป็นบริษัทผลิตทองที่มีชื่อเสียงในสวิตเซอร์แลนด์ มีหลากหลายขนาดตั้งแต่ขนาดน้ำหนักน้อยสุด 1 กรัม ไปจนถึง 10 กรัม ขณะที่ราคาของเหรียญทองคำจะแตกต่างกันไปในแต่ละวัน อินเดีย BlueStone บริษัทจำหน่ายเพชรและอัญมณีออนไลน์เปิดให้บริการตู้เอทีเอ็มกดทองคำทางตอนใต้ของเมืองบังกาลอร์ เพื่อต้อนรับเทศกาลดิวาลี ซึ่งเป็นเทศกาลสุดยิ่งใหญ่ของชาวฮินดู ซึ่งเริ่มให้ บริการครั้งแรกเมื่อปี 2016 ตู้เอทีเอ็มกดทองคำนี้มีระบบการทำงานเหมือนตู้เอทีเอ็มกดเงินสดทั่วไปมีเหรียญทองคำจำหน่ายตามราคาทองคำในท้องตลาด ตั้งแต่น้ำหนัก 1–20 กรัม โดยลูกค้าสามารถเลือกชำระแบบเงินสดหรือบัตรเครดิตก็ได้ และบริษัทก็มีแผนจะติดตั้งตู้เอทีเอ็มทองคำในเมืองอื่นๆอีกรวมถึงกรุงนิวเดลีด้วยที่อาบูดาบี ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรต โรงแรมชั้นนำแห่งหนึ่งเอาใจลูกค้าที่มาพักในโรงแรมด้วยการติดตั้งตู้เอทีเอ็มจำหน่ายทองคำอัตโนมัติ ที่นำเข้าจากเยอรมนี ทองคำที่ซื้อผ่านตู้นี้เป็นทองคำแท่งขนาดเล็กหนักสูงสุด 10 กรัม รวมทั้งเหรียญทองคำขนาดต่างๆ โดยบนเครื่องเอทีเอ็มจะมีการอัพเดทราคาทองคำที่ซื้อขายกันในตลาดทุกๆ10 วินาที ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งนายโธมัส ไกลเลอร์ ผู้ผลิตตู้เอทีเอ็มอธิบายว่าการซื้อขายทองผ่านเอทีเอ็มทำได้ง่ายมาก แค่สอดเงินเข้าไปในตู้ ทองคำก็จะไหลออกมาตามจำนวนเงินที่สั่งซื้อ และต่อไปก็อาจใช้บัตรเอทีเอ็มซื้อทองคำได้ประเทศไทย ฮั่วเซ่งเฮง ถือเป็นเจ้าแรกของเมืองไทยที่นำระบบตู้ขายทองคำอัตโนมัติมาใช้เมื่อปี 2016 ซึ่งทำให้การซื้อทองคำเป็นเรื่องง่ายขึ้น โดยลูกค้าเพียงเสียบบัตรประจำตัวประชาชนและบัตรเดบิตธนาคารกรุงเทพ ทำรายการซื้อตามที่ต้องการ จากนั้นตู้จะออกใบฝากทองคำยืนยันการซื้อซึ่งมีค่าเสมือนทองคำจริง ซึ่งแตกต่างกับตู้เอทีเอ็มกดทองคำของที่อื่นคือจะไม่มีการใส่ทองคำของจริงเอาไว้ที่ตู้ ทั้งนี้ราคาซื้อขายจากตู้อัตโนมัติจะอัพเดทตลอดเวลา ตู้เอทีเอ็มกดทองคำเหล่านี้มีจุดประสงค์เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในปัจจุบันที่มีไลฟ์สไตล์การดำเนินชีวิตที่เน้นความสะดวกสบาย ช่วยประหยัดเวลา ไม่ต้องเดินทางไปซื้อทองในร้านขายทองทั่วไปด้วยเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

27/09/2561

ธนาคารทองคำ


อินเดียเป็นประเทศที่มีการบริโภคทองคำมากติดอันดับโลกทุกปี(อันดับ1และ2 สลับกันกับประเทศจีน) เพราะมีประชากรจำนวนมากและมีวิถีวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องการใช้ทองคำงานในเทศกาลและงานประเพณีต่างๆเช่น เทศกาลดิวาลี และงานแต่งงาน เป็นต้น ชาวอินเดียนิยมซื้อทองคำมาเก็บไว้ทั้งในรูปแบบที่เป็นเครื่องประดับ ทองคำแท่ง และเหรียญทองคำ เพื่อแสดงสถานะทางสังคมและเพื่อการลงทุน ด้วยการบริโภคทองคำจำนวนมากนี้เอง ทำให้อินเดียต้องพึ่งพาการนำเข้าทองคำจากต่างประเทศ ผลที่ตามมาคือการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ในปี 2015 รัฐบาลอินเดียจึงต้องใช้นโยบายคุมเข้มการนำเข้าทองคำด้วยมาตรการทางภาษี และการริเริ่มโครงการ ฝากทองไว้กับธนาคาร หรือGold Deposit Scheme: GDS เพื่อจูงใจให้ชาวอินเดียนำทองที่เก็บสะสมไว้มาฝากกับธนาคาร แทนการเก็บรักษาไว้ที่บ้าน หรือฝากไว้ตามร้านทอง โดยไม่ได้รับผลตอบแทนใดๆและจะนำออกมาใช้ก็ต่อเมื่อมีงานแต่งงาน หรืองานเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสต่างๆเท่านั้นแต่หากชาวอินเดียนำทองที่เก็บรักษาไว้มาฝากกับ ธนาคารทองคำ ที่ตั้งขึ้นก็จะได้รับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 0.75 - ร้อยละ 1 ของราคาทองคำที่นำมาฝาก สามารถฝากได้ตั้งแต่ 6 เดือนจนถึง 7 ปีและเมื่อครบอายุการฝากทอง ลูกค้าสามารถเลือกรับคืนในรูปของเงินสด ทองคำแท่งหรือเหรียญทองคำความบริสุทธิ์ 99.99% ก็ได้ หรือจะนำทองคำมาเข้าโครงการต่อเพื่อลงทุนใหม่หรือแม้กระทั่งโอนทองคำของตนไปยังบัญชีลูกค้ารายอื่นก็ได้เหมือนกัน นอกจากนี้ยังมีสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมนอกเหนือจากการได้รับดอกเบี้ยคือ ลูกค้าจะได้รับการยกเว้นภาษีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ที่ได้มาจากการเข้าร่วมโครงการฝากทองอีกด้วยนโยบายการฝากทองไว้กับธนาคารนี้ นอกจากจะให้ผลตอบแทนนักลงทุนในรูปแบบของดอกเบี้ย และช่วยให้ภาคประชาชนลดภาระค่าใช้จ่ายจากการเก็บรักษาทองคำแล้ว การระดมทองคำภายในประเทศยังเป็นการช่วยลดการนำเข้าทองคำจากต่างประเทศช่วยบรรเทาภาวะขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของประเทศอีกทางหนึ่งด้วย นอกจากนี้รัฐบาลอินเดียยังมีการรณรงค์ให้วัดต่างๆ นำทองคำที่ได้รับบริจาคมาฝากไว้กับธนาคารแทนการเก็บไว้ในกรุ เพื่อให้ทองคำเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลจะให้ดอกเบี้ยเป็นการตอบแทนซึ่งที่ผ่านมาวัดหลายแห่งเริ่มทยอยนำทองคำออกมาฝากกับธนาคารแล้วการบริจาคทองคำให้กับวัดเป็นประเพณีที่ชาวอินเดียนิยมปฏิบัติสืบต่อกันมาเช่นวัดติรูปาติ ที่ชาวฮินดูนับถือว่าศักดิ์สิทธิ์ ได้ชื่อว่าเป็นวัดที่มั่งคั่งมากที่สุดในโลก ในแต่ละปีมียอดบริจาคนับพันล้านดอลลาร์ที่มาในรูปของเงิน อัญมณี และทองคำ เฉพาะทองคำที่เก็บสะสมไว้ในวัดมีมากกว่า 7 ตัน คิดเป็นเงินกว่า 1 หมื่นล้านบาทเลยทีเดียวทองคำที่นำมาฝากกับธนาคารจะนำมาหลอมเป็นทองคำแท่งเพื่อจำหน่ายให้ร้านทองและร้านค้าอัญมณี ซื้อไปแปรรูปแทนการนำเข้าทองจากต่างประเทศเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

27/09/2561

TauTona เหมืองทอง“ลึก”สุดโลก


เหมืองทองคำTauTona ตั้งอยู่ในพื้นที่ West Wits ทางฝั่งตะวันตกของ Johannesburg ประเทศแอฟริกา เปิดดำเนินการเมื่อปี 1962มีบริษัท AngloGold Ashanti เป็นเจ้าของ เป็นเหมืองใต้ดินมีความลึกราว 2 กิโลเมตรจากผิวดิน ต่อมาในปี 2006 มีการขยายเหมืองทองเพิ่มขึ้นอีก 2 กิโลเมตร (1.2ไมล์)ทำให้เหมืองTauTona มีความลึกถึง 3.9 กิโลเมตรหรือ 2.4 ไมล์จากผิวดิน กลายเป็นเหมืองทองที่ลึกที่สุดในโลก เนื่องจากมีความลึกมาก ทองคำที่ผลิตได้จากเหมืองTauTona จึงมีคุณภาพดี และสามารถขุดทองคำได้ประมาณ 8-10 ตันต่อปี (เหมืองทองที่จัดว่ามีสินแร่เกรดดี เวลาระเบิดหินขนาด 1 ตัน จะได้แร่ทองคำประมาณ 8-10 กรัม ส่วนเหมืองที่มีสินแร่เกรดไม่ดีระเบิดหินขนาดเท่ากัน จะได้แร่ทองคำเพียง 1-4 กรัมเท่านั้นและเหมืองแบบเปิด (open pits) มักจะมีเกรดต่ำกว่าเหมืองแบบปิดที่ต้องขุดเจาะลงไปใต้ดิน) เหมืองทอง TauTona เปิดดำเนินการมา 56 ปีแล้ว มีคนงานราว 5,600 คน อุโมงค์ต่างๆ ที่อยู่ใต้ดินมีความยาวรวมกัน 800 กิโลเมตร จุดที่ลึกที่สุดมีความลึกเกือบ 4 กิโลเมตร เทียบเท่ากับตึก Empire State เรียงต่อกัน 9 ครั้งคนงานต้องออกจากบ้านตอนตี 3 เพื่อเข้าคิวลงลิฟท์ที่มีความเร็ว 16 เมตรต่อวินาที ต้องต่อลิฟท์ 3 ทอดจึงจะถึงจุดลึกสุด ซึ่งต้องใช้เวลาเกิน 1 ชั่วโมงออกจากลิฟท์แล้วต้องเดินต่ออีก 2-3 กิโล รวมระยะเวลาเดินทางเที่ยวไป 2 ชั่วโมงทำงาน 8-10 ชั่วโมง เมื่อเลิกงานต้องเดินทางขึ้นจากเหมืองอีก 2 ชั่วโมงยิ่งลึกลงไปอากาศยิ่งร้อน อุณหภูมิในชั้นหินสูงถึง 55 องศา ในเหมืองจึงต้องมีเครื่องทำความเย็น แต่ก็ยังมีคนงานที่เจ็บป่วยจาก Heat Stroke แทบทุกวันการทำงานในเหมืองใต้ดิน คนงานต้องเจออันตรายรอบด้าน เช่น หินถล่ม ก๊าซระเบิด น้ำท่วม และแผ่นดินไหว ภายในชั้นใต้ดินของเหมืองทองTauTona มีแผ่นดินไหวทุกวัน เฉลี่ยวันละ 10 ครั้ง และมีคน งานเสียชีวิตเฉลี่ยปีละ 5 คน ในปี2017 AngloGold Ashanti Limited เจ้าของเหมืองทองTauTona เป็นผู้ผลิตทองคำรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก 7% ของทองคำที่ผลิตโดย AngloGold Ashanti นี้ มาจากเหมืองทอง TauTona นี่เองเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

27/09/2561

อุปสงค์-อุปทานของทองคำ


อุปสงค์ของทองคำ(Gold Demand)คือความต้องการใช้ทองคำในตลาดโลกและอุปทานของทองคำ(Gold Supply) คือปริมาณทองคำในตลาดที่ผลิตได้ ซึ่ง Demandและ Supply ของทองคำทั่วโลกมาจากหลายกลุ่มอุปสงค์มาจาก 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ภาคเครื่องประดับ,ภาคอุตสาหกรรมและการแพทย์และภาคการลงทุน1) ภาคเครื่องประดับ ถือเป็นผู้บริโภคทองคำกลุ่มหลักคิดเป็นประมาณร้อยละ 68 ของอุปสงค์ทองคำทั้งหมด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศกลุ่มตะวันออกกลางและเอเชีย โดยเฉพาะอินเดียและจีน คิดเป็นมูลค่ารวมกันกว่าร้อยละ 60 ของการใช้เครื่องประดับทองคำของโลก2) ภาคอุตสาหกรรมการผลิตและการแพทย์ มีการใช้ทองคำเพิ่มขึ้นตลอดช่วงศตวรรษที่ผ่าน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 14 ของอุปสงค์ทั้งหมด และเชื่อว่าประมาณความต้องการทองคำในภาคนี้จะเพิ่มมากยิ่งขึ้นในอนาคต3) ภาคการลงทุน ในอดีตหมายถึงการซื้อทองคำแท่งและเหรียญทองคำ แต่ปัจจุบันรวมถึง การลงทุนแบบสัญญาซื้อขายล่วงหน้า กองทุนรวม จนถึงการลงทุนต่างๆ ที่มีทองคำเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน ในส่วนของอุปทานทองคำ (Gold Supply)ปริมาณทองคำในตลาดมาจาก 4 กลุ่มหลักคือ ผลผลิตจากเหมืองแร่ เศษทองคำเก่าที่หมุนเวียนอยู่ในระบบ การขายจากหน่วยงานภาครัฐ และการขายล่วงหน้าเพื่อป้องกันความเสี่ยงของผู้ผลิต1) ผลผลิตจากเหมืองแร่ ปัจจุบันผลผลิตทองคำจากเหมืองแร่เป็นปัจจัยที่มีบทบาทสำคัญต่ออุปทานของทองคำมากที่สุดคิดเป็นร้อยละ 60 ของปริมาณทองคำในตลาดแต่ละปี ทั้งนี้แอฟริกาใต้เป็นประเทศที่มีการผลิตทองคำออกสู่ตลาดโลกมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 14 ของปริมาณการผลิตทั่วโลก รองลงมาคือ สหรัฐฯ ออสเตรเลีย กลุ่มลาตินอเมริกา จีน รัสเซีย เปรู ฯลฯ ตามลำดับ ซึ่งตั้งแต่ปี1990 เหมืองทองทั่วโลกมีผลผลิตทองคำรวมกันทั้งหมดประมาณ 2,500 ตันต่อปี2) เศษทองคำเก่าที่หมุนเวียนอยู่ในระบบ เป็นทองคำจากผลิตภัณฑ์เก่าที่ถูกแปรรูปแล้วและนำมาสกัดใหม่ในรูปทองคำแท่ง มีบทบาทสำคัญต่อกลไกราคาทองคำ รองจากผลผลิตจากเหมืองแร่ และทำให้ราคาทองคำมีเสถียรภาพมากขึ้น 3) การขายทองคำจากหน่วยงานภาครัฐ ปัจจุบันธนาคารกลางและองค์กรระหว่างประเทศ เช่น IMF ถือครองทองคำในรูปของเงินทุนสำรองรวมกันประมาณร้อยละ 25 ของปริมาณทองคำทั้งหมดที่มีในโลก ธนาคารกลางของประเทศต่างๆจะถือครองทองคำประมาณร้อยละ 10 ของทุนสำรองของประเทศโดยเฉลี่ย ซึ่งธนาคารกลางยังอาจทำการขายทองคำออกสู่ตลาดได้ (ภายใต้เงื่อนไขไม่เกิน 500 ตันต่อปี) 4) การขายล่วงหน้าเพื่อป้องกันความเสี่ยงของผู้ผลิต เมื่อบริษัทเหมืองทองทำการขายทองล่วงหน้า คู่ค้าจะทำธุรกรรมยืมทองคำจำนวนเดียวกันจากผู้ครอบครองทองรายอื่นเช่นธนาคารกลางในปริมาณที่เท่ากันไปขายเพื่อนำเงินที่ไปลงทุนอื่นๆเมื่อถึงกำหนดส่งมอบทองคำตามสัญญา บริษัทเหมืองทองจะส่งมอบทองคำให้กับคู่ค้าในราคาตามที่ตกลงกันไว้ ทางคู่ค้าก็จะนำทองคำที่รับมอบมาส่งคืนให้กับผู้ที่ให้ยืมมาพร้อมค่าธรรมเนียมการกู้ยืมเหล่านี้คืออุปสงค์-อุปทานของทองคำ ที่มีผลต่อราคาและความต้องการทองคำในตลาดโลกเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

27/09/2561

4 ปัจจัยกำหนดราคาทองคำในตลาดโลก


ปัจจุบันการลงทุนในทองคำได้รับความนิยมมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงของราคาทองจึงมีความ สำคัญต่อการตัดสินใจลงทุนและการเก็งกำไร ซึ่งการขึ้นหรือลงของราคาทองขึ้นอยู่กับ 4 ปัจจัยหลักคือ 1.ค่าเงินเหรียญสหรัฐ เนื่องจากดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นเงินสกุลหลักที่ใช้เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนระหว่างสกุลเงินต่างๆ ทั่วโลก ดังนั้นเมื่อค่าเงินเหรียญสหรัฐฯมีสัญญาณอ่อนค่าลง ธนาคารกลางประเทศต่างๆ ที่ถือครองเงินเหรียญสหรัฐฯ มักจะกระจายความเสี่ยง โดยแบ่งเงินไปลงทุนในสินทรัพย์อื่น เช่น เงินสกุลอื่นๆ รวมถึงทองคำ ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นด้วย เพราะการซื้อทองคำเป็นการป้องกันความเสี่ยงในมูลค่าของเงินเหรียญสหรัฐฯนั่นเอง2.อัตราเงินเฟ้อ ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราเงินเฟ้อที่มีประสิทธิภาพ โดยเราจะสังเกตทิศทางอัตราเงินเฟ้อได้จากทิศทางราคาพลังงาน เช่นน้ำมัน และราคาอาหารต่างๆ เพราะเป็นปัจจัยที่มีผลต่อภาวะเงินเฟ้อโดยตรง โดยทั่วไปราคาทองคำจะเพิ่มขึ้น เมื่ออัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น 3.ความเสี่ยงทางการเมืองระหว่างประเทศและระบบการเงิน ราคาทองคำมักจะปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงที่มีความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศ และความไม่แน่นอนในระบบการเงินโลก เนื่องจากในระหว่างที่เกิดเหตุการณ์เหล่านั้น ผู้ลงทุนมักจะป้องกันความเสี่ยงที่สินทรัพย์อื่นจะมีราคาตลาดลดลง ด้วยการย้ายมาถือครองทองคำ จะมากน้อยขึ้นอยู่กับความรุนแรงของเหตุการณ์ 4.อุปสงค์และอุปทาน หากปัจจัยอื่นคงที่ ราคาทองคำจะเพิ่มขึ้น เมื่อมีผู้ต้องการซื้อทองคำในปริมาณที่มากกว่าปริมาณทองคำที่มีในตลาด ทั้งนี้ อุปสงค์ (Demand) คือความต้องการใช้ทองคำนั้นส่วนใหญ่มาจาก 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ ภาคเครื่องประดับ ภาคอุตสาหกรรมการผลิตและการแพทย์ และภาคการลงทุน ส่วนอุปทาน (Supply) นั้น คือ ความต้องการขายทองคำ ส่วนใหญ่มาจาก 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ ผลผลิตทองคำจากเหมืองทอง แรงขายจากธนาคารกลางประเทศ ต่างๆ และปริมาณทองคำเก่าที่หมุนเวียนอยู่ในระบบส่วนราคาทองคำในประเทศไทยจะมีปัจจัยเพิ่มเข้ามาก็คือ ค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับค่าเงินเหรียญสหรัฐฯ ราคาทองคำในประเทศไทยจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับค่าเงินเหรียญสหรัฐฯอ่อนค่าลง เนื่องจากประเทศไทยไม่สามารถผลิตทองคำได้เอง จึงต้องนำเข้าทองคำจากต่างประเทศเป็นหลัก ซึ่งตลาดทองคำโดยทั่วไป มักจะใช้เงินสกุลเหรียญสหรัฐฯเป็นสกุลเงินอ้างอิงในการซื้อขาย ดังนั้น อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทและเงินเหรียญสหรัฐฯ จึงเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีผลกระทบต่อราคาทองคำในประเทศเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

27/09/2561

เครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์


เครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ เป็นเครื่องทรง 5 อย่างของพระมหากษัตริย์ไทย ซึ่งจะทรงเพียงแค่ครั้งเดียวคือวันที่เข้าพิธีบรมราชาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์เท่านั้น และจะไม่ทรงเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์นี้อีกเลยตลอดรัชกาล พระมหากษัตริย์ที่ยังไม่ได้ทำพิธีบรมราชาภิเษก จะไม่ออกพระนามว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเรียกพระนามเพียงสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเท่านั้น ส่วนคำสั่งจะเรียกเพียงพระราชโองการ ยังไม่ใช้คำว่า พระบรมราชโองการเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ ประกอบด้วย พระมหาพิชัยมงกุฎ พระแสงขรรค์ชัยศรี ธารพระกร วาลวีชนีพร้อมพระแส้จามรี และฉลองพระบาทเชิงงอน พระมหาพิชัยมงกุฎ เป็นเครื่องประดับพระเศียร สร้างในรัชกาลที่ 1 ทำด้วยทองคำลงยาบริสุทธิ์ ประดับเพชร โดยเฉพาะที่ยอดประดับเพชรเม็ดใหญ่เรียกว่า พระมหาวิเชียรมณี เฉพาะองค์พระมหามงกุฎไม่รวมพระกรรเจียกจอน สูง 51 ซ.ม. ถ้ารวมพระกรรเจียกจอนสูง 66 ซ.ม. มีน้ำหนัก 7.3 กิโลกรัม สื่อความหมายถึงพระราชภาระของพระมหากษัตริย์ ที่ต้องทรงแบกรับ ทุกข์ สุข ของพสกนิกรทั้งปวง พระแสงขรรค์ชัยศรี เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงพระปัญญาในการปกบ้านครองเมือง เป็นของโบราณตั้งแต่สมัยขอม รัชกาลที่1 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ทำด้ามและฝักขึ้นใหม่ด้วยทองลงยาราชาวดี มีน้ำ หนักกว่า 1.9 กิโลกรัม ธารพระกร แสดงถึงการครองราชย์โดยธรรม มีลักษณะเหมือนไม้เท้า มีความ ยาว 118 เซนติเมตร ทำด้วยไม้ชัยพฤกษ์หุ้มทอง เมื่อชักยอดออกแล้วจะกลายเป็นพระแสงเสน่าหรือมีดสำหรับขว้าง ธารพระกรนี้เป็นเครื่องหมายแห่งการปกครองที่เปี่ยมด้วยพระปรีชาญาณ ก่อให้เกิดความมั่นคงแก่แผ่นดินพัดวาลวิชนี และพระแส้จามรี แสดงถึงพระราชภารกิจที่ต้องคอยปัดเป่าความทุกข์ บำรุงความสุขให้แก่ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ พัดวาลวีชนีทำด้วยใบตาลปิดทองทั้ง 2 ด้าน ด้ามและเครื่องประกอบทำด้วยทองคำลงยา ส่วนพระแส้ทำด้วยขนจามรี มีด้ามเป็นแก้ว ฉลองพระบาท ทำด้วยทองคำลงยาราชาวดีฝังเพชร เป็นเครื่องหมายแสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองในทุกที่ๆพระมหากษัตริย์เสด็จพระราชดำเนินไป นอกจากเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์จะเป็นเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศของพระมหากษัตริย์ แล้ว ยังแสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาของช่างไทย ที่ถ่ายทอดงานศิลปะออกมาได้อย่างวิจิตรงดงาม เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สืบทอดมาถึงปัจจุบันเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

27/09/2561

10 ผู้ประกอบการเหมืองแร่ทองคำรายใหญ่ของโลก


ข้อมูลจากสภาทองคำโลก ระบุว่าในปี 2560 มีการผลิตทองคำทั่วโลกรวมทั้งสิ้น 105 ล้านออนซ์ โดยปริมาณการผลิตทองคำจากเหมืองทองที่ใหญ่ที่สุด 10 เหมืองซึ่งเป็นของบริษัทมหาชนและไม่ได้เป็นเจ้าของโดยรัฐในปี2560 อยู่ที่ระดับ 29.43 ล้านออนซ์ซึ่งลดลง 0.1% หรือลดลงจากระดับ 29.46 ล้านออนซ์ในปี 2559 โดยมีสัดส่วนเกือบ 30% ของปริมาณการผลิตทองคำทั่วโลก บริษัทผู้ผลิตทองคำรายใหญ่ของโลกได้แก่Barrick Gold Corporation เป็น บริษัท เหมืองแร่ทองคำรายใหญ่ที่สุดในโลกมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่โตรอนโต แคนาดา ดำเนินธุรกิจเหมืองแร่ในอาร์เจนตินา ออสเตรเลีย แคนาดา ชิลี สาธารณรัฐโดมินิกัน ปาปัวนิวกีนี เปรูซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอเมริกา และแซมเบียNewmont Mining Corporation ซึ่งตั้งอยู่ใน Greenwood Village รัฐโคโลราโดประเทศสหรัฐอเมริกา ก่อตั้งขึ้นในปีพ.ศ. 2459 มีเหมืองทองที่ใช้งานอยู่ในเนวาดา ออสเตรเลีย กานา และเปรู นิวมอนท์เป็นผู้ผลิตทองคำรายใหญ่อันดับสองของโลกรองหลัง Barrick GoldAngloGold Ashanti Limited ตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2547 เป็นผู้ผลิตทองคำอันดับสามของโลกรองจาก Barrick Gold และ Newmont Mining ในเหมือง 21 แห่งใน 4 ทวีป Kinross Gold Corporation ตั้งขึ้นในปีพ.ศ. 2536 ะมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองโตรอนโต ประเทศแคนาดา ในปีพ.ศ.2560 คินรอส ผลิตทองคำรายได้เป็นอันดับ 4 ของโลก โดยมีเหมืองแร่ทองคำตั้งอยู่ในประเทศบราซิล กานา มอริเตเนีย รัสเซียและสหรัฐอเมริกา Goldcorp Inc. มีสำนักงานใหญ่ในแวนคูเวอร์ บริติชโคลัมเบีย, แคนาดา เป็น บริษัท ผู้ผลิตทองคำรายใหญ่อันดับ5 ของโลก PJSC Polyus เป็นบริษัทเหมืองแร่ทองคำรายใหญ่ที่สุดในรัสเซียและเป็นหนึ่งใน 10 บริษัท เหมืองแร่ทองคำรายใหญ่ที่สุดในโลกโดย ในปี2560 มีปริมาณการผลิตทองคำ 2.16 ล้านออนซ์ มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงมอสโกและมีสำนักงานอยู่ที่กรุงลอนดอนด้วย ในปี 2560 บริษัท Barrick Gold ยังคงเป็นบริษัทเหมืองทองคำอันดับ 1ของโลก โดยมี Newmont ตามมาเป็นที่ 2 ในปริมาณที่ห่างกันไม่มากนัก ในขณะที่ Kinross Gold ก็แซงหน้า Goldcorp ขึ้นมาเป็นอันดับ 4 ด้าน Polyus ของรัสเซียก็ประสบความสำเร็จในการแซงหน้า Gold Fields ของแอฟริกาใต้ขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 7 และยังตั้งเป้าหมายที่จะไต่อันดับขึ้นในปีต่อ ๆ ไปหลังจากเหมือง Natalka mine ของ ตนเองเริ่มต้นการผลิตเมื่อปีที่ผ่านมาซึ่งจะทำให้ปริมาณการผลิตโดยรวมของ Polyus เพิ่มขึ้นใกล้ระดับ 3 ล้านออนซ์ ทางด้าน Freeport McMoran ก้าวขึ้นมาเป็นอันดับ 10 เป็นครั้งแรก มีการคาดการณ์กันว่าปริมาณการผลิตทองคำทั่วโลกในปี 2561 อาจลดลงจากปีที่ผ่านมา เนื่องจากปัญหาการค้นพบที่น้อยลง, เกรดหรือคุณภาพที่ต่ำลง, ความยุ่งยากทางเศรษฐศาตร์และกฎระเบียบในหลายประเทศ TOP TEN GOLD MONING COMPANIES 2017 1. Barrick 2. Newmont 3. AngloGold Ashanti 4. Kinross Gold 5. Goldcorp 6. Newcrest Mining 7. Polyus 8. Gold Fields 9. Angnico Eagle 10. Freeport McMoranเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

27/09/2561

“พันธบัตรทองคำ” ครั้งแรกและครั้งเดียวในประเทศไทย


ปี พ.ศ.2585 ในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่2 ประเทศไทยได้ออกพันธบัตรเพื่อระดมเงินไปชดเชยเงินคงคลังที่ต้องจ่ายตามพระราชบัญญัติงบประมาณ จำนวน 30 ล้านบาทตามพระราชบัญญัติกู้เงินในประเทศ พ.ศ. 2485 และกฎกระทรวง (ฉบับที่ 5) ลงวันที่ 17 พฤษภาคม 2486 พันธบัตรนี้มีอายุ 8 ปี อัตราดอกเบี้ย 3% วงเงินกู้ 30 ล้านบาท ไถ่ถอนคืนตามราคาที่ตราไว้ หรือจะขอรับชำระเป็นทองคำก็ได้ ในอัตราทองคำบริสุทธิ์ กรัมละ 5.78 บาท ซึ่งการเลือกไถ่ถอนเป็นทองคำนี้เองจึงเป็นที่มาของคำว่า “พันธบัตรทองคำ” ซึ่งเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่เกิดขึ้นในประเทศไทย พันธบัตรทองคำนี้ มีชนิดราคา 10,000 บาท 1,000 บาท 100 บาท และ 50 บาท ออกจำหน่ายระหว่างวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2486- 10 มิถุนายน พ.ศ. 2487 ครบกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2494 และกระทรวงการคลังได้ขอซื้อทองคำอันเป็นทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศจากธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อจัดทำเหรียญทองคำและแท่งทองคำ เพื่อใช้ในการไถ่ถอน ผู้ออกแบบเหรียญทองคำและแท่งทองคำคือ นายช่วง สเลลานนท์ นายช่างศิลป์ของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีกองกษาปณ์ กรมคลัง เป็นผู้ดำเนินการจัดทำเหรียญและแท่งทองคำ มีบริษัทบาโรเบราว์ เป็นผู้ทำเบ้าหลอมทองคำ มีนายแนบ พหลโยธิน เป็นประธานคณะกรรมการควบคุมและจัดสร้างเหรียญและแท่งทองคำ สำหรับเหรียญทองคำและแท่งทองคำเพื่อใช้ในการไถ่ถอนตามวงเงิน 30,000,000 บาท นั้น มีจำนวนการผลิต คือ 1. เหรียญทองคำ ชนิดราคา 50 บาท จำนวน 2,028 เหรียญ 2. เหรียญทองคำ ชนิดราคา 100 บาท จำนวน 1,264 เหรียญ 3. เหรียญทองคำ ชนิดราคา 1000 บาท จำนวน 3,160 เหรียญ 4. แท่งทองคำ ชนิดราคา 10000 บาท จำนวน 641 แท่ง (ปัจจุบันพบแท่งทองคำนี้เพียง 2 แท่ง) 5. แท่งทองคำ ชนิดราคา 100000 บาท จำนวน 48 แท่ง (ปัจจุบันยังไม่พบแท่งทองคำนี้) 6. แท่งทองคำ น้ำหนักแตกต่างกัน ตามราคาพันธบัตรของผู้ถือรายใหญ่ จำนวน 8 ราย รวม 464 แท่ง (ปัจจุบันยังไม่พบแท่งทองคำนี้) ธนาคารแห่งประเทศไทยมีพันธบัตรทองคำจำนวนหนึ่งจากการซื้อพันธบัตรไว้ตั้งแต่เมื่อแรกออกพันธบัตรเมื่อ พ.ศ. 2485 และต่อมาได้รับซื้อพันธบัตรทองคำที่จัดทำขึ้นเพื่อการไถ่ถอนพันธบัตรเงินกู้จากกระทรวงการคลังและสำนักงานพระคลังข้างที่อีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งทั้งหมดได้นำเข้าไปเป็นทุนสำรองเงินตราของประเทศ ต่อมาได้โอนแท่งทองคำชนิดราคา 10,000 บาท จำนวน 1 แท่ง และ เหรียญทองคำทุกชนิดราคา ชนิดละ 2 เหรียญ ออกจากทุนสำรองเงินตรา โดยรับเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกาเข้าไว้แทน ปัจจุบันเหรียญทองคำและแท่งทองคำนี้ จัดแสดงไว้ในพิพิธภัณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อเป็นหลักฐานบอกเล่าถึงประวัติศาสตร์เศรษฐกิจของประเทศในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และความสำคัญของทองคำในฐานะทุนสำรองเงินตรา ของประเทศเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

27/09/2561

เครื่องถมนคร


“เครื่องถม” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ อธิบายว่าเป็นภาชนะหรือเครื่องประดับ ที่ทำโดยใช้ผงยาถมผสมน้ำประสานทองถมบนลวดลายที่แกะสลักภาชนะหรือเครื่องประดับนั้นแล้วขัดผิวให้เงางาม เรียกว่าถมนคร ถมเงิน ถมทอง เครื่องถมนครมีมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงรับสั่งให้เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชในสมัยนั้น ส่งช่างถมที่มีฝีมือดีที่สุดไปยังกรุงศรีอยุธยาเพื่อให้ทำไม้กางเขนถมส่งไปถวายพระสันตปาปา ที่อิตาลี และทำเครื่องถมเป็นเครื่องใช้ไปบรรณาการแด่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ครั้นถึงสมัยรัตนโกสินทร์ เครื่องถมก็ยังถือเป็นของใช้ชั้นสูงที่ใช้เป็นเครื่องราชูปโภค และเครื่องราชบรรณาการ โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่2 เครื่องถมเมืองนครได้รับความนิยมอย่างมากในราชสำนัก และเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ก็เป็นผู้ส่งเสริมและทำนุบำรุงช่างถมให้เจริญก้าวหน้าจนเครื่องถมเมืองนครเข้ามามีชื่อเสียงในพระนครเป็นอย่างมาก ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงส่งเครื่องถมเมืองนครจำนวนหนึ่งร่วมไปกับเครื่องบรรณาการส่งไปถวายสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรียแห่งประเทศอังกฤษ ปัจจุบันยังคงจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์พระราชวังบัคกิ้งแฮม เมื่อครั้งสร้างพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท สมัยพระบาทสมเด็จฯพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯให้พระยาสุธรรมมนตรี ในขณะที่ดำรงตำแหน่งเป็นพระยานครศรีธรรมราชเป็นนายงานให้ช่างถมที่เมืองนครทำพระที่นั่งพุดตานถม ตั้งไว้ในท้องพระโรงกลางและทรงใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เอง ในสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่9 โปรดเกล้าฯให้ช่างทำหีบบุหรี่ถมทองสำหรับพระราชทานแก่ประธานาธิบดีไอเซนเฮาว์ และดร.ริสบอร์ นายแพทย์ที่ถวายการประสูติ และได้พระราชทานตลับแป้งถมทองแก่นางพยาบาลที่โรงพยาบาลในเมืองบอสตันทุกคนด้วย แสดงให้เห็นว่าเครื่องถมนครผูกพันกับประวัติศาสตร์ชาติไทยมาทุกยุคสมัย ปัจจุบันเครื่องถมนครยังคงเอกลักษณ์เฉพาะตัวไว้ได้อย่างดีทั้งที่เป็นเครื่องประดับชิ้นเล็กอย่างแหวน กำไล เข็มกลัด ไปจนถึงงานชิ้นใหญ่ เช่น พานขันโตก ถาด แต่ด้วยทองและเงินมีราคาสูงขึ้น ประกอบกับการทำต้องอาศัยเวลาและฝีมือชั้นสูงที่มีน้อยลง ทำให้เครื่องถมนครมีราคาค่อนข้างสูงเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

27/09/2561

การประกอบทองรูปพรรณ


การประกอบทองรูปพรรณนั้นจะทำเมื่อผ่านขั้นตอนการผลิตชิ้นส่วนต่างๆแล้วไม่ว่าจะเป็นลวดทอง ไข่ปลา หรือแผ่นทองสลักลาย โดยการนำชิ้นส่วนเหล่านั้นมาประกอบเป็นทองรูปพรรณตามแบบ ด้วยวิธีการต่างๆคือการถักหรือสาน เป็นการนำเส้นลวดทองมาถักหรือสานเป็นสร้อยคอ สร้อยข้อมือ สร้อยข้อเท้า การถักสร้อยต่างๆนี้ นิยมถักแบบสร้อย 4 เสา 6 เสา 8 เสา และแบบสมอเกลียวสายสร้อยจะมีขนาดเล็กหรือใหญ่ขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้า เมื่อถักเสร็จแล้วติดตะขอ ล้างขัดทำความสะอาด ถ้าไม่ต้องการตกแต่งลวดลายอื่นๆ ก็พร้อมส่งให้ลูกค้าหรือสวมใส่ได้ทันที แต่ถ้าต้องการประดับตกแต่งให้สวยงามยิ่งขึ้นไปอีก ช่างทองก็จะต้องผลิตชิ้นส่วนประดับรูปร่างต่างๆ เพื่อประกอบเข้ากับชิ้นงานทองรูปพรรณนั้น จนแล้วเสร็จตามที่ออกแบบไว้ การทำอะไหล่ส่วนประดับ เป็นการประดับตกแต่งชิ้นงานทองรูปพรรณให้สวยงาม ตามความต้องการของลูกค้า อะไหล่ส่วนประดับนี้ส่วนมากจะเป็นปะวะหล่ำ ลูกสน เต่าร้าง หรือการประดับด้วยการลงยาให้เกิดสีต่างๆ ส่วนมากจะเป็นสีแดง สีเขียว และสีน้ำเงินนอกจากนี้ ยังมีส่วนประดับที่เกิดจากการแกะสลัก การดุน การบุ เพื่อให้เกิดลวดลายต่างๆ เช่น ลายกระหนก ลายเครือเถา ลายพันธุ์พฤกษา ลายสัตว์ต่างๆ บางครั้งก็มีการลงยาผสมผสานเข้าไปด้วย ทำให้ดูสวยงามยิ่งขึ้น ส่วนประดับที่เกิดจากการแกะสลัก การดุน และการบุนั้น ส่วนมากเป็นจี้ทองประดับเข้ากับสร้อยคอ สร้อยข้อมือ กำไลข้อมือ ปัจจุบันมีการผลิตทองรูปพรรณเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั่วไป มีการผลิตทั้งแบบอุตสาหกรรมโดยการใช้เครื่องจักร และผลิตจากฝีมือของช่างที่มีชื่อเสียงเช่นสกุลช่างทองเพชรบุรี ช่างทองศรีสัชนาลัย และช่างทองสุโขทัย กระบวนการผลิตด้วยฝีมือช่างทองนี้ถือเป็นงานหัตถกรรมที่ใช้ศิลปะชั้นสูง มีลักษณะเฉพาะตัว ต่างจากทองที่ขายตามร้านทองทั่วไป เช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

27/09/2561

กระบวนการผลิตทองรูปพรรณ


การผลิตทองรูปพรรณ มีความยุ่งยาก ซับซ้อน และต้องอาศัยฝีมือทางเชิงช่าง ซึ่งแบ่งเป็น 2 ขั้นตอนหลักๆคือ กระบวนการการผลิตและและการประกอบ กระบวนการผลิตเริ่มที่การคัดเลือกเนื้อทอง เช่นถ้าทำทองสุโขทัย ก็จะต้องใช้ทอง99.99% เพื่อให้เนื้อทองสวย สีเหลืองอร่าม ช่างที่ชำนาญจะแยกเนื้อทองแต่ละชนิดได้ด้วยสายตา และยังบอกคุณภาพของเนื้อทองได้ว่า ควรจะนำทองไปหลอมใหม่หรือไม่ จากนั้นจึงนำไปหลอม การหลอมทองต้องใช้ความร้อน 1063 องศาเซลเซียส เพื่อหลอมละลายทองให้เป็นของเหลว แล้วนำไปเทลงเบ้าเป็นทองแท่งขนาดเล็ก แล้วนำไปรีดหรือตีให้มีลักษณะเป็นแผ่นหรือวงกลมขนาดต่างๆ ตามลักษณะงานที่จะทำ การหล่อทอง เมื่อทองหลอมละลายจนกลายเป็นของเหลวแล้ว นำไปเทลงในแม่พิมพ์แบบต่างๆ การหล่อทองนี้ส่วนมากใช้เพื่อทำเป็นกำไล แหวน ข้อต่อ สายสร้อย ลูกประดับ หัวเข็มขัด กระดุม และชิ้นงานเฉพาะอย่าง เมื่อทองเย็นลงแล้ว ก็นำชิ้นงาน ไปตกแต่งตามต้องการอีกครั้งหนึ่งเป็นการนำทองที่หลอมแล้ว ไปตีให้เป็นแผ่นบางลงไปอีก หรือหากเป็นแท่งเหลี่ยมเล็ก ก็ตีให้มีขนาดเล็กลงไปอีก เพื่อความสะดวกในการนำไปขึ้นรูป แกะลวดลาย ฉลุ หรือรีดเป็นเส้น การตีทองจะต้องตีให้ละเอียดและสม่ำเสมอ การตี บางครั้งเรียกว่าการบุ หรือการเคาะ เป็นกระบวนการที่อยู่ในขั้นตอนเตรียมการประกอบเป็นทองรูปพรรณการชักลวดหรือการรีดเป็นการนำทองที่หลอมเป็นแท่งแล้ว มาตีให้เข้ากับขนาดของรูแป้นรีด เมื่อได้ขนาดที่ใกล้เคียงกับรูของแป้นแล้ว นำทองสอดเข้ารูแป้นรีด จากนั้นใช้คีมดึงออกมาอีกด้านหนึ่ง ลวดที่ออกมาจะมีเนื้อสม่ำเสมอ และมีขนาดต่างกัน ตามที่ช่างทองต้องการ ในส่วนการรีดก็ทำคล้ายๆ กัน ส่วนมากจะมีเครื่องรีดด้วยมือ ช่างทองสามารถปรับแต่งลูกรีดได้ขึ้นอยู่กับงาน ตั้งแต่ขนาดโตสุดจนเล็กสุด ส่วนมากจะรีดออกมาเป็นเส้นลวดขนาดเล็ก เพื่อนำมาสาน หรือถักเป็นชิ้นงานได้การทำไข่ปลาได้จากการนำทองที่ ได้จากการชักลวดหรือการรีดแล้ว มาตัดเป็นท่อนเล็กๆ ขนาด ๑๓ มิลลิเมตร จากนั้นนำไปเผาไฟหรือเป่าแล่น จนทองหลอมละลายเป็นก้อนกลมเล็กๆ คล้ายไข่ปลา ไข่ปลานี้นำ ไปเป็นส่วนประดับตกแต่งชิ้นงานการสลักและการดุนเป็นการทำให้เกิดลวดลาย หรือเขียนให้เป็นตัวหนังสือด้วยของมีคม มีความสวยงามตามแบบงานศิลปะ จากนั้นจึงนำชิ้นส่วนแต่ละอย่างที่ได้จากกระบวนการผลิต ไปประกอบเป็นชิ้นงานของรูปพรรณแบบที่ขายตามร้านทองต่อไปเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

27/09/2561

ความหมาย บนลวดลายทองรูปพรรณ


การออกแบบลวดลายเครื่องทองรูปพรรณของคนไทยนั้น มักประยุกต์ ดัดแปลง เลียนแบบมาจากธรรมชาติ ของใช้ในชีวิตประจำวัน และสิ่งแวดล้อมรอบตัว ซึ่งนอกจากมีความประณีตละเอียดอ่อนสวยงามแล้ว ยังแฝงไปด้วยความหมายและความเป็นสิริมงคลสำหรับผู้สวมใส่ ลวดลายที่เลียนแบบมาจากธรรมชาติ เช่น ลายเม็ดมะยม ลายหยดน้ำ ลายไข่ปลา กลุ่มลวดลายที่เลียนแบบจากดอกไม้และต้นไม้ เช่น ลายเครือเถา ลายดอกพิกุล ลายดอกบัว ลายพรรณพฤกษา เป็นต้น ลวดลายกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ใช้เทคนิคการลงยา ซึ่งเป็นศิลปะการทำเครื่องทองที่นิยมกันในสมัยอยุธยาแทนการประดับด้วยเพชรพลอย กลุ่มลวดลายสิงสาราสัตว์ เช่น ช้าง ม้า นาค หงส์ กลุ่มของใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ลายสุ่ม ลายลูกตะกร้อ ลายตะกรุด ลายมัดหมี่ ลายเม็กกระดุม ลายปะวะหล่ำ เป็นต้นนอกจากความสวยงามแล้ว ความหมายอันเป็นมงคลของลวดลายต่างๆก็ทำให้ผู้สวมใส่รู้สึกดีด้วยเช่นลายปะวะหล่ำ เครื่องประดับทองของไทยที่ได้รับอิทธิพลมาจากจีน เพราะนำรูปแบบมาจากโคมไฟของจีน ตามความเชื่อที่ว่าโคมไฟแสดงถึงความสว่างไสว เป็นสัญลักษณ์ของความเจริญรุ่งเรืองและความร่ำรวย การใส่เครื่องทองที่มีลวดลายปะวะหล่ำจึงมีความหมายอันเป็นมงคลให้กับผู้สวมใส่ด้วย ส่วนของการทำปะวะหล่ำนั้น ในอดีตจะใช้วิธีการดัดเกลียวลวดทองและนำมาเดินเป็นลวดลาย ต่อมามีการประยุกต์ด้วยการฝังอัญมณีลงไป ปะวะหล่ำที่ตกแต่งด้วยอัญมณีนี้เรียกว่า “ปะวะหล่ำทรงเครื่อง”ดอกบัว เป็นอีกลายที่นิยมนำมาใช้ในการออกแบบเครื่องประดับทองด้วยมีความหมายที่เป็นสิริมงคล คนไทยโบราณเชื่อว่าบ้านใดปลูกไว้ประจำบ้าน จะทำให้เกิดความสุข ความเบิกบาน เพราะดอกบัวเปรียบเสมือนผู้ที่หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน นอกจากนี้ยังมีความเชื่อว่าเส้นใยของบัวช่วยทำให้เกิดความห่วงใยความผูกพันของคนในครอบครัว ลายบัวที่ได้รับความนิยมเช่นสัตตบงกชหรือบัวฉัตรชมพู เป็นต้นเครื่องประดับลายดอกพิกุล คนไทยในสมัยโบราณเชื่อว่าต้นพิกุล เป็นต้นไม้ชนิดหนึ่งในสวนของพระอินทร์ ดอกพิกุลจึงเปรียบเสมือนดอกไม้จากสวรรค์ การประกอบพระราชพิธีต่างๆจึงนิยมทำดอกพิกุลเงินและพิกุลทอง สำหรับการประกอบพระราชพิธีต่างๆ เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชพิธีโสกันต์ พระราชพิธีลงสรง เป็นต้น พิกุลจึงมีความหมายถึงความอุดมสมบูรณ์ ความเจริญรุ่งเรือง หากมีไว้กับตัวจะช่วยเสริมความเป็นสิริมงคลในชีวิตนั่นเองเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

27/09/2561

Gold-D การลงทุนทองคำรูปแบบใหม่


การลงทุนในทองคำทำได้ในหลายรูปแบบ ทั้งการลงทุนกับทองแท่ง การลงทุนในGold Futures(สัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า) ล่าสุดบริษัท ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ประเทศไทย) จำกัด (Thailand Futures Exchange)หรือ TFEX ได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ชื่อ Gold-D เพื่อเป็นทางเลือกให้นักลงทุนGold-D เป็นสัญญาซื้อ ขายล่วงหน้าที่อ้างอิงทองคำแท่งความบริสุทธิ์99.99% ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ซื้อขายกันใน ต่างประเทศ โดยเสนอราคาซื้อขาย (quote) เป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐอเมริกา และกำหนดให้มีการชำระราคา ด้วยการรับมอบ/ส่งมอบทองคำจริง (Physical Delivery) เมื่อครบอายุสัญญา แม้ว่า การซื้อขาย Gold–D จะกำหนดราคาเป็นดอลลาร์สหรัฐอเมริกาเพื่อความสะดวกในการติดตามราคาเทียบกับตลาดทองคำโลก แต่ในการวางหลักประกันและการชำระเงินจากการปรับสถานะทุกสิ้นวันนั้น ยังกำหนดเป็นเงินบาท เหมือนสินค้าอื่นๆในTFEXทั้งนี้ผู้ซื้อและผู้ขาย Gold-D ต้องวางหลักประกันไว้กับบริษัทสมาชิกTFEX ที่เปิดบัญชีซื้อขาย ดังนี้ หลักประกันขั้นต้น เป็นเงินประกันที่ผู้ลงทุนต้องวางก่อนส่งคำสั่งซื้อหรือขาย กำหนดเป็นอัตรา บาท/สัญญา ที่มูลค่าประมาณ 3-5% ของมูลค่าสัญญาหลักประกันรักษาสภาพ เป็นระดับเงินประกันขั้นต่ำที่ต้องดำรงไว้ในการซื้อขาย โดยหากหลักประกันของผู้ลงทุนต่ำกว่าระดับนี้ ผู้ลงทุนจะถูกเรียกวางเงินหลักประกันเพิ่มเติมหลักประกันสำหรับการส่งมอบ เป็นหลักประกันที่ผู้ลงทุนจะต้องวางก่อนสัญญาครบกำหนดอายุ 10 วันทำการ ซึ่งกำหนดเป็นอัตราบาท/สัญญา ที่มูลค่าประมาณ10%ของมูลค่าสัญญาแท้จะเป็นการลงทุนใน TFEX เหมือนกันแต่Gold–D และ Gold Futures ก็มีความแตกต่างกันในรายละเอียดหลายอย่าง รายละเอียด Gold-D Gold Futures สินค้าอ้างอิง ทองคำแท่ง ความบริสุทธิ์99.99% ทองคำแท่งความบริสุทธิ์96.50% ขนาดของสัญญา ทองคำน้ำหนัก 100 กรัม (3.2148 ทรอยออนซ์ หรือประมาณ 6.5 บาททองคำ) ทองคำน้ำหนัก 10 บาท (152.44 กรัม) หรือ ทองคำน้ำหนัก 50 บาท (762.20 กรัม) ราคาซื้อขาย ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา (USD) ต่อทองคำหนัก 1 ทรอยออนซ์ บาท (THBต่อทองคำหนัก 1 บาททองคำ) สัญญาที่มีให้เลือกซื้อขาย 1 ซีรี่ย์ครบกำหนดในเดือนสุดท้ายของ ไตรมาสที่ใกล้ที่ใกล้สุดจากปัจจุบัน 3 ซีรี่ย์ครบกำหนดอายุในเดือนคู่ 3 ลำดับใกล้สุดจากปัจจุบัน การชำระราคาเมื่อสัญญาครบกำหนดอายุ ส่งมอบทองคำ (Physical Delivery) ชำระราคาเป็นเงินสด (Cash Settlement) จำนวนทองคำขั้นต่ำในการส่ง มอบทองคำ 1 กิโลกรัม (หรือ 10 สัญญา) - (ไม่สามารถส่งมอบทองจริงได้) ราคาที่ใช้ชำระราคาเมื่อสิ้นสุดอายุ ราคาซื้อขายถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก (VWAP) ในช่วง 30 นาทีสุดท้าย x (THB/USD) x 3.2148 LBMA Gold Price AM x (15.244/31.1035) x (0.965/0.995) x ((THB/USD) คราวนี้ก็ขึ้นอยู่กับนักลงทุนว่าจะเลือกลงทุนแบบไหน ทองคำแท่ง Gold–D Gold Futures หรือแค่เดินไปซื้อทองในร้านทองเก็บไว้ก็ได้เหมือนกันเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/ @page { margin: 2cm } p { margin-bottom: 0.25cm; direction: ltr; line-height: 115%; text-align: left; orphans: 2; widows: 2 }

Read More

27/09/2561

จับตาอุสาหกรรมเครื่องประดับทองของมาเลเซีย


มาเลเซีย เป็นประเทศขนาดเล็ก มีประชากรราว 30 ล้านคน แต่มีความหลากหลายด้านเชื้อชาติ ร้อยละ 50 เป็นชาวมลายู รองลงมาคือชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน และอินเดีย ประชากรส่วนใหญ่อยู่ในวัยแรงงาน ในภาคบริการ อุตสาหกรรมและเกษตรกรรมตามลำดับหลายปีมานี้มาเลเซียให้ความสำคัญกับการผลิตเครื่องประดับทองเพื่อส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศเพราะมีศักยภาพในการผลิต ถึงแม้ฐานการผลิตจะมีขนาดไม่ใหญ่นักเมื่อเทียบกับผู้ผลิตเครื่องประดับทองจากประเทศอื่นๆ แต่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ทั้งในและต่างประเทศ ด้วยเหตุที่ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามและชาวจีน เครื่องประดับทองที่ผลิตได้จึงมีรูปแบบตรงกับรสนิยมและดึงดูดความสนใจจากนักท่องเที่ยวชาวจีนและตะวันออกกลาง จนสามารถขยายฐานลูกค้าได้ในหลายประเทศเช่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สิงคโปร์ ฮ่องกง บาห์เรน และสหรัฐอเมริกา เป็นต้นปัจจุบันมาเลเซียเป็นแหล่งผลิตและส่งออกเครื่องประดับทองที่มีศักยภาพแห่งหนึ่งในตลาดโลก ซึ่งเป็นผลมาจากการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากภาครัฐ ผู้ประกอบการเองก็ตื่นตัวพัฒนาตัวเองตลอดเวลา ทั้งการเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาใช้ในการผลิต และการรวมตัวเป็นสมาคมเพื่อสร้างความเข้มแข็งในการเจรจาต่อรอง เป็นต้น เหล่านี้ช่วยให้อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องประดับทองของมาเลเซียเติบโตต่อเนื่องในส่วนของการผลิตเครื่องประดับทองของมาเลเซียนั้น ในอดีตใช้วัตถุดิบจากเหมืองแร่ทองคำในประเทศมาที่มีอยู่ 14 แห่ง มาแปรรูป แต่ติดปัญหาที่ไม่มีโรงงานสกัดทองคำภายในประเทศ เมื่อหลอมแร่ทองคำแล้วจะต้องส่งไปสกัดในต่างประเทศเพื่อให้ได้ทองคำบริสุทธิ์ซึ่งเป็นกระบวนการที่ยุ่งยากซับซ้อนประกอบกับแหล่งแร่ทองคำในประเทศไม่เพียงพอกับความต้องการในอุตสาหกรรมเครื่องประดับทอง จึงต้องมีการนำเข้าทองคำบริสุทธิ์จากต่างประเทศ เช่น สวิสเซอร์แลนด์ สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ตุรกี และสหรัฐอเมริกา รวมแล้วไม่ต่ำกว่าปีละ 75 ตันปี 2016 มาเลเซียส่งออกเครื่องประดับทองมูลค่าราว 1.38 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าส่วนใหญ่ทำจากทองคำ 22 K ทั้งในรูปแบบของสร้อยคอ สร้อยข้อมือ ต่างหูและเข็มกลัด ร้อยละ 70 ถูกส่งไปตลาดตะวันออกกลางซึ่งถือเป็นตลาดหลัก รองลงมาคือยุโรป เอเชีย และอเมริกาเหนือส่วนผู้บริโภคในประเทศส่วนใหญ่ก็ยังคงนิยมเครื่องประดับทองมากกว่าเครื่องประดับชนิดอื่นๆ เพราะนอกจากจะใช้สวมใส่และมอบเป็นของขวัญแล้วยังสามารถนำไปลงทุนได้ด้วยเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

27/09/2561

ทองคำกับชาวเวียดนาม


เวียดนามเป็นตลาดใหญ่ของผู้บริโภคเนื่องจากมีประชากรกว่า 100 ล้านคน มีประมาณการกันว่าในแต่ละปีชาวเวียดนามใช้จ่ายเงินเพื่อซื้อเครื่องประดับทองราว 3.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ และมีแนวโน้มขยายตัวอย่างเต่อเนื่อง จากการเพิ่มขึ้นของชนชั้นกลาง ส่งผลต่อการบริโภคเครื่องประดับทอง เพื่อสะท้อนฐานะทางสังคมและเพื่อสะสมเป็นสินทรัพย์ชาวเวียดนามนิยมเครื่องประดับทอง 24 K ที่มีค่าความบริสุทธิ์ของทองคำ 99.99% ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ทางการกำหนด ส่วนลวดลายนิยมลายดอกไม้ชนิดต่างๆและลายธรรมชาติเช่นลายใบไม้ ผลไม้ ซึ่งชาวเวียดนามเห็นมาสามารถใส่กับชุดประจำชาติได้เหมาะสมที่สุดในส่วนของการเลือกซื้อเครื่องประดับทองของชาวเวียดนามนั้นจะแตกต่างกันไปตามวัยและรายได้ คือผู้มีอายุและกลุ่มผู้มีรายได้สูงนิยมซื้อเครื่องประดับทอง24 K แบบครบชุดทั้งสร้อยคอ กำไร และต่างหู ส่วนคนรุ่นใหม่นิยมซื้อเครื่องประดับทองแบบชิ้นเดี่ยวและสวมใส่ครั้งละชิ้น นอกจากนี้ยังนิยมทองคำและทองคำขาว 18 K และ 14 K ที่มีลวดลายทันสมัย แต่ส่วนใหญ่ชาวเวียดนามก็จะมีเครื่องประดับทอง24 K แบบครบชุด เก็บไว้เพื่อนำออกมาใส่เวลาออกงานสำคัญต่างๆนอกจากนี้ ภาพศิลปะซึ่งทำจากทองคำ99.99% ก็เป็นอีกหนึ่งสินค้าที่ได้รับความนิยมตลาดเวียดนาม ส่วนมากวางจำหน่ายตามเมืองใหญ่อย่างโฮจิมินห์ ซิตี้ และ ฮานอยด์ แสดงให้เห็นถึงความชื่นชอบการสะสมสินค้าที่เกี่ยวกับทองคำ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีรายได้สูง มีฐานะดี ที่มักจะซื้องานภาพศิลปะทองคำไว้ตกแต่งบ้านและมอบเป็นของขวัญ หรือของกำนันในเทศกาลต่างๆ มีบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายภาพศิลปะทองคำ 2 บริษัทที่เป็นผู้ริเริ่มและนำเข้าไปจำหน่ายในเวียดนาม หนึ่งคือบริษัท Colin จากอิตาลี และอีกหนึ่งคือ Prima Gold จากประเทศไทยชาวเวียดนามก็เหมือนกับชาวอาเซียนอื่นๆที่นิยมเครื่องประดับทองและมักจะซื้อเก็บไว้เมื่อมีรายได้ ทั้งเพื่อการเก็บออมแทนการออมเงิน และการสวมใส่เพื่อแสดงฐานะทางสังคมเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

27/09/2561

อินโดนีเซีย ผู้ผลิตทองคำรายใหญ่ในAEC


อินโดนีเซีย เป็นหนึ่งใน10 ประเทศที่มีการทำเหมืองแร่ทองคำมากที่สุดในโลก มีปริมาณการผลิตเฉลี่ยมากกว่า 200 ล้านตันต่อปีการผลิตทองคำจากเหมืองในอินโดนีเซีย คิดเป็นปริมาณ 4% ของการผลิตทองคำในตลาดโลกจากเหมืองแร่ขนาดใหญ่ที่สัมปทานโดยบริษัทต่างชาติ และเหมืองที่รัฐบาลเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อย่างเหมืองกราสเบิร์ก (Grasberg mine) ในเมืองทิมิกา เกาะปาปัวเหมืองกราสเบิร์ก (Grasberg mine) ถือเป็นเหมืองทองที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นเหมืองทองแดงที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก ดำเนินงานโดยมีบริษัทฟรีพอร์ทแมคมอแรนของสหรัฐฯเป็นหุ้นใหญ่ มีคนงาน 19,500 คน ที่ทำงานขุดค้นแร่ทองแดงทองคำ และแร่เงิน อยู่บนยอดเขาสูงกว่า 4,200 เมตร แหล่งแร่แห่งนี้ถูกค้นพบโดยนักธรณีวิทยาชาวดัตช์ตั้งแต่ปี 1936การที่รัฐบาลเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ทำให้การทำเหมืองทองของอินโดนีเซียมีกระบวนการที่ครบวงจรตั้งแต่การถลุง การสกัด เพื่อให้ได้ทองคำบริสุทธิ์ ไปจนถึงการผลิตทองคำที่ใช้ในอุตสาหกรรม และทองรูปพรรณความต้องการบริโภคทองคำของชาวอินโดนีเซียมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งทองคำแท่ง และทองรูปพรรณความบริสุทธิ์ตั้งแต่ 14-24 K แต่ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในกลุ่มชนชั้นสูงคือทอง 18 K(ทอง75%) และ 24K (ทอง99.99%) ส่วนกลุ่มชนชั้นล่างนิยมทอง 24K เพราะสามารถนำกลับไปขายได้ในราคาสูงตลาดทองรูปพรรณของอินโดนีเซียมีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็วและมีบริษัทต่างชาติเข้าไปลงทุนเปิดสาขา ขายทองรูปพรรณในรูปแบบจิวเวอรี่มากขึ้นเช่น Tiffany, Caroiyn รวมถึง Golg Master และ Pranda Jewely จากประเทศไทยด้วยแหล่งซื้อขายทองแท่งและทองรูปพรรณในอินโดนีเซียมีมากมาย และกระจายไปตามเกาะใหญ่ๆของประเทศเช่น เกาะสุมาตรา เกาะชวา เกาะบอร์เนียว จะมีร้านทองอยู่ในเขตเศรษฐกิจและแหล่งชอปปิ้งในเมืองเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

27/09/2561

เหมืองทองคำโต๊ะโม๊ะ


สุดเขตชายแดนใต้ของไทย ครั้งหนึ่งเคยเป็นเหมืองแร่ทองคำ ที่นำพาคนนับพันให้เดินทางไปแสวงโชคผู้คนสมัยนั้นรู้จักกันในชื่อ เหมืองทองคำโต๊ะโมะ เหมืองทองคำโต๊ะโมะ อยู่ในเขต อำเภอสุคิริน จังหวัดนราธิวาส มีการค้นพบแร่ทองคำที่บ้านโต๊ะโมะมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ในบริเวณป่าลึกของเทือกเขาสุไหนโล-ลก ซึ่งเป็นต้นน้ำของลำห้วยลิโซ สาขาหนึ่งของต้นแม่น้ำสายบุรี อยู่ห่างจากชายแดนมาเลเซีย 800 เมตร ชาวบ้านพบผงทองคำปะปนลงมากับน้ำจึงใช้ เลียง ที่ทำด้วยไม้ รูปร่างคล้ายกระทะเป็นเครื่องมือร่อนทอง เมื่อแรกพบชาวจีนชื่อฮิว ซิ้นจิ๋ว ซึ่งค้าขายอยู่แถบชายแดนไทย-มาเลเซียนำคนงาน 50 คน เข้าไป หาทองคำด้วยวิธีการร่อนเอาตามสายน้ำตั้งแต่บ้านกาลูบีขึ้นไปทางต้นน้ำ จนเกือบถึงชายแดนมาเลเซีย และพบว่ายิ่งใกล้ต้นน้ำมากเท่าใดปริมาณทองคำก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไปผู้คนจำนวนมากก็หลั่งไหลมาขุดทองที่บ้านโต๊ะมะ ประมาณกันว่ามีนักแสวงโชคมากถึงพันกว่าคน และร่อนหาทองคำได้คนละ1-2 สลึงต่อวันเลยทีเดียว หลังจากนั้นรัฐบาลสยามได้เข้ามาจัดการเรื่องการขุดทองโดยมอบหมายให้นายอาฟัด ซึ่งเป็นบุตรชายของฮิวซิ้นจิ๋ว ซึ่งรับสืบทอดงานขุดหาทองคำต่อจากบิดา เป็นผู้รักษาผลประโยชน์ให้รัฐบาล โดยเก็บภาษีจากชาวบ้านที่เข้าไปขุดค้นหาทองคำ และได้รับพระราชทานราชทินนามเป็น "หลวงวิเศษสุวรรณภูมิ" (นายอาฟัด เป็นบิดาของ ฉัตรชัย วิเศษสุวรรณภูมิ หรือ นักเขียนเจ้าของนามปากกาพนมเทียนนั่นเอง และดินแดนใต้สุดอัน เร้นลับที่เหมืองโต๊ะโมะซึ่งปู่และพ่อเป็นผู้บุกเบิก คือส่วนหนึ่งของแรงบันดาลใจ นวนิยายผจญภัย "เพชรพระอุมา" อันโด่งดัง นั่นเอง)ต่อมาในปี พ.ศ.2473 โดยชาวอังกฤษเข้ามาติดตั้งเครื่องจักรทำเหมืองทองคำอยู่ระยะหนึ่ง แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรจึงเลิกกิจการไป ก่อนที่เหมืองทองคำจะเปิดดำเนินการอย่างเป็นระบบและจริงจังในปี พ.ศ.2475 เมื่อบริษัทฝรั่งเศสชื่อ Societe d"Or de Litcho เข้ามาสำรวจและพบว่าลึกลงไปในผืนดินของขุนเขาโต๊ะโมะและลิโช ซึ่งอยู่ในแนวเทือกเขาสุไหงโก-ลก มีแร่ทองคำอยู่จำนวนมาก ที่สำคัญเนื้อทองคำมีเปอร์เซ็นต์สูง จึงได้ขอสัมปทานจากรัฐบาลไทยทำเหมืองทองคำเป็นเวลา 20 ปี บริษัทฝรั่งเศสดำเนินกิจการได้ไม่นานก็เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 เหมืองทองคำต้องปิดตัวลง แต่มีบันทึกไว้ว่าในระหว่างปี พ.ศ. 2479-2483 บริษัท Societe d"Or de Litcho ขุดทองคำไปได้ถึง 1,851.44 กิโลกรัมเลยทีเดียวหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลไทยเข้ามาดำเนินการเองแต่ทำได้ไม่นานก็ประสบปัญหาจึงสั่งปิดเหมืองและกลายเป็นเหมืองร้างอยู่นานหลายสิบปี ก่อนที่จะจัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์เหมืองโต๊ะโมะให้ผู้สนใจเข้าชมบริเวณที่เคยเป็นเรือนพัก จุดล่องแพและอุปกรณ์ร่อนแร่ทองคำในปัจจุบันเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

27/09/2561

ดอลลาร์แข็ง ทองคำร่วง


สภาทองคำโลก(World Gold Council) ระบุว่าความต้องการทองคำ ครึ่งปีแรกของปีนี้(2561)ลดลง 6 เปอร์เซ็นต์ ไมทำจึงเป็นเช่นนั้น อะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้ทองคำสินทรัพย์ปลอดภัยประเภทหนึ่งมีความต้องการลดลง และราคาลดลงอย่างต่อเนื่องเป็นที่ทราบกันดีว่า ดอลลาร์สหรัฐ เป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดทิศทางราคาทองคำ น้ำมัน หรือแม้สินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งปัจจุบันเงินดอลลาร์แข็งค่ามากที่สุดในรอบ 13 เดือน และยังยืนระยะต่อเนื่อง ประกอบกับการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด จาก 0 เปอร์เซ็นต์ ปรับขึ้นมาเป็น 1.75 %และยังคาดว่าจะปรับขึ้นอีกถึง 2.25 % มาตรการลดภาษีของรัฐบาลเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้การใช้จ่ายผู้บริโภคมากขึ้น การลงทุนจากเอกชนและรัฐดีขึ้น เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ขยายตัวเร็วสุดตั้งแต่ 2014 ด้วยปัจจัยบวกเหล่านี้ ทำให้เงินไม่ไหลออกไปซื้อสินทรัพย์อื่น ดอลลาร์จึงแข็งค่าส่งผลต่อราคาทองคำที่ดิ่งลงมากสุดในรอบ 19 เดือนและยังมองไม่เห็นปัจจัยอะไรที่จะดึงให้ราคาทองฟื้นตัว ในขณะที่ราคาทองคำลดลงแทนที่จะช่วยกระตุ้นการลงทุนในทองคำ กลับทำให้นักลงทุนเทขายทองคำ แล้วหันไปถือดอลลาร์สหรัฐฯแทน ทำให้ความต้องการทองครึ่งปีนี้น้อยลงมาก อีกปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาทองคำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คือความกังวลต่อวิกฤตค่าเงินและเศรษฐกิจตุรกี นักวิเคราะห์มองว่าหากมีปัจจัยอะไรมาฉุดดอลลาร์สหรัฐฯ ให้อ่อนค่าลง ก็อาจทำให้ราคาทองปรับขึ้นได้บ้าง แต่ในมุมของผู้ค้าทองคำเชื่อว่าราคาทองไม่น่าจะต่ำลงไปกว่านี้มากนักราคาทองคำตลาดโลกที่ตำลงนี้ส่งผลต่อราคาทองคำในบ้านเรา ร้านทองต้องปรับป้ายราคาหลายรอบต่อวัน อีกทั้งค่าเงินบาทก็มีผลต่อราคาทองคำในบ้านเราด้วย ซึ่งในรอบเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาราคาทองถือว่าดิ่งลงมากที่สุดในรอบปี นับตั้งแต่ข่าววิกฤตเศรษฐกิจของตุรกี ราคาทองบ้านเราร่วงลงไปแล้ว 500 บาท แต่ถ้าเทียบตั้งแต่ต้นปี ราคาทองเปลี่ยนแปลงลดลงบาทละ 1,500 ในสถานการณ์แบบนี้คงเกิดคำถามว่าควรซื้อ หรือขายออกดี สำหรับนักลงทุนควรรอให้สถานการณ์ราคานิ่งก่อนไม่ต้องรีบร้อน แต่ถ้าต้องการซื้อทองรูปพรรณเพื่อเป็นของขวัญหรือเครื่องประดับ ก็ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมเพราะราคาทองต่ำสุดในรอบ 2-3 ปี เลยทีเดียวเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

27/09/2561

ทำไมตุรกีจึงเป็นศูนย์กลางของ ทองคำ


องค์กรส่งเสริมอุตสาหกรรมทองคำโลก หรือ World Gold Council ได้เผยแพร่รายงานเรื่อง Turkey: gold in action พูดถึงอุตสาหกรรมเครื่องประดับและบทบาทของทองคำในชีวิตประจำวันของชาวตุรกี ได้ข้อสรุปที่น่าสนใจว่าประเทศตุรกีเป็นเสมือนโลกใบย่อมของตลาดทองคำโลก เนื่องจากมีเกี่ยวข้องกับทองคำตั้งแต่การทำเหมือง การสกัดทอง ไปจนถึงการออกแบบเครื่องประดับ และการลงทุน นอกจากนี้การศึกษาค้นคว้าของ World Gold Council ยังมีข้อมูลสำคัญที่ช่วยสนับสนุนแนวคิดที่ ตุรกีคือศูนย์กลางการค้าทองคำและเครื่องประดับทองคำที่สำคัญของโลก อีกหลายประเด็น เช่นพ่อค้าในอาณาจักรโบราณที่ชื่อลิเดีย (Lydia) ซึ่งก็คือดินแดนตุรกีในปัจจุบัน ริเริ่มที่จะใช่เหรียญทองคำเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้า ซึ่งนั่นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนคริสตกาลถึง 700 ปี และปัจจุบันตุรกีก็ยังคงเป็นหนึ่งในผู้ผลิตเหรียญทองอย่างเป็นทางการรายใหญ่ที่สุดของโลก แสดงให้เห็นว่าทองคำหยั่งรากลึกใน วัฒนธรรมของตุรกีมาอย่างยาวนาน สำหรับชาวตุรกีทองคำเป็นสิ่งที่ไม่อาจแยกออกจากกันได้แต่ละครัวเรือนมีทองคำสะสมในปริมาณมาก ประมาณการว่าในภาคครัวเรือนมีทองคำสะสมไว้รวมกว่า 3,500 ตัน ทองคำ “ใต้หมอน” เป็นคำพูดเปรียบเปรยที่พูดถึงการสะสมทองคำของชาวตุรกี ที่มักจะเก็บไว้ใต้หมอนและมันได้กลายเป็นฟันเฟืองเล็กๆ แต่มีความสำคัญในระบบการเงินของตุรกีมาทุกยุคสมัย อุตสาหกรรมเหมืองทองคำของตุรกีมีขนาดเล็ก แต่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว การผลิตทองคำ เพิ่มขึ้นเกือบทุกปีนับตั้งแต่ปี 2001 เป็นต้นมา โดยสูงขึ้นจาก 2 ตันเป็น 33.5 ตันในปี 2013 ตุรกีเป็นผู้ส่งออกเครื่องประดับทองรายใหญ่เป็นอันดับสองของโลกรองจาก อิตาลีตลาดส่งออกเครื่องประดับทองรายใหญ่ที่สุดของตุรกีก็คือ ตะวันออกกลาง แต่ตุรกีก็ยังสามารถส่งออกไปยัง สหรัฐอเมริกา รัสเซีย และเยอรมนีด้วยเช่นกัน ด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัย ฝีมือช่างที่โดดเด่น ศักยภาพในการผลิตที่ตอบสนองได้ทุกความต้องการ คุณภาพงานชั้นเยี่ยม ราคาที่เอื้อต่อการแข่งขันในตลาด และความสามารถในการส่งมอบสินค้าในระยะเวลาที่สั้น ส่งผลให้ธุรกิจการค้าและการส่งออกเครื่องประดับทองของตุรกีเติบโตอย่างรวดเร็ว และทำให้ตุรกีกลายเป็นศูนย์กลางการค้าทองคำและเครื่องประดับทองคำที่สำคัญของโลกเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

27/09/2561

บรูไน ลูกค้าทองคำรายใหญ่ของไทย


บรูไน เป็นประเทศสมาชิกในอาเซียนที่มีการใช้ผลิตภัณฑ์อัญมณีและเครื่องประดับของไทยมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เครื่องประดับทอง สินค้าที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ อันดับ1.ทองรูปพรรณ 2. เครื่องประดับทองประเภท 18 – 22 K ประดับด้วยเพชร และ3.เครื่องประดับเงินประดับด้วยพลอยสีเจียระไน โดยรูปแบบจะเน้นที่ขนาดใหญ่และหนากว่าของไทยแต่มีน้ำหนักเบากว่า เช่น สร้อยคอ กำไลข้อมือ และแหวน ที่มีลวดลายรูปดอกไม้ ส่วนต่างหู ไม่เป็นที่นิยมเพราะผู้หญิงบรูไนจะสวมใส่ผ้าโพกศีรษะหรือฮิญาบ ที่บรูไนตลาดซื้อขายเครื่องประดับจะคึกคักในช่วงครึ่งปีหลังเพราะเป็นช่วงเทศกาลถือศีลอดของชาวมุสลิมหรือรอมฎอน และช่วงเทศกาลแต่งงาน อย่างไรก็ตามลูกค้าหลักในปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นข้าราชการที่นิยมซื้อเครื่องประดับทองคำหลังจากได้รับโบนัสในช่วงต้นปี สำหรับราคาเครื่องประดับทองคำในบรูไนจะขึ้นอยู่กับความบริสุทธิ์ ของทองคำเป็นหลัก ถ้า ทองคำ 24K ราคาโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ กรัมละ 67 ดอลลาร์บรูไน(BND) ทองคำ 22K ราคากรัมละ 62.5 BND และ 21K ราคากรัมละ 60 BND และตั้งแต่ปี 2559 ราคาทองคำรูปพรรณลดลงเล็กน้อย คือเครื่องประดับ ทองคำ 24K ราคาโดยเฉลี่ย ประมาณ 63 BND ทองคำ 22K ราคากรัมละ 59 BND ในอดีต การซื้อขายทองคำแท่งของบรูไนสามารถทำได้ที่ธนาคารที่ได้รับใบอนุญาตจากรัฐบาลเท่านั้น เช่น Bank Islam Brunei Darussalam (BIBD) ซึ่งเป็นผู้นำเข้าทองคำแท่ง PAMP (ผู้ผลิตทองคำยักษ์ใหญ่)จาก สวิสเซอร์แลนด์ หรือผู้ค้าทองคำ เครื่องประดับที่ได้รับสิทธิ์จากกระทรวงการคลัง ของบรูไนให้สามารถจำหน่ายทองคำแท่งได้เท่านั้น และการนำเข้าทองคำแท่งไม่ต้องเสียภาษี แต่จะมีการจัดเก็บภาษี 5% สำหรับการนำเข้าทองคำประเภทรูปพรรณ ต่อมาในปี ค.ศ.2000 รัฐบาลได้ยกเลิกข้อจำกัดนี้ทำให้ชาวบรูไน สามารถซื้อขายทองคำแท่งได้อย่างเสรี จึงมีการนำเข้าทองคำจากต่างประเทศมากขึ้น แสดงให้เห็นว่าชาวบรูไนเริ่มที่จะเก็บทองคำแท่งไว้เพื่อการออม และการลงทุนมากขึ้น รวมถึงเครื่องประดับทองคำรูปพรรณที่ยังคงเป็นที่ต้องการด้วย ถึงแม้บรูไนจะเป็นประเทศเล็กๆในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน แต่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจ เป็นชาติที่นิยมสินค้าและบริการที่มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับในระดับสากล จึงนับเป็นโอกาสในการลงทุนของผู้ประกอบการไทยที่สนใจความท้าทายในการประกอบธุรกิจใหม่ที่บรูไนอัตราแลกเปลี่ยน 1 BND เท่ากับ 23.75 บาท (ข้อมูล ณ.วันที่ 6 กันยายน 61)เช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

27/09/2561

แหล่งแร่ทองคำสำคัญของโลก


@page { margin: 2cm } p { margin-bottom: 0.25cm; direction: ltr; line-height: 115%; text-align: left; orphans: 2; widows: 2 } จากข้อมูลของ Natural Resource Holding (2013)บริษัทที่มีการลงทุนในเรื่องการทำเหมืองทองคำ และสินแร่อื่นๆ รายงานว่า ทั่วโลก มีแหล่งแร่ทองคำทั้งหมด 580 แห่ง อเมริกาเหนือเป็นภูมิภาคที่มีแหล่งแร่ทองคำมากที่สุดในโลก อยู่ที่ประมาณ 1,130.9 ล้านออนซ์ จากแหล่งแร่ทองคำ 199 แห่ง รองลงมาคือแอฟริกามีปริมาณแร่ทองคำประมาณ 841.7 ล้านออนซ์ จากแหล่งแร่ทองคำ 109 แห่ง นอกจากนี้Natural Resource Holding (2013) ยังเปิดเผยรายงานเกี่ยวกับการผลิตแร่ทองคำทั่วโลกอย่างน่าสนใจในหลายประเด็นอย่างอาทิเช่นแหล่งแร่ทองคำ 580 แหล่งทั่วโลก มีคุณภาพทองคำเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1.01 กรัมต่อตัน และในจำนวนนี้ เป็นแหล่งแร่ทองคำที่มีการผลิตแล้วจำนวน 199 แห่ง ซึ่งมีคุณภาพเฉลี่ยประมาณ 1.18 กรัมต่อตัน ส่วนแหล่งแร่ทองคำที่ยังอยู่ในช่วงการพัฒนาหรือยัง ไม่มีการผลิต 381 แห่ง มีคุณภาพเฉลี่ยประมาณ 0.89 กรัมต่อตัน จีนเป็นประเทศที่มีการผลิตทองคำมากที่สุด คือ 455 ตัน รองลงมา ได้แก่ ประเทศ ออสเตรเลีย รัสเซีย และสหรัฐอเมริกา ในขณะที่ประเทศที่มีปริมาณสำรองแร่ทองคำมากที่สุด ได้แก่ ประเทศออสเตรเลีย รัสเซีย และแอฟริกาใต้ สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีแหล่งแร่ทองคำที่มีปริมาณทองคำมากที่สุด โดยมีปริมาณทองคำประมาณ 473.6 ล้านออนซ์ จากทั้งหมด 59 แหล่ง รองลงมา ได้แก่ แคนาดา 471.5ล้านออนซ์จากทั้งหมด 99 แหล่ง แอฟริกาใต้ 466.6 ล้านออนซ์ จากทั้งหมด 33 และรัสเซีย 328.3ล้านออนซ์จากทั้งหมด 33 แหล่ง ออสเตรเลีย 258.6 6 ล้านออนซ์ จากทั้งหมด56 แหล่ง ชิลี147.5 ล้านออนซ์ จากทั้งหมด 15 แหล่ง และแมกซิโก136.6 ล้านออนซ์ จากทั้งหมด 33 แหล่งถึงแม้ภูมิภาคแอฟริกาจะไม่ได้มีทรัพยากรแร่ทองคำมากที่สุดในโลก แต่ก็เป็นภูมิภาคที่มีแหล่ง แร่ทองคำคุณภาพดีที่สุดในโลก แหล่งแร่ทองคำของประเทศแอฟริกาใต้มีคุณภาพสูงถึง 6.04 กรัมต่อตัน ในขณะที่แทนซาเนีย สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก (DRC) และมาลีก็มีแหล่งแร่ทองคำคุณภาพดีเช่นกันคือประมาณ 2.3-2.8 กรัมต่อตันสวิสเซอร์แลนด์เป็นประเทศผู้ส่งออกทองคำมากที่สุดในโลก (ปี 2559) คิดเป็นมูลค่าประมาณ 82,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นสัดส่วน ประมาณร้อยละ 25 ของมูลค่าทองคำที่ส่งออกทั่วโลก รองลงมา ได้แก่ ฮ่องกง สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และสหรัฐอเมริกา ตามลำดับประเทศไทยส่งออกทองคำมากที่สุดเป็นอันดับที่10 ที่ 7,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯคิดเป็นร้อยละ 2.2 ของมูลค่าทองคำที่ส่งออกทั่วโลกเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

27/09/2561

แหล่งแร่ทองคำใหม่ในจีน


ข้อมูลจากกรมสำรวจธรณีวิทยาแห่งสหรัฐอเมริกา (United States Geological Survey: USGS) พบว่าในปี 2559 มีการผลิตแร่ทองคำจากเหมืองแร่ทั่วโลกประมาณ 3,100 ตัน โดยประเทศจีนเป็นประเทศที่มีการผลิตทองคำมากที่สุด คือ 455 ตัน รองลงมา ได้แก่ ประเทศ ออสเตรเลีย รัสเซีย และสหรัฐอเมริกา ตามลำดับ ในขณะที่ประเทศที่มีปริมาณสำรองแร่ทองคำมากที่สุด ได้แก่ ประเทศออสเตรเลีย รัสเซีย และแอฟริกาใต้ ตามลำดับ จีน อาจเป็นประเทศที่มีการผลิตทองคำมากที่สุดเป็นอันดับ1ของโลก ต่อไปอีกหลายปีเมื่อกระทรวงที่ดินและทรัพยากรของจีนได้เปิดเผยข้อมูลใหม่ เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2560 ว่าได้มีการสำรวจพื้นที่ในคาบสมุทรเจียวตง ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของมณฑลซานตง พบว่า มีแหล่งทรัพยากรทองคำสำรองใหม่กว่า 2,400 ตัน ซึ่งมากกว่าจำนวนรวมของทรัพยากรทองคำสำรอง ที่มีสะสมในคาบสมุทรเจียวตงมาตั้งแต่เริ่มการสถาปนาจีนยุคใหม่ในช่วง 61 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้มณฑลซานตงครองอันดับแหล่งผลิตทองคำที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน และก้าวขึ้นมาเป็นแหล่งแร่ทองคำที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก เจียวตงมีปริมาณการผลิตทองคำรวม71 ตัน คิดเป็น 1 ใน 6 ของปริมาณการผลิตทองคำในประเทศจีน ซึ่งปัจจุบันเจียวตงมีแหล่งทรัพยากรทองคำสำรองรวมทั้งสิ้น 3,694 ตันผู้เชี่ยวชาญด้านธรณีวิทยาของจีนยังได้วิเคราะห์ตามทฤษฎีใหม่เกี่ยวกับแร่ คาดการณ์ว่าพื้นที่ของเจียวตงในระดับความลึก 3,000 เมตร จะมีแร่ทองคำไม่น้อยกว่า 6,000 ตัน และในระดับความลึก 5,000 เมตรอาจจะมีแร่ทองคำมากถึง 10,000 ตันเลยทีเดียวในทางทฤษฎี พื้นผิวโลกสามารถถูกเจาะลงไปได้ 10 กิโลเมตร และการทำเหมืองที่ทันสมัยของโลกอยู่ที่ระดับความลึก 2,000 – 4,000 เมตร ซึ่งในขณะนี้ ประเทศจีนยังทำเหมืองแร่อยู่ที่ระดับความลึกแค่ 500 เมตรเท่านั้น ดังนั้นหากมีพัฒนาการทำเหมืองให้ลึกได้ถึง 2,000 เมตร ปริมาณทรัพยากรแร่ของจีนก็จะเพิ่มขึ้นจากที่มีอยู่ในปัจจุบันเป็น 2 เท่าทั้งนี้การทำเหมืองแร่ในระดับลึกนั้น จะมีผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมทางนิเวศวิทยาน้อยกว่าการทำเหมืองบนหน้าพื้นดิน ซึ่งตรงกับข้อกำหนดในการสร้างความสมดุลทางนิเวศวิทยาของจีนในปัจจุบัน ไม่แน่ว่าต่อไปทองรูปพรรณที่ขายตามร้านทองบ้านเราอาจมาจากแหล่งทองคำที่พบใหม่ในมณฑลซานตงก็เป็นได้เช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

06/09/2561

โบรกเกอร์ โกลด์ฟิวเจอร์ส (Gold Future)


อยากจะลงทุนในตลาดซื้อขายทองคำล่วงหน้า(Gold Future) ต้องทำอย่างไร ไปซื้อที่ร้านทองได้หรือไม่ แล้วจะทำอย่างไรไม่ให้โดนหลอก คำตอบคือต้องไปซื้อกับบริษัทโบรกเกอร์โกลด์ฟิวเจอร์สที่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์หรือ ก.ล.ต.เท่านั้นในปัจจุบันการซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์สอย่างถูกต้องตามกฎหมายในประเทศไทยจะมีเพียงในตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือ TFEX เพียงแห่งเดียวเท่านั้น และโบรกเกอร์ที่ได้รับอนุญาตจะต้องเป็นบริษัทสมาชิกของตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า และต้องได้รับใบอนุญาตจากสำนักงาน ก.ล.ต. ดังนั้น ก่อนตัดสินใจซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์ส ผู้ลงทุนควรตรวจสอบว่าบริษัทเหล่านั้น เป็นบริษัทที่ได้รับใบอนุญาตจริงหรือไม่ นักลงทุนสามารถตรวจสอบรายชื่อโบรกเกอร์ที่ซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์ส ได้ที่ หน้าเวปไซด์ของ บริษัท ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ Thailand Futures Exchange หรือ TFEX ซึ่งปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 7 ธันวาคม 2560)มีบริษัทสมาชิกประเภทตัวแทนทั่วไป รวม 40 บริษัท ในจำนวนบริษัทสมาชิกทั้ง 40 บริษัท มีบริษัทสมาชิกที่เปิดให้บริการซื้อขายอนุพันธ์ผ่านอินเทอร์เน็ต 36 บริษัทบริษัทโบรกเกอร์โกลด์ฟิวเจอร์สที่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องจากสำนักงาน ก.ล.ต. จะต้องปฎิบัติตามข้อกำหนดหลายประการเพื่อให้แน่ใจว่าบริษัทมีระบบงานที่ได้มาตรฐานและมีนโยบายบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม ซึ่งจะทำให้มั่นใจได้ว่าผู้ลงทุนจะได้รับชำระกำไรขาดทุนตามที่เกิดขึ้นจริง เช่น จะต้องแยกสินทรัพย์ของผู้ลงทุนออกจากของบริษัท มีเงินกองทุนสภาพคล่องขั้นต่ำตามที่กำหนด และมีเจ้าหน้าที่การตลาดที่ได้รับใบอนุญาตจากสำนักงานฯ ข้อควรระวังของนักลงทุนคือ อย่าหลงเชื่อแก๊งค์มิจฉาชีพที่ชอบอ้างว่าเป็นโบรกเกอร์ทองคำ ซึ่ง โบรกเกอร์ทองเถื่อนเหล่านี้ มักจะโทรศัพท์ไปชักชวนให้ลงทุนในทองคำ โดยอ้างตนเป็นนายหน้าซื้อขายตั๋วทองคำที่มี วิธีซื้อขายคล้ายกับโกลด์ฟิวเจอร์ส แต่ใช้เงินทุนน้อยมาก เพียงแค่ประมาณ 1% ของมูลค่าตั๋วจริงเท่านั้น และเป็นการซื้อขายใน Spot Market ไม่ใช่การซื้อขายในตลาดล่วงหน้าตั๋วทองคำจึงไม่มีวันหมดดอายุ ผู้ลงทุนที่หลงเชื่ออาจสูญเป็นจำนวนมาก เพราะโบรกเกอร์เหล่านี้ ไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับที่ถูกต้องของสำนักงาน ก.ล.ต. ตามที่กฎหมายกำหนดเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

06/09/2561

ย้อนประวัติศาสตร์ 147 ปี การทำเหมืองแร่ทองทำ


ประเทศไทยมีการทำเหมืองแร่มาตั้งแต่รัชกาลที่ 4 ช่วงแรกนิยมทำเหมืองดีบุก ต่อมาเมื่อมีพระราชบัญญัติการทำเหมืองแร่ ร.ศ. 120 การทำเหมืองก็ขยายตัวเพิ่มขึ้น มีการทำเหมืองแร่กว่า 40 ชนิด แต่มีแร่เศรษฐกิจที่สำคัญอยู่เพียง 10 ชนิดเท่านั้นคือ ถ่านหิน ยิปซัม หินอุตสาหกรรม เฟลด์สปาร์ สังกะสี โดโลไมต์ ดีบุก ทรายแก้ว เกลือหินและโพแทซ และทองคำ เหมืองทองคำเริ่มทำครั้งแรกในปี พ.ศ. 2414 แต่ทำได้ไม่นานก็ปิดกิจการไป และกลับมาทำกันอีกครั้ง ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 มีบันทึกว่ามีชาวอิตาเลี่ยนมาขอขุดทองที่ อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่าสามารถขุดพบได้จำนวนเท่าใด ต่อมาก่อนถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลสยามได้ให้สัมปทานแก่บริษัทจากอังกฤษและฝรั่งเศส ทำการสำรวจและทำเหมืองแร่จากแหล่งแร่ทองคำหลายแห่ง เช่น แหล่งโต๊ะโมะ จ.นราธิวาส บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ แหล่งกบินบุรี จ.ปราจีนบุรี เป็นต้นมีการบันทึกไว้ว่า บริษัท Societe des Mine d’Or de Litcho ของฝรั่งเศสซึ่งทำเหมืองแร่ทองคำที่แหล่งโต๊ะโมะ จ.นราธิวาส ได้ทองคำหนักถึง 1,851.44 กิโลกรัมเลยทีเดียว ในขณะที่กรมโลหะกิจ หรือกรมทรัพยากรธรณีในปัจจุบัน ได้ทำเหมืองทองคำที่แหล่งบ้านบ่อ จ.ปราจีนบุรี ระหว่างปีพ.ศ. 2479-2483 ได้ทองคำถึง 54.62 กิโลกรัมปัจจุบันประเทศไทยมีพื้นที่ทำเหมืองแร่ทองคำที่ได้รับประทานบัตรหรือใบอนุญาตให้ขุดแร่ได้มีทั้งหมด 33 แปลง จากประทานบัตรเหมืองแร่ทั้งหมดกว่า 1,500 แปลง ทองคำที่ผลิตได้ในประเทศจะส่งออกเกือบทั้งหมด ซึ่งช่วง 10 ปีที่ผ่านมามูลค่าการส่งออกทองคำมีแนวโน้มสูงขึ้นตามราคาทองคำในตลาดโลก โดยมูลค่าการส่งออกในปี 2554 ประเทศไทยส่งออกทองคำรวม 2,860,219 กรัม มูลค่า 4,425.4 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวในปี 2555 ผลิตได้ 4,895,021 กรัม มูลค่า 8,119.9 ล้านบาท ประเทศไทยมีแหล่งแร่ทองคำไม่ถึงร้อยละ 1 ของแร่ทั้งประเทศ แต่ราคาทองคำในตลาดโลกที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ก็ดึงความสนใจให้นักลงทุนหันมาขุดทองกันมากขึ้นแต่ การทำเหมืองแร่ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูงที่มีการลงทุนค่อนข้างมาก และอาจมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทำให้การทำเหมืองแร่ในประเทศไทยยังคงมีข้อจำกัดอยู่ในเวลานี้เช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

06/09/2561

เรื่องลับๆกับทองคำ


เรารู้ว่า ทองคำ เป็นโลหะชนิดหนึ่งที่มีสีเหลือง มันวาว สะท้อนแสงได้ดี และราคาแพง นิยมนำมาทำเป็นเครื่องประดับ เป็นทรัพย์สิน เป็นการลงทุน และเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ แต่ยังมีความลับเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับทองคำอีกมากมายที่เรายังไม่รู้ ทองคำเป็นแร่ธาตุที่ไม่มีวันสูญสลาย เมื่อขุดขึ้นมาแล้วก็ยังอยู่บนโลกต่อไป มีการคาดการณ์กันว่า นับตั้งแต่มนุษย์ชาติรู้จักการใช้ทองคำเมื่อ 6,000 ปีก่อน ได้มีการขุดทองคำขึ้นมาบนโลกแล้วกว่า 174,000 ตันประเทศที่ผลิตทองคำมากที่สุดในโลก 5 อันดับแรก ได้แก่ 1. จีน 2. ออสเตรเลีย 3. สหรัฐอเมริกา 4. รัสเซีย 5. แอฟริกาใต้ และเหมืองทองคำที่ลึกที่สุดในโลกชื่อ Tau Tona อยู่ที่แอฟริกาใต้ มีความลึกเกือบ 4 กิโลเมตร ระหว่างปี ค.ศ. 2001 – 2012 ราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้นเป็นเวลา 12 ปีติดต่อกัน จากราคาต่ำสุดที่ 250 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ไปอยู่ที่ราคาสูงสุด 1900 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือเพิ่มขึ้น 7.6 เท่า นั่นทำให้ ราคาทองคำแท่งของไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากบาทละ 5,200 บาท ไปสูงสุดที่บาทละ 26,000 บาท หรือเพิ่มขึ้นกว่า 5 เท่า เมื่อนำทองคำบริสุทธิ์น้ำหนัก 1 ออนซ์ มาตีให้เป็นแผ่นบางๆ จะตีได้กว้างถึง 9 ตารางเมตรและเมื่อนำทองคำน้ำหนัก 1 ออนซ์มายืดให้มีความหนา 5 ไมครอน สามารถยืดได้ยาวถึง 50 ไมล์ และหากนำทองที่มีอยู่ในโลกทั้งหมดมารวมกัน แล้วดึงให้เป็นเส้นลวดที่ความหนา 5 ไมครอนนี้ สามารถนำมาพันรอบโลกได้ถึง 11,200,000 รอบเลยทีเดียวจุดเดือดของทองคำนั้นสูงถึง 2,808 องศาเซลเซียส และการจะทำให้ทองคำละลายต้องใช้ความร้อนสูงถึง 1,064 องศาเซลเซียส เมื่อปี 1869 มีการขุดพบทองคำก้อนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดตั้งแต่มีการขุดพบทองคำก้อน ชั่งได้ประมาณ 2,316 ทรอยออนซ์ หรือประมาณ 72 กิโลกรัม ที่เมืองมอเลียกัลในประเทศออสเตรเลีย มันถูกเรียกว่า “Welcome Stranger” ที่แปลว่า ยินดีต้อนรับคนแปลกหน้า ทองคำราว 147,300,000 ออนซ์ หรือประมาณ 4,600 ตัน ถูกเก็บไว้อยู่ในศูนย์รับฝากทองแท่งที่เมืองฟอร์ตน็อกซ์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวลับๆที่น่าสนใจของทองคำที่เราอาจไม่เคยรู้มาก่อนเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

06/09/2561

นำทองคำกลับบ้าน


การเรียกคืนทองคำที่ฝากไว้ในต่างประเทศ กำลังเป็นกระแสที่หลายประเทศดำเนินการอยู่ การเร่งเรียกทองคำกลับคืนหรือการกลับมาสะสมทองคำนั้น อาจเป็นดัชนีชี้วัดการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจหรือการเกิดสงครามใหญ่ได้ อีกทั้งการเรียกขอคืนทองคำทั้งหมดที่เก็บไว้ในธนาคารกลางสหรัฐและที่ธนาคารกลางฝรั่งเศษของเยอรมันเมื่อ 5 ปีก่อนก็ทำให้หลายๆประเทศเริ่มเดินตามการนำทองคำกลับบ้านเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.2009 โดยอินเดียได้ขนทองคำจำนวน 200 ตัน กลับจากไอเอ็มเอฟ ซึ่งถือเป็นการเคลื่อนย้ายทองคำกลับบ้านระดับนานาชาติในปริมาณมากเป็นครั้งแรก ปี ค.ศ. 2011 เม็กซิโก อ้างความจำเป็นเรื่องการค้าขายกับหลายประเทศเช่น ประเทศบริกส์ จีน รัสเซีย อินเดีย ที่เรียกร้องการซื้อขายเป็นทองคำแทนเงินสกุลอื่นทำให้ต้องเรียกทองคำ 100 ตัน กลับมาจากธนาคารกลางสหรัฐ เช่นเดียวกับเวเนซุเอลา ขนทองคำ 160 ตัน มูลค่าประมาณ 9 พันล้านดอลลาร์ กลับบ้านจากอเมริกาในเดือนมกราคม ค.ศ. 2012 ปีค.ศ. 2014 ปริมาณสำรองทองคำของชาวดัตช์ ที่ถูกเก็บไว้ในห้องเก็บของธนาคารกลางของสหรัฐ 122.5 ตันถูกส่งกลับไปยังอัมสเตอร์ดัม ซึ่ง; ธนาคารกลางของเนเธอร์แลนด์ยังคงเก็บสำรองทองคำไว้ในนิวยอร์ก ออตตาวาและลอนดอน ขณะที่ออสเตรีย มีแผนเรียกทุนสำรองทองคำ 50 เปอร์เซ็นต์กลับจากกรุงลอนดอน 30 เปอร์เซ็นต์และ 20 เปอร์เซ็นต์จากสวิตเซอร์แลนด์ภายในเดือนพฤษภาคมในปี 2020 15 มีนาคม 2018 ปี ฮังการีได้เรียกทองคำคืนจากอังกฤษ 3 ตันด้วยเหตุผลทางด้านเศรษฐกิจ จึงเรียกทองคำกลับมาเก็บไว้ป้องกันความเสี่ยง ตุรกีเป็นประเทศล่าสุดที่เรียกคืนทองคำทั้งหมดที่เก็บไว้ในธนาคารกลางสหรัฐ จำนวน 220 ตันกลับประเทศ ซึ่งแม้จะเริ่มเรียกทองคำกลับบ้านมาตั้งแต่ปี 2002 แต่ก็ยังไม่สามารถดำเนินการได้ตามที่หวังไว้ตุรกีก็เหมือนๆกับหลายประเทศในยุโรป ที่ย้ายทองคำไปฝากที่ไว้ที่อเมริกาเพื่อหลบหนีการปล้นทองคำจากธนาคารกลางของยุโรปของฮิตเลอร์ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2เช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

06/09/2561

เยอรมัน กับทองคำ


ก่อนปี 2008 เยอรมนีมีความต้องการทองคำเฉลี่ยเพียงปีละ 17 ตันเท่านั้น ในขณะที่กองทุน ETC ที่หนุนด้วยทองคำไม่ได้รับความนิยมในตลาด(Exchange-Traded Commodity (ETCs) คือกองทุนที่ไปลงทุนในสินทรัพย์โภคภัณฑ์จำพวกทองคำ น้ำมัน) แสดงให้เห็นว่าการลงทุนในทองคำของประเทศเยอรมณีได้รับความสนใจน้อยมากจนกระทั่งเกิดวิกฤตทางการเงินในช่วงปี 2008 ทำให้ชาวเยอรมันเริ่มตระหนักว่าเงินแบบธนบัตร (fiat currencies) อาจไม่มีเสถียรภาพและสูญเสียมูลค่ามหาศาลได้ในอนาคต ประกอบกับความเชื่อมั่นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์เริ่มลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้ทองคำถูกมองว่าเป็นเงินที่แท้จริง (real money)ด้วยเหตุนี้จึงกระตุ้นให้นักลงทุนชาวเยอรมันสนใจในทองคำมากขึ้นจนกระทั่งปี 2017 เยอรมนีได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำระดับโลกในการลงทุนทองคำไปแล้ว ถือเป็นพัฒนาการอย่างเงียบๆ ในช่วงตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมาเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

06/09/2561

เครื่องทองลงยา/ลงยาราชาวดี


การลงยา เป็นการเพิ่มสีสัน ความสวยงามให้กับเครื่องประดับ ที่อยู่คู่คนไทยมาอย่างยาวนาน สารานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถานเล่ม ๒๕ อธิบายไว้ว่า การลงยามีในหลายประเทศและมีอยู่หลายแบบ ประเทศไทยนิยมในแบบที่เรียกว่า กลัวซอนเน(cloisonné)หรือที่จีนเรียกว่า ฟาลัง (fa-lang) ซึ่งนิยมกันมาตั้งแต่อียิปต์ กรีก เปอร์เซีย โรมัน และตะวันออกกลาง ตลอดจนประเทศในเอเชียด้วย ลงยาคือ การแต้มสีหรือน้ำยาลงในร่องลายของภาชนะ อาวุธ หรือเครื่องประดับที่เป็นโลหะแทนการฝังอัญมณี เดิมใช้เฉพาะสีแดง เขียว ต่อมามีสีเพิ่มคือ แดง เขียว น้ำเงิน และฟ้า เครื่องใช้ที่ลงยามีชื่อเรียกต่างๆกันชองเปลอเว เป็นเครื่องโลหะลงยา นิยมกันมากในยุโรปยุคกลาง โดยใช้วิธีทุบแผ่นพื้นโลหะให้เป็นร่องบุบลงไป หยอดน้ำยาสีต่างๆลงในร่องเหล่านั้น ตามลวดลาย แล้วนำไปอบ งานช่างไทยที่มีลักษณะคล้ายกันนี้เรียกว่า "เครื่องถมปัด" พบได้ที่ซุ้มประตูหน้าต่างปราสาทพระเทพบิดรกลัวซอนเน เป็นการใช้เส้นทองหรือทองแดงเดินลายพื้นโลหะแทนการทุบพื้นโลหะให้บุบ นิยมใช้กันในสมัยจักรวรรดิไบแซนไทน์ แล้วแพร่เข้ามาที่จีนทำกันอย่างแพร่หลายที่กวางตุ้ง เรียกว่า"เครื่องลงยาแบบกวางตุ้ง" หรือ ฟาลัง เป็นที่รู้จักกันดีในสมัยอยุธยาเพราะไทยเป็นลูกค้าสำคัญของจีนเรียกว่า "เครื่องลงยาสี" กราบิแวร์ เป็นของอาหรับและตะวันออกกลางใช้วิธีเดียวกับชองเปลอเว แต่ทำบนเครื่องปั้นเผาที่กดผิวให้ต่ำเป็นตอนๆ ตามลวดลายหรือรูปที่ร่างไว้ก่อน แล้วจึงลงน้ำยาและนำไปอบอุณหภูมิต่ำ ลักษณะคล้ายกันนี้ไทยเรียก"เครื่องปังเคย" หรือ "เครื่องถ้วยเบญจรงค์" นั่นเอง สำหรับกรรมวิธีการลงยาสีของไทยนั้น ชาวเปอร์เซียคงเป็นผู้นำเข้ามาเผยแพร่ตั้งแต่สมัยอยุธยา จึงนิยมอยู่ในหมู่ข้าราชการและราชสำนัก และคงไม่มีสีมากเท่าปัจจุบันเพราะปรากฏในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงโปรดปรานลงยาสีชนิดที่เรียกว่าราชาวดี โดยเป็นสีฟ้าสีเดียว ดังนั้น เครื่องราชูปโภคหลายชิ้นจึงลงยาราชาวดี ซึ่งตัวยาสีนี้คือแก้วสีที่หลอมละลายกับแร่ธาตุที่มีสีต่าง ๆ ได้เป็นสีใสตามเนื้อแก้ว ถ้าต้องการให้ขุ่นจะผสมออกไซด์ของดีบุกหรือพลวง งานลงยาสีฟ้าหรือ"ลงยาราชาวดี" ส่วนมากจะเป็นของเจ้านายชั้นสูง หากไม่มีสีฟ้าในชิ้นงานจะเรียกว่า "ทองลงยา" ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4การทำเครื่องลงยามีความรุ่งเรืองมาก เครื่องราชูปโภคและราโชปโภค รวมทั้งเครื่องประกอบยศของเจ้านายตลอดจนขุนนางต่างๆ รวมถึงเครื่องประกอบสมณศักดิ์พระภิกษุสงฆ์ ล้วนเป็นเครื่องลงยาราชาวดีแทบทั้งสิ้นเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

06/09/2561

เครื่องทองน้อย เครื่องทองใหญ่


เครื่องทองน้อย และเครื่องทองใหญ่ เป็นเครื่องนมัสการของไทยเพื่อการแสดงออกถึงการเคารพบูชากราบไหว้ เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่สืบทอดกันมาแต่ครั้งโบราณ แฝงไปด้วยคติธรรมความละเอียดอ่อนและความหมายแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ เครื่องนมัสการของหลวง และเครื่องนมัสการของราษฎร์เครื่องทองน้อย เป็นเครื่องบูชาชนิดหนึ่งสําหรับพระเจ้าแผ่นดินทรงใช้บูชาเฉพาะวัตถุ ประกอบด้วยเชิงเทียน ๑ เชิง เชิงธูป ๑ เชิง กรวยปักดอกไม้ ๓ กรวย ตั้งในพานทองลงยาราชาวดี เรียกเต็มๆว่า เครื่องนมัสการทองน้อย ซึ่งแต่ก่อนมีเพียงพระมหากษัตริย์เท่านั้นที่จะทรงใช้เครื่องทองน้อยเป็นเครื่องราชสักการะพระบรมศพ พระบรมอัฐิ พระบรมราชานุสาวรีย์ และใช้ในโอกาสทรงธรรม แต่ในปัจจุบันเครื่องทองน้อยนอกจากใช้สำหรับการสักการบูชาของพระมหากษัตริย์แล้ว พระบรมวงศานุวงศ์ พระสงฆ์ และสามัญชนทั่วไป ก็สามารถใช้เครื่องทองน้อยในโอกาสต่างๆได้ด้วยไม่ว่าจะเป็นงานพระราชพิธี งานพระราชกุศล งานรัฐพิธี และงานด้านศาสนาเครื่องทองใหญ่ เป็นเครื่องนมัสการที่ใช้ในงานพระราชพิธีประจำพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามเท่านั้น ตั้งถวายเพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประกอบด้วยพุ่มดอกไม้ 5 พุ่ม พุ่มข้าวตอก 5 พุ่ม เทียน 5 เล่ม ธูปไม้ระกำ 5 ดอก โดยพานรองพุ่มและเชิงเทียนเชิงธูปนั้นมีขนาดใหญ่ทำจากทองคำลงยาราชาวดีตั้งบนโต๊ะเท้าคู้สลักลายปิดทองนอกจากเครื่องทองน้อย และเครื่องทองใหญ่แล้วยัง เครื่องนมัสการของไทยที่ใช้ในพระราชพิธีและพิธีต่างๆยังมีอีกหลายประเภท ที่สำคัญๆได้แก่ เครื่องนมัสการทองทิศ หรือ เครื่องนมัสการทองใหญ่สำรับใหญ่ เป็นเครื่องนมัสการอย่างเดียวกับเครื่องนมัสการทองใหญ่ แต่มีขนาดเล็กกว่า ทรงใช้บูชาพระพุทธรูปหรือปูชนียสถานสำคัญต่างๆ เครื่องนมัสการพานทองสองชั้น ทำด้วยทองคำ หรือ กาไหล่ทอง เป็นเครื่องบูชาที่พระมหากษัตริย์ทรงใช้ในงานพระราชพิธี งานทรงวางพวงมาลาในวันสำคัญ ต่าง ๆเครื่องนมัสการทองคำลงยาราชาวดี ทำด้วยทองคำ ลงยาราชาวดี ใช้สำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เท่านั้น ในงานพระราชพิธีบำเพ็ญพระกุศลทักษิณานุปทานอุทิศถวายพระบรมราชบุพการี งานบำเพ็ญพระกุศลพระศพ เครื่องนมัสการทองคำลงยารอง ทำด้วยทองคำลงยา เพื่อสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงจุดนมัสการนอกจากนี้ยังมี เครื่องนมัสการทองทิศกะไหล่ทอง เครื่องนมัสการทองใหญ่เครื่องแก้ว เครื่องนมัสการกระบะ เครื่องนมัสการกระบะมุก เครื่องทองน้อยเครื่องหงส์ เครื่องทองน้อยแก้วเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

06/09/2561

โกลด์ฟิวเจอร์สเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน


โกลด์ฟิวเจอร์ส(Gold Futures) หรือ สัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า เชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหนมีการจ่ายเงิน จริงหรือไม่เมื่อได้กำไร แล้วถ้าคู่สัญญาบิดพลิ้วจะทำอย่างไร เป็นคำถามที่มักจะได้ยินเป็นประจำสำหรับนักลงทุนหน้าใหม่โกลด์ฟิวเจอร์ส(Gold Futures) หรือ สัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้าอยู่ภายใต้การดูแลของบริษัทตลาดอนุพันธ์ (ประเทศไทย) จำกัด(มหาชน) หรือ TFEX ซึ่งเป็นศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่ได้รับการจัดตั้งอย่างเป็นทางการภายใต้พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้าพ.ศ.2546 เพื่อทำหน้าที่จัดให้มีการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่ตอบสนองความต้องการของผู้ลงทุน และดูแลการซื้อขายให้ถูกต้อง โปร่งใส และ ยุติธรรม นอกจากนี้ทุกๆการซื้อขายใน TFEX จะมี บริษัทสำนักหักบัญชี (ประเทศไทย)จำกัด(TCH) ทำหน้าที่รับประกันการจ่ายชำระเงินระหว่างคู่สัญญา หากคู่สัญญาฝ่ายที่ขาดทุนบิดพลิ้วไม่ยอมจ่ายชำระเงิน ให้ฝ่ายที่ได้กำไร สำนักหักบัญชีก็จะค้ำประกันการจ่ายชำระเงินนั้นให้ก่อน ผู้ลงทุนจึงมั่นใจได้ว่าหากได้กำไร จากการซื้อขายก็จะได้รับเงินส่วนกำไรนั้นอย่างแน่นอน สำหรับการกำกับดูแลนั้น คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์หรือ ก.ล.ต. เป็น จะเป็นหน่วยงานสำคัญที่คอยดูแลการดำเนินงานของ TFEX และโบรกเกอร์อนุพันธ์อีกขั้นหนึ่งเพื่อให้การซื้อขายโปร่งใส และเชื่อถือได้ผู้ลงทุนจึงมั่นใจได้ว่าจะสามารถซื้อขายในราคาที่เป็นธรรม นอกจากนี้ผู้ลงทุนที่มีสถานะซื้อหรือสถานะขายโกลด์ฟิวเจอร์สอยู่ จะได้ปรับยอดเงินในบัญชีหลักประกันทุกสิ้นวันแม้ว่าจะยังถือสัญญาไว้ก็ตาม ทั้งนี้การซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์ส ผู้ลงทุนจะต้องวางเงินหลักประกันขั้นต้นหรือ Initial Margin ไว้กับโบรกเกอร์อนุพันธ์ก่อนส่งคำสั่งซื้อขายและเมื่อซื้อหรือขาย โกลด์ฟิวเจอร์สไปแล้ว ในทุกสิ้นวันโบรกเกอร์จะปรับยอดเงินในบัญชีของผู้ลงทุน โดยจะคำนวณว่าในวันนั้นๆ ผู้ลงทุนได้กำไรหรือขาดทุนเท่าไร และจะนำยอดกำไรขาดทุนนี้มารวมกับเงินในบัญชีของผู้ลงทุน ในกรณีที่ผู้ลงทุนขาดทุนจนทำให้เงินในบัญชีที่วางไว้ลดลงจนต่ำกว่าระดับหลักประกันที่โบรกเกอร์กำหนดที่เรียกว่า หลักประกันรักษาสภาพ (Maintenance Margin) โบรกเกอร์ก็จะเรียกให้ผู้ลงทุนนำเงินมาวางเพิ่มเติม ให้ระดับเงินในบัญชีกลับไปอยู่ที่ระดับหลักประกันขั้นต้นอีกครั้งหนึ่ง การคำนวณ กำไรขาดทุนทุกสิ้นวันนี้ เรียกว่า Mark to Market ซึ่งเป็นระบบที่ช่วยทำให้ผู้ลงทุนสามารถติดตามสถานะการซื้อขายของตนได้ตลอดเวลา หากเกิดภาวะขาดทุนก็สามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การซื้อขายได้ในทันทีเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

06/09/2561

การลงทุนทองคำแท่ง กับ โกลด์ฟิวเจอร์สต่างกันอย่างไร


การลงทุนในตลาดทองคำ ที่นิยมทำกันมี 2 รูปแบบคือ การลงทุนในทองคำแท่ง การลงทุนใน โกลด์ฟิวเจอร์ส (Gold Futures) หรือ สัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า ซึ่งทั้งสองแบบมีวิธีการและข้อดีข้อเสียแตกต่างกันคือการลงทุน ในทองคำแท่งต้องจ่ายชำระเงินเต็มจำนวน ซึ่งต่างจากโกลด์ฟิวเจอร์ส หรือสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้าที่ใช้วิธีการวางเงินเป็นหลักประกันโดยใช้เงินประมาณ 1 ใน 10 ของราคาทองคำที่เราจะซื้อต่อสัญญาเท่านั้น ระยะเวลาลงทุน ทองคำแท่งสามารถถือไปได้เรื่อยๆจนกว่าจะพอใจและขายได้เมื่อต้องการขาย แต่โกลด์ฟิวเจอร์ส ใช้ระยะสั้นไม่เกิน 6 เดือน เหมาะสำหรับผู้ต้องการทำกำไรในระยะสั้น หรือใช้เพื่อบริหารความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาทองคำการส่งมอบสินค้า ทองคำแท่งมีการส่งมอบสินค้า โดยผู้ซื้อจะได้รับทองคำทันทีหลังจากตกลงซื้อขาย แต่ โกลด์ฟิวเจอร์ส ไม่มีการส่งมอบทองคำจริง แต่ใช้วิธีการจ่ายชำระเงิน ตามส่วนต่างกำไรขาดทุนที่เกิดขึ้น เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษา และความยุ่งยากในการส่งมอบสินค้าทองคำแท่งใช้กลยุทธ์ซื้อและถือยาว เพื่อรอทำกำไร เมื่อราคาทองปรับตัวเพิ่มขึ้น ในขณะที่โกลด์ฟิวเจอร์ส สามารถทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง ผู้ลงทุนสามารถซื้อก่อนขายหรือขายก่อนซื้อได้ ทำให้สามารถ ทำกำไรได้ทุกสภาวะตลาด ทองคำแท่งใช้วิธีติดต่อซื้อขายโดยตรงกับ ร้านทอง แต่โกลด์ฟิวเจอร์สซื้อขายผ่าน ระบบTFEXซึ่งผู้ลงทุนสามารถซื้อขายได้สะดวกรวดเร็ว โดยโทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่การตลาดหรือส่งคำสั่งซื้อขายด้วยตนเองผ่าน อินเตอร์เน็ตก็ได้ข้อมูลราคาซื้อขายทองคำแท่ง เปลี่ยนแปลงโดยเฉลี่ยวันละครั้ง ตามราคาที่สมาคมค้าทองคำประกาศ ซึ่งราคานี้จะเผยแพร่ตามช่องทางที่ผู้ขายให้บริการ เช่น หน้าร้านค้า และเว็ปไซต์ แต่ราคาของ โกลด์ฟิวเจอร์ส จะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ตามรายการซื้อขายที่เกิดขึ้นจริง ผู้ลงทุนสามารถตรวจสอบข้อมูลซื้อขายได้ตลอดเวลาผ่านเว็ปไซต์ มือถือ โทรทัศน์ และช่องทางอื่นๆ ที่โบรกเกอร์ให้บริการซึ่งราคาจะอ้างอิงกับ Gold Spot + ค่าเงินบาทการซื้อขายทองคำแท่งจะไม่มีค่าธรรมเนียม การซื้อขายแต่มีส่วนต่างระหว่างราคาขายและราคาซื้อคืนที่ขั้นต่ำกว่า 100 บาทต่อทองคำหนัก 1 บาท แต่โกลด์ฟิวเจอร์ส มีค่าธรรมเนียมการซื้อขายซึ่งต้องสอบถามทาง Broker ข้อสุดท้ายคือการชำระเงินการซื้อทองคำแท่งจะต้องชะระเป็นเงินสดกับ ผู้ขายหรือร้านทองโดยตรงแต่โกลด์ฟิวเจอร์ส สามารถ เลือกชำระเงินได้ในหลายรูปแบบ เช่น การโอนเงินผ่านระบบบัญชีธนาคารอัตโนมัติ (ATS) จ่ายเป็นเงินสด หรือจ่ายเช็คเข้าบัญชีโบรกเกอร์ก็ได้ เมื่อเห็นความแตกต่างแบบนี้แล้วก็เลือกการลงทุนที่เหมาะกับเราได้เลยเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

06/09/2561

โกลด์ฟิวเจอร์ส (Gold Futures) คืออะไร


โกลด์ฟิวเจอร์ส(Gold Futures) หรือ สัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า เป็นการลงทุนรูปแบบหนึ่งที่ผู้ลงทุนสามารถทำกำไรได้ตามความคาดการณ์ที่มีต่อราคาทองคำได้ทั้งในภาวะราคาทองขาขึ้นและราคาทองขาลง ด้วยคุณลักษณะเด่นที่สามารถซื้อก่อนขายหรือขายก่อนซื้อก็ได้ วิธีการซื้อ-ขายโกลด์ฟิวเจอร์สนั้นต่างจากการซื้อขายทองคำทั่วไป เวลาเราจะซื้อทองรูปพรรณ หรือทองคำแท่งเพื่อการออมหรือเพื่อการลงทุนมากน้อยแค่ไหนก็ตาม เราก็แค่เดินเข้าไปซื้อในร้านทองจ่ายเงิน เท่านี้ก็เรียบร้อย แต่ถ้าเราจะลงทุนในสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้าหรือโกลด์ฟิวเจอร์ส วิธีการก็จะแตกต่างกันไปอย่างสิ้นเชิงแรกเริ่มเราต้องเปิดบัญชีก่อนเพื่อให้ได้บัญชี ในการซื้อ-ขายโกลด์ฟิวเจอร์ส พอเรามีบัญชีแล้วเราก็ต้องศึกษาการเคลื่อนไหวของราคาทองที่อ้างอิงกับ Spot London และทำความเข้าใจ เมื่อมั่นใจว่าศึกษาและทำความเข้าใจดีแล้วก็ต้องวางหลักประกันซึ่ง บริษัท ตลาดอนุพันธ์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือTFEXเป็นผู้กำหนดหลักประกัน จากนั้นก็สามารถทำกำไรในโกลด์ฟิวเจอร์สได้เลย การลงทุนในโกลด์ฟิวเจอร์สนั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือ มีค่าธรรมเนียม และส่วนต่างการซื้อขายต่ำกว่า ทำให้สามารถซื้อขายเพื่อทำกำไรได้ถี่กว่า การซื้อขายทำได้สะดวกและการชำระเงินสามารถชำระโดยการหักบัญชีได้ ราคาซื้อขายจะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ตามหลักอุปสงค์/ อุปทาน ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับราคาตามร้านค้า กลยุทธ์ที่ใช้ในการซื้อขายหลากหลายกว่าสามารถใช้เพื่อบริหารความเสี่ยงได้ ใช้ทุนต่ำกว่าที่จำนวนทองคำเท่ากัน ส่วนข้อเสียคือมีอายุเวลาของสัญญา มีความเสี่ยงสูง อาจโดนเรียกหลักทรัพย์ค้ำประกันเพิ่มกรณีขาดทุนจำนวนมากก็ได้และไม่ได้รับทองจริง ข้อควรระวังในการซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์ส เนื่องจากผู้ลงทุนใช้เงินทุนน้อย ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินทั้งจำนวนใน การซื้อขาย เพียงแค่วางเงินประกัน 1 ใน 10 ของมูลค่าสัญญาก็ซื้อขายได้แล้ว ดังนั้น หากผู้ลงทุน ได้กำไร ก็จะเป็นอัตราส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับเงินลงทุน แต่หากขาดทุนก็จะเป็นอัตราส่วนที่สูง เช่นเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงของราคาทองคำและอัตราแลกเปลี่ยนก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ผู้ลงทุน ควรคำนึงในการซื้อขาย โดยปกติแล้วราคาทองคำจะเคลื่อนไหวสวนทางกับอัตราแลกเปลี่ยน ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงของค่าเงินจึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ผู้ลงทุนควรติดตามในการซื้อขาย นอกจากนี้ โกลด์ฟิวเจอร์สยังมีอายุจำกัด ซึ่งแตกต่างจากหุ้นและทองคำจริงที่ไมมีวันหมดอายุ หากผู้ลงทุนถือโกลด์ฟิวเจอร์สไปจนถึงวันครบอายุสัญญา ก็จะมีการปิดสถานะของสัญญาให้ผู้ลงทุนโดยอัตโนมัติ โดยผู้ลงทุนจะได้กำไรขาดทุนตามส่วนต่างของราคาที่ซื้อขายตอนต้นและ ราคา ณ วันที่สัญญาหมดอายุ ผู้ลงทุนจึงควรรู้จักระดับความเสี่ยงที่ตนเองยอมรับได้ก่อนตัดสินใจลงทุน และควรติดตามผลการลงทุนอย่างสม่ำเสมอเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

29/08/2561

วิวัฒนาการการค้าทองคำในประเทศไทย


ในอดีต วงการค้าทองคำ จะเป็นลักษณะต่างคนต่างทำ ส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการประกอบการค้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการใช้เปอร์เซ็นต์ทอง โดยผู้ค้าทองบางรายผลิตทอง 99% บางรายก็ผลิตทอง 97% มีการแข่งขันโดยการทำการตลาด เรื่องค่ากำเหน็จ การแจกของชำร่วย การกำหนดเวลาเปิด - ปิดร้านทอง ซึ่งปัญหาเป็นปัญหามาโดยตลอด ด้วยเหตุนี้ทางผู้ประกอบการร้านค้าทองรายใหญ่ในย่านถนนเยาวราช จึงได้มาร่วมประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อให้การแข่งขันมีความเสมอภาค พร้อมทั้งกำหนดมาตรฐานการค้าทองร่วมกัน โดยที่ประชุมเห็นควรที่จะจัดรวมกลุ่มให้เข้มแข็งขึ้น โดยจัดตั้งเป็นชมรมภายใต้ชื่อ “ชมรมร้านค้าทอง 11 ห้าง” จากนั้นภาครัฐได้นำกฎระเบียบต่าง ๆ เข้ามาบังคับใช้ในการดำเนินธุรกิจ อาทิเช่น เรื่องการจัดเก็บภาษี แกนนำในชมรมฯ จึงมีความเห็นว่าควรที่จะจัดตั้งเป็นสมาคมอย่างเป็นทางการ จึงเป็นที่มาของ “สมาคมค้าทองคำ” เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2526 โดยสมาชิกสมาคมในระยะแรกประกอบด้วยร้านค้าทองในย่านเยาวราช และต่อมาได้มีสมาชิกที่ประกอบธุรกิจค้าทองคำจากทั่วประเทศเข้ามาเป็นสมาชกเพิ่มขึ้น บทบาทหน้าที่ของสมาคมค้าทองคำคือ การสร้างมาตรฐานเปอร์เซ็นต์ทอง 96.5% ทั่วประเทศ โดยรวมกับสคบ.ควบคุมโรงงานผู้ผลิตหรือร้านค้าส่งทุกรายให้ผลิตสินค้าที่มีมาตรฐานตามที่กำหนด ไปจนถึงปลายทางก็คือร้านค้าปลีก มีการสุ่มตรวจเปอร์เซ็นต์ความบริสุทธิ์ของทองอยู่เสมอ ทำให้ในปัจจุบัน ปัญหาทองเขียวหรือทองเปอร์เซ็นต์ต่ำที่พบบ่อยครั้งในอดีต หมดไปจากร้านทอง สมาคมค้าทองคำ ยังได้ให้ความร่วมมือภาครัฐ ในการประชาสัมพันธ์ให้ร้านทองประกันราคารับซื้อคืนทองรูปพรรณของตัวเอง ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจว่า หากซื้อทองจากร้านนั้น ๆ และเมื่อนำมาขายคืน จะไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ ช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้บริโภค และทำให้การค้าขายทองคำของไทยมีความคล่องตัวขึ้น ร่วมมือกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ, สภาทนายความ และหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องแก้ปัญหาการผลิตทองปลอมเพื่อหลอกขาย หรือขายฝากให้แก่ร้านทองทั่วไป ในรูปแบบของทองรูปพรรณเก่า มีการให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการทั่วประเทศเรื่องการดูทองปลอมอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้สมาคมค้าทองคำ ยังเป็นผู้กำหนดและประกาศราคาทองคำของประเทศไทย โดยพิจารณาองค์ประกอบของราคาทองคำในตลาดโลก ค่าเงินบาท อัตราค่า Premium รวมถึง Demand และ Supply ภายในประเทศเป็นสำคัญ ปัจจุบันตลาดค้าทองคำของไทยนั้น เป็นตลาดที่มีการแข่งขันอย่างสมบูรณ์ และสามารถดำเนินไปด้วยกลไกตลาดอย่างแท้จริงเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

29/08/2561

พระแก้วมรกต


Normal 0 false false false EN-US X-NONE TH <w:LatentStyles DefLockedState="false" DefUnhideWhenUsed="true" DefSemiHidden="true" DefQFormat="false" DefPriority="99" LatentStyleCount="267"> <w:LsdException Locked="false" Priority="0" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Normal"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="9" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="heading 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="10" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Title"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="11" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Subtitle"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="22" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Strong"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="20" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Emphasis"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="59" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Table Grid"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="1" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="No Spacing"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="60" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Shading"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="61" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light List"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="62" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Grid"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="63" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="64" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="65" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="66" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="67" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="68" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="69" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="70" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Dark List"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="71" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Shading"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="72" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful List"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="73" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Grid"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="60" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Shading Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="61" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light List Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="62" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Grid Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="63" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 1 Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="64" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 2 Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="65" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 1 Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="34" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="List Paragraph"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="29" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Quote"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="30" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Intense Quote"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="66" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 2 Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="67" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 1 Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="68" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 2 Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="69" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 3 Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="70" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Dark List Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="71" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Shading Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="72" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful List Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="73" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Grid Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="60" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Shading Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="61" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light List Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="62" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Grid Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="63" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 1 Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="64" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 2 Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="65" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 1 Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="66" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 2 Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="67" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 1 Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="68" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 2 Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="69" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 3 Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="70" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Dark List Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="71" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Shading Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="72" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful List Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="73" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Grid Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="60" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Shading Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="61" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light List Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="62" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Grid Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="63" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 1 Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="64" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 2 Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="65" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 1 Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="66" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 2 Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="67" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 1 Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="68" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 2 Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="69" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 3 Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="70" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Dark List Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="71" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Shading Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="72" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful List Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="73" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Grid Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="60" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Shading Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="61" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light List Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="62" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Grid Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="63" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 1 Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="64" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 2 Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="65" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 1 Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="66" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 2 Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="67" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 1 Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="68" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 2 Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="69" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 3 Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="70" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Dark List Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="71" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Shading Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="72" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful List Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="73" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Grid Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="60" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Shading Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="61" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light List Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="62" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Grid Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="63" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 1 Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="64" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 2 Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="65" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 1 Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="66" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 2 Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="67" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 1 Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="68" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 2 Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="69" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 3 Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="70" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Dark List Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="71" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Shading Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="72" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful List Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="73" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Grid Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="60" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Shading Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="61" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light List Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="62" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Grid Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="63" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 1 Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="64" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 2 Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="65" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 1 Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="66" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 2 Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="67" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 1 Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="68" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 2 Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="69" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 3 Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="70" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Dark List Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="71" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Shading Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="72" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful List Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="73" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Grid Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="19" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Subtle Emphasis"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="21" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Intense Emphasis"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="31" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Subtle Reference"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="32" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Intense Reference"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="33" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Book Title"/> <!-- /* Font Definitions */ @font-face {font-family:"Cordia New"; panose-1:2 11 3 4 2 2 2 2 2 4; mso-font-charset:0; mso-generic-font-family:swiss; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:-2130706429 0 0 0 65537 0;} @font-face {font-family:"Cordia New"; panose-1:2 11 3 4 2 2 2 2 2 4; mso-font-charset:0; mso-generic-font-family:swiss; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:-2130706429 0 0 0 65537 0;} @font-face {font-family:Calibri; panose-1:2 15 5 2 2 2 4 3 2 4; mso-font-charset:0; mso-generic-font-family:swiss; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:-520092929 1073786111 9 0 415 0;} /* Style Definitions */ p.MsoNormal, li.MsoNormal, div.MsoNormal {mso-style-unhide:no; mso-style-qformat:yes; mso-style-parent:""; margin-top:0in; margin-right:0in; margin-bottom:10.0pt; margin-left:0in; line-height:115%; mso-pagination:widow-orphan; font-size:11.0pt; mso-bidi-font-size:14.0pt; font-family:"Calibri","sans-serif"; mso-ascii-font-family:Calibri; mso-ascii-theme-font:minor-latin; mso-fareast-font-family:Calibri; mso-fareast-theme-font:minor-latin; mso-hansi-font-family:Calibri; mso-hansi-theme-font:minor-latin; mso-bidi-font-family:"Cordia New"; mso-bidi-theme-font:minor-bidi;} a:link, span.MsoHyperlink {mso-style-noshow:yes; mso-style-priority:99; color:blue; text-decoration:underline; text-underline:single;} a:visited, span.MsoHyperlinkFollowed {mso-style-noshow:yes; mso-style-priority:99; color:purple; mso-themecolor:followedhyperlink; text-decoration:underline; text-underline:single;} p.MsoNoSpacing, li.MsoNoSpacing, div.MsoNoSpacing {mso-style-priority:1; mso-style-unhide:no; mso-style-qformat:yes; mso-style-parent:""; margin:0in; margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:11.0pt; mso-bidi-font-size:14.0pt; font-family:"Calibri","sans-serif"; mso-ascii-font-family:Calibri; mso-ascii-theme-font:minor-latin; mso-fareast-font-family:Calibri; mso-fareast-theme-font:minor-latin; mso-hansi-font-family:Calibri; mso-hansi-theme-font:minor-latin; mso-bidi-font-family:"Cordia New"; mso-bidi-theme-font:minor-bidi;} .MsoChpDefault {mso-style-type:export-only; mso-default-props:yes; font-family:"Calibri","sans-serif"; mso-ascii-font-family:Calibri; mso-ascii-theme-font:minor-latin; mso-fareast-font-family:Calibri; mso-fareast-theme-font:minor-latin; mso-hansi-font-family:Calibri; mso-hansi-theme-font:minor-latin; mso-bidi-font-family:"Cordia New"; mso-bidi-theme-font:minor-bidi;} .MsoPapDefault {mso-style-type:export-only; margin-bottom:10.0pt; line-height:115%;} @page WordSection1 {size:595.3pt 841.9pt; margin:1.0in 1.0in 1.0in 1.0in; mso-header-margin:35.4pt; mso-footer-margin:35.4pt; mso-paper-source:0;} div.WordSection1 {page:WordSection1;} --> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:"Table Normal"; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-priority:99; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0in 5.4pt 0in 5.4pt; mso-para-margin-top:0in; mso-para-margin-right:0in; mso-para-margin-bottom:10.0pt; mso-para-margin-left:0in; line-height:115%; mso-pagination:widow-orphan; font-size:11.0pt; mso-bidi-font-size:14.0pt; font-family:"Calibri","sans-serif"; mso-ascii-font-family:Calibri; mso-ascii-theme-font:minor-latin; mso-hansi-font-family:Calibri; mso-hansi-theme-font:minor-latin; mso-bidi-font-family:"Cordia New"; mso-bidi-theme-font:minor-bidi;} พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือ พระแก้วมรกต เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของไทย ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือ วัดพระแก้ว ในพระบรมมหาราชวัง กรุงเทพมหานคร เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นเป็นราชธานี ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดพระศรีรัตนศาสนาดารามขึ้นในพระบรมมหาราชวัง และได้อัญเชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรมาประดิษฐานในพระอุโบสถ เมื่อวันจันทร์ เดือน 4 แรม 5 ค่ำ ปีมะโรง พุทธศักราช 2327 และได้มีพระราชศรัทธาโปรดให้จัดสร้างเครื่องทรงฤดูร้อนและฤดูฝน ถวาย ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้จัดสร้างเครื่องทรงฤดูหนาว ถวายเป็นพุทธบูชาเพิ่มอีกชุดหนึ่ง นับแต่นั้นพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรจึงมีเครื่องทรงครบ 3 ฤดู ซึ่งถือเป็นต้นกำเนิดของพระราชพิธีเปลี่ยนเครื่องทรงทั้งสามฤดูทุกปีมาจนถึงปัจจุบันโดยมีการกำหนดวันเริ่มต้นฤดูกาลเพื่อเปลี่ยนเครื่องทรง ดังนี้ ฤดูร้อน กำหนดวันแรม 1 ค่ำ เดือน 4 ราวเดือนมีนาคม ฤดูฝน กำหนดวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ราวเดือนกรกฎาคม ฤดูหนาว กำหนดวันแรม 1 ค่ำ เดือน 12 ราวเดือนพฤศจิกายน เครื่องทรงทั้ง 3 ฤดูในปัจจุบันจัดสร้างขึ้นใหม่ในวโรกาสมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี ในวันที่ 9 มิถุนายน 2539 ทดแทนชุดเดิมที่ชำรุดไปมาก สร้างจากทองคำ และอัญมีต่างๆ เครื่องทรงพระแก้วมรกตฤดูหนาว ใช้อัญมณีในการจัดสร้างรวมทั้งหมด 15,868 เม็ด น้ำหนัก 2,863.44 กะรัต น้ำหนัก 572.68 กรัม น้ำหนักลงยา 27.69 กรัม น้ำหนักทองสุทธิ 5,579.50 กรัม รวมน้ำหนักเครื่องทรงพระพุทธมณีรัตนปฏิมากรฤดูหนาวชุดใหม่ 6,179.87 กรัม เครื่องทรงพระแก้วมรกตฤดูร้อน ใช้อัญมณีในการจัดสร้างรวมทั้งหมด 6,297 เม็ด น้ำหนัก 2,132.81 กะรัต น้ำหนัก 426.56 กรัม น้ำหนักลงยา 166.24 กรัม น้ำหนักทองสุทธิ 7,145.00 กรัม รวมน้ำหนัก 7,737.80 กรัม เครื่องทรงพระแก้วมรกตฤดูฝน ใช้อัญมณีในการจัดสร้างทั้งหมด 15,388 เม็ด น้ำหนัก 694.98 กะรัต น้ำหนัก 139.00 กรัม น้ำหนักลงยา 153.54 กรัม น้ำหนักทองสุทธิ 7,913.84 กรัม รวมน้ำหนัก 8,206.38 กรัม สำหรับเครื่องทรงฯ ชุดเดิมได้รับการเก็บรักษาไว้เป็นโบราณวัตถุอันล้ำค่า และจัดแสดงอยู่ ณ พิพิธภัณฑ์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม สามารถเข้าชมได้ทุกวัน ยกเว้นวันที่มีพระราชพิธีเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

29/08/2561

ทองคำกับความเชื่อ


ไม่น่าเชื่อว่ามนุษย์ทุกมุมโลก แม้จะต่างเชื้อชาติ ภาษา ความเชื่อ แต่กลับรู้จักแร่ธาตุที่ชื่อว่า “ทองคำ”มานานกว่า 6,000 ปี และนำมาใช้ด้วยจุดประสงค์ที่คล้ายกัน คือ นำมาทำเป็นเครื่องประดับ แสดงฐานะในสังคม นำมาสร้างรูปเคารพต่างๆ และในโรมันยุคแรกมีบันทึกว่า เมื่อครั้งที่กรุงโรมถูกเบรนนุส หัวหน้าเผ่าเซลต์ยึดได้นั้น ชาวโรมันต้องเสียทองคำถึงหนึ่งพันปอนด์เพื่อเป็นค่าไถ่กรุงโรง แสดงให้เห็นว่า ทองคำถูกใช้เป็นสื่อกลางในการซื้อขายแลกเปลี่ยน ของมีค่า และสินค้าอีกด้วย นอกจากนี้ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ ยังแสดงให้เห็นว่าทองคำมีบทบาทต่อความเชื่อของมนุษย์แต่ละเผ่าพันธุ์แตกต่างกันไป ชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่าทองคำคือร่างกายของเทพเจ้าและเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นอมตะ และมีการนำทองคำบริสุทธิ์มาสร้างเป็นโรงศพของกษัตริย์ และเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง เพราะเชื่อว่า นอกจากกระบวนการรักษาศพไม่ให้เน่าเปื่อยด้วยการทำมัมมี่แล้ว โลงศพทองคำจะช่วยให้ศพอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ไม่เสื่อมสลาย แม้จะยังไม่มีข้อพิสูจน์ที่สามารถยืนยันได้อย่างแน่ชัด แต่ก็เป็นที่น่าสังเกตว่าศพมัมมี่ ที่ค้นพบจะต้องบรรจุไว้ในโลงทองคำเท่านั้น ชาวจีนมีความเชื่อว่าทองคำมีคุณสมบัติเป็นยาบำรุงชั้นเลิศ การกินทองคำจะทำให้สุขภาพดี แม้ปัจจุบันยังไม่มีการทางวิทยายาศาสตร์จะยังพิสูจน์อะไรไม่ได้ก็ตาม และชาวจีนยังเชื่อว่าทองคำ คือสัญลักษณ์แห่งโชคลาภ ถือเป็นของขวัญล้ำค่าสำหรับมอบให้แห่กัน ในช่วงเทศกาลสำคัญอย่างเช่น ตรุษจีน ปีใหม่ ชาวแอสเท็กซ์ ชุมชนโบราณที่อาศัยอยู่ในแถบอเมริกาใต้มีความเชื่อว่า ทองคำคือหยาดเหงื่อของสุริยเทพ เพราะมีสีเหลือง สุกสว่าง แวววาวเหมือนแสงตะวันในยุคล่าอาณานิคม ชาวสเปนที่เดินทางมาโลกใหม่ได้ทำลายล้างจักรวรรดิอินคาและแอสเท็กซ์เพื่อแย่งชิงทองคำปริมาณมหาศาล ชาวอินเดีย ทองคำมิใช่เป็นเพียงเครื่องแสดงถึงฐานะทางสังคม ความหรูหรามั่งคั่งเท่านั้น หากแต่ยังมีบทบาทแทบจะในทุกช่วงที่สำคัญของชีวิต ตั้งแต่เกิด โดยเฉพาะในพิธีแต่งงานชาวอินเดียเชื่อ ว่า ทองคำจะนำโชคลาภมาให้ นอกจากนี้ ทองคำยังถูกนำมาใช้เพื่อความงาม โดยเฉพาะกับชนชั้นสูงในยุคสมัยต่างๆ เช่นในราชสำนักจีนมีการใช้ลูกกลิ้งที่ทำจากทองคำมานวดตามร่างกายเพื่อถนอมผิว หรือในยุคอียิปต์โบราณ พระนางคลีโอพัตรา ทรงสวมใส่หน้ากากทองคำบริสุทธิ์ในขณะบรรทม เพราะเชื่อว่าจะช่วยรักษาความงาม ความอ่อนเยาว์ของผิวพรรณไว้ได้ แม้ในปัจจุบันความเชื่อเรื่องทองคำกับความงามก็ยังมีอยู่แต่มาในรูปของมาร์กหน้าทองคำ หรือร้อยไหม เป็นต้น เช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

29/08/2561

กรรมวิธีการผลิต เครื่องทองสมัยกรุงศรีอยุธยา


เครื่องทองในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีรูปแบบ ลวดลาย ความประณีต งดงามเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งมีกรรมวิธีในการทำต่างๆ กันคือ “ตีเป็นแผ่น” โดยนำทองแผ่นมาตีเป็นแผ่นบางๆ แล้วนำไปหุ้มพระพุทธรูป ภาชนะ เครื่องใช้ไม้สอย หรือชิ้นส่วนศิลปะสถาปัตยกรรม เช่น พระแทนราชบัลลังก์ บุษบก ยอดปราสาท ยอดเจดีย์ เป็นต้น ถ้าแผ่นทองนั้นถูกตีให้มีเนื้อทองบางมากๆ จนเป็น ทองคำเปลว ก็จะนำทองนั้นไป ปิดลงบนผิวของวัสดุต่างๆ โดยใช้ ยางรักหรือวัสดุอื่นเป็นตัวประสานให้ติดแน่น ทำให้วัสดุที่ได้รับการปิดทองนั้น มีผิวเป็นสีทองงดงาม “บุ” หมายถึง การตีทองขึ้นเป็นรูปทรงต่างๆ สิ่งของที่ได้จะบางเบากว่าการหล่อ ใช้ทองน้อยกว่า แต่ต้องใช้ฝีมือในการทำมากกว่า “หล่อ” หมายถึง การทำแม่พิมพ์เป็นรูปทรงสิ่งของที่ต้องการ แล้วนำทองมาหลอมละลายจนเป็นของเหลวแล้วเทลงในแม่พิมพ์ รอจนเย็นจึงถอดพิมพ์ออกและตกแต่งรายละเอียด มักใช้ในงานสำคัญๆที่เป็นของสูง เช่น พระพุทธรูป เทวรูป หรือเครื่องราชูปโภค เป็นต้น การหล่อนี้ถ้าเป็นของใหญ่ ๆ ก็ต้องใช้ช่างที่มีความชำนาญและเทคนิคมาก เพื่อป้องกันการแตกร้าวของเนื้อทอง ปัจจุบันช่างฝีมือในการบุหาได้ยาก ขณะที่เทคโนโลยีการหล่อทำได้ง่ายขึ้น สิ่งของที่แต่โบราณนิยมทำโดยการบุ เช่น ขัน กระโถน กาน้ำ จึงหันมาใช้วิธีหล่อแทน “สลัก” คือการทำลวดลายโดยใช้เครื่องมือปลายแหลมคมตอกลงไปบนผิวทองให้เป็นลวดลายจากด้านหน้าของวัตถุ ถ้าตอกจนผิวทองนั้นขาดทะลุเป็นลายโปร่งเรียกว่า “ฉลุ” “คร่ำ” คือ การรีดทองเป็นเส้นเล็กๆ แล้วตอกฝังเป็นลวดลายลงไปบนโลหะอื่น เช่น เหล็ก นิยมทำกับใบมีด ใบกรรไกร สันดาบ ด้ามมีด ด้ามดาบ ด้ามกรรไกร หรือฝักมีด ฝักดาบ วิธีการนี้ ในประเทศสเปน โปรตุเกส ยังนิยมทำเป็นของใช้และเครื่องประดับอยู่ เรียกของใช้ที่ทำด้วยวิธีการนี้ว่าเครื่อง “ดามัสกัส” “กาไหล่” หรือ “กะไหล่” เป็นการเคลือบโลหะอื่น เช่น เงินหรือทองแดง ด้วยทองคำ ทำให้ผิววัสดุแลดูเป็นสีทอง คล้ายๆกับการชุบนั่นเอง “ถม” คือการขูดผิววัสดุที่เป็นทองให้เป็นลวดลาย แล้วนำ “น้ำยาถม” ซึ่งมีสีดำเนื้อข้นมาทาถมลงไปจนเต็ม แล้วขัดแต่งจนเรียบสนิทเป็นผิวเดียวกัน ทำให้เกิดลวดลายดำบนผิวสีทอง เรียกว่า “ถมทอง” ถมก็เป็นวิธีการที่ไทยรับมาจากโปรตุเกสเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีวิธีการถัก การทอ เช่นการทอรวมกับลายผ้า และการฝังเช่นการฝังกับอัญมณีเป็นต้นเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

29/08/2561

กรุทอง วัดมหาธาตุและ วัดราชบูรณะ


เมื่อครั้งเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ทองคำมากมายสูญหายไปพร้อมกับการเสียกรุง ทั้งทองที่ประดับประดาอยู่ตามวัดวาอารามต่างๆ และเครื่องทองชิ้นสำคัญๆอีกมาก จนกระเมื่อ พ.ศ.2499 และ พ.ศ. 2500 เกิดปรากฏการณ์“กรุแตก” ขึ้นที่ วัดมหาธาตุและ วัดราชบูรณะ หลังจากนั้นคนไทยและชาวโลกจึงได้มีโอกาสชื่นชมฝีมือช่างทองชั้นสูงในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นอีกครั้งหนึ่ง วัดมหาธาตุ สร้างในรัชสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 (ขุนหลวงพะงั่ว พ.ศ.1913-1931) กษัตริย์พระองค์ที่ 3 แห่งกรุงศรีอยุธยา เมื่อครั้งกรุงแตกวัดมหาธาตุถูกทำลายเสียหายไปมาก ยกเว้นองค์ปรางค์ประธานที่ไม่ได้ผลกระทบใดๆและยังอยู่ต่อมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ จนเมื่อปีพ.ศ. 2455 ในสมัยรัชกาลที่ 6 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์องค์พระปรางค์ได้ถล่มลงมาจนเหลือเพียงส่วนล่าง และส่วนฐานเท่านั้น วัดราชบูรณะ ตั้งอยู่เคียงข้างกันกับวัดมหาธาตุ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา พ.ศ. 1967-1991) ทรงสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1967 ทั้งสองวัดเป็นสำคัญและสร้างอยู่ในยุคสมัยใกล้เคียงกัน แต่ปรางค์ประธานของวัดราชบูรณะไม่ถูกทำลายและยังคงสภาพอยู่จนถึงทุกวันนี้ เหตุการณ์ “กรุแตก” เกิดขึ้นเมื่อกรมศิลปากร ทำการบูรณะวัด โดยพบสิ่งของมีค่ามากมายอยู่ในบริเวณที่เรียกว่า “ห้องบรรจุพระบรมธาตุ” ซ่อนอยู่ภายในปรางค์ประธานของทั้งสองวัด ทั้งนี้คนไทยมีธรรมเนียมอย่างหนึ่งที่เรียกว่าการ “ประจุพระ” คือเมื่อก่อสร้างพระธาตุเจดีย์สำเร็จแล้วจะมีพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุและของมีค่าอื่นๆเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา เช่นพระพุทธรูปทำด้วยเงินและทอง เครื่องราชูปโภคจำลอง ต้นไม้เงินทอง พระพิมพ์ แผ่นลานทอง เครื่องมือ เครื่องใช้ และเครื่องประดับต่างๆ ที่ผู้มีจิตศรัทธาอุทิศถวายร่วมด้วยอีกเป็นจำนวนมาก เป็นการร่วมสร้างพระธาตุเจดีย์ซึ่งเป็นบุญใหญ่ ดังนั้น กรุที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุจึงมิได้มีเพียงสิ่งอันควรเคารพบูชาเท่านั้น แต่ได้กลายเป็น“กรุมหาสมบัติ” ไปด้วย ซึ่งสิ่งของมีค่าที่พบในกรุวัดราชบูรณะมีจำนวนมากกว่าที่พบในกรุวัดมหาธาตุ เครื่องทองที่พบเป็นเครื่องราชูปโภคชิ้นเอกหลายชิ้น ได้แก่ จุลมงกุฎ (ใช้ครอบพระมาลีของเจ้านายผู้ชาย) พระแสงดาบฝักทองคำฝังอัญมณี ด้ามเป็นแก้วผลึกและทองคำประดับอัญมณี กรองศอ ทับทรวง พาหุรัด ทองพระกร พระธำมรงค์ ปั้นเหน่ง สร้อยพระศอ และที่พระมาลา หรือคอบพระเกศาของเจ้านายสตรี ซึ่งทำด้วยเส้นทอง ถักเป็นตาข่ายโปร่ง มีลวดลายดอกไม้และเว้าเป็นช่องโค้งเพื่อรับกับมวยผมแบบรวบต่ำ เครื่องราชูปโภคเหล่านี้มีลวดลายและเทคนิคการทำแบบสมัยอยุธยาตอนต้น เครื่องทองเหล่านี้ประเมินค่าไม่ได้ ปัจจุบันเก็บรักษาและจัดแสดงอยู่ที่ห้องเครื่องทองและห้องพระบรมสารีริกธาตุชั้นบนของอาคารหนึ่ง พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

29/08/2561

เครื่องราชูปโภคทองคำ


เครื่องบรรณาการแด่จักรดิพรรดินโปเลียน ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 มีพระราชประสงค์ในการเปิดประเทศสู่ความทันสมัยและหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับประเทศมหาอำนาจตะวันตก ในสมัยนั้น จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ส่งคณะราชทูตสยามชุดหนึ่งไปเจริญพระราชไมตรีกับสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรียแห่งอังกฤษ เมื่อปี พ.ศ. 2400 และอีกคณะหนึ่งไปเจริญพระราชไมตรีกับฝรั่งเศส เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. 2404 ในการไปเจริญสัมพันธไมตรีกับฝรั่งเศสครั้งนั้นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ได้ส่งเครื่องราชูปโภคทองคำ เป็นเครื่องบรรณาการถวายแด่พระเจ้าจักรพรรดินโปเลียนที่ ๓ ซึ่งนอกจากเป็นการเชื่อมความสัมพันธไมตรีแล้ว ยังแฝงด้วยกุศโลบายของพระองค์ที่ทรงต้องการแสดงให้ประเทศมหาอำนาจตะวันตกเห็นถึงความเป็นอารยประเทศของสยาม ผ่านงานช่างฝีมืออันวิจิตรงดงาม ละเอียดอ่อนและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตนของสยามประเทศ เครื่องราชูปโภคทองคำที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ส่งไปเป็นเครื่องมงคลราชบรรณาการนั้น ส่วนใหญ่ทำด้วยวัสดุมีค่า ตกแต่งด้วยการลงยาสีที่งดงามและ มีความประณีตด้วยฝีมือช่างทองหลวงมีลักษณะทางศิลปกรรมแบบเดียวกันกับเครื่องราชูปโภคทองคำที่ใช้เป็นเครื่องประกอบพระอิสริยยศ ได้แก่ พานกลีบบัวปากแฉกทองคำลงยา ขันสรงพระพักตร์ทองคำลงยา พานรองขันสรงพระพักตร์ทองคำลงยา กล่องหรือหีบหมากทองคำลงยา พระสุพรรณศรีทองคำลงยามีลักษณะเป็นกระโถนทรงปลี ขนาดเล็ก พระเต้าหรือคนโททองคำลงยาเป็นภาชนะใส่น้ำเย็น มังสีทองคำลงยาเป็นภาชนะสำหรับรองพระมหาสังข์ ตลับทรงรีทองคำลงยา ถาดทองคำลายสลัก จุ๋นทองคำลายสลักหรือภาชนะสำหรับรองถ้วยชา เครื่องราชูปโภคทองคำในเครื่องมงคลราชบรรณาการนี้มีเทคนิคหลักที่ใช้ในการสร้างเช่นเดียวกับการทำเครื่องราชูปโภคทองคำ ที่ใช้สำหรับพระมหากษัตริย์หรือราชวงศ์ชั้นสูงของสยาม ทั้งเทคนิคการสร้างหรือการขึ้นรูปด้วยการตีแผ่นทองคำ การหลอม การแผ่ การรีด และเทคนิคการตกแต่งลวดลายด้วยการดุลลาย สลักลายดุนนูน สลักร่องลายลงยาหรือการเหยียบลายเป็นต้น เทคนิคและวิธีการสร้างเครื่องราชูปโภคทองคำ นี้สะท้อน ให้เห็นงานช่างฝีมือไทยว่าไม่แพ้ชาติใดในโลกเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

29/08/2561

เครื่องราชูปโภค


สำนักงานราชบัณฑิตยสภา ให้ความหมายของ เครื่องราชูปโภค ไว้ว่า หมายถึง เครื่องใช้สอยของพระราชา ใช้เป็นคำรวมเรียกของใช้ต่างๆ เช่น พระสุพรรณราช คือ กระโถนใหญ่ พระสุพรรณศรี คือ กระโถนเล็ก พานพระขันหมาก คือ พานหมาก ซึ่งจัดวางซองพลู พานหมากดิบ หมากแห้ง ผอบยาเส้น เป็นต้น พระสุพรรณภาชน์ใหญ่ พระสุพรรณภาชน์น้อย คือ ภาชนะสำหรับตั้งพระกระยาหารทั้งเครื่องคาวและเครื่องหวาน พระมณฑปรัตนกรัณฑ์ คือ ภาชนะสำหรับใส่น้ำเสวย มีจอกทองคำเกลี้ยงลอยอยู่ เป็นต้น เครื่องราชูปโภค เหล่านี้ล้วนทำจากทองคำแกะสลักเป็นลวดดดายต่างๆ ปัจจุบัน เครื่องราชูปโภค ใช้ตั้งประกอบในการพระราชพิธี นอกจากนี้เครื่องราชูปโภค ยังหมายถึงสิ่งของเครื่องใช้ส่วนพระองค์พระมหากษัตริย์เพื่อแสดงพระเกียรติยศ จำแนกเป็น ๑๔ หมวด ได้แก่ (๑) เครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ ประกอบด้วย พระมหาเศวตฉัตร พระมหาพิชัยมงกุฎ พระแสงขรรค์ชัยศรี พัดวาลวิชนีและพระแส้จามรี ฉลองพระบาทเชิงงอน (๒) ศิราภรณ์ ประกอบด้วย พระชฎากลีบ พระชฎาเดินหน พระชฎา ๕ ยอด พระมหามาลาเส้าสูง พระมาลาเส้าสูง พระมาลาเบี่ยง (๓) พระสังวาล ประกอบด้วย สังวาลพระนพ พระมหาสังวาล พระสังวาลพราหมณ์ธุรำ (๔) พระธำมรงค์ ประกอบด้วย พระธำมรงค์วิเชียรจินดา พระธำมรงค์รัตนวราวุธ (๕) เครื่องสูง เป็นเครื่องประดับพระราชอิสริยยศในกระบวนเสด็จพระราชดำเนิน ประกอบด้วย ฉัตร ๕ ชั้น ๗ ชั้น บังแทรก ฉัตรชุมสาย จามร พระกลด บังสูรย์ พัดโบก (๖) เครื่องประโคม ประกอบด้วย แตรมโหระทึก สังข์แตรและกลองชนะ (๗) เครื่องบรมอิสริยราชูปโภค ประกอบด้วย พานพระขันหมาก พระมณฑปรัตนกรัณฑ์ พระสุพรรณศรีบัวแฉก พระสุพรรณราช (๘) พระแสงศาสตราวุธ ประกอบด้วย พระแสงดาบคาบค่าย พระแสงดาบใจเพชร พระแสงเวียด พระแสงฟันปลา พระแสงแฝด พระแสงฝักทองเกลี้ยง พระแสงอัษฎาวุธ (๙) เครื่องนมัสการ ใช้ในงานพระราชพิธีทางศาสนา ประกอบด้วย เครื่องนมัสการทองใหญ่ เครื่องนมัสการพานทองสองชั้น เครื่องนมัสการทองลงยาราชาวดี เครื่องนมัสการทองทิศ เครื่องนมัสการทองน้อย เครื่องนมัสการกระบะถม เครื่องนมัสการท้ายที่นั่ง เครื่องนมัสการบูชายิ่ง เครื่องทรงธรรมสำรับใหญ่ พระเต้าทักษิโณทก (๑๐) ต้นไม้ทองเงิน (๑๑) ราชรถ สำหรับเชิญพระโกศพระบรมศพเข้ากระบวนแห่ไปยังพระเมรุ ประกอบด้วย พระมหาพิชัยราชรถ เวชยันตราชรถ (๑๒) ราชยาน เป็นยานพาหนะประเภทคานหาม ประกอบด้วย พระยานมาศสำหรับประทับราบมีพนักพิง พระยานมาศ ๓ ลำคาน พระราชยานกงสำหรับประทับห้อยพระบาท พระราชยานถม พระราชยานทองลงยา พระที่นั่งราชยานพุดตานถม พระราชยานงา พระราชยานพุดตานทอง พระที่นั่งราเชนทรยาน (๑๓) พระโกศ สำหรับทรงพระบรมศพ ประกอบด้วย พระโกศทองใหญ่ ๒ พระโกศ (๑๔) พระมหาสังข์ สำหรับทรงใช้ในพระราชพิธีต่าง ๆ เช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

29/08/2561

อยุธยา ยุครุ่งเรืองเมืองทองคำ


ว่ากันว่า สมัยกรุงศรีอยุธยา คือ ยุคที่รุ่งเรืองที่สุด ร่ำรวยที่สุด และมั่งคั่งที่สุด โดยเฉพาะทองคำที่มีอยู่มากมายเต็มพระนคร ดังจดหมายเหตุของลาลูแบร์ ที่บันทึกไว้ในปีพุทธศักราช 2230 ความว่า “ในกรุงศรีอยุธยานั้นมีพระพุทธรูปทองคำและวัตถุทองคำต่าง ๆ มากมาย ตามวัดวาอาราม โบสถ์ วิหาร ต่างก็ประดับไปด้วยทองคำและอัญมณี กรุงศรีอยุธยานั้นเป็นแหล่งทองคำสมคำร่ำลืออย่างแท้จริง” นอกจากบันทึกของคณะทูตฝรั่งเศสแล้ว เมื่อต้นปีพุทธศักราช 2500 ยังมีการขุดพบกรุสมบัติ จำนวนมากในวัดราชบูรณะและวัดพระมหาธาตุ ทั้งข้าวของเครื่องใช้และทรัพย์สมบัติต่างๆซึ่งล้วนทำจากทองคำทั้งสิ้น จึงเป็นหลักฐานจากยืนยันได้อย่างชัดเจนว่ากรุงศรีอยุธยานั้นเป็นยุครุ่งเรืองเป็นเมืองทองคำอย่างแท้จริง เหตุผลที่ทำให้กรุงศรีอยุธยาเป็นยุครุ่งเรืองด้วยทองคำน่าจะมาจากหลายปัจจัยคือ การเก็บส่วย ในสมัยอยุธยา มีระบบการเก็บส่วย หรือภาษี จากเมืองขึ้นและประชาชนในรูปแบบของทองคำ เช่น ส่วยที่เรียกเก็บจากเมืองบางสะพาน เป็นต้นได้จากการรับบริจาคหรือเรี่ยไร ในสมัยก่อน การสร้างศาสนสถาน การหล่อพระพุทธรูป การสร้างเจดีย์ มักมีการรับบริจาคหรือการเรี่ยไรจากข้าราชบริพาร ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ และราษฏรทั่วไป ตามกำลังฐานะและแรงศรัทธาได้จากการค้าขายแลกเปลี่ยน จากบันทึกของชาวยุโรป ระบุว่ากรุงศรีอยุธยาเป็นตลาดค้าขายทองคำ มีทั้งพ่อค้าชาว ชวา มลายู อาหรับ จีน นำทองคำมาแลกเปลี่ยนกับสินค้าอื่นๆ และกรุงศรีอยุธยาเองก็นำทองคำออกขายหรือแลกเปลี่ยนกับสินค้าของต่างชาติด้วยเช่นกันได้จากเครื่องราชบรรณาการ ตามธรรมเนียมเมืองประเทศราช ต้องส่งเครื่องราชบรรณาการ เป็นต้นไม้เงินต้นไม้ทองให้แก่กรุงศรีอยุธยาทุกๆ 3 ปี เพื่อแสดงว่า ยอมสวามิภักดิ์หรือยอมอยู่ใต้อำนาจ ทำให้มีทองคำนำเข้าสู่ ท้องพระคลัง และนำไปแปรรูปเป็นเครื่องราชูปโภคต่างๆจำนวนมากได้จากการริบของเอกชนมาเป็นของหลวง กรณีนี้เกิดขึ้นเมื่อมีการทำความผิด ที่ร้ายแรงต้องโทษประหารชีวิตแล้วยังต้องถูกริบทรัพย์สมบัติทุกอย่างเข้าหลวงยึดมาจากข้าศึก ที่แพ้สงครามซึ่งมีให้เห็นมาโดยตลอดในสมัยกรุงศรีอยุธยา ทั้งหมดนี้คือเหตุผลว่าทำไมสมัยกรุงศรีอยุธยาจึงได้ชื่อว่ายุคแห่งทองคำของไทยหมายเหตุ : ลาลูแบร์ เป็นเอกอัครราชฑูตชาวฝรั่งเศสจากราชสำนักพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ที่เดินทางเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับกรุงศรีอยุธยาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

29/08/2561

ขนมไทยตระกูลทอง


ขนมไทย ส่วนมากประกอบด้วยวัตถุดิบสำคัญ 3 อย่างคือ แป้ง น้ำตาล และกะทิ ส่วนจะใช้ แป้งข้าวเหนียว แป้งข้าวจ้าว แป้งท้าวยายม่อม แป้งสาคู หรือน้ำตาลมะพร้าว น้ำตาลทราย น้ำตาลปี๊บ ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะทำขนมอะไร ส่วนวัตถุดิบประกอบอื่นๆก็แตกต่างกันไปตามชนิดของขนมนั้นๆเช่น ไข่ ถั่ว มะพร้าวขูด เป็นต้น รสชาติของขนมไทยจึงมีเอกลักษณ์ที่ความหวานและมัน แต่แค่วัตถุดิบเท่านี้ก็สามารถดัดแปลงทำขนมได้นับร้อยชนิด นอกจากความละเอียดอ่อนในการทำขนมแล้ว การตั้งชื่อขนมไทยก็น่ามหัศจรรย์ไม่แพ้กันโดยเฉพาะการนำคำว่า ทอง มาตั้งเป็นชื่อขนม นัยว่าเพื่อความเป็นสิริมงคลตามแบบฉบับของคนไทยนั่นเอง ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง เราคุ้นเคยกับขนมทั้ง 3 ชนิดนี้เป็นอย่างดีเพราะยังมีขายแพร่หลายกันอยู่ในปัจจุบัน ทำจาก แป้ง ไข่ และน้ำตาลทราย ในรูปแบบที่แตกต่างกัน ทองหยิบ รูปร่างคล้ายดอกไม้ ทองหยอด มีลักษณะเป็นลูกกลม ฝอยทองเป็นเส้นติดกันเป็นแพ ทั้ง 3 ชนิดจัดเป็นขนมมงคลที่สื่อถึงมี ความมั่งคั่งร่ำรวย มีเงินทองใช้ไม่หมด และการทีชีวิตคู่ที่ยืนยาวเหมือนเส้นฝอยทอง ขนมดาราทอง หรือ ทองเอกกระจัง หรือขนมจ่ามงกุฎ เป็นขนมในราชสำนัก ใช้สำหรับเครื่องเสวยถวายพระเจ้าแผ่นดิน มีมาตั้งแต่สมัยพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 2 มีความหมายถึงหัวหน้าผู้เป็นใหญ่ จึงนิยมมอบให้กับผู้ใหญ่ในโอกาสเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง ปัจจุบันหาซื้อยากแล้ว ขนมทองเอก ขั้นตอนการทำค่อนข้างยากและพิถีพิถัน สมัยก่อนใช้วิธีแกะสลักเป็นรูปดอกไม้ ปัจจุบันใช้วิธีกดพิมพ์ โดดเด่นกว่าขนมตระกูลทองชนิดอื่นๆตรงที่มีทองคำเปลว100%ติดไว้ด้านบน นิยมให้กันในการแสดงความยินดี อวยพรให้เจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ขนมทองชมพูนุช มีรสชาติและสีสันคล้ายทองเอก แต่ต่างตรงที่ใช้แป้งคนละชนิดกัน และไม่ติดทองคำเปลวแท้ มีสีเหลืองโปร่ง สุขสว่าง ตามความหมายของชื่อทองชมพูนุช ขนมทองม้วน ทำจากแป้ง ผสมกับ กะทิ และไข่ ส่วนผสมเพิ่มเติมอาจจะใส่งาดำ ผักชี พริกไทย น้ำปูนใส หรือเครื่องปรุงอื่นๆแล้วแต่จะดัดแปลง ทำให้สุกด้วยการผิงไฟ แล้วนำมาม้วน จะมีทั้งรสเค็ม หวาน หอม มัน ทองพลุ ท้าวทองกีบม้า ดัดแปลงมาจากเอแคลร์ของฝรั่งเศส เปลี่ยนวิธีทำให้สุกด้วยการอบ มาเป็นการทอดในกระทะทอง ทองพลุ บ่งบอกถึงความเจริญรุ่งเรื่องเฟื่องฟูเสมือนพลุที่ใช้จุดเพื่อการเฉลิมฉลองนั่นเอง นอกจากนี้ก็ยังมี ขนมทองทัต ทองอัฐ ทองนพคุณ และทองพับ เป็นต้นเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

29/08/2561

เอกลักษณ์เครื่องทองเพชรบุรี


เครื่องทองเพชรบุรี อาจไม่คุ้นชื่อเท่ากับทองสุโขทัย แต่ก็เป็นภูมิปัญญาไทยที่สืบทอดกันมายาวนานจากช่างทองหลวงในสมัยรัตนโกสินทร์ ลักษณะเด่นอยู่ที่ลวดลายที่อ่อนช้อยงดงามถอดแบบมาจากลายโบราณในสมัยกรุงศรีอยุธยา เครื่องทองของเพชรบุรี ส่วนมากผลิตเป็นเครื่องประดับประเภทสร้อยคอ สร้อยข้อมือ แหวน ต่างหู จี้ เข็มกลัด ซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอยู่ที่รูปทรงและลวดลายที่ดัดแปลงมาจากธรรมชาติ นอกจากจะทำจากทองคำแล้ว ก็ยังทำจากเงิน นาค และอัญมณีต่างๆอีกด้วย งานเครื่องทองสกลุลช่างเพชรบุรี ที่มีชื่อเสียงและเป็นเอกลักษณ์ได้แก่ สร้อยขัดมัน ถือเป็นชิ้นงานพื้นฐานดั้งเดิมที่ช่างเมืองเพชรทุกคนต้องทำเป็น มีลักษณะเป็นห่วงกลมเกี่ยวกันเป็นลูกโซ่ต่อเนื่องกัน โดยช่างจะใช้ตะไบลบเหลี่ยมห่วงของสร้อยออกตลอดเส้น มีทั้งแบบสี่เสา หกเสา และแปดเสา ทำเป็นสร้อยคอและสายสะพายแล่ง สร้อยสี่เสาจะมีขนาดเล็ก สร้อยหกเสามีขนาดปานกลาง ส่วนสร้อยแปดเหลี่ยมจะมีขนาดใหญ่ สร้อยขัดมันนี้ยังมีให้เห็นตามร้านทองทั่วไป กำไลก้านบัว เป็นรูปแบบเครื่องประดับที่ผสมผสานศิลปะระหว่างอยุธยาและจีน เป็นกำไลข้อเท้าหรือข้อมือที่ส่วนปลายของทั้งสองด้านทำด้วยทองคำดุนลายเป็นรูปดอกบัวหลวง ตรงกลางทำด้วยนาก เวลาใส่ใช้การบิดหรือคลายเกลียวที่ปลายข้างหนึ่งของกำไล แหวนหรือกำไลพิรอด พิรอดคือชื่อเรียกเครื่องรางที่ถักด้วยผ้ายันต์หรือสายสิญจน์เป็นกำไลหรือแหวน ต่อมาทำด้วยทองแค่ยังใช้วิธีการถักแบบเดิม ตรงหัวแหวนนิยมฝังพลอยนพเก้า เชื่อกันว่าการสวมแหวนหรือกำไลพิรอด จะช่วยให้แคล้วคลาดจากพยัญตราย และสิ่งชั่วร้ายต่างๆ แหวนตะไบ เป็นแหวนฝังพลอยหรือเพชรซีก ช่างทองเพชรบุรีจะสร้างลวดลายและตบแต่งโดยการตะไบขอบทั้งสองข้างของแหวนให้เป็นร่องลึก จึงเป็นที่มาของชื่อเรียกแหวนตะไบ เครื่องทองเมืองเพชรบุรีสวมใส่ได้ทั้งชายและหญิง แต่กลุ่มผู้บริโภคส่วนใหญ่เป็นวัยผู้ใหญ่และนักสะสมที่ชื่นชอบศิลปะแบบโบราณ มีรูปแบบเฉพาะตัว ซึ่งสำหรับคนรุ่นใหม่อาจดูเชย ไม่ทันสมัย ทำให้เครื่องทองเพชรบุรีหาได้ค่อนข้างน้อย ตามร้านทองตู้แดงทั่วไปแต่ก็ยังพอมีอยู่บ้างตามต่างจังหวัดแต่ไม่แพร่หลายมากนัก นี่จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ ช่างฝีมือทำเครื่องประดับทองเพชรบุรีและผู้ประกอบการเครื่องทองเมืองเพชรบุรีลดน้อยลง นอกจากนี้ การถ่ายทอดงานช่างทองจังหวัดเพชรบุรี มักสอนให้เฉพาะแค่คนในครอบครัวและผู้ที่มีใจรักในศิลปะอย่างจริงจังเท่านั้น จึงเกิดการขาดช่วงและเกิดช่างฝีมือน้อยลงเรื่อยๆ ซึ่งในอนาคตเครื่องทองเมืองเพชรบุรีอาจสูญหายไปจากเมืองไทยเหมือนช่างทองสกุลอื่นๆอีกมากมายก็เป็นได้เช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

24/08/2561

หอเครื่องทองไทย


หอเครื่องทองไทย แหล่งเรียนรู้เรื่องราวของทองไทยในแง่มุมต่างๆ ทั้งเครื่องมืออุปกรณ์ในการทำทอง กรรมวิธีการทำทอง การผลิตเครื่องทองโบราณ เครื่องทองหลวง และสกุลช่างทองของไทย จัดแสดงในรูปแบบนิทรรศการ บนพื้นที่ขนาด 460 ตารางเมตร แบ่งการจัดแสดงออกเป็นส่วน ๆได้แก่ ส่วนข้อมูลเกี่ยวกับทอง แสดงต้นกำเนิดทองคำ ตั้งแต่เป็นสายแร่นำมาแยกออกด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หลอมออกมาเป็นก้อนทองคำซึ่งป็นวัตถุดิบในการผลิตเครื่องทอง ส่วนประวัติช่างทองไทย ซึ่งปัจจุบันเหลือสกุลช่างทองอยู่เพียง 3 สกุล ที่สามารถนำมาจัดแสดงได้คือ สกุลช่างทองสุโขทัย สกุลช่างทองเมืองเพชร และสกุลช่างทองถมนครสกุลช่างทองสุโขทัย เป็นเครื่องทองที่ทำจากทองคำบริสุทธิ์ 99.99% โดดเด่นที่ลวดลายสวยงามและกรรมวิธีการผลิตที่เรียกว่า สร้อยถัก ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของสกุลช่างทองสุโขทัย สกุลช่างทองเมืองเพชร เป็นการสืบทอดทักษะเชิงช่างจากสมัยอยุธยา โดยพัฒนาต่อยอดจนเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ลวดลายที่ได้รับความนิยมอย่างเช่น ลายดอกพิกุล ดอกมะลิ ก้านบัว ส่วนใหญ่นิยมทำเครื่องประดับประเภทสร้อยคอ สร้อยข้อมือ แหวน ตุ้มหู สกุลช่างถมนคร เป็นสกุลช่างทองจากนครศรีธรรมราช ผลิตเครื่องถมทองและเงิน โดยเฉพาะ เครื่องราชูปโภคของพระมหากษัตริย์ หรือผลิตเพื่อเป็นเครื่องบรรณาการแด่กษัตริย์ต่างชาติ ที่เรียกว่าเครื่อง "ถมทอง" ก็คือเครื่องถมเงิน แต่ใช้น้ำปรอทที่มีทองคำเคลือบบนลวดลายทั้งหมด นิยมใช้ทำภาชนะหรือเครื่องประดับที่มีลายทองบนพื้นสีดำ ส่วนสาธิตกรรมวิธีการผลิต แสดงให้เห็นขั้นตอนการหลอมทองคำเป็นวัตถุดิบ จนกระทั่งผลิตขึ้นเป็นชิ้นงาน พร้อมจัดแสดงเครื่องมือใช้ในการทำทอง เช่น แป้นชักลวด ที่ใช้ผลิตเส้นทองให้มีความหนาและยาวให้ได้ตามต้องการ เครื่องเป่าแล่น เป็นเครื่องให้ความร้อนเพื่อทำให้ทองอ่อนตัวและง่ายต่อการขึ้นรูป และการทำลวดลายต่างๆ ส่วนจัดแสดงชิ้นงานจากฝีมือช่างสกุลต่างๆ ที่ทำจากทองคำแท้ทั้งหมด เป็นลวดลายและรูปแบบที่หาชมไม่ได้ตามร้านทองทั่วไป เช่นกำไลประดับพลอยนพเก้า แหวนลูกไม้ประดับรัตนชาติ 3 สี กระดุม หรือ ดอกบัวสัตตบงกช หวนแลกำไลพิรอด เป็นแหวนเครื่องราง เชื่อกันว่าทำให้แคล้วคลาดจากโชคร้าย และปะวะหล่ำ ซึ่งเป็นงานเครื่องประดับทองที่ได้รับอิทธิพลจากชาวจีนรูปร่างคล้าย โคมไฟสัญลักษณ์ แห่งความก้าวหน้า ความเจริญรุ่งเรือง สว่างไสว ปะวะหล่ำนี้อาจยังพอหาชมได้ตามร้านทองทั่วไปถ้าสนใจเรื่องราวของทองคำในประเทศไทยไปชมได้ที่บนชั้น 2 ของศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ(องค์การมหาชน) หรือ ศ.ศ.ป. ต.ช้างใหญ่ อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยาเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

24/08/2561

รู้จักทองชนิดต่างๆ


หากพูดถึง ทอง โดยมากเราจะนึกถึงแต่ ทองคำ ที่มีสีเหลือง เนื่องจากมีความบริสุทธิ์ของแร่ทองคำ 24Kแต่ทองก็มีสีที่แตกต่างได้หากมีการผสมแร่ธาตุชนิดอื่นๆเข้าไปและมีชื่อเรียกแตกต่างกันไป ทองคำขาว หรือ Platinum เป็นแร่ธาตุที่มีสีเงินเทา มีน้ำหนักมาก สามารถยืดและตีเป็นแผ่นได้ ทนต่อการกัดกร่อน นำมาทำเครื่องประดับได้ดีเนื่องจากมีความหนาแน่นมากทำให้แกะลายได้สวยกว่าทองและถึงแม้จะใช้ไปนานๆลวดลายก็ยังคงคมชัดเหมือนเดิมที่สำคัญคือไม่สึก หลุดร่อน น้ำหนักเท่าเดิมไม่สูญหายเหมือนทองแม้จะใช้ไปนานแค่ไหนก็ตาม แพลทินัมหายากกว่าทองคำจึงมีราคาสูงกว่าทองคำ 2-3 เท่า ทองขาว หรือ White gold คนทั่วไปมักสับสนเข้าใจว่า ทองขาว (White gold) เป็นชนิดเดียวกันกับทองคำขาว (Platinum) แต่ความจริงแล้วแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะทองขาวหมายถึงการผสมกันของทองคำกับโลหะอื่นๆ ซึ่งจะมีคุณสมบัติต่างกัน เช่นถ้าผสมนิกเกิล ก็จะแข็งเหมาะที่จะทำแหวนและหมุดผสมแพลเลเดียมจะอ่อนนุ่มกว่าเหมาะสำหรับประดับอัญมณี แต่ถ้าผสมทองแดง เงิน และ แพลทินัม ใช้สำหรับเพิ่มน้ำหนักและความคงทน โดยปกติเครื่องประดับที่ทำจากทองขาว นิยมเคลือบด้วย โรเดียม เพื่อเพิ่มความขาว และเงางาม ทองเขียว หรือ Green gold เป็นทองคำผสมแร่อื่นๆเช่น เงิน มีความบริสุทธิของเนื้อทองคำ18 กะรัตคือประกอบไปด้วยทองคำ 75% และเงิน 25% ทองคำสีกุหลาบ หรือ Rose gold เป็นโลหะเจือระหว่างทองคำและทองแดง บางครั้งเรียกทองคำชมพู (Pink gold) และ ทองคำแดง (Red gold) ตามสีที่ได้ หรือเรียกว่าทองรัสเซีย เพราะเคยเป็นที่นิยมกันมากในรัสเซียในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 แต่สำหรับคนไทยรู้จักกันในชื่อ “นาก” ซึ่งนิยมนำมาทำเป็นเครื่องประดับและขายอยู่ตามร้านทองทั่วไป ทองคำสีเทา คือการนำทองคำมาผสมด้วยแร่เงิน แมงกานีส และ ทองแดงลงไปตามสัดส่วนเฉพาะ ทองคำสีม่วง เป็นการผสมกันของของทองคำและอะลูมิเนียม โดยใช้ทองประมาณ 79% จึงสามารถเรียกเป็นทอง 18 กะรัตได้ ทองคำม่วงเปราะกว่าโลหะเจือทองคำชนิดอื่นๆ แตกหักได้ง่าย ทองคำดำ หรือ Black gold เป็นทองที่ใช้กันในเครื่องเพชรพลอย สีของทองคำดำสามารถสร้างได้หลายวิธี ชุบโลหะโรเดียมดำหรือรูทีเนียมด้วยไฟฟ้า ทองเหลือง และทองสัมฤทธิ์ หรือ สำริด เรียกทองแต่ไม่มีส่วนผสมของทองคำเลย ทองเหลืองเป็นโลหะผสมระหว่างทองแดงกับสังกะสี ใช้ทำเครื่องใช้เครื่องประดับ และงานทางศิลปะ ส่วรทองสัมฤทธิ์ หรือ สำริด เป็นโลหะผสมระหว่างทองแดง และดีบุก สัมฤทธิ์บางชนิดอาจมีส่วนผสมของสังกะสี หรือตะกั่วปนอยู่ด้วย ทองเกือบทุกสีมีขายตามร้านทองทั่วไป ในรูปแบบแตกต่างกันทั้งของใช้และเครื่องประดับเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

24/08/2561

8 วิธี ดูทองคำแท้


การดูทองคำว่าเป็นของแท้ หรือ ปลอม อาจไม่ใช่ปัญหาของร้านทองทั่วไป แต่สำหรับผู้บริโภคที่ไม่มีประสบการณ์หรือความชำนาญอาจไม่รู้ว่ามีวิธีดูอย่างไร และนี่คือ 8 วิธี เบื้องต้นในการดูทองคำแท้ 1. ดูจากขนาดของทอง วิธีนี้ต้องใช้การสังเกตให้ดี ต้องรู้ว่าทองคำหนัก 1 บาท หรือ 2 บาทนั้น ควรมีขนาดแค่ไหน น้ำหนักกับขนาดต้องสอดคล้องกัน ถ้าบอกหนัก 1 บาทแต่มีขนาดใหญ่มากก็ให้ระวังไว้เลยว่าอาจเป็นทองปลอมได้ 2. วัดจากน้ำหนักของทองคำ วิธีนี้ถ้าไม่มีเครื่องชั่งก็ต้องมีทองคำแท้อีกชิ้นหนึ่งไว้เทียบกัน เพราะทองคำแท้ไม่ว่าจะเส้นใหญ่หรือเส้นเล็ก ถ้าน้ำหนัก 1 บาท ก็จะมีน้ำหนักเท่ากันเสมอ 3. ดูที่ตราหรือโลโกร้าน ใช้แว่นขยายส่องดูตามข้อหรือห่วงของทอง ทองแท้ทั่วไปจะมีการตีตราร้านไว้อย่างชัดเจนเพื่อเป็นการการันตี บอกแหล่งที่มา หรือมีการตอกตัวเลขบอกความบริสุทธิ์ของทองไว้ด้วยเช่น 14k 18k 22k 24k ถ้าตรานั้นเบลอๆไม่ชัดเจนก็ให้ระวังไว้ก่อนว่าอาจเป็นของปลอม ให้หลีกเลี่ยงการซื้อ 4. หยดด้วยน้ำกรดไนตริก ทองคำแท้เมื่อหยดด้วยกรดไนตริก จะไม่เกิดปฏิกิริยา ไม่เปลี่ยนสี หรือหลอมละลาย แต่ถ้าทองคำนั้นมีโลหะอื่นผสม เช่น ทองแดง ก็จะละลายไปอย่างเห็นได้ชัดเจน วิธีนี้คงต้องทำที่ร้านทองเพราะกรดไนตริก หาซื้อไม่ได้ตามร้านค้าทั่วไป 5. ทดสอบโดยใช้แม่เหล็ก ถ้าใช้แม่เหล็กแล้วดูดติดทันทีทองเส้นนั้นเป็นทองปลอมแน่นอนเพราะใส่เหล็กในปริมาณมาก แต่ถ้าเป็นทองคำแท้แม่เหล็กจะดูดไม่ติด 6. ดูจากรอยต่อหรือจุดที่ทองเสียดสีกัน วิธีนี้สามารถใช้แว่นขยายดูตามรอยต่อหรือจุดเสียดสี ถ้าเป็นทองคำแท้จะไม่มีรอยถลอก ลอก หรือเปลี่ยนสี แต่ถ้าเป็นทองคำชุบหรือทองปลอม ตามรอยต่อเหล่านี้จะเกิดการลอกหรือถลอก 7. ทดสอบโดยการกัด ทองคำแท้จะมีความแข็งไม่มาก ถ้ากัดก็จะเกิดรอยบุ๋มเห็นได้ชัด แต่ถ้าเป็นทองปลอม ทองผสมเหล็กหรือทองแดง หรือทองชุบ จะแข็งมาก กัดแล้วไม่เกิดรอยบุ๋ม 8. โยนลงบนกระจก ทองคำเป็นโลหะที่มีเนื้อนุ่ม ไม่แข็งเหมือนเหล็กหรือทองแดง ถ้าโยนไปกระทบกับกระจกจะได้ยินเสียงกระทบกันแบบนุ่มๆ ไม่มีเสียงแหลม ดัง แต่ถ้าเป็นทองปลอมเสียงจะดังแก๊งๆอย่างชัดเจน นี่คือ 8 วิธีดูทองคำแท้ เพื่อป้องกันความเสี่ยงในเบื้อต้น อย่างไรก็ดีการซื้อทองคำจากร้านทองที่เชื่อถือได้ก็เป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่ถ้ามีคนเอามารับจำนำหรือรับซื้อทองคำจากใคร ควรนำไปให้ร้านทองตรวจสอบก่อนตัดสินใจเสมอ เช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

24/08/2561

รู้หรือไม่ ชาติใดบริโภคทองคำมากที่สุดในโลก


จีน เป็นประเทศที่บริโภคทองคำมากที่สุดในโลกในปี 2016 รองลงมาคือ อินเดีย สหรัฐอเมริกาและเยอรมนี จากรายรายงานล่าสุดของสภาทองคำโลกหรือ World Gold Council นอกจากปัจจัยด้านจำนวนประชากรแล้ว สาเหตุที่จีน และ อินเดียบริโภคทองคำมากที่สุดในโลกอันดับ1 และ2 สลับกันมาโดยตลอดก็เพราะทั้งสองประเทศมีเทศกาลสำคัญที่มีความเกี่ยวข้องกับการซื้อทองคำอยู่หลายเทศกาล อินเดีย มีเทศกาลดีวาลี (Diwali) หรือเทศกาลแห่งแสงที่ชาวอินเดียนิยมซื้อทองคำเป็นของกำนัลให้แก่คนในครอบครัว ซึ่งจะเกิดขึ้นราวเดือนตุลาคม แล้วต่อด้วย ฤดูกาลแห่งการแต่งงานของหนุ่ม-สาวชาวอินเดีย ซึ่งนอกจากจะนิยมให้สินสอดเป็นทองรูปพรรณแล้ว เครื่องประดับสำหรับเจ้าบ่าวเจ้าสาวก็นิยมทำมาจากทองด้วย ประกอบกับแต่ละปีมีการแต่งงานกันปีละหลายล้านคู่ จึงไม่น่าแปลกใจว่ายอดการบริโภคทองคำของอินเดียจะมากมายมหาศาลแค่ไหน สำหรับประเทศจีน เป็นที่ทราบกันดีว่าเทศกาลตรุษจีนเป็นช่วงที่ความต้องการทองคำจะมีปริมาณสูงที่สุด ซึ่งต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงวันชาติจีน ที่มีการซื้อทองให้เป็นของขวัญและการออม กับสมาชิกในครอบครัวด้วย ในส่วนของประเทศไทย ไม่น่าเชื่อว่าประเทศที่มีประชากรราว 70 ล้านคน จะมีการบริโภคทองคำมากเป็นอันดับ5 ของโลก เฉพาะในปี 2016 คนไทยบริโภคทองคำถึง 81.53 ตัน และมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออก ในอดีตการซื้อทองคำในประเทศไทยเป็นไปเพื่อการเก็บออม เป็นสินทรัพย์และเครื่องประดับ แต่ในช่วงไม่ถึง 10 ปีที่ผ่านมาพฤติกรรมการซื้อทองคำของคนไทยเปลี่ยนไปเป็นการลงทุนและการเก็งกำไรมากขึ้น สะท้อนจากตัวเลขการนำเข้า–ส่งออกทองคำแท่งของไทยที่เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยในปี 2001 ไทยเป็นผู้นำเข้าทองคำอันดับที่ 6 ของโลกและก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำเข้าทองคำอันดับที่ 2 ในปี 2010 ในขณะที่การส่งออกก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดดจากการเป็นผู้ส่งออกทองคำอันดับที่ 38 ของโลกในปี 2001 มาเป็น ผู้ส่งออกอันดับที่ 3 ในปี 2010 นอกจากนี้ World Gold Council ยังระบุว่าตั้งแต่ปี 2011 ไทยก้าวขึ้นมาเป็นประเทศที่บริโภคทองคำเป็นอันดับหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกแซงหน้าเวียดนามไปแล้ว ผลจากพฤติกรรมการบริโภคทองคำที่เปลี่ยนไปจากเดิมของคนไทยที่ซื้อทองในฐานะเครื่องประดับและเพื่อออมเงินในระยะยาวกลับกลายมาเป็นการลงทุนระยะสั้นและการเก็งกำไร ทำให้ในปีนั้นไทยก้าวขึ้นไปเป็นประเทศที่บริโภคทองคำแท่งและเหรียญทองเป็นอันดับ 3 ของโลกรองจากอินเดียและจีนเลยทีเดียว เชื่อในอนาคตความนิยมของนักลงทุนชาวไทยจะส่งผลให้ประเทศไทยสามารถครองตำแหน่งผู้บริโภคทองคำลำดับต้นๆของโลกต่อไปเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

23/08/2561

เยาวราช ถนนสายทองคำ


เยาวราช ย่านธุรกิจการค้าที่รู้จักกันดีในนาม ไซน่าทาวน์ เพราะเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมและการค้าของชาวไทยเชื้อสายจีนมานานนับร้อยปี ตลอดสองข้างทางของถนนความยาวถนนราว 1.5 กิโลเมตร คลาคล่ำไปด้วยร้านรวงที่ขายสินค้านานาชนิด ทั้งกลางวันกลางคืน ทั้งของกินของใช้ซึ่งได้ชื่อว่ามีคุณภาพยอดเยี่ยมไม่แพ้ที่ใด และสิ่งหนึ่งที่อยู่คู่เยาวราชจนกลายเป็นสัญลักษณ์ที่ขาดกันไม่ได้ของถนนสายนี้ก็คือ ร้านทอง นั่นเอง เยาวราชเต็มไปด้วยร้านทองมากมายทั้งใหม่และเก่า ร้านทองที่เก่าแก่ที่สุดต้องย้อนกลับไปถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่๕ ซึ่งปัจจุบันก็ยังคงดำเนินกิจการอยู่ ส่วนร้านทองใหม่ๆก็ยังมีเปิดกิจการอยู่เรื่อยๆ เคยมีการรวบรวมจำนวนร้านขายทองทั้งหมดทั้งฝั่งถนนเยาวราชและบริเวณรอบๆนั้นมีมากว่า 170 ร้าน ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งรวมร้านขายทองไว้มากที่สุดของประเทศไทยจนได้ชื่อว่าเป็น ถนนสายทองคำ ร้านทองย่านเยาวราช ขายทองรูปพรรณที่มีค่าความบริสุทธิ์ 96.5% ซึ่งถือเป็นค่ามาตรฐานของทองคำบริสุทธิ์ซึ่งรับรองมาตรฐานโดยสมาคมค้าทอง ว่าคำเหมาะที่จะนำมาทำเป็นทองรูปพรรณเพราะมีสีเหลืองสุกสว่างสวยงามคงทนแข็งแรง มากกว่าทอง 99.99% ที่มีความอ่อนตัว ขาด และบิดงอเสียรูปได้ง่าย ซึ่งร้านทองในเยาวราชส่วนใหญ่เป็นสมาชิกของสมาคมค้าทองคำอยู่แล้ว ทำให้ลูกค้ามั่นใจว่าซื้อทองที่เยาวราชจะได้ทองดี มีส่วนส่วนผสมที่ได้มาตฐานทองคำบริสุทธิและไม่มีทองปลอมแน่นอน ด้วยเหตุนี้ทองเยาวราชจึงได้รับความนิยมจากผู้ลูกค้ามาอย่างยาวนาน ถนนเยาวราช สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็น 1 ใน 18 ถนนที่สมเด็จกรมเจ้าพระยานริศรานุวัตตวงศ์ เสนาบดีกระทรวงโยธาธิการ กราบบังคมทูลว่าจะสร้างตามโครงการถนน อำเภอสำเพ็ง ซึ่งเป็นนโยบายสร้างถนนในท้องที่ที่เจริญแล้ว เพื่อส่งเสริมการค้าขายใช้เวลาในการก่อสร้างนาน 8 ปี คือเริ่มสร้างเมื่อปีพ.ศ.2435 และเสร็จสมบูรณ์ในปี 2443 เริ่มตั้งแต่คลองรอบกรุง ตรงข้ามป้อมมหาไชย ตัดลงไปทางทิศใต้ บรรจบถนนจักรวรรดิที่สี่แยกวัดตึก ผ่านถนนราชวงศ์เรียกสี่แยกราชวงศ์" ก่อนไปบรรจบกับถนนเจริญกรุงก่อนถึงวัดไตรมิตรฯ เดิมให้ชื่อว่าถนนยุพราช และต่อมารัชกาลที่ 5 ทรงโปรดเกล้าฯพระราชทานชื่อใหม่เป็น"ถนนเยาวราช"

Read More

23/08/2561

10 อันดับประเทศที่ถือครองทองคำสำรองมากที่สุดในโลก


ทองคำสำรอง หรือ gold reserve เป็นสินทรัพย์ชนิดหนึ่ง ที่ธนาคารกลางของแต่ละประเทศประเทศ หรือองค์กรทางการเงินระหว่างประเทศ ซื้อเก็บสะสมไว้เป็นส่วนหนึ่งของทุนสำรองระหว่างประเทศเพื่อเป็นการลงทุนและเป็นหลักประกันทางการเงินของประเทศและองค์กรนั้นๆ ทองคำ 1 ตันมีมูลค่าเท่ากับ 41.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.38 พันล้านบาท (ณ ราคาวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ. 2017) สภาทองคำโลกได้จัดอันดับประเทศที่ถือครองทองคำผ่านธนาคารกลางในแต่ละประเทศมากที่สุดในโลก 10 อันดับ ณ สิ้นปี 2017 ประกอบด้วย อันดับ 1 สหรัฐอเมริกาที่ยังคงเป็นประเทศที่ถือครองทองคำมากที่สุดในโลกที่ 8,134 ตัน ซึ่งส่วนใหญ่ถูกเก็บไว้ที่คลังเก็บทองคำฟอร์ทน็อกซ์ อันดับ 2 เยอรมนี 3,337 ตัน อันดับ 3 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) 2,184 ตัน อันดับ 4 อิตาลี 2,452 ตัน อันดับ 5 ฝรั่งเศส 2,436 ตัน อันดับ 6 จีน 1,842 ตัน อันดับ 7 รัสเซีย 1,828 ตัน อันดับ 8 สวิตเซอร์แลนด์ 1,040 ตัน อันดับ 9 ญี่ปุ่น 765 ตัน อันดับ 10 เนเธอร์แลนด์ 612 ตัน แต่เมื่อผ่านไตรมาสแรกของปี 2518 ตัวเลขการถือครองทองคำของแต่ละประเทศก็เปลี่ยนไป โดยรัสเซีย กลายเป็นประเทศที่ถือครองทองคำมากที่สุดเป็นอันดับห้าของโลก หลังจากที่ธนาคารกลางรัสเซีย (ซีบีอาร์) ได้เพิ่มการถือครองทองคำอีก20 ตัน เป็น 1,857 ตันเมื่อเดือนมีนาคม อย่างไรก็ตามสหรัฐ ยังคงเป็นประเทศที่ถือครองทองคำมากที่สุดในโลกที่ 8,134 ตัน เยอรมนีตามมาเป็นอันดับสอง ที่ 3,374 ตัน ขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ) ถือครองทองคำมากที่สุดเป็นอันดับสามที่ 2,814 ตัน และฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีทองคำสำรองมากที่สุดเป็นอันดับที่สี่ สำหรับประเทศไทยในไตรมาสแรกของปี 2561 มีทองคำสำรองเพิ่มขึ้น1.59 ตัน เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ไทยมีทองคำสำรองถึง154 ตัน หลักจากทรงตัวมานานกว่า 6 ปี ในระดับ 152.41ตัน ตั้งแต่ปี 2543-2561 ซึ่งทองคำสำรองของไทยอยู่ที่อันดับ 24 ของโลก

Read More

Loading...
More