บทความทั่วไป

02/08/2562

ศูนย์วิจัยทองคำชี้ ครึ่งปีหลังทองทะลุ 21,000 บาท


ศูนย์วิจัยทองคำ คาดการณ์ว่าจากนี้ไปราคาทองจะเคลื่อนไหวในกรอบบาทละ 20,000-21,000 บาท ในขณะที่ราคาทองคำโลกหรือGold Spot จะอยู่ที่ 1,363-1,458 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ส่วนค่าเงินบาทไทยคาดว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 30.24–31.16 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และมีโอกาสพุ่งขึ้นไปแตะที่ 1,439 – 1,461 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หาก สถานการณ์ต่างๆ ทั่วโลกยังมีปัจจัยเสี่ยงเพิ่มขึ้นทั้งนี้การเคลื่อนไหวของราคาทองคำในไตรมาสที่ 3 ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม – กันยายน 2562 ดัชนีความเชื่อมั่นราคาทองคำอยู่ที่ 58.18 จุด เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2 ที่อยู่ระดับ 47.79 จุด สาเหตุหลักมาจากนักลงทุนมองว่า ความต้องการซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำจะเพิ่มขึ้น เงินทุนไหลออกจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อราคาทองคำในครึ่งปีหลัง นี้คือนโยบายการเงินและการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐหรือFED ซึ่งนักลงทุนทั่วโลกมองว่า FED น่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงภายในปีนี้ ทำซึ่งอาจทำให้เงินไหลออกมายังประเทศเกิดใหม่ รวมถึงการเข้าซื้อทองคำด้วยนอกจากนี้ยังมีปัจจัยจากสงครามการค้า โดยเฉพาะการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป (EU) ที่ทางสหรัฐประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากยุโรปมูลค่า 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และต้องจับตาการเจรจาการค้าระหว่างจีนสหรัฐที่แม้มีทีท่าดีขึ้น แต่ก็ยังไม่มีความชัดเจน รวมถึงสถานการณ์การเมืองระหว่างสหรัฐ และอิหร่าน ที่มีความตึงเครียดมากขึ้นหลังจากเหตุโจมตีเรือบรรทุกน้ำมัน 2 ลำในอ่าวโอมาน และการยิงโดรนของแต่ละฝ่ายการที่อังกฤษจะแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป หรือBrexit ก็มีผลกับราคาทองคำเช่นกัน โดยล่าสุดนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของอังกฤษคือ บอริส จอห์นสัน จากพรรคอนุรักษ์นิยม ที่หลายฝ่ายมองว่าอังกฤษจะออกจาก EU โดยไม่มีการเจรจาหรือเงื่อนไข (Hard Brexit) อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของอังกฤษในระยะสั้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อราคาทองคำด้วย หลายๆสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น และอาจเกิดขึ้นในครึ่งปีหลัง ทำให้นักลงทุนหันกลับมาซื้อทองมากขึ้น เนื่องจากเห็นว่าเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ส่งผลต่อราคาทองคำอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

Read More

02/08/2562

เพลงพระราชนิพนธ์ ยูงทอง


ยูงทอง เป็นเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 36 ที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรทรงพระราชนิพนธ์ทำนอง ส่วนเนื้อร้องนั้นนายจำนงราชกิจ หรือจรัล บุณยรัตพันธุ์ ประพันธ์ขึ้นตามที่หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช ร่าง โดยพระองค์พระราชทานเพลง ยูงทอง ให้เป็นเพลงประจำมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2506แต่เดิมนั้นมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองใช้เพลงประจำมหาวิทยาลัยทำนองมอญดูดาว ซึ่งเป็นการประพันธ์ของ ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนนาคพันธุ์) เป็นเพลงประจำมหาวิทยาลัย มาตั้งแต่ก่อตั้งมหาวิทยาลัยเมื่อปีพ.ศ.2477 เมื่อเป็นต้นมา จนพ.ศ. 2504 นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และการเมืองกลุ่มหนึ่งได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เมื่อคราเสด็จมาทรงดนตรี ณ เวทีลีลาศ สวนอัมพร ภายในพระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2504 พระองค์รับสั่งว่า จะทรงพระราชนิพนธ์เพลงประจำมหาวิทยาลัยพระราชทานให้แก่นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จนวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2506 ขณะเสด็จพระราชดำเนินมาทรงดนตรี ณ หอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ใน “วันทรงดนตรี” ก็ได้ทรงบรรเลงทำนองเพลง ที่พระราชนิพนธ์ไว้ให้เป็นเพลงประจำมหาวิทยาลัย ในเวลาต่อมาได้มีการเรียกชื่อเพลงที่พระราชานิพนธ์นี้ว่า เพลงยูงทองชื่อ "ยูงทอง" มาจากต้นหางนกยูงฝรั่งที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงปลูกไว้ที่หน้าหอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 5 ต้น ซึ่งในเวลาต่อมาต้นยูงทองก็ได้กลายเป็นต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ด้วยวันทรงดนตรี เป็นวันที่ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จ พระราชดำเนินตามคำกราบบังคมทูลเชิญของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เพื่อทรงดนตรีและทรงสังสรรค์ร่วมกับนิสิตนักศึกษาเป็นการส่วนพระองค์ โดย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง รวมทั้งสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ ก็จะโดยเสด็จพระราชดำเนิน และทรงร่วมในการแสดงดนตรีด้วยสำหรับวัน “วันทรงดนตรี” ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นอกจากการทรงดนตรีแล้วในหลวงรัชกาลที่ 9 ยังถือโอกาสนี้เยี่ยเยียนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นการส่วนพระองค์ พร้อมพระราชทานพระบรมราโชวาทและทรงอำนวยพรแก่นักศึกษาในช่วงก่อนสอบ โดยทรงโปรดเกล้าฯให้นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เข้าเฝ้าฯทูลละอองธุลีพระบาทรับฟังดนตรีอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้พระองค์เสด็จมาทรงดนตรีที่มหาวิทยาลัยธรรามศาสตร์จำนวน 11 ครั้ง เริ่มครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2506 และครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2516 ณ มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ โดยมีศาสตราจารย์ ดร.อดุล วิเชียรเจริญถวายงานเป็นโฆษกทุกปีจากการบอกเล่าของนักศึกษายุคนั้น “วันทรงดนตรี” เป็นเหตุการณ์ที่ประทับใจพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง หลายคนพูดว่าเป็นวันที่ “มีความสุขมาก” “รอคอยกันทุกปี” เป็นที่ “ติดตาตรึงใจ” นอกจากพระปรีชาสามารถทางดนตรีที่ประจักษ์แล้ว ที่มีความหมายยิ่งคือ บรรยากาศของงานที่มีความสนุกสนานและอบอุ่น นักศึกษาไปร่วมกันอย่างล้นหลาม ดร.เสรี วงศ์มณฑาเล่าถึงบรรยากาศว่า “โอ้โหย สนุกสนานมาก เราไปอออยู่หน้าประตูตั้งแต่ประตูยังไม่เปิด…ก็ต้องแย่งกัน เข้าไปรอต้องพกเสบียงเข้าไป คือได้ที่นั่งถ้าลุกก็เสียม้า …ครั้งหนึ่งได้นั่งแทบพระบาทเลยคือแย่งที่นั่งได้บนเวที” เหล่านี้แสดงถึงความผูกพันอย่างลึกซึ้งระหว่างพสกนิกรไทยกับ“พ่อหลวงของแผ่นดิน” ยังตราตรึงในหัวใจไม่รู้ลืม

Read More

02/08/2562

การออกตรารับรองมาตรฐานโลหะมีค่า(ทองคำ)


การประทับตรารับรองมาตรฐานโลหะมีค่าหรือ Hallmark เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการสร้างการยอมรับถึงมาตรฐานในระดับสากล การใช้ตรารับรองมาตรฐานเครื่องประดับมีค่า เริ่มต้นที่สหราชอาณาจักรช่วงต้นศตวรรษที่ 14 โดยการรวมตัวกันของกลุ่มช่างทองในเมืองลอนดอนที่ใช้ชื่อว่า“The Goldsmith’s Company” หรือ “London Assay Office” ในปัจจุบัน บริษัทได้เริ่มทำการประทับตรา (Mark) เพื่อรับรองมาตรฐานเครื่องประดับทองซึ่งมาตรฐานดังกล่าวถูกพัฒนามาเป็นเครื่องหมายรับรองมาตรฐานเครื่องประดับที่ทำจากโลหะมีค่าในสหราชอาณาจักรเรียกว่า“Hallmark” โดยแนวคิดเรื่องการประทับตรารับรองมาตรฐานเครื่องประดับโลหะมีค่าได้ถูกนำไปใช้ในอีกหลายประเทศในทวีปยุโรปและในอีกหลายประเทศในทวีปอื่น ๆ ประเทศในทวีปยุโรปส่วนใหญ่มีการตรากฎหมายว่าด้วยการรับรองมาตรฐานเครื่องประดับโลหะมีค่า และมีหน่วยงานเฉพาะตามกฎหมายที่ทำหน้าที่ตรวจสอบและประทับตรารับรองที่เครื่องประดับทุกชิ้น โดยได้กำหนดชุดของตรารับรองมาตรฐานไว้แตกต่างกันคือ- ตราประจำหน่วยงานรับรองมาตรฐานเครื่องประดับโลหะมีค่า (National Assay Office Mark) เป็นตราประจำหน่วยงานที่ทำหน้าที่ตรวจรับรองมาตรฐานของประเทศนั้นๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหน่วยงานภาครัฐหน่วยงานเดียวทำหน้าที่ดังกล่าว แต่ในบางประเทศ เช่น สหราชอาณาจักร กฎหมายระบุให้บริษัทเอกชน 4 แห่ง ทำหน้าที่ตรวจรับรองมาตรฐานโดยแต่ละแห่งมีตรารับรองมาตรฐานของตัวเอง โดยกฎหมายระบุให้ทั้ง 4 ตรา เป็นตรารับรองมาตรฐานระดับประเทศของสหราชอาณาจักร- ตราบ่งชี้ความบริสุทธิ์ของเนื้อโลหะ (Fineness Mark) เป็นตราประทับระบุตัวเลขของความบริสุทธิ์ของเนื้อโลหะมีค่า ส่วนใหญ่นิยมแสดงเป็นตัวเลขสามหลัก แสดงความบริสุทธิ์ของเนื้อโลหะถึงทศนิยมตำแหน่งที่หนึ่ง เช่น เครื่องประดับทองที่มีค่าความบริสุทธิ์ของเนื้อทองร้อยละ 99.9 ขึ้นไป จะประทับตัวเลข “999” ลงไป โดยตัวเลขจะอยู่ในกรอบพื้นหลังที่มีรูปทรงเรขาคณิตที่แตกต่างกัน เพื่อแสดงเนื้อโลหะมีค่าที่แตกต่างกัน เช่น เครื่องประดับทองใช้กรอบรูปแปดเหลี่ยม เครื่องประดับเงินใช้กรอบรูปวงรี เป็นต้น - ตราประจำตัวของผู้ผลิต (Responsibility Mark) เป็นตราประจำบริษัท หรือโรงงานผู้ผลิต หรืออาจเป็นตราประจำของบริษัทผู้นำเข้า หรือผู้จำหน่ายเครื่องประดับโลหะมีค่าก็ได้ โดยตราดังกล่าวต้องขึ้นทะเบียนกับหน่วยงานตรวจรับรองมาตรฐานของประเทศนั้น ๆ เพื่อประโยชน์ในการติดตามผู้ผลิตในกรณีที่ตรวจพบว่า เครื่องประดับมีค่าความบริสุทธิ์ตํ่ากว่าที่ระบุไว้บนตราบ่งชี้ความบริสุทธิ์ของเนื้อโลหะ- ตราระบุปีที่ตรวจสอบ (The Year Mark) เป็นตราที่หน่วยงานผู้ตรวจสอบกำหนดเป็นสัญลักษณ์เพื่อแสดงปีที่ตรวจสอบเครื่องประดับนั้น ๆ ส่วนใหญ่นิยมใช้เป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษ ตั้งแต่ A-Z เมื่อใช้ตัวอักษรครบแล้วจะมีการเปลี่ยนกรอบพื้นหลังตัวอักษรเพื่อสร้างความแตกต่าง ทั้งนี้ ตราระบุปีที่ตรวจสอบมีการใช้ในเฉพาะบางประเทศเท่านั้น สำหรับประเทศไทยโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ได้มีการจัดทำระเบียบว่าด้วยการใช้เครื่องหมายรับรองมาตรฐานเครื่องประดับโลหะมีค่า ซึ่งเป็นระบบสมัครใจเพื่อช่วยสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภค และเพื่อเป็นส่วนช่วยส่งเสริมความเป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับให้กับประเทศ

Read More

02/08/2562

อินทรีทอง (Golden Eagle)


อินทรีทอง หนึ่งในนกล่าเหยื่อขนาดใหญ่ ขนเป็นสีน้ำตาลแกมสีเหลืองทอง ซึ่งกลายเป็นที่มาของชื่อ อินทรีสีทอง เป็นสัตว์ที่เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจและความกล้าหาญ พบได้ทั่วไปในทวีปยุโรป ,เอเชีย กลาง และ อเมริกาเหนือ ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ประจำชาติของหลายๆประเทศ เช่นประเทศเม็กซิโก แอลเบเนีย และเยอรมนีนกอินทรีทองจะมีอาณาเขตกว้างขวางประมาณ 200 ตารางกิโลเมตร หรือราว 77 ตารางไมล์ พวกมันจะสร้างรังขนาดใหญ่ บริเวณชะง่อนหินตามหน้าผา หรือบางครั้งอาจทำรังในทุ่งหญ้า อยู่กันเป็นคู่ บางครั้งมีคู่ครองเพียงตัวเดียวตลอดชีวิต เมื่อโตเต็มที่จะมีน้ำหนักมากถึง 6 กิโลกรัม ปีกกว้างราวสองเมตร ตัวผู้มีน้ำหนักเฉลี่ย 30-45 กิโลกรัม ส่วนตัวเมียจะหนักกว่า วางไข่ครั้งละ 2 ฟอง ปีละครั้ง ลูกนกอินทรีทองจะถูกเลี้ยงจนกระทั่งบินได้โดยใช้เวลาราว 3 เดือน หลังจากนั้นลูกนกจะเดินทางไปในฟ้ากว้างและสร้างเขตแดนของตัวเองเมื่ออายุได้4 ถึง 5 ปี ในสมัยโบราณอินทรีชนิดนี้ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของกองทหารโรมัน ส่วนชาวพื้นเมืองในเอเชียกลางจะฝึกนกชนิดนี้ไว้ใช้ในการล่าสัตว์จำพวก กระต่าย, สุนัขจิ้งจอก และกวาง โดยในการโจมตีเหยื่อขนาดใหญ่ นกอินทรีทองจะใช้กรงเล็บขยุ้มที่ส่วนหัวทำให้เหยื่อตายทันทีครั้งหนึ่งนกอินทรีทองเคยอยู่อย่างแพร่หลายทั่วซีกโลกเหนือ แต่ปัจจุบันเริ่มมีจำนวนลดลงเนื่องจากเหยื่อของมันลดจำนวนลง อีกทั้งยังถูกคุกคามจากนักล่าสัตว์ ที่ประเทศมองโกลเลียซึ่งมีวิถีชีวิตผูกพันกับอินทรีทอง จะมีการจัดงาน เทศกาลนกอินทรีทอง หรือเทศกาลมองโกเลียน อัลไต อีเกิ้ล (Mongolian Altai Eagle Festival) เป็นประจำทุกปี ที่เมืองอูกริ โดยมีชาวคาซัคสถานและชาวมองโกเลีย นำนกอินทรีที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีออกมาประลอง ความเร็ว ความว่องไว และความแม่นยำในการล่าเหยื่อ คนพื้นเมืองจะใส่เสื้อขนสุนัขจิ้งจอก มีเครื่องประดับเต็มชุด และที่แขนมีนกอินทรีทอง (Golden Eagle) เกาะอยู่ สำหรับปี 2019 เทศกาลนกอินทรีทอง จะจัดขึ้นในวันที่ 5-6 ตุลาคม ในอดีตเทศกาลอินทรีทองเป็นการแข่งขันจับจิ้งจอกจริงๆ ไม่ใช่การโชว์อย่างในปัจจุบัน โดยเจ้าของจะปล่อยนกอินทรีออกไปเมื่อเห็นเหยื่อซึ่งก็คือสุนัขจิ้งจอก นกอินทรีจะถูกฝึกมาให้ล่า ความแข็งแรงของกรงเล็บ และความใหญ่ของตัวมัน ทำให้การจับจิ้งจอกทำได้ไม่ยากนัก และเมื่อจับได้นกอินทรีจะไม่ฆ่า แต่จะปล่อยให้เจ้าของมันมาจัดการถลกหนังออกเพื่อนำขนไปใช้ ทุกวันนี้การล่าเปลี่ยนรูปแบบไปเพื่อการท่องเที่ยว คือจะไม่ใช้จิ้งจอกตัวจริง แต่จะนำหนังติดเนื้อจิ้งจอกพาดไว้บนหลังม้าแล้วให้เจ้าของนกอินทรีเป็นคนขี่ส่วนผู้ช่วยเป็นคนปล่อยนกอินทรีจากที่สูงเท่านั้น

Read More

02/08/2562

เครื่องประดับทองของไทย ในอุตสาหกรรมเครื่องประดับของฝรั่งเศส


ฝรั่งเศสถือเป็นประเทศผู้ผลิตเครื่องประดับอันดับสามของสหภาพยุโรป รองจากอิตาลีและอังกฤษ โดยมีศูนย์กลางการผลิตและออกแบบอยู่ที่กรุงปารีสและเมืองลิยง ซึ่งกระแสความนิยมเครื่องประดับประเภทต่างๆแตกต่างกันไป ทั้งเครื่องประดับทอง เงิน และอัญมนีต่างๆ แต่โดยทั่วไป ผู้บริโภคนิยมเครื่องประดับและอัญมณีขนาดเล็กเพื่อเสริมบุคลิกหรือบ่งบอกความเป็นตัวตนของผู้สวมใส่มากกว่าที่จะสวมเครื่องประดับขนาดใหญ่เพื่อบ่งบอกฐานะทางสังคม อิตาลียังคงเป็นประเทศคู่ค้าสำคัญ แม้ว่าส่วนแบ่งตลาดจะค่อยๆ ลงลงในเครื่องประดับทุกกลุ่มประเภท ส่วนประเทศสหภาพยุโรปอื่นๆ ยังรักษาตำแหน่งทางการตลาดที่ดีในฝรั่งเศส เมื่อเทียบกับผู้ผลิตเครื่องประดับต้นทุนต่ำรายอื่น เช่น คู่ค้าจากเอเชีย อย่างไรก็ตัวเลขการนำเข้าเครื่องประดับทองจากอังกฤษสู่ฝรั่งเศสยังคงเพิ่มสูงขึ้น ส่วนผู้ผลิตจากเอเชียโดยรวมมีส่วนแบ่งในตลาดฝรั่งเศสเพิ่มขึ้นนอกจากจีนก็มีผู้ผลิตที่ส่งสินค้าเข้าสู่ฝรั่งเศสรายใหม่ๆอีกได้แก่ อินเดีย เวียตนาม และฟิลิปปินส์ ซึ่งได้เปรียบในด้านต้นทุนการผลิตที่ต่ำ สำหรับประเทศไทยประสบปัญหาสินค้าราคาสูงมากกว่าทำให้การแข่งขันสู้ประเทศเพื่อนบ้านไม่ได้ แต่ผู้ผลิตฝรั่งเศสรายใหญ่ที่มาลงทุนโรงงานผลิตในประเทศไทยเริ่มเพิ่มปริมาณการนำเข้าเครื่องประดับทองจากไทยมากขึ้น อย่างไรก็ตามในกลุ่มเครื่องประดับเงินและเครื่องประดับมีค่าชนิดอื่น ผู้ผลิตไทยค่อนข้างประสบความสำเร็จในตลาดฝรั่งเศส ขณะเดียวกัน costume jewelry ยังเป็นตลาดที่น่าสนใจสำหรับผู้ผลิตและส่งออกเครื่องประดับไทย จากแนวโน้มความนิยมรูปแบบสินค้าที่เป็นเอกลักษณ์ แม้ไทยจะประสบปัญหาการส่งออกเครื่องประดับทองคำ แต่ยังมีโอกาสทางการตลาดที่ดีในหมวดเครื่องประดับอื่นๆ โดยเฉพาะเครื่องประดับเงิน นอกจากนี้ตลาดเฉพาะกลุ่มที่กำลังขยายตัวก็เป็นอีกหนึ่งตลาดที่ไทยมีโอกาสเจาะเข้าไป เช่น ในกลุ่มเครื่องประดับสำหรับผู้ชาย หรือเครื่องประดับส่วนอื่นๆ ของร่างกาย แต่ที่ต้องให้ความสำคัญคือเครื่องประดับทุกชิ้นที่จำหน่ายในฝรั่งเศสต้องมีตรารับรองจากทางการที่แสดงชนิดและลักษณะของโลหะมีค่านั้น หลักๆ ได้แก่* ตราหัวอินทรีย์สำหรับทอง 750/1000 หรือทอง 18K* ตราหัว (Minerva) สำหรับเงิน 925/1000* ตราดอกจิกสำหรับทองผสม 375/1000 หรือทอง 9K* ตรา ‘V’ สำหรับเงินชุบเป็นต้น

Read More

02/08/2562

นายกฯลิ้นทอง


นอกจากดารา นักแสดงที่สื่อมวลชนจะตั้งฉายาให้แล้ว นักการเมืองก็เป็นอีกอาชีพหนึ่งที่มักถูกตั้งฉายาไว้เรียกขานอยู่เสมอ โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ได้รับความสนใจมากที่สุด ที่ผ่านมามีนายกรัฐมนตรีหลายท่านที่ถูกตั้งฉายา และมีเรื่องเล่าถึงการได้มาของฉายาต่างๆสืบต่อกันมาถึงปัจจุบัน เช่น ตลกหลวง โหรหน้าสนามกีฬา ฤาษีเลี้ยงลิง พระเตมีย์ใบ้ และนายกฯลิ้นทอง เป็นต้นหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ หรือชื่อเดิม ถวัลย์ ธารีสวัสดิ์ หรือ พล.ร.ต.ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ คือเจ้าของฉายา นายกฯลิ้นทอง ที่มาของฉายานี้ได้มาจากการเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อจากนายปรีดี พนมยงค์ที่ต้องลาออกเพราะไม่สามารถฝ่ามรสุมการเมืองหลังเกิดเหตุการณ์สวรรคตของรัชกาลที่ 8 ได้ หลังได้รับความไว้วางใจจากสภา หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ ก็สร้างประวัติศาสตร์ใหม่ของการเมืองไทยที่เปิดให้มีการแถลงข่าวกับหนังสือพิมพ์เป็นครั้งแรกและทำเป็นประจำทุกสัปดาห์จนเป็นธรรมเนียมปฏิบัติต่อมาหลังรับตำแหน่งได้ 9 เดือน รัฐบาลหลวงธำรงฯ ก็ถูกฝ่ายค้านที่นำโดยพรรคประชาธิปัตย์เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจซักฟอกในสภา รัฐบาลก็เปิดให้อภิปรายได้โดยไม่จำกัดเวลา เพราะเชื่อในฝีปากนายกรัฐมนตรี และมีการถ่ายทอดเสียงผ่านสถานีวิทยุของกรมประชาสัมพันธ์เป็นครั้งแรกจนเป็นธรรมเนียมปฏิบัติต่อมาถึงทุกวันนี้ในการอภิปรายในสภาครั้งแรกนี้ได้รับความสนใจจากประชาชนอย่างมาก ฝ่ายค้านพยายามขุดคุ้ยหาช่องโจมตีรัฐบาลทุกเรื่อง แต่หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ก็ตอบโต้อย่างไม่ลดละในทุกประเด็น ทั้งยังไม่ยอมปิดประชุมสภาเพื่อปิดปากฝ่ายค้าน แต่ปล่อยให้อภิปรายยาวนานถึง 8 วัน 7 คืน ทำสถิติการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ยาวนานที่สุด ในที่สุดฝ่ายค้านก็ยอมจำนนเป็นฝ่ายขอปิดประชุมเองเพราะหมดเรื่องจะอภิปราย เป็นผลให้นายกรัฐมนตรีหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ได้รับฉายาว่า“นายกฯลิ้นทอง” ตั้งแต่นั้นมา นอกจากนี้ยังมีฉายานายกรัฐมนตรีที่น่าสนใจอีกเช่น ฉายา “ตลกหลวง” เป็นของ นายควง อภัยวงศ์ ที่มักจะใช้อารมณ์ขันแก้ไขสถานการณ์คับขันได้เสมอ เช่น เมื่อคราวแม่ทัพญี่ปุ่นไปขอพบหลังรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้ไทยส่งกองทัพไปช่วยญี่ปุ่นรบที่พม่าและอินเดีย “ตลกหลวง” ก็ยิ้มรับตอบตกลงทันที แต่ขอให้ญี่ปุ่นช่วยหาเครื่องแบบทหารและอาวุธให้ทหารไทยด้วย โดยให้เหตุผลว่าอาวุธทหารไทยมีแต่ล้าสมัย เจอไม้นี้เข้าไปแม่ทัพญี่ปุ่นถึงกับไปไม่เป็นเพราะไม่แน่ใจว่าส่งปืนให้แล้ว ทหารไทยจะหันปากกระบอกปืนไปที่ฝ่ายไหนกันแน่ และแม้นายควงจะใช้อารมณ์ขันพาตัวรอด และพาชาติรอดมาหลายครั้ง แต่ในที่สุดก็โดนจี้ให้ลาออกจากนายกรัฐมนตรี โดยจอมพล ป.ได้กลับมาเป็นนายกฯอีกครั้ง ทำให้เศรษฐกิจก็ดีขึ้นมีไข่เป็ดออกมาวางขายเต็มตลาด นายควงยังไม่วายหยอดอารมณ์ขันว่า “ถ้าผมรู้ว่าผมลาออก เป็ดมันถึงจะไข่ ผมลาออกเสียนานแล้ว” ฉายา “ฤาษีเลี้ยงลิง” เป็นของม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีเฉพาะกิจ เจรจากับฝ่ายสัมพันธมิตรจนไทยพ้นสถานะเป็นประเทศผู้แพ้สงครามแล้ว สภาเลือกตั้งใหม่ ซึ่งความวุ่นวายทางการเมืองหลังจากนั้นทำให้ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เข้าออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีถึง 4 ครั้ง ด้วยความเป็นหัวหน้าพรรคที่เป็นสุภาพบุรุษมาจากข้าราชการประจำ จึงคุมลูกพรรคไม่ค่อยอยู่ เหมือนจับปูใส่กระด้ง บางกลุ่มได้หันมาโจมตีหัวหน้าพรรคตัวเองว่าอ่อนแอ จนทำให้ ม.ร.ว.เสนีย์น้อยใจลาออก จนได้ฉายา “ฤาษีเลี้ยงลิง” ฉายา “พระเตมีย์ใบ้” คือ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ท่านอยู่ในตำแหน่งนาน 8 ปี 4 เดือน 11 วัน ถือเป็นนายกรัฐมนตรีที่อยู่ในตำแหน่งยาวนานที่สุด ในช่วงท้ายๆของการดำรงตำแหน่งท่านไม่ชอบอ่านหนังสือพิมพ์และไม่ให้สัมภาษณ์นักข่าวเพราะมักถูกสื่อมวลชนวิพากษ์อย่างรุนแรงอยู่บ่อยๆ จึงถูกตั้งฉายาให้ว่า “พระเตมีย์ใบ้” ส่วนนายกคนปัจจุบัน คงต้องรอดูต่อไปว่าจะได้ฉายาอะไร

Read More

02/08/2562

ลอห์ริ เฮ้าส์ – ร้านช่างทองที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรป


ที่ใจกลางซูก เมืองเล็กๆของประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ห่างจากเมืองซูริค (Zürich) หรือลูเซิร์น (Lucerne)ราว 20 นาที เป็นที่ตั้งของ Neugasse 27 ร้านทำทองที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรป (Europe`s oldest goldsmith-house) มีครอบครัว ลอห์ริ เป็นเจ้าของ อาคารนี้ เปิดทำการตั้งแต่สมัยศัตวรรตที่ 16 ปัจจุบันเปิดให้เป็นพิพิธภัณฑ์ให้นักท่องเที่ยวเข้าชมของ สะสมหายากและเป็นร้านค้าเครื่องประดับและนาฬิกาแบรนด์หรู คุณภาพระดับโลกของสวิส อาคาร Neugasse 27 มีประวัติศาสตร์เกี่ยวพันกับศิลปะและการทำทองมายาวนานตั้งแต่ปี 1620 ตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมสมัยจักวรรดินโปเลียน มีซุ้มประตูและเสาโรมัน ตั้งตระหง่านระหว่างทางเดินกลางเข้าร้านรวมไปถึงรูปปั้นและมีจิตรกรรมฝาผนังที่สวยงาม ปัจจุบันตัวตึกได้รับการบูรณะใหม่แต่คงสภาพเดิมไว้อย่างสมบูรณ์ ผสมผสานกับการปรับปรุงให้เข้ากับยุคสมัยใหม่อย่างลงตัว ในปี 1971 ทางครอบครัวซึ่งดำเนินกิจการช่างทอง ได้เปิดบ้านเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะจัดแสดงของล้ำค่าและเครื่องประดับหายากที่ส่วนใหญ่มีเพียงชิ้นเดียวในโลก จากหลากหลายยุคสมัยที่เสาะหาจากเมืองต่างๆตั้งแต่ปี 1780 ถึง 1950 รวมไว้ที่ชั้นบนของอาคาร รวมทั้งเครื่องประดับที่ออกแบบและผลิตในร้านโดยเฉพาะสินค้าภายใต้แบรนด์ ”ลอห์ริ (Lohri)” ด้วยครอบครัวลอห์ริได้รับความสนใจจากแบรนด์ชื่อดังระดับโลกให้เป็นตัวแทนแต่เพียงผู้เดียวในการจัดจำหน่ายเครื่องประดับและนาฬิกา เช่น ปาเตะ ฟิลลิป, บลองแปง, เจเกอร์-เลอคูลทร์, แฟรงค์ มูลเลอร์, เพียเจต์ และนาฬิกาชั้นนำอีกอื่นๆมากมาย ยิ่งไปกว่านั้น ชั้นบนสุดยังได้รับการเนรมิตให้เป็นสถานที่จัดงานมงคลสมรสขนาดย่อม พร้อมด้วยบริการออกแบบแหวนแต่งงานคุณภาพเยี่ยมสุดพิเศษสำหรับคู่บ่าวสาว ที่อีกด้วย ในอดีตเมืองซุก (Zug) เคยเป็นเขตปกครองที่มีรายได้เฉลี่ยน้อยที่สุดของสวิตเซอร์แลนด์แต่ทว่าปัจจุบันซูกคือเมืองที่รวยที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์ โดยเรียกเก็บค่าภาษีในอัตราต่ำที่สุดในโลก! ทำให้เป็นข้อได้เปรียบในเชิงการต่อรองราคาทางธุรกิจ และยังติดอันดับเมืองที่สะอาดที่สุดหนึ่งในสิบของโลกอีกด้วย

Read More

02/08/2562

Britannia’s Gold ภารกิจค้นหาทองคำ 4,500 ล้านยูโร


Britannia’s Gold เป็นชื่อเรียกทีมค้นหาทองคำที่สูญหายไปกับเรือบรรทุกสินค้ากว่า 7,500 ลำระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 ซึ่งเป็นความร่วมมือกันของ 3 ประเทศคืออังกฤษ สหรัฐอเมริกา และแคนาดา การค้าหาทองคำมูลค่ากว่า 2000,000 ล้านบาทนี้ดำเนินไปเป็นเวลากว่า 25 ปีแต่ก็ยังไม่สามารถค้นหาทองคำมูลค่ามหาศาลได้เรื่องราวของทองคำที่หายไปนี้ได้รับการเปิดเผยจากเว็บไซต์ TheLadBible ว่าทองคำทั้งหมดนั้นมีธนาคารกลางของอังกฤษ(Bank of England) เป็นผู้ดำเนินการในการขนส่ง ประเมินมูลค่าการขนส่งทองคำระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ประมาณ 1,250 ล้านปอนด์และมีการขนส่งทองคำช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อีก ประมาณ 1,750 ล้านปอนด์ รวมมูลค่าของทองคำที่จมอยู่ใต้ทะเล ณ ปัจจุบัน กว่าประมาณ 3,000 ล้านปอนด์ ซึ่งมูลค่านี้ยังไม่รวมโลหะและอัญมณีมีค่าอื่นๆที่จมไปพร้อมกับทองคำด้วย ซึ่งคาดว่ามูลค่าของสมบัติที่จมอยู่ก้นทะเลนั้นน่าจะอยู่ที่ประมาณ 4,500 ล้านยูโร ทีมค้นหาทำงานอย่างหนัก โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและเอกสารที่มีข้อมูลเกี่ยวข้องกับเรืออีกกว่า 8,000 ฉบับเข้าช่วยในการค้นหาและกู้ซากเรือ แต่จะทำเฉพาะเรือพาณิชย์เท่านั้น และไม่มีการกู้เรือรบและเรือบรรทุกผู้อพยพจากสงครามใดๆทั้งสิ้นมีรายงานว่าในระหว่างที่ทำการค้นหานั้น เจ้าหน้าที่คนหนึ่งในทีมสำรวจได้พบซองเอกสารที่มีข้อความเขียนด้วยลายมือเอาไว้ว่า“ประกาศการส่งออกและนำเข้าทองโดย Bank of England” เป็นจดหมายการติดต่อสื่อสารกันระหว่างที่ปรึกษาทางด้านเศรษฐกิจ และรัฐมนตรีการคลัง ถือเป็นหนึ่งในเบาะแสสำคัญที่บอกว่า มีการขนส่งทองคำมากมายจริงๆทองคำบางส่วนถูกนาซีก็ยึดไปขณะที่บางลำจมลงก้นทะเลในตำแหน่งต่างๆกันไปและยังไม่ได้หาไม่พบอีกจำนวนมาก ดังนั้นการหาตามเบาะแสของเรือเหล่านี้จึงเป็นอีกหนึ่งหนทางที่จะทำให้ทีมสำรวจค้นพบทองคำที่จมอยู่ใต้ทะเลนั้น ทองถูกกู้ขึ้นมาแล้วตามกฎหมายจะต้องตกเป็นของรัฐบาลอังกฤษ แต่ทีมค้นหาBritannia’s Gold ก็จะได้รับส่วนแบ่งเป็นค่าธรรมเนียมด้วยเช่นกัน

Read More

02/08/2562

Gold Castella (โกลด์คาสเทลลา) ของฝากจากสนามบินฮาเนดะ


Gold Castella (โกลด์คาสเทลลา) ขนมหวานน่าตาน่ารับประทาน คือ 1 ใน 5 ของฝากที่ต้องซื้อกลับมาฝากคนทางบ้านเมื่อเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่น แต่โกลด์คาสเทลลานี้ไม่สามารถหาซื้อได้ทั่วไป เพราะมีขายเพียงแห่งเดียวเท่านั้นที่ร้านค้าปลอดภาษีในอาคารผู้โดยสารนานาชาติ สนามบินฮาเนดะ ขนมโกลด์คาสเทลลา ทำจากไข่แดงคุณภาพดีและปิดทับด้วยแผ่นทองคำเปลวดูหรูหราสวยงาม บนกล่องมีภาพเครื่องบินบนฟ้าครามและหมู่เมฆสีขาว คาดทับด้วยเชือกสีทอง เป็นแพคเกจจิงที่แสดงถึงความเป็นญี่ปุ่นมาก และเมื่อเปิดกล่องออกมาก็เจอขนมที่ส่องประกายสีทองสวย มองจากด้านบนตัดตัวขนมเป็นลายเครื่องบิน สวยจนอาจไม่กล้ารับประทานในกล่องมีคำอธิบายเขียนวิธีแกะให้ด้วย เนื้อขนมนุ่มมีกลิ่นหอมของน้ำผึ้ง เหมาะสำหรับรับประทานทานคู่กับชาญี่ปุ่น สนนราคา ราคารวมภาษีแล้วอยู่ที่ชิ้นละ 1,350 เยน นอกจากขนมโกลด์คาสเทลลา ยังมีขนมอีกหลายอย่างที่น่าซื้อก่อนขึ้นเครื่องกลับบ้าน อย่างเช่นขนมยอดฮิตอย่าง TOKYO BANANA รสพิเศษ และขนมอื่นๆที่ทางแบรนด์ร่วมทำกับสนามบินฮาเนดะเท่านั้น โตเกียวบานาน่า (TOKYO BANANA) ของฝากยอดฮิตติดชาร์ตจากโตเกียวหาซื้อได้ทั่วไป แต่รสน้ำผึ้งมีวางขายเฉพาะที่สนามบินฮาเนดะเท่านั้น สังเกตภาพหน้ากล่องจะมีรูปเครื่องบินพร้อมข้อความ HANEDA AIRPORT LIMITED ยืนยันความลิมิเต็ดจริงๆ แป้งสปันจ์เค้กนุ่มๆ ของโตเกียวบานาน่า มาพร้อมแถบคาดหน้าตาน่ารัก สอดไส้คัสตาร์ดรสกล้วยผสมน้ำผึ้ง ได้กลิ่นหอมน้ำผึ้งอ่อนๆ มีทั้งแบบ กล่อง 4 ชิ้น กล่อง 8 ชิ้น และกล่อง 12 ชิ้น Haneda LA GANACHE "petit" จาก Shiseido Parlour เมื่อพูดถึงชิเซโด (Shiseido) คนส่วนใหญ่คงนึกถึงเครื่องสำอาง แต่ขนมหวานของชิเซโดพาลัวร์ (Shiseido Parlour) ร้านอาหารฝรั่งและคาเฟ่ก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน ของฝากที่ชิเซโดพาลัวร์นำมาวางขายเฉพาะที่สนามบินฮาเนดะคือ Haneda LA GANACHE "petit" (ฮาเนดะ ลา กานาช "เปอที") ตัวขนมเป็นช็อกโลแล็ตครันช์ชิ้นกำลังดีเหมือนลิปสติกแท่งเล็กมาในกล่องลายตารางสีแดงสลับดำพร้อมดอกกุหลาบให้ความรู้สึกเรียบหรู เป็นของฝากที่ดูแพง ด้านนอกเป็นครันช์กรุบกรอบ ด้านในเป็นช็อกโกแลตกานาช มี 2 รส คือคาเฟ่โอเลและช็อกโกแลตสตรอว์เบอรี่ มีแบบกล่อง 16 ชิ้น และ 32 ชิ้น Fuwamochi Dorayaki Hanegumo โดรายากิลายก้อนเมฆ โดยทั่วไปโดรายากิจะเป็นแป้งรูปวงกลม 2 แผ่นประกบไส้ถั่วแดงไว้ตรงกลาง แต่โดรายากิของที่นี่มีแผ่นเดียว ม้วนครึ่งห่อไส้มีลายเมฆอยู่ด้านนอกด้วย โดรายากิ ฮาเนกุโมะ เป็น ความร่วมมือระหว่างบริษัท Japan Airport Terminal ผู้ดำเนินกิจการสนามบินฮาเนดะกับร้าน คาโน โชจุอัน ร้านขนมญี่ปุ่นเก่าแก่ของจังหวัดชิกะ สร้างสรรค์ออกมาเป็นขนมที่แตกต่างออกไป แป้งด้านนอกนุ่มหนึบต่างจากโดรายากิทั่วไป ไส้อังโกะใช้ถั่วแดงจากฮอกไกโด ปรุงรสแบบไม่หวานเกินไป เหมาะสำหรับรับประทานคู่กับกาแฟหรือชา มีทั้งขนาดกล่อง 5 ชิ้น และ 10 ชิ้น MAPLE LANGUE DE CHAT คุ้กกี้ไส้ช็อกโกแล็ตพร้อมท็อปปิ้ง 3 รส ผลิตขึ้นโดยความร่วมมือจากบริษัท Japan Airport Terminal และคุณยามาโมโตะ ฮิเดมาซะ หัวหน้าพ่อครัวในงานเลี้ยงอาหารค่ำพิธีเข้ารับตำแหน่งของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ทั้งช็อกโกแล็ตมัทฉะ ไวท์ช็อกโกแล็ต และช็อกโกแล็ตโยเกิร์ต มีพริกญี่ปุ่นซันโซเป็นท็อปปิ้งบนช็อกโกแล็ตมัทฉะที่ให้รสชาติละเมียดละไมแบบญี่ปุ่น แท้

Read More

02/08/2562

กรุสมบัติ ที่อินเดีย


เมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2011 ที่วัดศรีปัถมนาภาสวามี ซึ่งอยู่ในเมืองธิรูวนันธาปุรัม รัฐเคราลา ทางตอนใต้ของประเทศอินเดีย ได้ค้นพบกรุสมบัติที่เต็มไปด้วยทองคำ เพชร และอัญมณีจำนวนมาก ซ่อนอยู่ในห้องใต้ดิน ประเมินมูลค่าของสมบัติทั้งหมดนี้น่าจะไม่ต่ำกว่า 500,000 ล้านรูปี หรือประมาณ 365,000 ล้านบาท นับเป็นการค้นพบกรุสมบัติที่มีมูลค่ามหาศาลมากที่สุดครั้งหนึ่ง จากการประเมินเบื้องต้นคาดว่า กรุสมบัตินี้น่าจะถูกซุกซ่อนมานานกว่า 140 ปี และยังไม่สามารถบอกได้ว่า สมบัติเหล่านี้เป็นกรรมสิทธิ์ของใคร แต่สันนิษฐานได้ว่าอาจเป็นของชาวอังกฤษที่นำมาซ่อนไว้ เพราะหนึ่งในของมีค่าเหล่านั้นคือเหรียญกษาปณ์ของบริษัท "อินเดียตะวันออก" หรือ "East India Company" ของอังกฤษที่เคยผูกขาดการค้าในดินแดนแถบนี้ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านโบราณคดีคาดว่า มีความเป็นไปได้ที่ทรัพย์สมบัติที่ถูกค้นพบในครั้งนี้อาจเป็นของบรรดาทายาทของมหาราชา พระองค์หนึ่งที่เคยมีอำนาจในดินแดนนี้การค้นพบครั้งนี้มีขึ้นหลังจากที่ศาลสูงของรัฐเคราลา ได้ออกคำสั่งแต่งตั้งคณะสำรวจจำนวน 7 คน ให้ทำการสำรวจและขุดค้นภายในวัดศรีปัถมนาภาสวามี ตามคำร้องของทนายความคนหนึ่งที่ยื่นเรื่องขอให้รัฐบาลท้องถิ่นเข้ามาดูแลและฟื้นฟูวัดแห่งนี้ ทีมสำรวจพบห้องลับใต้ดินภายในวัดฮินดูแห่งนี้ถึง 6 ห้อง มี 3 ห้องที่ยังไม่เคยถูกเปิดออกเลยนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1872 ทำให้เชื่อว่าอาจมีทรัพย์สมบัติล้ำค่าเช่นนี้ซุกซ่อนอยู่อีกเป็นจำนวนมาก. ผู้อำนวยการสำนักงานสำรวจทางโบราณคดีแห่งอินเดีย Dr. Gautam Sengupta กล่าวว่า “ทุกครั้งที่เหล่านักสำรวจได้ทำการเปิดกรุที่พบ ไม่มีกรุไหนเลยที่ไม่มีสมบัติล้ำค่า ทุกกรุล้วนเต็มไปด้วยโบราณวัตถุมากมายมหาศาล ทุกคนต่างตกตะลึงกับการค้นพบในครั้งนี้มาก”อย่างไรก็ตาม หลังทราบข่าวการค้นพบก็มีผู้คนจำนวนมากเดินทางมาที่วัดแห่งนี้ ทำให้ทางการต้องจัดเวรยามคุ้มกันอย่างแน่นหนา โดยมีการส่งตำรวจและหน่วยคอมมานโดมาเฝ้าตลอด 24 ชั่วโมง และทำการติดตั้งกล้องวงจรปิดทุกจุด สัญญาณกันขโมย และติดตั้งเครื่องตรวจจับโลหะที่ประตูทางเข้า-ออกของวัด เพื่อรักษาความปลอดภัยแบบรัดกุมในทุกขั้นตอน

Read More

02/08/2562

ชักโครกทองคำ ของศิลปินจอมป่วน


“America” เป็นชื่องานศิลปะ ชักโครกทองคำของศิลปินชาวอิตาลี เมาริซิโอ คัตเตลาน (Maurizio Cattelan) ที่จัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะ กุกเกนไฮม์ (Solomon R. Guggenheim) ในมหานครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนกันยายนปี 2016 งานศิลปะชักโครกทองคำเป็นสัญลักษณ์สื่อถึงความเท่าเทียมของคน เพราะถึงแม้ทองคำจะแสดงถึงความหรูหราตามวิถีชีวิตของมหาเศรษฐี แต่ขณะเดียวกันหน้าที่ของมันก็คือเพื่อช่วยปลดทุกข์ให้คน ไม่ว่าจะเป็นคนยากดีมีจนเพียงใดก็ตามชักโครกทองคำนี้ทำจากทองคำ 18 กะรัต สามารถใช้งานได้จริง โดยทำเลียนแบบชักโครกในห้องน้ำสาธารณะที่ชั้น 5 ของพิพิธภัณฑ์กุกเกนไฮม์ และนำมาติดตั้งให้คนใช้งานจริงๆ แทนที่ส้วมเดิม โดยเปิดให้แขกผู้เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ทุกคนทั้งหญิงและชายเข้าไปใช้งานได้ทั้งถ่ายเบาและถ่ายหนัก ซึ่งครั้งแรกที่เปิดตัวนั้นมีผู้เข้าชมพิพิธภัณฑ์กว่าแสนคนเข้าคิวรอใช้ห้องน้ำที่ติดตั้งชักโครกทองคำนี้ โดยทางพิพิธภัณฑ์ได้จัดพนักงานรักษาความปลอดภัยไว้หน้าห้องน้ำ ตลอดเวลา และมีพนักงานทำความสะอาดทุกๆ 15 นาที เพื่อให้ชักโครกทองคำคงความเหลืองอร่ามตลอดเวลา ทั้งนี้คัตเตลานเจ้าของผลงาน ไม่ได้เปิดเผยว่าใช้ทองคำไปเท่าไหร่เพื่อสร้างผลงานศิลปะชิ้นนี้ แต่คาดว่าน่าจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐ เมาริซิโอ คัตเตลาน เกิดในปีค.ศ. 1960 ที่เมืองปาดัว ประเทศอิตาลี ได้ฉายาว่าเป็น “จอมป่วนแห่งโลกศิลปะ” ด้วยผลงานศิลปะขวางโลกมากมายที่เขาสร้างขึ้น เช่น ผลงาน Errotin, le vrai Lapin (Errotin, the real Rabbit) ในปี1995 ที่เขาให้ เอ็มมานูเอล ลาแปง (Emmanuel Lapin) เจ้าของแกลเลอรี่จอมฉาวสวมชุดกระต่ายยักษ์สีชมพูที่มีรูปร่างคล้ายองคชาติเดินโชว์ตัวในวันเปิดแกลเลอรี่ของเขา หรือผลงานศิลปะชื่อ Untitled (Picasso)ในปี1998 ที่คัตเตลานสวมหัวมาสคอตรูปศิลปินชื่อดังระดับตำนานอย่างปาโบล ปิกัสโซ่ เดินทักทายประชาชีชาวอเมริกันหน้าพิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยในนิวยอร์ก นอกจากนั้นเขายังทำประติมากรรมที่ทำจากซากศพสัตว์นานาชนิดมาสตัฟฟ์ และจัดวางท่าทางในลักษณะและสถานการณ์ต่างๆ กันไปเช่นเป็น ผลงาน Bidibidobidiboo ในปี1996) ประติมากรรมจัดวางขนาดเล็ก ที่เป็นกระรอกสตัฟฟ์นั่งทรุดกายลงบนโต๊ะเก้าอี้ขนาดจิ๋ว ปลายเท้ามีปืนพกตกอยู่บนพื้น จนดูเหมือนกับว่ามันเพิ่งฆ่าตัวตาย หรือผลงาน Novecento ในปี1997 ประติมากรรมจัดวางที่ทำจากร่างสตัฟฟ์ของม้าแข่ง แขวนด้วยอานและบังเหียนห้อยลงมาจากเพดาน เป็นต้นในช่วงปี 1999 เขาเริ่มทำประติมากรรมหุ่นขี้ผึ้งเหมือนจริงแบบไฮเปอร์เรียลลิสม์ หนึ่งในผลงานที่เป็นที่รู้จักอย่างอื้อฉาวที่สุดของเขาคือ La Nona Ora (The Ninth Hour) ประติมากรรมจัดวางหุ่นขี้ผึ้งเหมือนจริงรูปสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 ที่ถูกอุกกาบาตตกทะลุหลังคากระจกลงมาทับใส่ร่าง หรือผลงาน Himในปี 2001 ประติมากรรมหุ่นขี้ผึ้งเหมือนจริงรูปอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำเผด็จการนาซีที่ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวกว่าล้านชีวิต ที่กำลังคุกเข่า สองมือประสานกันนิ่งงัน สายตาทอดมองไปยังเบื้องสูงราวกับกำลังสวดภาวนาอ้อนวอนขอไถ่บาปต่อพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งผลงานทั้งสองชิ้นนี้สร้างความสะเทือนจิตใจและชวนช๊อคอย่างที่สุด

Read More

02/08/2562

หงส์ทองคำ กรุวัดราชบูรณะ


หงส์ทองคำจากกรุปรางค์ประธานวัดราชบูรณะ เป็นงานประณีตศิลป์ขนาดเล็กมีความสูงราว 8 เซนติเมตร สร้างขึ้นตามคติความเชื่อของพรหมณ์ ฮินดู ซึ่งหงส์เป็นสัตว์ชั้นสูง และเป็นพาหนะของพระพรหม งแต่ลำคอจนถึงปากมีลักษณะกลวง สามารถถอด แยกจากลำตัวได้ และภายในท้องหงส์ก็กลวงเช่นกัน ส่วนขาหงส์ของหงส์พับแนบกับท้องรองรับด้วยแท่นสี่เหลี่ยมแบน ลักษณะเหมือนเคยตั้งประกอบอยู่กับฐานอีกชั้นหนึ่งที่สูญหายไป สันนิฐานจากลักษณะการสร้างแล้วคาดว่า หงส์ทองคำจากกรุวัดราชบูรณะนี้อาจสร้างขึ้นเพื่อบรรจุกำยาน จุดถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระบรมสารีริกธาตุที่บรรจุในกรุปรางค์ประธานของวัดราชบูรณะ โดยอาจได้แรงบันดาลใจด้านการออกแบบจากเป็ดกำยานของจีนที่นิยมทำกันมานานนับพันปีตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น หงส์ทองคำนี้เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องทองราชูปโภคจากกรุวัดราชบูรณะที่มีน้ำหนักราว ๑๐๐ กิโลกรัมที่ถูกลักลอบขุดออกไป ซึ่งตามกลับคืนมาได้ราว ๒๐ เปอร์เซ็นต์ ปัจจุบันจัดแสดงไว้ที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ร่วมกับเครื่องทองชิ้นอื่นๆที่กรมศิลปากรขุดได้ภายหลังจากบันทึกคำให้การของแก๊งขุดทราบว่า ภายในกรุชั้นล่างนั้น มีโต๊ะสำริด ๓ ตัวตั้งอยู่ทิศตะวันออก ทิศใต้ และทิศเหนือ ตรงกลางของกรุ ทำเป็นรูปสี่เหลี่ยมกว้างราว ๑ วาเศษ บนแท่นศิลากลางกรุ มีถาดทองคำ ๓ ใบ บนถาดมีกระโถนทองคำ ๔ ใบ มีไข่มุกอยู่เต็มกระโถน และพบแหวนประมาณ ๒,๐๐๐ วง บนแท่นยังพบพระแสงทองคำปักไว้ข้างขอบ บนโต๊ะมีเสื้อทองคำ ๘ ตัว มหามงกุฎกว้าง ๑ ศอก สูง ๒ ศอกเศษ มีจอกทองคำประดับด้วยทับทิม และมงกุฎราชินี ๓ อัน ตลับทอง ๑๒ ใบส่วนบนโต๊ะด้านทิศตะวันออก มีมหามงกุฎราชินี ๕ อัน วางไว้บนโต๊ะ เสื้อทองคำของพระมหากษัตริย์ เรือหงส์ทองคำ ๑ ลำ คนพายเรือทองคำ พระพุทธรูป ๒๐ องค์ กระบวยทองคำ ๘ อัน พร้อมม่านทองคำขึงท้องพระโรงก้อนใหญ่ โต๊ะทางทิศใต้ มีพระพุทธรูป ๒๕ องค์ ตลับพระแก้วมรกต ๔ องค์ พระพุทธทำด้วยทอง นาก เงิน มีผ้าพับ ไว้อย่างดี แต่เมื่อถูกผ้าก็เป็นผุยผง นอกจากนี้มีพระราชรถคันหนึ่งมีม้าเทียมคู่หนึ่งทำด้วยทองคำ มีขวด ๖ ลูก ทำด้วยสีขาว มีแหวนอยู่เต็มขวด และเศษทองอีก ๑๐ กระสอบวัดราชบูรณะ สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าสามพระยา กษัตริย์พระองค์ที่ ๗ ของกรุงศรีอยุธยา เมื่อ ๖๐ กว่าปีมาได้มีขโมยกลุ่มหนึ่งลัลอบขุดลงไปใต้ฐานพระปรางค์ของวัดและพบสมบัติล้ำค่าจำนวนมากเก็บไว้ห้องลับใต้ฐานพระปรางค์ มีเครื่องราชูปโภคที่ทำด้วยทองคำ น้ำหนักราว ๑๐๐ กิโลกรัม และพระพุทธรูปทองคำกับพระเครื่องจำนวนมาก

Read More

02/08/2562

ชิ้นส่วนกะโหลกพระพุทธเจ้าในหีบทองคำ ที่หนานจิง


วารสาร Chines Cultural Relics รายงานการค้นพบชิ้นส่วนกะโหลกและมีข้อความจารึกไว้ว่าเป็นของพระพุทธเจ้า บรรจุอยู่ในหีบทองคำ ที่หนานจิง นับป็นการค้นพบที่สำคัญชิ้นหนึ่งของนักโบราณคดี แต่ก็ยังไม่มีการยืนยันอย่างชัดเจนว่าเป็นชิ้นส่วนกะโหลกของพระพุทธเจ้าจริงหรือไม่ทีมนักโบราณคดีพบห้องใต้ดินใต้ซากเจดีย์ที่วัดเปาอันใหญ่ในเมืองหนานจิงหีบ ภายในมีหีบศิลาขนาดใหญ่ที่จารึกข้อความว่าพระเจ้าอโศกกษัตริย์จากอินเดียได้ส่งชิ้นส่วนกะโหลก และอัฐิธาตุอื่นๆอีก 18 ชิ้นของพระพุทธเจ้ามายังประเทศจีน เมื่อกว่า 2,200 ปีก่อน และเมื่อเปิดหีบศิลาออกมา พบว่าภายในมีกล่องเหล็กบรรจุเจดีย์จำลองทำจากไม้จันทน์ เงิน และทองคำประดับด้วยอัญมณีและมีการสลักรายชื่อผู้บริจาค ภายในเจดีย์จำลองมีหีบที่ทำจากเงินสลักลวดลายเทพผู้พิทักษ์ และนางอัปสรา ภายในหีบเงินยังพบหีบทองคำขนาดย่อมลงมา บรรจุชิ้นส่วนกะโหลก และอัฐิธาตุอื่นๆ ซึ่งถูกระบุว่าเป็นของ “พระพุทธเจ้า”จารึกบนหีบศิลาระบุว่า มันถูกสร้างขึ้นในรัชสมัยของจักรพรรดิเจินจง ( ค.ศ. 997-1022)แห่งราชวงศ์ซ่ง และแม้จะมีการระบุว่าชิ้นส่วนกะโหลกที่ถูกพบเป็นของพระพุทธเจ้า แต่นักโบราณคดีที่ทำการสำรวจและเผยแพร่การค้นพบในวารสาร Chines Cultural Relics ก็มิได้แสดงความเห็นถึงโอกาสความเป็นไปได้ว่า ชิ้นส่วนดังกล่าวจะเป็นของ “พระพุทธเจ้า” จริง มีมากน้อยเพียงใดเนื้อหาตามจารึกบรรยายว่าหลังจาก “พระพุทธเจ้าปรินิพพาน ร่างของพระองค์ถูกฌาปนกิจใกล้กับแม่น้ำหิรัญวดี ประเทศอินเดีย ก่อนที่พระเจ้าอโศก (268-232 ก่อนคริสตกาล) จะนำอัฐิของพระพุทธองค์มาเก็บรักษาและตัดสินใจ “แบ่งออกเป็น 84,000 ส่วน” โดย “ดินแดนจีนได้รับมาทั้งสิ้น 19 ส่วน…รวมถึงชิ้นส่วนกะโหลกข้างขม่อมด้วย”ในจารึกยังบอกด้วยว่า ชิ้นส่วนกะโหลกชิ้นนี้ถูกเก็บไว้ในวัดที่ถูกทำลายไปเมื่อ 1,400 ปีก่อน จากนั้นจักรพรรดิเจินจง ได้มีพระบัญชาให้สร้างวัดขึ้นมาใหม่เพื่อเก็บรักษาชิ้นส่วนสำคัญดังกล่าวพร้อมอัฐิชิ้นอื่นๆ โดยฝังไว้ในห้องใต้ดินของวัด รายงานของ Live Science ระบุว่า นักโบราณคดีจากสถาบันโบราณคดีแห่งเมืองหนานจิงได้เริ่มทำการสำรวจห้องใต้ดินแห่งนี้เมื่อช่วงปี 2007-2010 ซึ่งไม่ได้รับความสนใจจากสื่อตะวันตกมากนัก แต่ในประเทศจีนมีการรายงานเรื่องนี้อย่างแพร่หลายปัจจุบันอัฐิดังกล่าวถูกเก็บรักษาไว้ที่วัดชีเสีย ในมณฑลหนานจิง และเคยนำไปจัดแสดงที่ฮ่องกงและมาเก๊ามาแล้ว และมีรายงานว่า ผู้จัดงานสามารถขายบัตรเข้าชมได้มากถึง 140,000 ใบ เมื่อคราวนำไปจัดแสดงที่มาเก๊า เมื่อปี 2012ทั้งนี้ รายละเอียดของการค้นพบดังกล่าวถูกเผยแพร่เป็นภาษาจีนในปี 2015 ในวารสาร Wenwu ก่อนแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่อีกครั้งในวารสาร Chinese Cultural Relics

Read More

02/08/2562

แหวนทองคำ ที่ปราสาทบ้านถนนหัก


การขุดค้นที่ปราสาทบ้านถนนหัก ตำบลบ้านใหม่ อำเภอหนองบุญมาก จังหวัดนครราชสีมา ทำให้พบจากโบราณวัตถุที่สำคัญหลายชิ้น เช่น เครื่องประดับทอง ชิ้นส่วนทับหลัง และแผ่นหินสลัก ประติมากรรมทำด้วยหินทรายและสำริด และเครื่องเคลือบสำน้ำตาลเข้ม - ดำ แบบเขมร และที่พบล่าสุดคือ “แหวนทองคำ” เมื่อปีพ.ศ.2560 กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ กรมศิลปากร เผยแพร่ภาพแหวนทองคำ ที่มีหัวแหวนเป็นผลึกควอตซ์สีฟ้าโปร่งแสง สภาพสมบูรณ์ สวยงามที่ขุดค้นได้ที่ที่ปราสาทบ้านถนนหัก ที่มีอายุในราวพุทธศตวรรษที่ 16 ซึ่งปัจจุบันอยู่ในความรับผิดชอบของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพิมาย และยัไม่มีรายละเอียดมากนักว่าแหวนทองคำวงนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร และขุดค้นพบได้อย่างไรสำหรับปราสาทบ้านถนนหัก ตั้งอยู่ห่างจากตัวจังหวัดนครราชสีมาประมาณ 60 กิโลเมตร ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน เมื่อปี พ.ศ. 2479 เป็นปราสาทแบบเขมร สร้างด้วยศิลาแลง หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ประกอบด้วย ปราสาทองค์กลางใหญ่ที่สุดเป็นองค์ประธาน ล้อมด้วยปราสาทขนาดเล็กตั้งอยู่ด้านละองค์ โดยมีกำแพงแก้วโอบล้อมตัวอาคารทั้งหมดไว้ ที่กำแพงแก้วด้านทิศตะวันออกมีซุ้มทางเข้า หรือโคปุระ ตั้งอยู่ตรงกับประตูทางออกของอีกด้าน ปราสาทแห่งนี้ล้อมด้วยคูน้ำแต่เว้นทางเดินไว้ ให้ตรงกับประตูเข้า - ออก จากโบราณวัตถุที่พบ ทำให้สันนิฐานได้ว่าปราสาทบ้านถนนหัก น่าจะใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาฮินดู หรือพราหมณ์ ลัทธิมหานิกาย สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 16 ปัจจุบันอยู่ในความรับผิดชอบของพิพิธภัณฑสถานแห่งชชาติพิมาย อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา พื้นที่บ้านถนนหักเป็นแหล่งโบราณสถานสมัยศตวรรษที่ 16 มีคูถนนเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าล้อมรอบ และมีเนินสูงอยู่ตรงกลางเรียกว่าโนนยายชี คูถนนกว้างประมาณ 500 เมตร ยาว ประมาณ 2,000เมตร เมื่อเกิดน้ำหลากได้พัดถนนขาดหลายแห่งชาวบ้านเรียกว่าถนนหัก ปัจจุบันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของอำเภอหนองบุญมาก จ.นครราชสีมา การเดินทางมาที่ปราสาทบ้านถนนหัก ใช้ถนนสาย 24 สี่แยกโชคชัย-เดชอุดม มาถึง อ.หนองบุญมาก เลี้ยวซ้ายไปตามถนน 22201 บ้านไทยเจริญ-โบราณ ระยะทาง ราว กม.ก็ถึงปราสาทหินบ้านถนนหัก

Read More

15/07/2562

การผลิตเครื่องประดับทองของมาเลเซีย


การผลิตเครื่องประดับทองของมาเลเซีย แต่เดิมเป็นการนําเอาวัตถุดิบทองคําจากเหมืองในประเทศมาใช้ผลิตสินค้า โดยแหล่งแร่ทองคําในประเทศมีอยู่ประมาณ 14 แห่ง กระจายอยู่ในบริเวณที่เรียกว่า Golden Belt อันได้แก่ รัฐปะหัง กลันตัน ตรังกานู ซาบาห์ และยะโฮร์ ซึ่งอุตสาหกรรมเหมืองแร่ทองคําได้ก่อให้เกิดการจ้างงานแก่คนในท้องถิ่นกว่า 900 คน ลักษณะการทําเหมืองทองคำในมาเลเซียส่วนใหญ่เป็นการให้บริษัทต่างชาติเข้ามาร่วมลงทุนและใช้เทคโนโลยีที่ไม่ซับซ้อน แต่ทั้งนี้ ภาคการผลิตทองคําในมาเลเซียยังคงมีข้อจํากัดตรงที่ไม่มีโรงงานสกัดทองคําภายในประเทศ เมื่อหลอมแร่ทองคําได้แล้วจะต้องส่งไปสกัดให้บริสุทธิ์ในโรงงานต่างประเทศ ดังนั้น กิจการเหมืองแร่ที่มีเจ้าของเป็นชาวมาเลเซียจึงมักสร้างพันธมิตรกับผู้ประกอบการต่างชาติที่เป็นเจ้าของโรงสกัดทองคําเพื่อให้เกิดความสะดวกในการทําธุรกิจยิ่งขึ้น จากนั้นจึงนําเข้าทองคําที่สกัดแล้วป้อนเข้าสู่โรงงานในประเทศเพื่อนําไปหลอมและขึ้นรูปชิ้นงานเครื่องประดับอีกครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตามปัจจุบันวัตถุดิบทองคําที่ผลิตจากแหล่งในประเทศไม่เพียงพอต่อความต้องการของอุตสาหกรรมการผลิต เนื่องจากผลผลิตของเหมืองลดลง ประกอบกับผู้ผลิตต้องการวัตถุดิบเพิ่มขึ้นเพื่อผลิตสินค้าส่งออกไปยังต่างประเทศ ดังนั้นจึงต้องพึ่งพาการนําเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศเป็นส่วนมาก โดยมาเลเซียต้องนําเข้าทองคําไม่ต่ำกว่าปีละ 75 ตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 1.1 หมื่นล้านริงกิต (ประมาณ 2.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ) โดยนําเข้าจากสวิตเซอร์แลนด์ สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ตุรกี ฮ่องกง และสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ โดยปกติในแต่ละปีทองคําประมาณ 40-50 ตัน จะถูกป้อนเข้าสู่อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องประดับทอง ซึ่งมีโรงงานกว่า 200 แห่ง ตั้งอยู่ในรัฐปีนังส่วนใหญ่เป็นโรงงานขนาดเล็กที่ใช้แรงงานฝีมือควบคู่กับเครื่องจักร สินค้าที่ผลิตได้ส่วนมากเป็นเครื่องประดับทองล้วนที่ไม่ตกแต่งอัญมณี และมีการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมนี้อยู่ราว 8,000 คน โดยผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ส่งออกเครื่องประดับทองไปยังตลาดต่างประเทศ อาทิ Poh Kong Holding Bhd, Tomei Group และ Habib Jewels Sdn Bhd. เป็นต้นในปี2016 มาเลเซียได้ลดปริมาณการผลิตเครื่องประดับทองลงประมาณร้อยละ 21 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยใช้ปริมาณโลหะทองคําในการผลิตเครื่องประดับทองลดลงเหลือเพียง 34.4 ตัน ซึ่งสาเหตุหลักมาจากความต้องการบริโภคเครื่องประดับทองภายในประเทศที่ลดลง อันเป็นผลจากการประกาศใช้ภาษีสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภคชาวมาเลเซียลดการใช้จ่าายในสินค้าฟุ่มเฟือยลง

Read More

15/07/2562

เทคนิคการเลือกเครื่องประดับสีทอง


“เครื่องประดับ” เป็นของคู่กันกับผู้หญิงมาช้านาน เพื่อบ่งบอกสถานะทางสังคมและเสริมแต่งร่างกายให้สวยงามแต่ในทางกลับการหากเลือกเครื่องประดับผิดชิ้นมาใส่ผิดโอกาส ก็อาจทำให้ดูผิดกาลเทศะ ไม่เหมาะกับชุด โดยเฉพาะการเลือกใส่"เครื่องประดับสีทอง" ก็ต้องมีเทคนิค เคล็ดลับที่ใส่แล้วดูเหมาะสมและสวยงามการเลือกใส่ 'เครื่องประดับสีทอง' มีเทคนิคง่ายๆ 3 ข้อคือ1. เลือกให้เหมาะกับตัวเอง คือ ถ้าเป็นสาวหวาน สาวห้าว สาวมินิมอล ให้ใช้เครื่องประดับสีทองที่ไม่ต้องมากชิ้น อาจเป็นสร้อยคอสักเส้น กำไลสักอัน แหวนสักวง หรือ จี้ ต่างหู สร้อยข้อมือ เข็มขัด กิ๊บที่ติดผ้าฮิญาบ ชื้นเล็กๆ ก็สามารถทำให้ดูดีขึ้นได้ 2. ดีไซน์ที่หลากหลาย เลือกที่เข้ากับไลฟ์สไตล์เราให้มากที่สุด อย่างเช่นถ้าคุณแต่งตัวแบบสบายๆ ก็ใส่แบบไหนก็ได้ แต่ถ้าแต่งตัวมีสไตล์ ก็เลือกเครื่องประดับสีทองแบบเก๋ๆ เพราะดีไซน์ก็บ่งบอกความเป็นตัวคุณ!3. เลือกตามสีผิว เพราะสีผิว คือ ตัวแปรสำคัญ คนผิวขาว ใส่อะไรก็ได้ แต่คนที่ผิวสีแทน ผิวสีเข้ม ควรเลือกเครื่องประดับสีทองที่มีเพชรมาช่วยดรอปความเข้มของทองเพื่อไม่ให้โดดจนเกินไป นอกจากการใส่เครื่องประดับให้ถูกกับกาลเทศะแล้ว ยังต้องเลือกให้เหมาะสมกับเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ทั้งเรื่องสีของเสื้อผ้า เนื้อผ้า หรือสีผิว ผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องแต่งกายให้คำแนะนำไว้ดังนี้ 1. การMatch เครื่องประดับเรียบๆ เข้ากับเสื้อลายปริ้นต์ หรือเสื้อผ้าที่มีลวดลาย ทั้งลายดอกหรือลายกราฟฟิกต่างๆ ถ้าไม่ควรใส่สร้อยคออันโตหรือต่างหูห้อยระย้า เพราะจะทำให้ทุกอย่างดูเยอะจนเกินไป การใส่เครื่องประดับที่น้อยชิ้นและไม่ดูเยอะจนเกินไปจะช่วยขับให้ชุดที่มีลวดลายดูโดดเด่นขึ้น หรืออาจใส่กำไลข้อมือเพชรหรือต่างหูเพชรแบบหมุดมาใส่คู่กันกับเสื้อก็เพียงพอแล้ว 2. ใส่ต่างหูชิ้นใหญ่(statement earrings) ช่วยขับใบหน้าให้ผู้สวมใส่โดดเด่นเข้น โดยเลือกรูปแบบที่เหมาะกับรูปหน้าของตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องเสริมแต่งเครื่องประดับอื่นใดเข้าไปเพิ่มเติมอีก3. เลือกเครื่องประดับตามสีผิว เพราะเครื่องประดับที่มีสีเหมาะสมจะช่วยขับผิวของผู้สวมใส่ให้โดดเด่นยิ่งขึ้น เช่น เครื่องประดับสีเงิน เข้ากันได้กับทุกสีผิว ส่วนโลหะสีทอง จะเข้ากันได้ดีกับคนที่มีผมสีเข้มและผิวไม่มันมาก ส่วนใครที่มีผิวสีอ่อน ก็ให้เลือกใส่อัญมณีที่มีสีแดง สีม่วง และสีน้ำเงิน รวมถึงทองคำขาว แต่ถ้าหากมีสีผิวค่อนข้างเข้มให้เลือกอัญมณีในโทนสีเหลือง สีส้ม หรือสีเขียว และเลือกใส่โลหะที่มีสีเหลืองทอง 4. เครื่องประดับมุกเข้ากันได้กับเสื้อผ้าโทนสีน้ำทะเล ใส่แล้วให้ความรู้สึก สวยอย่างเป็นธรรมชาติและดูสบายตา 5. Perfect Match การจับคู่ที่สมบูรณ์แบบที่สุดคือ สีทอง สีดำ และสีขาว โดยสามารถใช้เครื่องประดับเรือนทอง แมทช์เข้ากับชุดเดรสสีดำหรือสีขาวให้มีลุคเรียบหรูและดูคลาสสิคนอกจากนี้ยังมีเรื่องเข้าใจผิดๆเกี่ยวกับการใส่เครื่องประดับ เช่น ห้ามใส่เครื่องประดับที่ทำจากโลหะหรืออัญมณีต่างชนิดกัน เพราะเครื่องประดับที่ทำจากโลหะหลายๆชนิดสามารถ Mix & Match เข้ากันได้ ไม่ว่าจะเป็น ทอง เงิน โรสโกลด์ หรือทองแดงเป็นต้น ทั้งนี้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับสมดุลและความใส่ใจเพื่อให้การแต่งกายและการใส่เครื่องประดับออกมาสวยงามที่สุด

Read More

15/07/2562

ว่านไทยตระกูล “ทอง”


คนไทยนิยมปลูกว่านเพื่อเสริมสิริมงคลในบ้านมาแต่โบราณ โดยเฉพาะว่านในตระกูลทองที่เชื่อว่าเมื่อปลูกแล้วจะทำให้เงินทองไหลมา และนี่คือว่าน 4 ชนิด ที่นิยมปลูกเพื่อเรียกเงินเรียกทอง ว่านเศรษฐีก้านทอง เป็นไม้ล้มลุก ใบยาวปลายแหลมและขอบใบทั้ง ๒ ข้าง พลิ้วเป็นคลื่น มีเส้นกลางเป็นสีน้ำตาลเหลืองอ่อน ออกดอกเป็นช่อสีขาวนวล ควรใช้หัวปลูกลงในดินร่วนปนทรายผสมแกลบเผา ให้ตั้งไว้ในที่แดดรำไรและรดน้ำพอชุ่มเพราะชอบความชื้น สรรพคุณคือใช้เป็นเมตตามหานิยมเรียกเงินทองให้กับผู้ปลูกจึงเหมาะกับร้านค้าหรือคนทำธุรกิจว่านกุมารทอง รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่ง คือว่านแสงอาทิตย์ เป็นพืชล้มลุกออกดอกเป็นพุ่มทรงกลมปีละครั้ง ในสมัยโบราณเป็นว่านที่ได้รับความนิยมมาก เพราะเด่นในด้านเมตตามหานิยม เรียกลูกค้า เรียกโชคลาภเข้าร้าน ร้านค้าใดปลูกเลี้ยงไว้ กิจการงานจักเจริญรุ่งเรือง นิยมปลูกคู่กับว่านนางคุ้ม ว่ากันว่าว่านชนิดนี้มีเทวดาเจ้าที่คุ้มครอง ดังนั้นผู้ปลูกเลี้ยงจึงนิยมนำไปปลูกไว้ใกล้ๆกับศาลพระภูมิ หากปลูกเลี้ยงและปฏิบัติอย่างถูกวิธี อธิษฐานขอสิ่งใดจะสมดังหมายทุกประการ และหากผู้ใดปลูกเลี้ยงว่านได้เจริญงอกงามเมื่อใดว่านออกดอกจะได้ลาภก้อนใหญ่ หากจะใช้ในด้านคงกระพันชาตรี โบราณว่าให้เคี่ยวดอกว่านกับน้ำมะพร้าว ทาตามเนื้อตัวจะคงกระพันยิ่งนัก ว่านกุมารทองนั้นถ้าจะให้ดีต้องปลูกในวันเกิดของผู้เลี้ยง และก่อนรดน้ำทุกครั้งต้องเสกน้ำด้วยคาถา นะโมพุทธายะ 3 จบว่านกวักโพธิ์เงิน-โพธิ์ทอง ว่านทั้ง ๒ ชนิดนี้ต่างกันตรงที่ลายบนหน้าใบ ถ้าเป็นกวักโพธิ์เงินจะมีลายสีขาวและกวักโพธิ์ทองมีสีแดงอมชมพู ลักษณะใบกว้างคล้ายใบโพธิ์เพราะอยู่ในตระกูลเดียวกับบอน เป็นที่นิยมมากในหมู่ผู้ปลูกเลี้ยงว่าน เพราะมีอานุภาพสูงในด้านเสน่ห์เมตตามหานิยม กวักทรัพย์ รับโชคเข้าบ้าน นิยมปลูกคู่กันเพราะจะได้กวักทั้งเงินและทองเข้าบ้าน ว่านชนิดนี้ถ้าปลูกและปฏิบัติอย่างถูกวิธีจะเรียกทรัพย์ เรียกโชค เรียกลูกค้าได้ดี ถ้าว่านออกดอกให้หาผ้าแพรสีขาวผูกรับขวัญ จะสมหวังได้ลาภก้อนโต เชื่อว่าถ้าผู้ใดปลูกเลี้ยงว่านครบ 1 ปี ว่านไม่ตาย จะได้โชคลาภก้อนใหญ่ 1 ครั้ง นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ทางยา หัวว่านนำมาพอกบาดแผลจะช่วยให้แผลแห้งและสมานตัวเร็ว การปลูกว่านกวักโพธิ์เงิน-โพธิ์ทอง ต้องปลูกเฉพาะวันจันทร์เพียงวันเดียวเท่านั้นโดยเฉพาะวันจันทร์ข้างขึ้นจะเป็นมงคลยิ่ง ห้ามปลูกวันอื่นเด็ดขาด ก่อนรดน้ำทุกครั้งควรเสกน้ำรด ด้วยคาถา นะโมพุทธายะ 3 จบ ทุกครั้ง ว่านกวักแม่ทองใบ ถือเป็นว่านมงคลที่มีอานุภาพให้ผู้ปลูกได้รับโชคลาภอยู่เสมอ คนสมัยโบราณนิยมปลูกไว้หน้าบ้าน และร้านค้า ถ้าเจ้าของได้ปลูกและทำการบูชาอยู่เสมอจะมีลูกค้าเข้าออกร้านไม่ขาดสาย เป็นพืชหัวมีหัวคล้ายหอมหัวใหญ่ มีใบคล้ายใบพายปลายแหลม ดอกมีสีขาวคล้ายดอกสิบแสน เมื่อออกดอกให้หาผ้าแพรหลากสีและสวดบูชารับขวัญ ด้วย มหาลาโภโหตุภะวันตุเม 3 จบ แล้วอธิษฐานขอ จะสมดังใจ การขยายพันธ์ ใช้วิธีการแยกหน่อแยกหัวเอาไปปลูก แนะนำให้ปลูกในเดือน 6 ข้างขึ้น วันพระหรือวันพฤหัสบดี

Read More

15/07/2562

“กระบี่ทอง” ว่านไทย สรรพคุณเยี่ยม


ว่าน เป็นชื่อเรียกของพืชที่มีหัว และหรือไม่มีหัวมีอยู่มากมายหลากหลายสายพันธุ์ มีทั้งที่เป็นพืชล้มลุก เป็นไม้เลื้อย และไม้พุ่ม นิยมปลูกเพื่อนำไปทำยา เป็นสมุนไพรรักษาโรค รวมถึงใช้เป็นเครื่องรางของขลัง คนโบราณมีความเชื่อว่าว่านบางชนิดทำให้อยู่ยงคงกระพันและเป็นสิริมงคลต่อผู้ที่ปลูกเช่น ว่านกระบี่ทอง ว่านกระบี่ทอง เป็นไม้ล้มลุก มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ว่านนางวันทองห้ามทัพประเภทเดียวกันกับขิง มีลำต้นเป็นเหง้าใต้ดิน สามารถแตกแขนงออกได้จากทั้งสองข้างของเหง้าเป็นแขนงขนาดใหญ่และยาว ลักษณะของเหง้าเป็นรูปไข่ มีเปลือกสีน้ำตาลเป็นมัน เป็นข้อถี่ๆ เนื้อภายในเหง้ามีสีเหลืองไปจนถึงสีส้มเข้ม ส่วนของลำต้นที่โผล่ขึ้นเหนือดินมีความสูงประมาณ 1 เมตรขึ้นไป ใบมีลักษณะเป็นรูปรีแกมรูปขอบขนาน ออกเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับกัน มีเส้นกลางใบเป็นแถบสีแดงอมน้ำตาล มีดอกสีเหลือง ออกมาจากส่วนปลายของลำต้นเทียมที่เกิดจากเหง้า ด้านบนของใบประดับมีสีชมพูอมม่วง ส่วนด้านล่างเป็นสีเขียวอมม่วง การขยายพันธุ์ว่านกระบี่ทอง ทำได้ด้วยการแยกเหง้าหรือหน่อไปปลูก สามารถขึ้นได้ในดินทุกชนิดโดยเฉพาะดินร่วนปนทราย โดยกลบดินให้หัวว่านโผล่มาเล็กน้อย หลังจากปลูกเสร็จแล้วรดน้ำพอชุ่ม หากปลูกเป็นแปลงจะเจริญงอกงามดีกว่าปลูกในกระถาง แต่หากไม่มีเนื้อที่เพียงพอ สามารถเลี้ยงในกระถางได้เช่นกัน ว่านกระบี่ทอง ชอบอากาศร้อนและความชื้นสูง นิยมปลูกตามบ้านเรือน ว่านกระบี่ทอง นิยมใช้เป็นพืชสมุนไพรมาตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน มีสรรพคุณทางยาช่วยในการแก้อาการร้อนใน แผลในปาก แก้เจ็บคอ หวัดลงคอ แก้ลิ้นแตก ปากเปื่อย แก้โรคคอตีบ แผลบริเวณลำคอ แผลในจมูก วิธีใช้หัวสดโขลกให้ละเอียดผสมเหล้าขาวหรือน้ำปูนใส แล้วกรองเอาน้ำดื่มแก้ปวดท้อง ฝนหัวสดกับน้ำปูนใสข้น ๆ ใช้ทาฝีในปาก จมูก ช่วยถอนพิษอักเสบ ทำให้ฝียุบ บุบหัวสดพอแตก จุ่มเหล้าขาวให้ซึมเล็กน้อยแล้วอมไว้ในปาก จะทำให้ชุ่มคอ แก้ไอ เจ็บคอ หลอดลมอักเสบ และต่อมทอนซิลอักเสบได้ดี หรือนำหัวว่านไปต้มรมที่จมูก ก็สามารถที่จะแก้ริดสีดวงจมูกได้เช่นกัน ส่วนอนุภาพด้านคงกระพันชาตรีของว่านกระบี่ทองนั้น นิยมนำไปแก้อาถรรพณ์หรือถอนอาคม ส่วนน้ำว่านใช้ในการแช่อาวุธก่อนที่จะออกศึกสงคราม เชื่อกันว่าจะสามารถทำลายล้างความอยู่ยงคงกระพันของศัตรูได้ มีเคล็ดลับเพื่อความเข้มขลังว่าเวลารดน้ำให้เสกน้ำสะอาดรดต้นว่านทุกวัน โดยสวดคาถา “นะโมพุทธายะ” 3 จบ และค่อย ๆรดลงไปที่ว่านกระบี่ทองจะช่วยเพิ่มความขลังและความศักดิ์สิทธิ์ได้อีกด้วย

Read More

15/07/2562

ทองพลุ


ทองพลุ เป็นชื่อที่เราคุ้นเคยในฐานะขนมไทยโบราณตระกูล “ทอง” แต่ทองพลุที่เป็นต้นไม้ให้ดอกสีสันเหลืองส้มสดใส หลายคนอาจยังไม่รู้จัก หรือเคยพบเห็นมาบ้างแต่ไม่รู้ว่าชื่อ “ทองพลุ” คิดไปว่าเป็นต้นหางนกยูงที่ปลูกกันแบบเกลื่อนกลาดในบ้านเราเพราะมีลักษณะคล้ายกัน เพียงแต่ทองพลุมีทรงพุ่มตรงๆขึ้นไป ไม่แบะออกในแนวนอนเหมือนกับหางนกยูง ทองพลุ มีชื่อสามัญว่า Colville’s Glory, Colvillea หรือ Whip Tree เป็นไม้ดอกยืนต้นมีถิ่นกำเนิดมาจากเกาะมาดากัสการ์ มีทรงต้นที่สวยงาม ใบสวย ดอกช่อยาวสีส้มแดง สวยสดใส เหมาะสำหรับการจัดสวนเป็นอย่างมาก ทองพลุ เมื่อโตเต็มที่จะสูงกว่า 15 เมตร เลี้ยงง่าย ยอดจะแทงขึ้นไปตรงๆเพื่อแตกใบใหม่ ท้องใบมีสีม่วงเข้ม หลังใบสีเขียวปนม่วง จะให้ดอกเมื่ออายุได้ประมาณ 4 ปีขึ้นไป ในช่วงหน้าแล้งจะทิ้งใบจนหมดต้น ชอบบริเวณที่รับแดดตลอดวัน ไม่ชอบที่น้ำขัง ปัจจุบัน ต้นทองพลุมีขายทั่วไปตามร้านต้นไม้ราคาหลักร้อย ตั้งแต่ร้อยต้นๆถึงร้อยปลายๆ แล้วแต่ขนาดของต้น ส่วนใครสนใจที่จะเพาะเมล็ดเองก็สามารถทำได้ แต่ต้องมีเทคนิคพอสมควร คือ ก่อนเพาะเมล็ดให้ใช้มุมกรรไกรตัดเล็บตัดเปลือกเมล็ดทองพลุนิดหน่อยแต่ระวังอย่าให้ลึกเกินไปเพื่อให้น้ำซึมเข้าไปในเมล็ดได้ง่ายขึ้นเนื่องจากเปลือกค่อนข้างแข็งน้ำเข้าไปได้ยาก จากนั้นแช่น้ำไว้หนึ่งคืน ขึ้นตอนต่อไปนำเมล็ดที่แช่น้ำออกมาฝนกับตะไบหรือกระดาษทรายหยาบจนเปลือกสึกหรือบางลง เป็นการกระตุ้นเมล็ดให้งอกไวขึ้น หรือจะใช้วิธีแช่ในน้ำร้อนสัก 30 วินาทีก็ได้ประมาณแล้วแช่น้ำต่ออีกหนึ่งคืน จากนั้นนำไปลงดินปลูก โดยฝังไม่ต้องลึกมากเพียง 1-1.50 นิ้วก็พอ จากนั้นก็รอเวลาให้ต้นออกงอกออกมาจากเมล็ดซึ่งใช้เวลานานพอสมควร อาจนานเกือบเดือนซึ่งต้นอ่อนมีลักษณะคล้ายต้นกระถิ่น การเพาะเมล็ดนี้อาจดูช้าไม่ทันใจเหมือนซื้อต้นที่โตแล้วจากร้านค้า แต่สิ่งที่ได้มาคือความสุขทางใจที่เห็นเมดล็ดพันธุ์ที่เราเพาะกับมือค่อยๆเจริญเติบโตขึ้นทีละน้อยส่วน“ทองพลุ” ที่เป็นขนมนั้น เป็นขนมมงคลของไทย มีความหมายถึง “ความเจริญ มีชื่อเสียงโด่งดังเหมือนพลุ” ขนมชนิดนี้จริง ๆ มีต้นตำรับมาจากฝรั่งเศส ดัดแปลงมาจากขนมเอแคลร์ ต่างกันตรงที่ขนมเอแคลร์ใช้อบและมีไส้ ส่วนขนมทองพลุจะใช้วิธีทอด ดังนั้นถ้าใครทำขนมเอแคลร์ได้ ก็ทำขนมทองพลุได้เช่นกันขนมทองพลุถูกจัดเป็นขนมชาววัง เพราะสมัยก่อนคนที่จะได้กินขนมที่ใส่นมหรือเนยนั้น ก็มีแต่ชาววัง ข้าราชการชั้นสูงหรือระดับเจ้าสัวเท่านั้น ส่วนคนไทยแท้ดั้งเดิมที่เป็นไทยแท้ๆ พื้นบ้านที่ไม่ใช่ลูกแขกจะไม่ค่อยนิยมกินขนมชนิดนี้ด้วยเหตุผลที่ว่า นมหรือเนยมีกลิ่นเหม็นคาว ปัจจุบันขนมทองพลุถูกดัดแปลงให้มีทั้งไส้หวานและเค็มและหารับประทานได้ง่ายขึ้น

Read More

15/07/2562

คร่ำทอง


การตกแต่งลวดลายบนพื้นโลหะเพื่อให้ของใช้ธรรมดากลายเป็นงานหัตถศิลป์ทรงคุณค่า นอกจากงาน ถมเงิน ถมทอง แล้วก็มี งาน “คร่ำ”ที่ถือเป็นงานหัตถศิลป์ชั้นสูงที่หาชมได้ยากเพราะอาจจะอยู่ห่างไกลจากชีวิตประจำวันของคนทั้งไปเพราะข้าวของเครื่องใช้ที่มีการคร่ำทอง โดยมากเป็นของใช้ส่วนพระองค์ หรือใช้เฉพาะในราชสำนักจนทำให้หลายคนไม่รู้จัดโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ แต่โชคดีที่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงโปรดเกล้าฯให้สืบทอดงานช่างแขนงนี้ไว้ที่โครงการศิลปาชีพ สวนจิตรลดาทำให้งานคร่ำยังไม่สูญหายไป งานคร่ำ หรือที่ฝรั่งเรียกว่า Inlay หมายถึง การใช้ทองคำ หรือเงิน หรือนาก ฝังเป็นลวดลายลงไปบนโลหะประเภทเหล็ก ถ้าใช้ทองคำฝังลงไปเรียกว่า การคร่ำทอง ถ้าฝังด้วยเส้นเงินเรียกว่า การคร่ำเงิน ถ้าฝักด้วยนากเรียก คร่ำนาก เป็นต้นโดยช่างหัตถศิลป์จะใช้เครื่องมือสกัดพื้นโลหะให้เป็นลวดลายแล้วนำเงิน หรือทองคำ หรือนากที่รีดเป็นเส้นลวด หรือแถบบางๆ ฝังลงไปในร่อง จากนั้นจะใช้สิ่วหน้าเล็กตอกย้ำฝังเส้นลวดทอง หรือลวดเงิน ลงไปในเนื้อเหล็กแล้วขัด ศัพท์ทางช่างเรียกว่า กวดผิวให้เรียบก็จะเกิดลวดลายจากสีของโลหะที่ต่างกัน ตามลวดลายที่สลักและฝังโลหะไว้เกิดเป็นงานศิลปที่วิจิตรงดงามตามต้องการเครื่องใช้ที่จะตกแต่งด้วยวิธีคร่ำ ส่วนใหญ่เป็นของที่ทามาจากเหล็ก เช่น ตะบันหมาก กรรไกรหนีบหมาก หัวไม้เท้า กรรไกรตัดผม ไปจนถึงเครื่องราชูปโภค เครื่องเหล็กซึ่งนิยมตกแต่งลวดลายด้วย การคร่ำเงิน คร่ำทอง หรือคร่ำนาก มักเป็นเครื่องราชศัสตราวุธ เช่น พระแสงดาบ พระแสงหอก พระแสงง้าว ขอพระคชาธาร พระแสงปืน ตลอดจนเครื่องใช้ในการมงคลต่างๆ คร่ำ เป็นงานหัตถศิลป์ที่ทำกันมาแต่โบราณ สันนิษฐานว่า มีต้นกำเนิดมาจากเปอร์เซียโดยช่างทองกรุงดามัสกัส ประเทศซีเรีย เป็นผู้ริเริ่มทำขึ้นก่อน ซึ่งยังคงเป็นวิธีการของช่างโลหะในแถบตะวันออกกลางที่สืบต่อมาถึงปัจจุบัน ส่วนการทำเครื่องคร่ำของไทย บางกระแสสันนิษฐานว่า ได้รับการสืบทอดวิชามาจากชาวอาหรับ ซึ่งเดินเรือจากตะวันออกกลาง เข้ามาติดต่อค้าขายกับไทย สมัยกรุงศรีอยุธยา บางกระแสก็ว่า การทำคร่ำถือกำเนิดที่ประเทศแถบเปอร์เซีย แล้วค่อยแพร่หลายไปสู่ประเทศจีน เขมร ลาว และภาคใต้ของไทย เช่น เมืองปัตตานี แต่ก็ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าเริ่มทำมาตั้งแต่สมัยใด กระทั่งถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ขุนสารพัดช่าง ข้าราชการกรมวังนอก ได้ร่ำเรียนศิลปะนี้มาจากครูช่างชาวเขมรที่เข้ามาสอนในไทย ต่อมา นายสมาน ไชยสุกุมาร บุตรชายของขุนสารพัดช่าง ได้สืบทอดศิลปะนี้ แต่ก็ยังไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลายของคนทั่วไปนัก ปัจจุบันงานคร่ำ มิได้มีอยู่แต่เฉพาะในศาสตราวุธเท่านั้น แต่ยังได้รับการประยุกต์ดัดแปลงทำเป็นสิ่งของสวยงามต่างๆตามสมัยนิยมเช่น เครื่องประดับ จำพวกแหวน กำไลข้อมือ ต่างหู ทับทรวง สายสะพาย ล็อกเกต หรือเครื่องดนตรี อย่างเช่น ด้ามซอ เป็นต้น

Read More

15/07/2562

“ตรีศูล”ทองคำลงยา ของขวัญที่รัชกาลที่ 5 ถวายแด่พระจักรพรรดิแห่งออสเตรีย


ไม่นานมานี้สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปยังพิพิธภัณฑ์ Weltmuseum Wien กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย เพื่อทอดพระเนต “ตรีศูล” ทองคำลงยาสี ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ส่งไปเป็นของทูลพระขวัญตอบแทนที่พระจักรพรรดิฟรันซ์ โจเซฟ แห่งออสเตรีย ส่งของทูลพระขวัญมาถวาย นับเป็นครั้งแรกที่คนไทยส่วนใหญ่ได้เห็นตรีศูลทองคำลงยาพร้อมพระแสงกระบี่ ของขวัญล้ำค่าที่แสดงถึงสัมพันธไมตรีอันดีระหว่างราชวงศ์ไทยและยุโรป “ตรีศูล”ที่รัชกาลที่ 5 ส่งมาเป็นของทูลพระขวัญนี้มีลักษณะเป็นหลาวสามง่าม เรียกสั้นๆว่า“ตรี” ด้ามเป็นทองคำลงยาตรงง่ามเป็นตราแผ่นดินในสมัยรัชกาลที่ 5 มีมกรคายง่ามออกซ้าย ขวา ใบมีดเป็นงานคร่ำทอง (มกร หรือ เบญจลักษณ์ เป็นสัตว์ตามความเชื่อของพม่า ล้านนา สยาม และเขมร เรียกอีกอย่างว่า ตัวสำรอก เนื่องจากในงานศิลปะ มกรมักจะคายหรือสำรอกเอาวัตถุใด ๆ ออกมาทุกครั้ง เช่น มกรคายนาค (พญานาค)เป็นต้น) "ตรีศูล" นี้จึงเป็นสำหรับสมบัติล้ำค่าที่บอกเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์อันดีของประเทศไทย กับนานาประเทศที่เข้ามาติดต่อค้าขายสานความสัมพันธ์ ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา และด้วยสายพระเนตรอันกว้างไกลของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีสัมพันธไมตรีต่อชาวต่างชาติทำให้ประเทศไทยเราเป็นมิตรกับประเทศต่างๆมากมายมาจนถึงปัจจุบันทั้งนี้ความสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์สยามและออสเตรียเริ่มต้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1865 ในสมัยรัชกาลที่ 4 และกษัตริย์ ฟรานซ์ โจเซฟ ที่ 1 แต่ความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการเริ่มขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อมีการแต่งตั้งตัวแทนทางการทูตสยามประจำออสเตรียคนแรกเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1883 ต่อมาในวันที่ 17-26 มิ.ย. ค.ศ.1897 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จประพาสยุโรป และเยือนออสเตรียอย่างเป็นทางการตามคำเชิญของกษัตริย์ ฟรานซ์ โจเซฟ ที่ 1จักรพรรดิฟรันทซ์ โยเซ็ฟที่ 1 แห่งออสเตรีย ทรงเป็นจักรพรรดิแห่งออสเตรีย และ กษัตริย์แห่งฮังการี และทรงเป็นจักรพรรดิและพระราชาธิบดีพระองค์แรกในจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีตั้งแต่ปี ค.ศ.1967 พระองค์ทรงเป็นองค์พระประมุขที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดเป็นอันดับที่สามในยุโรป รองจากเจ้าชายโจฮันน์ที่ 2 แห่งลิกเตนสไตน์และพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ซึ่งทั้งสองพระองค์นี้ทรงครองราชย์เป็นเวลา 70 กว่าปีเท่ากันอนึ่ง ตรีศูล เป็นตราสัญลักษณ์ของ “ราชวงศ์จักรี” ซึ่งรัชกาลที่ ๑ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นคู่กับดวงจักร ทำด้วยเหล็กผสม จักรมีเส้นผ่าศูนย์กลาง ๑๗.๕ เซนติเมตร คร่ำทองเป็นลายจักร ที่คมของจักรเลี่ยมทองคำโดยรอบและถอดขอบที่เลี่ยมออกได้ ตรีศูลวัดจากปลายด้ามถึงยอดพระแสงองค์กลาง ๕๑ เซนติเมตร ด้ามหุ้มทองคำ สลักลายตลอด ปลายด้ามฝังทับทิม ที่คอพระแสงองค์กลางหล่อรูปพระนารายณ์ทรงครุฑคร่ำลายทองติดตรึงกับพระแสงองค์กลางทั้งสองด้าน เสร็จแล้วได้โปรดเกล้าฯ ให้นำเข้ามณฑลพิธีในการประกอบพระราชพิธีปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ของพระองค์ตรีศูล (Trishula) ในภาษาสันสกฤตมีความหมายว่าหอกสามเล่ม จัดเป็นอาวุธที่อยู่ในประเภทหอกสามง่าม เป็นอาวุธที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นมาตั้งแต่สมัยโบราณ ในยุคแรก ๆ ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการจับปลา ต่อมาถูกพัฒนาเป็นอาวุธที่ใช้ในการทำศึกสงคราม ตามคติความเชื่อในศาสนาฮินดู ตรีศูลเป็นศาสตราวุธประจำกายของพระศิวะ มหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ของฮินดู อีกทั้งตรี อีกด้วย

Read More

15/07/2562

ทองดำ มะม่วงไทยโบราณ หาทานยาก


“มะม่วงทองดำ” เป็นมะม่วงไทยโบราณเคยเป็นที่นิยมรับประทานทานกันมากในสมัยก่อน เนื่องจากสามารถทานได้ทั้งสุกและดิบ ผลเรียวไม่ยาวมาก ผิวสีเข้ม อ้วนใหญ่ เมล็ดลีบ เนื้อเยอะ ผลดิบ เนื้อเปรี้ยวอมหวาน ผลสุกเป็นสีเหลือง เนื้อข้างในเป็นสีส้ม รสไม่หวานจัด และมีกลิ่นเฉพาะตัวแบบมะม่วงไทยเกือบทุกชนิด แต่ปัจจุบันมะม่วงทองดำหาทานได้ยากขึ้นทุกที เนื่องจากมีผู้ปลูกน้อยลง เด็กรุ่นใหม่น้อยคนที่จะรู้จัก มะม่วงทองดำ อยู่ในวงศ์ ANACARDIACEAE ต้นสูง 10-15 เมตร ใบออกเรียงสลับถี่บริเวณปลายยอด เป็นรูปรี ปลายแหลม โคนมน ใบสีเขียวสด ใบดกและหนาแน่นให้ร่มเงาได้ เมื่อออกดอกจะออกเป็นช่อที่ปลายยอด สีเหลืองนวล มีกลิ่นหอม ผลรูปกลมรี ผลอ้วนใหญ่ ติดผลเป็นพวง 1-3 ผล ลักษณะผลจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเห็นแล้วจะรู้ได้ทันทีว่าเป็นผล มะม่วงทองดำ เมล็ดลีบ เนื้อเยอะชื่อมะม่วงทองดำ ถูกตั้งตามลักษณะของสีผลและเนื้อในที่สุก เพราะเมื่อผลสุกผิวที่ผลจะเป็นสีเขียวปนเหลืองเล็กน้อยทำให้ดูคล้ำๆหรือดำๆ จึงเรียกว่าทองดำ มีด้วยกัน 2 ชนิดคือ พันธุ์ที่เมื่อสุกจะเป็นสีเหลืองเข้มกับพันธุ์ที่มีสีส้ม รสชาติหวานหอมอร่อย ผลดิบ มีรสชาติมันอมเปรี้ยว ให้ผลผลิตปีละครั้งตามฤดูกาล ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและการตอนกิ่งการปลูกมะม่วงทองดำไม่ว่าจะปลูกด้วยกิ่งตอน กิ่งทาบ หรือปลูกต้นที่ได้จากการเพาะเมล็ด ต้องทำด้วยความระมัดระวัง อย่าให้รากขาดมาก เพราะจะทำให้ต้นชะงักการเติบโตหรือตายได้ กิ่งพันธุ์ที่ปลูกไว้ในภาชนะนานๆ ดินจะจับตัวกันแข็งและรากก็พันกันไปมา เวลานำออกจากภาชนะให้แยกดินก้นภาชนะให้กระจายออกจากกันบ้าง ส่วนรากที่ม้วนไปมาให้พยายามคลี่ออกเท่าที่จะทำได้ เพื่อจะได้เจริญเติบโตต่อไปอย่างรวดเร็ว ส่วนพื้นที่ปลูกสามารถทำได้ทั้งการขุดหลุมปลูกบนร่องและปลูกในที่ดอน แต่ควรปลูกให้เป็นแถว เพื่อความสะดวกในการดูแลรักษา โดยขุดหลุมปลูกให้มีขนาดกว้าง ยาวและลึก 50-100 เซนติเมตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดิน ถ้าดินดี ร่วนซุย มีอินทรีย์วัตถุมาก ก็ขุดหลุมขนาดเล็กได้ ส่วนดินที่ไม่ค่อยดี ให้ขุดหลุมขนาดใหญ่ เพื่อจะได้ปรับปรุงดินในหลุมปลูกให้ดีขึ้น ดินที่ขุดขึ้นมาจากหลุมนั้นให้แยกเป็นสองกอง คือ ดินชั้นบนแยกไว้กองหนึ่ง ดินชั้นล่างอีกกองหนึ่ง ตากดินที่ขุดขึ้นมาสัก 15-20 วัน แล้วผสม ดินทั้งสองกองด้วยปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ก้นหลุมก็ใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมักรองพื้นไว้ด้วย แล้วจึงกลบดินลงไปในหลุมตามเดิม โดยเอาดินชั้นบนลงไว้ก้นหลุม และดินชั้นล่างกลบทับลงไปทีหลัง ดินที่กลบลงไปจะสูงกว่าปากหลุม ควรปล่อยทิ้งไว้ให้ดินยุบตัวดีเสียก่อน หรือรดน้ำให้ดินยุบตัวดีเสียก่อนจึงลงมือปลูกมะม่วงทองดำ เป็นหนึ่งนมะม่วงไทยโบราณหลายร้อยสายพันธุ์ที่แทบสูญหายไปจากตลาดผลไม้และการรับรู้ของผู้คนไม่ว่าจะเป็นมะม่วงมันศาลายา มันขุนศรี อกร่องพิกุลทอง แก้วลืมรัง สามฤดู มันเดือนเก้า เป็นต้น เพราะเกษตรกรส่วนใหญ่เลือกปลูกมะม่วงที่ได้รับความนิยมเชิงการค้าที่ให้ผลตอบแทนด้านราคามากกว่า เช่น มะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง น้ำดอกไม้เบอร์สี่ มหาชนกเป็นต้น ทำให้เด็กใหม่ๆไม่รู้จักว่า ต้นมะม่วงโบราณเหล่านั้น หน้าตา รสชาติเป็นอย่างไร เราจึงควรร่วมกันอนุรักษ์สายพันธุ์มะม่วงโบราณเหล่านี้ไว้ ด้วยการปลูกไว้ในบ้านหรือปลูกแซมตามสวนก็น่าจะเป็นสิ่งที่ทำได้ เพื่อไม่ให้พวกมันสูญหายไปกับการเวลา

Read More

15/07/2562

กฎหมายฟอกเงิน (ปปง) ที่ร้านทองควรรู้


ปัจจุบันผู้ประกอบการร้านค้าทองคำ ที่เป็นนิติบุคคล มีความจำเป็นต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) ซึ่งมีสาระสำคัญที่ต้องปฏิบัติตามทั้งในส่วนของลูกค้าและในส่วนของร้านทองได้แก่ 1. ธุรกรรมที่ต้องรายงาน - ธุรกรรมเงินสด เมื่อลูกค้าซื้อ-ขายทองคำ ด้วยเงินสดที่มีมูลค่าตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป ร้านทองต้องรายงานธุรกรรมนั้น ต่อ ปปง.ในแต่ละเดือน - ธุรกรรมที่มีเหตุอันควรสงสัย เมื่อลูกค้าซื้อ-ขายทองคำ ด้วยเงินสด เช็ค เงินโอน หรืออื่นๆ ซึ่งมีพฤติกรรมหรือลักษณะ อันน่าสงสัยว่าจะเป็นการฟอกเงิน (โดยไม่มีการกำหนดวงเงินขั้นต่ำ) ให้ร้านทองส่งรายงานธุรกรรมที่มีเหตุอันควรสงสัย ภายใน 7 วัน นับตั้งแต่วันที่มีการตรวจสอบและพบความน่าสงสัย 2. การจัดให้ลูกค้าแสดงตน เมื่อมีลูกค้า ซื้อ-ขายทองคำ กับร้านทองเป็นครั้งคราว ซึ่งไม่ได้มีการทำสัญญา หรือข้อตกลง หรือลักษณะซื้อขายอย่างต่อเนื่องจากลูกค้า มูลค่าตั้งแต่ 1 แสนบาท ขึ้นไปหรือมีร่องรอยความต่อเนื่องรวมกันมีมูลค่าตั้งแต่ 1 แสนบาท ขึ้นไป ต้องจัดให้ลูกค้าแสดงตน โดยอย่างน้อยต้องแสดงข้อมูลและหลักฐาน ดังต่อไปนี้ -ลูกค้าบุคคลธรรมดาแสดง ชื่อ-นามสกุล วัน เดือน ปี เกิด เลขที่บัตรประจำตัว ที่อยู่ อาชีพ สถานที่ทำงาน ข้อมูลติดต่อ และลายมือชื่อผู้ทำธุรกรรม ส่วน -ลูกค้านิติบุคคลต้องแสดงชื่อ-นิติบุคคล เลขผู้เสียภาษี หลักฐานสำคัญแสดงตน เช่น หนังสือรับรองฯ สถานที่ตั้ง, เบอร์โทร ชื่อผู้มีอำนาจลงนามแทนนิติฯ ข้อมูลของผู้มีอำนาจลงนามที่รับมอบหมายทำธุรกรรม ประเภทกิจการ ตราประทับ(ถ้ามี) และลายมือชื่อผู้มีอำนาจหรือผู้รับมอบอำนาจลงนาม ไม่หลักฐานนี้ต้องรายงานต่อ ปปง. แต่ต้องเก็บข้อมูลไว้ในกรณีบังเอิญธุรกรรมนั้น เป็นการฟอกเงินของลูกค้า ซึ่งจะช่วยให้ร้านทองแสดงความบริสุทธิ์ หากไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง3. การตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า กำหนดขึ้นเพื่อประเมินและบริหารความเสี่ยงก่อนอนุมัติรับลูกค้าและติดตามความเคลื่อนไหวทาง การเงินจากการทำธุรกรรมของลูกค้า ว่ามีพฤติการณ์ผิดปกติ หรือมีเหตุอันควรสงสัยหรือไม่ เพื่อไม่ให้ ผู้ประกอบการถูกใช้เป็นช่องทางในการฟอกเงิน และสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายโดย- ตรวจสอบว่าลูกค้าได้ให้ข้อมูลถูกต้อง ครบถ้วนหรือไม่ เช่น ชื่อ–นามสกุล เลขประจำตัว ที่อยู่ เป็นต้น - ตรวจสอบ รายชื่อบุคคลที่ถูกกำหนดห้ามทำธุรกรรม ตามประกาศของสำนักงาน ปปง .หรือ บุคคลที่สำนักงาน ปปง. แจ้งว่าเป็นรายชื่อที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้ที่มีสถานภาพ ทางการเมือง โดยผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการฟอกเงิน ประกอบด้วย นักการเมือง นักการเมืองส่วนท้องถิ่น (องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อบต., อบจ.) และราชการในส่วนกลาง - พิจารณาปัจจัยที่มีความเสี่ยง เช่น สถานภาพทางการเมือง อาชีพที่มีความเสี่ยง พื้นที่ และประเทศที่มี ความเสี่ยง วัตถุประสงค์ในการทำธุรกรรม และพฤติกรรมของลูกค้า เป็นต้น กรณีพบว่าลูกค้าให้ข้อมูลไม่ถูกต้อง หรือจงใจปกปิดข้อมูล ให้พิจารณาว่าลูกค้ามีความเสี่ยง โดยตรวจสอบ และยุติความสัมพันธ์การทำธุรกรรมกับลูกค้าโดยห้ามเปิดเผย หรือกระทำการใดให้ลูกค้าทราบ เกี่ยวกับการ ตรวจสอบข้อเท็จจริงลูกค้า 4. ผู้ประกอบการร้านทอง ต้องจัดทำเอกสารนโยบายป้องกันการฟอกเงินเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ประจำร้าน โดย ประธานกรรมการ หรือ ผู้มีอำนาจสูงสุดของบริษัท ต้องลงนามในเอกสาร และประกาศเป็นนโยบายให้ เจ้าหน้าที่ และทุกคนในร้านรับทราบ และปฏิบัติตามนโยบายดังกล่าว 5. ผู้ประกอบการร้านทอง ต้องจัดให้มีการฝึกอบรมเกี่ยวกับกฎหมาย ปปง. อย่างน้อย 10 ชั่วโมง พร้อมทั้งวัดผล ติดตามประเมินผลผู้ผ่าน การอบรม และจัดให้ผู้ได้รับการฝึกอบรมดังกล่าวปฏิบัติหน้าที่ในการจัดทำรายงาน หรือควบคุมการจัดทำรายงาน การจัดให้ลูกค้าแสดงตน และการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้าให้ถูกต้องตาม พรบ. และต้องจัดให้ผู้ ผ่านการอบรมตามระเบียบนี้ เข้ารับการฝึกอบรมเพื่อทบทวนทุก 2 ปี

Read More

15/07/2562

“ศรีทองดำ” มะนาวพันธุ์ใหม่กินได้ทั้งเปลือก


ที่อำเภอย่านตาขาว จังหวัดตรัง เกษตรกรท่านหนึ่งได้พัฒนามะนาวสายพันธุ์ใหม่ที่สามารถกินได้ทั้งเปลือก ไม่มีรสขมและน้ำมาก จนเป็นที่ต้องการของตลาดโดยเฉพาะในช่วงหน้าแล้ง มะนาวพันธุ์ใหม่นี้มีชื่อว่า“ศรีทองดำ” คุณประสิทธิ์ จิตสุวรรณ อายุ 65 ปี เกษตรหมู่ที่ 8 บ้านลำขนุน ต.นาชุมเห็ด อ.ย่านตาขาว จ.ตรัง คือผู้พัฒนาสายพันธุ์มะนาวศรีทองดำโดยนำยอดมะนาวพันธุ์ตาฮิติ มาเสียบเข้ากับส้มโอพันธุ์ปัตตาเวีย ใช้เวลาเพียง 8 เดือน มะนาวก็จะออกดอก และให้ผลผลิตดกเต็มต้นตลอดทั้งปี สามารถปลูกได้ทั้งกลางแจ้ง ในที่ร่มและในกระถาง มีผลใหญ่ คั้นน้ำได้เยอะ และเปลือกอ่อนนุ่มคล้ายส้มโอ ทำให้เป็นที่ต้องการของตลาดเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะร้านอาหารตามสั่ง ร้านส้มตำ โรงแรม และภัตตาคาร ซึ่งต้องใช้มะนาวจำนวนมากต่อวัน อีกทั้งยังทนแล้งได้ดี มีโรคและแมลงรบกวนน้อย ชาวบ้านจึงมักจะเรียกว่าศรีทองดำนี้ว่ามะนาวแก้ขัด เพราะกินได้ทั้งเปลือกไม่มีรสขม แถมรสชาติยังเปรี้ยวเหมือนมะนาวทั่วไป หลังจากประสบความสำเร็จในการพัฒนามะนาวศรีทองดำมานานกว่า 5 ปี คุณประสิทธิ์ จึงขยายพันธุ์มะนาวศีทองดำไปให้เกษตรกรที่สนใจได้ปลูกเพื่อเก็บผลผลิตขายยามหน้าแล้ง โดยการขายกิ่งตอนมะนาวพันธุ์ศรีทองดำในราคากิ่งละ 50-100 บาท แต่เป็นการทำตามออเดอร์เท่านั้นเพื่อไม่ให้กิ่งตอนเน่าเสีย ส่วนผลสดจะเก็บขายได้วันละไม่ต่ำกว่า 20 กิโลกรัมๆ ละ 50 บาท ทำรายได้ให้เจ้าของสวนเป็นอย่างดีเพราะผลผลิตเป็นที่ต้องการของตลาด โดยเฉพาะในช่วงหน้าแล้ง ที่มะนาวเริ่มขาดแคลน และปรับราคาสูงขึ้นการปลูกมะนาวศรีทองดำจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับเกษตรกรมะนาว เป็นไม้ผลมีรสเปรี้ยวจัดอยู่คู่ครัวคนไทยมานาน จัดอยู่ในพืชสกุลส้ม ผลมะนาวโดยทั่วไปมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 4 – 4.5 เซนติเมตร ต้นเป็นพุ่มเตี้ย สูงเต็มที่ราว 5 เมตร ก้านมีหนามเล็กน้อย มักมีใบดก ใบยาวเรียวเล็กน้อย คล้ายใบส้ม ส่วนดอกสีขาวอมเหลือง ปกติจะมีดอกผลตลอดทั้งปี แต่ในช่วงหน้าแล้ง จะออกผลน้อย และมีน้ำน้อยมะนาวเป็นพืชพื้นเมืองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผู้คนในภูมิภาคนี้รู้จักและใช้ประโยชน์จากมะนาวมาช้านาน น้ำมะนาวนอกจากใช้ปรุงรสเปรี้ยวในอาหารหลายประเภทแล้ว ยังนำมาใช้เป็นเครื่องดื่ม ผสมเกลือ และน้ำตาล เป็นน้ำมะนาว ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีทั้งในประเทศไทย และประเทศต่างๆทั่วโลก นอกจากนี้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์บางชนิดยังนิยมใช้มะนาวเป็นส่วนผสมหรือฝานเป็นชิ้นบางๆ เสียบไว้กับขอบแก้ว เพื่อใช้แต่งรสในผลมะนาวมีน้ำมันหอมระเหยถึง 7% แต่กลิ่นไม่ฉุนอย่างมะกรูด น้ำมะนาวจึงมีประโยชน์สำหรับใช้เป็นส่วนผสมน้ำยาทำความสะอาด เครื่องหอม และการบำบัดด้วยกลิ่น หรือน้ำยาล้างจาน และยังมีคุณสมบัติที่สำคัญ ในการป้องกันและรักษาโรคลักปิดลักเปิดเพราะในมะนาวมีไวตามินซีเป็นปริมาณมากมะนาวมีน้ำมันหอมระเหยที่ให้กลิ่นสดชื่น เพราะมีส่วนประกอบของสารซิโตรเนลลัล ซิโครเนลลิล อะซีเตต ไลโมนีน ไลนาลูล เทอร์พีนีออล ฯลฯ รวมทั้งมีกรดซิตริค กรดมาลิก และกรดแอสคอร์บิก ซึ่งถือเป็นกรดผลไม้กลุ่มหนึ่ง เป็นที่ยอมรับว่าช่วยให้ผิวหน้าที่เสื่อมสภาพหลุดลอกออกไป พร้อมๆ กับช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ๆ ช่วยให้รอยด่างดำหรือรอยแผลเป็นจางลงอีกด้วย

Read More

15/07/2562

กีวีสีทอง


กีวีสีทอง ผลมีลักษณะทรงกลมรี ผิวเปลือกบางมีขนเล็ก ๆ แกนตรงกลางผลจะมีเมล็ดสีดำเล็ก ๆ เกาะอยู่รอบ ๆ ผลอ่อนจะมีลักษณะคล้ายกีวีสีเขียว ส่วนผลสุกจะมีสีเหลือง รสชาติหวาน เนื้อชุ่มฉ่ำน้ำ มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว จัดอยู่ในกลุ่มของ ซูเปอร์ฟรุ๊ต เพราะมี วิตามินซี อี ไฟเบอร์ โฟเลท โพแตสเซียม แอนตี้ออกซิแดนท์ กีวีสีทองนอกจากมีรสหวานฉ่ำ อมเปรี้ยวเล็กน้อยพอให้ละมุนลิ้นแล้วยังมีประโยชน์และคุณค่าทางโภชนาการมากมาย มีวิตามิน C สูงที่สุดในบรรดาผลไม้ทุกชนิด ช่วยสร้างภูมิต้านทานให้ร่างกายแข็งแรง ไม่เป็นหวัดง่าย การทานกีวีสีทองเพียงวันละ 1 ลูกจะเท่ากับปริมาณวิตามิน C ที่ร่างกายต้องการในหนึ่งวัน ที่สำคัญยังแม้จะหวานมากแต่ก็มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำซึ่งคนเป็นเบาหวานสามารถรับประทานได้ ในกีวีสีทองยังมีสารเซโรโทนินที่ช่วยให้หลับสบายยาวนานตลอดคืน มีสารโฟเลตช่วยในการเจริญเติบโตของลูกน้อย ลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดความผิดปกติของสมองและระบบประสาท จึงเหมาะสำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ มีโพแทสเซียมจำนวนมากที่ช่วยในการส่งออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง ช่วยให้สมองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีสมาธิดีขึ้น และกีวีสีทองยังมีไฟเบอร์สูง ช่วยเรื่องระบบขับถ่ายและป้องกันท้องผูกได้อีกด้วย นอกจากนี้ กีวีสีทองยังช่วยในการสร้างเสริมภูมิคุ้มกัน ช่วยให้กระบวนการสร้างคอลลาเจนทำงานได้ดีขึ้น ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดี และเป็นแหล่งของวิตามินอี ป้องกันเส้นเลือดอุดตัน ทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ มีโพแตสเซียมถึง 315 มิลลิกรัม เทียบเท่ากับกล้วย 1 ผลแต่ให้แคลอรี่ต่ำกว่า ที่สำคัญคือ ด้วยมีไฟเบอร์สูงสำหรับผู้ที่มีปัญหาในระบบขับถ่ายแนะนำให้รับประทานทุกวันๆ ละ 2 ผล เพียง 1 สัปดาห์ระบบย่อยอาหารจะดีขึ้นพญ.ธิดากานต์ รุจิพัฒนกุลแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณและ Anti-Aging Medicine แนะนำว่า ใน 1 วันเราควรรับประทานผักและผลไม้อย่างน้อยวันละ 5 กำมือ เพื่อช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน ที่สำคัญความหวานจากผลไม้ช่วยให้ในระหว่างวันร่างกายไม่อ่อนเพลียและไม่ส่งผลเสียเท่ากับน้ำตาลทรายที่ใช้ปรุงอาหารในยปัจจุบัน กีวีถือเป็นหนึ่งในผลไม้ที่เราควรรัปประทาน เนื่องจากมีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย ล่าสุดมหาวิทยาลัยในประเทศนิวซีแลนด์ได้รายงานผลวิจัยเกี่ยวกับ“อาหาร-อารมณ์” พบว่า “หากรับประทานกีวีวันละ 2 ลูก เป็นประจำจะช่วยให้มีอารมณ์โดยรวมดีขึ้น ไม่หงุดหงิดง่าย ที่สำคัญจะรู้สึกมีพลังงานมากขึ้น” กีวีสีทองหรือ SunGold Kiwifruit เป็นกีวีสายพันธุ์ใหม่ ที่เกิดจากการพัฒนาสายพันธุ์ในประเทศนิวซีแลนด์ โดยใช้ระยะเวลาในการทดลองเพาะพันธุ์ยาวนานกว่า 10 ปี เพื่อให้ได้สายพันธุ์ที่มีรสชาติอร่อย อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการที่มากกว่าผลไม้ชนิดอื่นในทุกคำที่รับประทาน เหมาะกับผู้บริโภคทุกช่วงวัย หรือแม้กระทั่งผู้ป่วยโรคเรื้อรัง

Read More

15/07/2562

สาหร่ายทะเล ทองคำเขียว


องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติรายงานว่า ประเทศชิลี, สเปน และญี่ปุ่น เป็นผู้ผลิตสาหร่ายทะเลระดับแถวหน้าของโลก โดยคิดเป็นสัดส่วนการผลิตสาหร่ายร้อยละ 60 เฉพาะชิลีประเทศเดียวส่งออกสาหร่ายถึงปีละ 1,800 ตัน จนสาหร่ายทะเลได้รับสมญาว่าเป็น “ทองคำสีเขียว”ที่ชายหาดเมืองกัวอิน เป็นแหล่งผลิตสาหร่ายทะเลที่สำคัญของประเทศชิลี เพราะมีภูมิประเทศเหมาะสม มีคลื่นต่ำ มีกระแสน้ำเย็นไหลเข้าสู่ชายฝั่งในแถบมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งกระแสน้ำในชิลีเอื้ออำนวยต่อสิ่งมีชีวิตต่างๆ รวมถึงการเพาะปลูกสาหร่ายทะเลทำให้เกษตรกรสามารถเพาะปลูกสาหร่ายทะเลบนชายหาดได้เกษตรกรที่เมืองกัวอินใช้วิธีการเพาะปลูกสาหร่ายแบบเก่า นั่นคือ การปลูกด้วยมือโดยไม่มีเครื่องจักร เมื่อครบ 15 วัน ก็สามารถเก็บสาหร่ายทะเลได้แล้ว ชิลีผลิตสาหร่ายทะเลหลายรูปแบบตามแนวชายฝั่งระยะทาง 4,500 กิโลเมตร และส่งออกปีละ 6,000 ตัน อย่างไรก็ตาม สถาบันส่งเสริมการประมงแห่งชาติระบุว่า เมื่อปีที่แล้ว อุตสาหกรรมสาหร่ายทะเลส่งออก คิดเป็นมูลค่า 246 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 8,610 ล้านบาท ทำให้ชิลี กลายเป็นหนึ่งในประเทศผู้ผลิตสาหร่ายรายใหญ่ของโลก ซึ่งส่วนใหญ่ส่งออกไปเอเชีย รวมถึงจีน ญี่ปุ่น และไทย แต่ความต้องการสาหร่ายทะเลหรือทองคำสีเขียวที่เพิ่มขึ้น และแรงกดดันมหาศาลทางระบบนิเวศ ทำให้สาหร่ายทะเลถูกคุกคาม สาเหตุที่ทำให้สาหร่ายทะเลได้รับความนิยมสูง เพราะสามารถนำไปผลิตสินค้าได้มากมายตั้งแต่ไอศกรีมไปจนถึงอาหารเสริม และเครื่องสำอาง รวมไปถึงสีย้อมผ้า พลาสติก ตลอดจนใช้ทดแทนเจลาติน อีกทั้งสาหร่ายทะเลยังได้รับความนิยมในหมู่ประชาชนที่กินอาหารมังสวิรัติ, อาหารเจ และผู้คนที่หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ ด้วยเหตุผลทางศาสนาและสุขภาพ ปัจจุบันชิลี กลายเป็นหนึ่งในประเทศผู้ผลิตสาหร่ายรายใหญ่ของโลก ซึ่งส่วนใหญ่ส่งออกไปเอเชีย รวมถึงจีน ญี่ปุ่น และไทย แต่ความต้องการสาหร่ายทะเลหรือทองคำสีเขียวที่เพิ่มขึ้น และแรงกดดันมหาศาลทางระบบนิเวศ ทำให้สาหร่ายทะเลถูกคุกคาม

Read More

15/07/2562

บ้านทองสมสมัย ผู้ให้กำเนิดทองสุโขทัย


“บ้านทองสมสมัย” เป็นร้านทองร้านแรกที่ถือว่าเป็นผู้ให้กำเนิดรูปแบบทองลายโบราณ หรือ ทองสุโขทัย งานหัตถศิลป์ที่มีความปราณีตงดงามด้วยศิลปะแห่งทองสุโขทัย ศรีสัชนาลัย ที่ยิ่งใหญ่จากอดีตถึงปัจจุบันเป็นต้นแบบของทองสุโขทัยมายาวนานกว่า 80 ปีตำนานบ้านทองสมสมัยเริ่มขึ้นเมื่อปี 2473 นายเชื้อ วงศ์ใหญ่ คือผู้ที่ทำให้ทองสุโขทัยหรือทองศรีสัชนาลัยมีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักในวงกว้าง เริ่มแรกเขาเรียนรู้วิชาทำทองมาจากช่างทองชาวจีน และได้ฝึกฝนศึกษาเพิ่มเติมจนสามารถทำทองได้ทุกรูปแบบจึงเปิดร้านทำทองเป็นของตนเองโดยจะรับทำทองตามที่ลูกค้าต้องการเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ส่วนใหญ่เป็นเพียงสร้อยคอ แหวน หรือกำไล ที่มีลวดลายเรียบๆ และมีลวดลายอยู่เพียงไม่กี่แบบเท่านั้น โดยอาศัยเครื่องมือง่ายๆ ที่ประดิษฐ์ขึ้นมาใช้เอง ใช้ทองคำ96.5% ต่อมานายเชื้อได้ถ่ายทอดวิชาช่างทองให้แก่บุตรสาวชื่อสมสมัยจนมีความรู้ความสามารถในการทำทองอย่างเชี่ยวชาญเช่นเดียวกับบิดา ในยุคของคุณสมสมัยนี้ งานทำทองเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นและได้เริ่มผลิตสร้อยถักรูปแบบทองโบราณซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากตลาด จึงเริ่มผลิตทองคำรูปพรรณลวดลายอื่นๆ โดยศึกษาลวดลายจากแหวนทอง สร้อยถักโบราณ และลวดลายที่ปรากฏในลายปูนปั้นตามโบราณสถานในจังหวัดสุโขทัย พร้อมกับใช้ทองคำบริสุทธิ์99.99% ซึ่งเป็นเนื้อทองที่ใช้ทำทองคำในสมัยโบราณ ซึ่งมีข้อดีคือ ได้เนื้อทอง “สีดอกจำปา” มีความสุขสว่างกว่า หรือที่เรียกว่า “ทองสีดอกบวบ” ซึ่งแทบทุกชิ้นได้ผลตอบรับดี มียอดการผลิตเป็นอย่างมาก ส่งผลให้เวลาต่อมาการทำทองคำลวดลายโบราณเริ่มเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย และมีการถ่ายทอดการทำทองคำไปในหมู่เครือญาติของครอบครัว นอกจากนี้คุณสมสมัยยังได้ถ่ายทอดความรู้เรื่องการทำทองสุโขทัยไปยังช่างทองอื่นๆ ที่ไม่ใช่เครือญาติเพื่อให้ศิลปะแขนงนี้แพร่หลายและไม่สูญหาย เช่น การรับนักศึกษาจากสถาบันต่างๆเข้ามาฝึกงาน เช่น มหาวิทยาลัยศิลปากร กาญจนาภิเษก วิทยาลัยช่างทองหลวง และวิทยาลัยการอาชีพศรีสัชนาลัย ปัจจุบันทองสุโขทัยกลายเป็นเครื่องหมายการค้าที่ร้านทองต่างๆนำไปใช้เป็นจุดขายแต่ความจริงการผลิตแตกต่างจากทองสุโขทัยอย่างสิ้นเชิงเป็นเพียงการนำทองรูปพรรณมาลงยาเท่านั้น แต่ทองสุโขทัยแท้มีจุดเด่นอยู่ที่การถักทอ การถม กี่ลงยา หรือ ลงราชาวดี สีของทองจะเป็นสีเหลืองจำปาเพราะใช้ทองคำบริสุทธิ์ 99.99 เปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่สีเหลืองดอกบวบเหมือนทองตู้แดงลงยาที่มีความบริสุทธิ์ 96.5 เปอร์เซ็นต์

Read More

15/07/2562

ทองหลาง


ทองหลาง(Indian Coral Tree) พืชตระกูลถั่วลำต้นใหญ่เป็นพืชชายน้ำที่ขึ้นง่ายโตไวแค่ใช้กิ่งปักแทนการปลูกด้วยเมล็ดตรงจุดที่ต้องการก็สามารถเจริญเติบโตได้ดี มีถิ่นกำเนิดเดิมอยู่ในแถบเอเชียเขตร้อนและอบอุ่น อินเดีย แอฟริกา อเมริกาใต้ และ ออสเตรเลีย โดยมากมักปลูกริมตลิ่งชายคลองคันสวนที่ยกเป็นร่องเพื่อลดการกัดเซาะพังทลายของดินและเป็นปุ๋ยอย่างดีแก่พืชอื่นๆเพราะอุดมด้วยธาตุอาหารต่างๆที่เป็นประโยชน์นับเป็นพืชสะเทินน้ำสะเทินบกที่ดีมากชนิดหนึ่ง นอกจากนี้ รากของต้นทองหลางยังมีคุณสมบัติพิเศษ สามารถดูดเก็บเอาน้ำในดินเลี้ยงลำต้นได้มากกว่าไม้ทุกชนิด ดังนั้นการปลูกต้นทองหลางไว้หลายๆต้นจะทำให้พื้นดินชุ่มชื้น ต้นไม้ใกล้เคียงอื่นๆจึงเจริญงอกงามไปด้วย ต้นทองหลางจึงเหมาะที่จะเป็นพืชที่บำรุงดินเพราะสามารถตรึงธาตุไนโตรเจนจากอากาศมาเป็นปุ๋ย และเป็นเครื่องมือฟื้นฟูระบบนิเวศน์ได้เป็นอย่างดีลักษณะของทองหลาง เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูงประมาณ 10-20 เมตร ผิวเปลือกลำต้นบางสีเทา มีหนามแหลมคมหรือบางชนิดมีหนามเล็กๆ ยอดเป็นพุ่ม โปร่ง ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก มีใบย่อย 3 ใบ ใบกลางจะโตกว่าสองใบด้านข้าง ลักษณะใบเป็นรูปสามเหลี่ยมคล้ายใบโพธิ์ กว้างประมาณ 2-3 นิ้ว ยาวประมาณ 3-5 นิ้ว ผิวใบเรียบ สีเขียวหรือด่างเหลืองๆใต้ท้องใบมีสีขาวขุ่น ก้านช่อยาวประมาณ 3-5 นิ้ว บางชนิดลักษณะใบมนคล้ายกับใบของถั่วพู ใบโตประมาณ 3-4 นิ้ว ก้านใบจะมีใบย่อย 3 ใบ และบางชนิดใบประกอบ เรียงสลับ มี 3 ใบย่อย มีหูใบ ใบย่อยรูปไข่หรือโค้ง ใบมีขน ทองหลางออกดอกเป็นช่อติดกันเป็นกลุ่มออกตามบริเวณข้อต้น หรือโคนก้านใบช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ลักษณะดอกคล้ายกับดอกถั่วมีสีแดง หรือชมพู กลีบดอกกว้างประมาณ 1-2 นิ้ว ยาวประมาณ 2-3 นิ้ว ช่อดอกยาวประมาณ 4-8 นิ้ว มีผลเป็นฝักแบนโค้งเล็กน้อย ยาวประมาณ 15 -30 ซ.ม. เป็นข้อๆสีน้ำตาลเข้ม โคนฝักจะลีบเล็ก ผลแก่ฝักจะแตกที่ปลายอ้าออก ภายในฝักมีเมล็ดเป็นเหลี่ยม บ้างฝักยาวคอดเป็นข้อๆ สีน้ำตาลเข้ม และบ้างฝักแคบ ภายในมีเมล็ด 2-4 เมล็ด ทองหลางมีประโยชน์มากมายใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ เป็นไม้มงคลประจำบ้านและไม้พี่เลี้ยง เกษตรกรนิยมปลูกทองหลางไว้ในสวนทุเรียน มังคุด มะไฟ เพราะราก ลำต้น ใบ ดอก เป็นปุ๋ยอย่างดีกับพืช ดูดซับน้ำในดินไว้เลี้ยงลำต้นได้มากกว่าพืชทุกชนิด สร้างธาตุอาหาร หาอาหาร และรักษาความชื้นให้กับพืชประธานใบแก่ที่ร่วงหล่นจะผุพังงกลายเป็นปุ๋ยได้อีกต่อหนึ่ง ทองหลางมีคุณค่าทางอาหารหลายอย่าง ใบทองหลางอุดมด้วยโปรตีนเหมาะที่จะใช้เป็นอาหารสัตว์ เช่น วัว ควาย แพะ แกะ ส่วนใบอ่อนเป็นผักยอดฮิตใช้รับประทานร่วมกับเมี่ยงคำ ส้มตำมะละกอ บ้างเป็นผักจิ้มน้ำพริก เป็นผักสดเคียงเมี่ยง ปลาทู ปลาแหนม เป็นต้น ใบทองหลางผักที่มีกากใย อาหารมาก อุดมด้วยวิตามินเอและสารอาหารอีกหลายตัวที่จะช่วยบำรุงร่างกาย ดีต่อตัวและหัวใจเหมาะกับการเป็นอาหารบำรุงสุขภาพ บำรุงตา บำรุงกระดูก แก่คนทั่วไป

Read More

03/07/2562

ทำเลทอง อีอีซี


โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ทำให้มีการขยายการลงทุนด้านสาธารณูปโภค การคมนาคมจากภาครัฐเพื่อรองรับพื้นที่ภาคตะวันออก ส่งผลให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ในพื้นที่ 3 จังหวัดได้แก่ ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา เติบโตตามไปด้วย ทำให้พื้นที่ใน 3 จังหวัดนี้กลายเป็น “ทำเลทอง” ไปในทันที ทั้งเพื่อการลงทุนและการพัฒนาเป็นที่พักอาศัย เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคที่จะหลั่งไหลเข้ามาพักอาศัยในพื้นที่เพื่อทำงานกันมากยิ่งขึ้นศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ได้เปิดเผยรายงานสรุปผลการสำรวจอุปสงค์และอุปทานของโครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขายในช่วงครึ่งหลังปี 2561 ที่ผ่านมา ใน 3 พื้นที่จังหวัดโครงการอีอีซี ระบุว่า ในพื้นที่ดังกล่าวมีโครงการรวม 974 โครงการ มูลค่า 561,227 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านจัดสรร 760 โครงการ มูลค่า 301,093 ล้านบาท โครงการอาคารชุด 198 โครงการ มูลค่า 245,247 ล้านบาท และโครงการวิลล่า 16 โครงการ มูลค่า 14,888 ล้านบาท มีหน่วยเหลือที่รอขายเพียง 54,653 หน่วย หรือเพียง 37.1% ของหน่วยในโครงการทั้งหมด ส่วนใหญ่เป็นบ้านจัดสรร 39,829 จากการสำรวจของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) พบว่าในพื้นที่จังหวัดในอีอีซี โดยสรุปภาพรวมในปี 2561 ทั้งปีสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยทั้งในด้านอุปสงค์และอุปทานปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2560 ซึ่งเป็นผลจากการกระตุ้นการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐและเอกชน วงเงิน 1.5 ล้านล้านบาท ครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัด ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา โดยตั้งเป้าให้จังหวัดฉะเชิงเทราเป็นเมืองน่าอยู่ รองรับการขยายตัวของกรุงเทพมหานครฝั่งตะวันออก จังหวัดชลบุรีเป็นศูนย์กลางการศึกษาและพัฒนาทักษะนานาชาติ “ศรีราชา-แหลมฉบัง” เป็นเมืองอุตสาหกรรมการผลิตสมัยใหม่ เชื่อมสู่การผลิตภูมิภาคลุ่มน้ำโขงและอาเซียน “พัทยา-สัตหีบ-อู่ตะเภา” เป็นเมืองท่องเที่ยวเชิงธุรกิจ ครอบครัว สุขภาพ และสันทนาการระดับโลก รวมถึงศูนย์ธุรกิจการบินและโลจิสติกส์แห่งอาเซียน และยกระดับ “มาบตาพุด-ระยอง” เป็นเมืองน่าอยู่ที่สุดในอาเซียน และอุตสาหกรรมพลังงานเคมี ชีวภาพ วิจัยอาหารและไบโออีโคโนมี ส่วนแนวโน้มตลาดที่อยู่อาศัยในพื้นที่เขตอีอีซีปี 2562 คาดการณ์ว่ายังโตต่อเนื่องในไตรมาส 1 แต่ในช่วงไตรมาส 2 ถึงไตรมาส 4 ของปี 2562 ด้านอุปสงค์ จะชะลอตัวลง คาดการว่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยจะลดลงทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่า เมื่อเทียบกับปี 2561 ส่วนในด้านอุปทานที่อยู่อาศัยจะยังคงขยายตัวต่อเนื่อง เป็นผลมาจากมาตรการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่อีอีซีของภาครัฐ โดยมีข้อสังเกตว่า ราคาที่ดินที่สูงขึ้น ส่งผลให้อุปทานบ้านแนวราบมีแนวโน้มที่จะมีการขยายตัว โดยเป็นการขยายตัวในกลุ่มของทาวน์เฮาส์และบ้านแฝดมากขึ้น ขณะที่อาคารชุดจะยังเป็นอุปทานที่อยู่อาศัยที่ยังคงมีการพัฒนาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องต่อไป จากการจัดเก็บข้อมูลภาพรวมในปี 2561 ตลอดทั้งปี มีการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินเพื่อที่อยู่อาศัยใน 3 จังหวัดอีอีซี จำนวน 165 โครงการ 17,290 หน่วย จำนวนโครงการเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยคือประมาณ 0.6% แต่จำนวนหน่วยลดลงร้อยละ 4.4 เมื่อเทียบกับปี 2560 โดยในไตรมาส 4 ปี 2561 มีการขอใบอนุญาตจัดสรรที่ดิน โดยส่วนใหญ่เป็นทาวน์เฮาส์มากที่สุด จำนวน 2,634 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 5% ของจำนวนการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั้งหมด รองลงมาเป็นบ้านเดี่ยว จำนวน 1,129 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 22.7% และบ้านแฝด จำนวน 1,110 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 22.3% ส่วนที่เหลือเป็น อาคารพาณิชย์และที่ดินจัดสรรทั้งนี้ ในปี 2561 มีการขอใบอนุญาตจัดสรรที่ดินโดยส่วนใหญ่เป็นทาวน์เฮาส์มากที่สุด จำนวน 9,749หน่วย รองลงมาเป็นบ้านแฝด จำนวน 3,879 หน่วย และบ้านเดี่ยว จำนวน 3,360 หน่วย เป็นอาคารพาณิชย์จำนวน 238 หน่วย และที่เหลือเป็นที่ดินจัดสรรจะเห็นว่า การเติบโตของอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่อีอีซี มีทิศทางที่สะท้อนความต้องการจริงไม่เป็นเพียงฟองสบู่แบบที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในหลายพื้นที่

Read More

03/07/2562

ทองผาภูมิ


ทองผาภูมิ เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดกาญจนบุรี เดิมเป็นหัวเมืองเก่า พระนั่งเหล่าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงเล็งเห็นว่าบริเวณแม่น้ำแควน้อยเป็นชุมชนที่หนาแน่น จึงให้ตั้งหัวเมืองขึ้น ได้แก่เมืองสังขละบุรี เมืองไทรโยค และเมืองทองผาภูมิ เพื่อให้เกิดยุทธศาสตร์ด้านการข่าว ให้พม่าเห็นว่าไทยมีกำลังเข็มแข็งพม่าจะได้ไม่กล้ารุกราน และยังเป็นเมืองกันชนคอยส่งข่าวข้าศึกให้เมืองหลวงทราบต่อมาประมาณ ร.ศ.120 (พ.ศ. 2444)ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่5 พระองค์ ทรงปรับปรุงระเบียบบริหารราชการแผนดินใหม่ เมืองหน้าด่านอยางเมืองทองผาภูมิ จึงเปลี่ยนชื่อเป็น “อําเภอสังขละบุรี” ตั้งอยู่ทางฝังตะวันออกของแม่น้ำแควน้อย ทีบ้านท่าขนุน มีเจ้าเมืองปกครองขึ้นตรงต่อกรุงรัตนโกสินทร์ ต่อมาเมื่อปี 2482 ได้เปลี่ยนชื่เมืองให้ถูกต้องตามประวัติศาสตร์ และสอดคล้องกับทรัพยากรธรรมชาติที่สําคัญคือ “ทองคํา” ซึ่งเป็นทรัพย์ยากรธรรมชาติ ที่พบมากในอําเภอนี้โดยเปลี่ยนชื่อเป็น “กิ่งอําเภอทองผาภูมิ” จนกระทังปี พ.ศ. 2484 จึงได้ยกฐานะเป็น อําเภอทองผาภูมิ จนถึงปัจจุบัน อําเภอทองผาภูมิ มีศิลปวัฒนธรรมแบบไทยภาคกลางทียังคงมีการยึดถือปฎิบัติกันมาตามแบบวิถีไทย แต่เนื่องจากอําเภอทองผาภูมิอยู่ติดกับตะเข็บชายแดนไทย – พม่าจึงมีชนกลุ่มน้อยอพยพเข้ามาตั้งถินฐานกันมาก ทําให้มีวัฒนธรรมประเพณีและวิถีชีวิตความเป็นอยู่หลากหลาย โดยชนเผ่าทีมีความโดดเด่นและอาศัยอยู่เป็ นจํานวนมาก คือ ชาวกะเหรียงและพม่าปัจจุบัน ทองผาภูมิได้ชื่อว่าเป็นสวิตเซอร์แลนด์แห่งประเทศไทย และเป็นหนึ่งสถานที่ทองเที่ยวยอดนิยมของจังหวัดกาญจนบุรี ด้วยความสวยงามและความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ เป็นที่ตั้งของอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิเป็นที่ชื่นชอบของนักเดินป่าศึกษาธรรมชาติ และนักผจญภัย ที่โด่งดังที่สุดคือ เขาช้างเผือก เป็นหนึ่งในสุดยอดเส้นทางของผู้รักการผจญภัย เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ คือสูงประมาณ 1,249 เมตร จากระดับน้ำทะเล ในแต่ละปีจะมีการเปิดให้ไปพิชิตยอดเขาเพียงปีละ 1 ครั้ง ครั้งละไม่กี่เดือน และต้องจองล่วงหน้า บนยอดเขาช้างเผือก สามารถมองเห็นวิวธรรมชาติแบบ 360 องศาที่สวยงามสามารถมองเห็นไปถึงเขื่อนวชิราลงกรณ์ ส่วนในวันที่ไม่มีหมอกก็สามารถมองเห็นประเทศพม่าและทะเลอันดามันได้ด้วย อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจของทองผาภูมิคือ ปิล็อก ตำบลหนึ่งในอำเภอทองผาภูมิ ในอดีตที่นี่เคยรุ่งเรืองด้วยแร่ธาตุต่างๆ ในฐานะเหมืองปิล็อกที่ใครหลายคนคุ้ยเคยกัน แต่ด้วยปัญหาทางเศรษฐกิจทำทำให้เหมืองปิล็อกปิดตัวลงคงไว้เพียงตำนาน และปัจจุบันกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของทองผาภูมิที่มีสภาพแวดล้อมเต็มไปด้วยด้วยทะเลภูเขานั่นเอง

Read More

03/07/2562

Globe of Jewel หรือลูกโลกทองคำ ใน National Jewelry Museum


พิพิธภัณฑ์เครื่องเพชรพลอย National Jewelry Museum ของอิหร่านเป็นพิพิธภัณฑ์เก็บเครื่องเงิน ทอง และเครื่องประดับอัญมณีเพลรพลอย และไข่มุก ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกกลางกรุงเตหะราน ซึ่งเป็นสมบัติเก่าแก่ตั้งแต่ก่อนสมัยราชวงศ์ซาฟาวิด จนถึงสมัยราชวงศ์ปาห์ลาวี มีทั้งงานฝีมือช่างชาวอิหร่านและฝีมือห้างเพชรทองชื่อดังจากฝรั่งเศส ตั้งอยู่ในห้องนิรภัยของธนาคารชาติอิหร่าน กลางกรุงเตหะราน มีเครื่องประดับชิ้นสำคัญมากมายเช่น Globe of Jewel หรือลูกโลกทองคำ Darya-i-nur หรือ Sea of light มหามงกุฎแห่งราชวงศ์ปาห์ลาวี บัลลังก์นกยูง เป็นต้นGlobe of Jewel หรือลูกโลกทองคำ สร้างเมื่อปี 1869 โดยคำสั่งของ Nasser-ed-din มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 66 เซนติเมตร ตัวขาตั้งทำจากทองและประดับอัญมณี โดยใช้ทองคำหนัก 34 กิโลกรัม ประดับอัญมณี 51,366 เม็ด ซึ่งมีน้ำหนัก 18,200 กะรัตในการสร้างสรรค์ชิ้นงานนี้ มีการใช้ มรกตแทนสีเขียวของ ทะเลและมหาสมุทร และใช้ทับทิมแทนบริเวณที่เป็นแผ่นดิน ส่วนที่เป็นประเทศอิหร่าน อังกฤษ ฝรั่งเศส และเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ประดับด้วยเพชร และใช้ทับทิมสีอ่อนแทนประเทศอินเดีย บัลลังก์นกยูง ( The Peacock Throne หรือ Sun Throne) หรือบัลลังก์สุริยัน ประดับด้วยเพชรนิลจินดามากกว่า 26,000 ชิ้น ในหนังสือ ‘Treasury of National Jewels ...Witnesses of History’ ของธนาคารชาติอิหร่าน บรรยายเกี่ยวกับบัลลังก์นกยูงไว้ว่า ไว้ว่า สร้างในสมัย ฟาตห์ อาลี ชาห์ แห่งราชวงศ์กอญัร (ค.ศ.1772-1834) และตั้งชื่อว่า Peacock Throne ตามชื่อสนมคนโปรดของ ฟาตห์ อาลี ชาห์ ที่ชื่อ ‘Tavous khanoom’ ที่มีการเรียกขานอีกชื่อว่า Lady Peacock (Tavous เป็นภาษาเปอร์เซีย แปลว่า นกยูง) ต่อมา บัลลังก์นี้ ผ่านการปรับปรุง-ตกแต่ง-เพิ่มเติมหลายครั้งในสมัยชาห์อิหร่านในยุคต่อๆ มา จนกลายเป็นบัลลังก์ตามรูปแบบที่เห็นกันในปัจจุบัน Darya-i-nur หรือ Sea of light เพชรสีชมพูอ่อน 182 กะรัต ซึ่งใหญ่ที่สุดในโลก ที่รายล้อมด้วยอัญมณีอื่นที่ล้ำค่าถึงเกือบห้าร้อยเม็ด เป็นเครื่องประดับชิ้นที่สำคัญที่สุดในพิพิธภัณฑ์นี้ ว่ากันว่า เดิมเพชรเม็ดนี้หนักถึง 242 กะรัต แต่ภายหลังมีการตัดแบ่งออกเป็น 2 เม็ด ในหนังสือ Treasury of National Jewels ของธนาคารแห่งชาติอิหร่าน ระบุอีกว่า เพชรสีชมพู เป็นเพชรเม็ดหนึ่งที่ประดับอยู่ในมงกุฎของ พระเจ้าไซรัสมหาราช (600 หรือ 576 - 530 ก่อนคริสตกาล) ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญเพชรในอดีตเชื่อว่า เพชร Darya –i- Nour กับ เพชร Noor-ul-Ain (ดวงตาแห่งแสง) น่าจะเป็นเพชรเม็ดเดียวกัน ก่อนถูกแยกออกเป็น 2 ส่วน โดยเพชรดวงตาแห่งแสงนั้น ถูกนำไปประดับในมงกุฎรัดเกล้าให้กับ ฟาราห์ ปาห์ลาวี มเหสีของพระเจ้าชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี แห่งอิหร่าน ปัจจุบันตั้งแสดงในห้องนิรภัยของธนาคารชาติอิหร่านนั่นเองส่วน เพชร Koh-i-Noor ว่ากันว่า ตกไปอยู่ในมือของ บริษัทอีสต์อินเดีย ของอังกฤษ หลังจากอาณาจักรซิกข์ แห่งอินเดียเหนือ เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในสงครามอังกฤษ-ซิกข์ ครั้งที่สอง จนในที่สุดยอดเพชรในตำนานเม็ดนี้ ตกอยู่ในความครอบครองของ ควีนวิคตอเรีย และต่อมากลายไปเป็นเพชรประดับมงกุฎราชินีแห่งราชวงศ์อังกฤษ ในปัจจุบัน ถูกเก็บรักษาและจัดแสดงที่หอคอยแห่งลอนดอน ...มีข่าวหลายครั้งว่าคนอินเดียทวงคืน แต่รัฐบาลอังกฤษปฏิเสธที่จะส่งกลับนอกจากนี้ยังมีมหามงกุฎแห่งราชวงศ์ปาห์ลาวี ใช้ในพระราชพิธีราชาภิเษกของพระเจ้าชาห์แห่งราชสกุลปาห์ลาวีทั้ง 2 พระองค์ มงกุฎนี้ทำจากเงินและทอง กรุผ้ากำมะหยี่สีแดงปักประดับเพชร รวมน้ำหนักมงกุฎทั้งสิ้นกว่า 2 กิโลกรัม ซึ่งนอกจากจะแสดงอัญมณีบนเครื่องประดับแล้วพิพิธภัณฑ์เครื่องเพชรพลอย National Jewelry Museum ยังจัดแสดง เพชร พลอย ไข่มุก เป็นแบบ ชิ้นๆ (loose piece) ในถาดอีกมากมาย

Read More

03/07/2562

บัลลังก์ทอง


“บัลลังก์ทอง”หรือแก้วกาญจนา เป็นพันธุ์ไม้ประดับในสกุลอโกลนีม่า ที่มีหลายชนิดหลายสายพันธุ์และมีความสวยงามแตกต่างกัน เช่น เขียวหมื่นปี ทางช้างเผือก ทางสายเดี่ยว เสน่ห์จันทร์ขาว เสน่ห์จันทร์แดง เสน่ห์จันทร์เขียว เสน่ห์จันทร์ดำ รวมถึงพันธุ์ไม้ประดับที่ได้รับความนิยมอย่างกวักแม่ทองคำ โพธิ์บัลลังก์ ก็ล้วนเป็นพันธุ์ไม้ประดับในสกุลเดียวกับ บัลลังก์ทอง ทั้งสิ้น บัลลังก์ทอง เป็นพันธุ์ไม้ใบที่มีความนิยมสูงสุด มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเขตร้อนทั่วๆไป หรือบริเวณเส้นศูนย์สูตรของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งแต่อินเดียลงไปจนถึงมาเลเซีย หมู่เกาะในประเทศอินโดนีเซีย ประเทศฟิลิปปินส์ ลาว เวียดนาม และจีนตอนใต้ เป็นพันธุ์ไม้ที่ชอบแดดที่รำไรหรือกึ่งแดดกึ่งร่ม ถ้าได้รับแสงจัดจะทำให้สีใบเข้มสวยแต่อายุใบจะสั้น รากของบัลลังก์ทองชอบดินเย็น ต้องการน้ำปริมาณมาก ชอบดินร่วนระบายน้ำดี ควรผสมกากมะพร้าวสับ ผสมใบไม้ผุ คลุกเคล้าด้วยปุ๋ยคอก ถ้าได้ให้ปุ๋ยค้างคาวเดือนละครั้งก็จะทำให้สีสวยจัด ปุ๋ยสูตรที่เหมาะสม คือ46-0-0 หรือ 15-0-0 ที่จะให้ใบสีสวย และปุ๋ยฉีดพ่นทางใบ เช่น แคลเซียมไนเตรท -จี หรือปุ๋ยเกล็ดสูตร 19-6-20 ส่วนการขยายพันธุ์ทำได้โดยการตอน แยกหน่อ บัลลังก์ทอง เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก อายุหลายปี ใบเดี่ยว เรียงเวียน รูปไข่แกมใบหอก ปลายเรียวแหลม โคนมน ขอบใบเรียบ ใบหนาคล้ายแผ่นหนัง ค่อนข้างเรียบ เกลี้ยง เป็นมัน ก้านใบกลมเป็นร่องสีขาว ลิ้นใบยาวแผ่กว้างไปตามความยาวของกาบใบ กาบใบเป็นร่องห่อหุ้มลำต้น แผ่นใบสีเขียวเข้ม แต้มสีเขียวอ่อนประปราย เส้นกลางใบสีชมพู เส้นกลางใบนูนเด่นชัดบริเวณโคนและค่อยๆเล็กลงจนสุดปลายใบ ออกดอกเป็นช่อแบบช่อเชิงลดมีกาบ ออกบริเวณซอกใบ ดอกสีขาวบัลลังก์ทองยังเป็นพันธุ์ไม้ประดับที่ยังอยู่ในความนิยมของคนรักต้นไม้และยังเป็นของสวยงามและถือว่าเป็นไม้มงคลที่จะมอบให้แก่กันด้วยความยินดีทั้งผู้ให้และผู้รับอีกด้วย แต่เนื่องจากการผสมพันธุ์ที่เกิดเป็นบัลลังก์ทองที่ยีนในสายพันธุ์ยังไม่นิ่ง บางครั้งจะพบว่า ในกอของบัลลังก์ทองอาจจะมีต้นหนึ่งโผล่ขึ้นมามีใบเป็นสีเขียว ที่ในวงการเรียกกันว่า บัลลังก์มรกต ก็มีค่ะไม่เพียงแต่มีความสวยงาม ต้นบัลลังก์ทอง หรือแก้วกาญจนา ยังเป็นเหมือนเครื่องฟอกอากาศเพราะ มีความสามารถในการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ดี และยังเป็นไม้มงคลที่ช่วยเสริมศิริมงคล ทำให้ผู้ปลูกมีชีวิตราบรื่น มีความสมบูรณ์ในทรัพย์สินเงินทองและให้โชคลาภแก่ผู้ที่อยู่ในบ้านอีกด้วย บัลลังก์ทอง ได้ชื่อว่าเป็นราชาแห่งไม้ประดับ สกุลอโกลนีม่ามาจากภาษาอังกฤษ ว่า aglos ซึ่งเป็นรากศัพท์จากภาษากรีก แปลว่า แสงสว่าง หรือความสดใส ส่วนคำว่า nema แปลว่า thread คือเส้นใยบาง ๆ หรือเกลียว มีการตั้งชื่อสายพันธุ์ภาษาไทยที่สื่อความหมายทางโชคลาภ เช่น กวักมหามงคล บัลลังก์ทับทิม บัลลังก์ทอง หยกกาญจนา เป็นต้น

Read More

03/07/2562

เจ้าดาราทอง เจ้าชายนักแข่งรถแห่งสยาม


ในปลายทศวรรษที่ 1830 หนังสือพิมพ์ทุกฉบับในอังกฤษ ลงข่าวเจ้าชายแห่งสยามที่ทรงชนะเลิศอันดับหนึ่งของการแข่งรถระหว่างชาติทั่วทวีปยุโรป 3 ปีซ้อน คือปี 1936 ปี 1937 และ ปี 1938 จนคว้าตำแหน่ง" ดาราทอง "ของสมาคมนักแข่งรถอังกฤษมาครอง เหตุการณ์นี้เองที่ทำให้ประชาชนทั่วไปในยุโรปรู้จักชื่อ ประเทศสยาม เจ้าชายพระองค์นั้นคือพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช “พระองค์พีระ” เจ้าของฉายา “เจ้าดาราทอง” พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช เป็นพระโอรสในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดชและหม่อมเล็ก ภาณุพันธุ์ ณ อยุธยา พระองค์ประสูติเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ.2457 จบการศึกษาจากโรงเรียนเทพศิรินทร์ โรงเรียนอีตัน และเข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ และเปลี่ยนไปศึกษาด้านประติมากรรม ที่ Byam Shaw School of Art พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช ทรงแข่งรถโดยได้รับการสนับสนุนจาก "พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์" ทั้งสองพระองค์มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในหมู่นักแข่งรถในชื่อ Prince Bira และ Prince Chula ทรงขับรถยี่ห้อ อี.อาร์.เอ. (English Racing Automobiles - E.R.A.) ทาสีฟ้าสดใส รถที่ใช้ในการแข่งขัน ชื่อ รอมิวลุส (Romulus) รีมุส (Remus) และ หนุมาน (Hanuman) สีฟ้าแบบนี้ ปัจจุบันเรียกว่า ฟ้าพีระ (Bira blue)พระองค์เจ้าพีระทรงมีพระปรีชาด้านการแข่งรถจนเป็นที่ยอมรับ โดยทรงชนะเลิศการแข่งขันครั้งแรกในรายการ Coupe de Prince Rainier ที่เซอร์กิตเดอโมนาโก (รายการ โมนาโกกรังด์ปรีซ์ในปัจจุบัน) ได้รับถ้วยเจ้าชายเรนีย์แห่งโมนาโก เมื่อวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2479 โดยทรงขับรถรอมิวลุส และทรงชนะเลิศการแข่งรถกรังด์ปรีซ์ในยุโรปอีกหลายครั้ง ระหว่างปี ค.ศ. 1936, 1937 และ 1938 จนได้รางวัล ดาราทอง (BRDC Road Racing Gold Star) จากสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 แห่งสหราชอาณาจักร 3 ปีซ้อน และได้รับการบรรจุชื่อในหอเกียรติยศของสมาคมนักแข่งรถอังกฤษเมื่อปลายปี พ.ศ. 2480 พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ และพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช เสด็จกลับมาเยี่ยมประเทศไทย และนำรถรอมิวลุส กลับมาขับโชว์ และจัดประลองความเร็วที่ถนนราชดำเนิน เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2480 โดยราชยานยนต์สมาคมแห่งสยาม และจัดแสดงให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมที่วังจักรพงศ์ มีผู้คนเข้ามาชมเป็นจำนวนมากและทั้งสองพระองค์ยังทรงเป็นกำลังสำคัญ ในการเตรียมการจัดการแข่งขันกรุงเทพกรังด์ปรีซ์ (Bangkok Grand Prix) โดยเชิญนักแข่งชั้นนำมาแข่งขันบนเส้นทางรอบสนามหลวงและพระบรมมหาราชวัง ระยะทาง 2 ไมล์ ในวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2492 แต่การแข่งขันนี้ต้องยกเลิกไป เพราะเกิดสงครามโลกขึ้นเสียก่อน ด้านชีวิตครอบครัวพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช เสกสมรส 5 ครั้ง กับหม่อมซิริล เฮย์คอค ชาวอังกฤษ หม่อมชลิต้า โฮวาร์ด ชาวอาร์เจนตินา หม่อมสาลิกา กะลันตานนท์ หม่อมอรุณี จุลทะโกศล และหม่อมชวนชม ไชยนันท์ เมื่อพ.ศ. 2526 เสด็จกลับไปอังกฤษอีกครั้ง เก็บพระองค์อย่างชายชราที่ไม่มีใครรู้จัก ทรงแวะเยี่ยมหม่อมซีริลเป็นครั้งสุดท้าย สองวันก่อนคริสต์มาสคือวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2528 ชายชราคนหนึ่งล้มลงสิ้นลมหายใจที่สถานีรถไฟบารอนส์คอร์ต ไม่มีใครทราบว่าชายชาวเอเชียคนนี้เป็นใคร ไม่มีหลักฐานอะไรในตัวเขา นอกจากจดหมายเขียนเป็นภาษาที่ตำรวจอ่านไม่ออก สก๊อตแลนด์ยาร์ดส่งจดหมายไปสอบถามผู้เชี่ยวชาญทางภาษาที่มหาวิทยาลัยลอนดอน ทราบอีก 7 วันต่อมาว่าชายชราผู้นั้นคือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช เจ้าดาราทองผู้โด่งดังที่สุดเมื่อ 50 ปีก่อน สิ้นพระชนม์ในวัย71 ปี

Read More

03/07/2562

รัดพระองค์ทองคำ / ปั้นเหน่งเพชร แห่งตระกูล จักรพงศ์


ที่พิพิธภัณฑ์ victoria & albert museum ประเทศอังกฤษ มีสมบัติเก่าแก่ของตระกูล จักรพงศ์ จัดแสดงอยู่ นั่นคือ รัดพระองค์ทองคำ(เข็มขัด) และปั้นเหน่งเพชร(หัวเข็มขัดเพชร) ซึ่งคาดว่าหม่อมราชวงศ์นริศรา จักรพงศ์ (มารดาของฮิวโก้ จุลจักร จักรพงศ์) อนุญาตให้ทางพิพิธภัณฑ์ยืมมาจัดแสดงไว้ ไม่ใช่การจำหน่ายถ่ายโอนแต่อย่างใด ซึ่งบ่อยครั้งที่พิพิธภัณฑ์ดังๆจะยืมเครื่องประดับจากราชวงศ์ในยุโรปหรือราชวงศ์อื่นๆทั่วโลกไปจัดแสดงเพื่อให้คนทั่วไปได้ชื่นชมชม ในเว็บไซต์ทางการของพิพิธภัณฑ์ victoria & albert museum ได้อธิบายถึงรัดพระองค์ทองคำ(เข็มขัด) และพระปั้นเหน่งเพชร(หัวเข็มขัดเพชร)นี้ไว้ว่า “รัดพระองค์เส้นนี้ ได้ถูกสั่งทำโดย สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในช่วงยุคปี 1890 งานประดับทองนี้ ถือว่าเป็นงานประณีตขั้นสูง สมกับที่ได้รับการพระราชดำรัสให้จัดทำขึ้นโดยพระราชวงศ์ชั้นสูง ในส่วนของรัดพระองค์มีความสลับซับซ้อน บ่งบอกถึงประเพณีอันยาวนานของการถักทอง ทอเส้นทอง ออกมาอย่างวิจิตรงดงามของไทย และสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงฉลองพระองค์ด้วยรัดพระองค์เส้นนี้ ” ทั้งนี้ได้มีพระบรมฉายาลักษณ์แสดงประกอบยืนยันด้วย รัดพระองค์ทองคำและพระปั้นเหน่งเพชร นี้หม่อมอลิซาเบธ จักรพงศ์ ณ อยุธยา(คุณยายของ ฮิวโก้ จุลจักร จักรพงษ์) พระชายาในพระองค์เจ้าจุลจักรพงศ์ เคยใส่เข้าร่วมพิธีพระบรมราชาภิเษก ของพระราชินีอลิซาเบธที่ 2 ด้วย ปัจจุบันตกทอดมาเป็นสมบัติของทายาทของตระกูลจักรพงศ์ ที่สืบเชื้อสายโดยตรงมาจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ซึ่งนอกจากรัดพระองค์ และพระปั้นเหน่งเพชรนี้แล้วก็ยังมีสมบัติเก่าแก่ล้ำค่าอีกมากมายที่ตกทอดมาสู่คนรุ่นปัจจุบันของตระกูลจักรพงศ์ต้นราชสกุลจักรพงษ์ คือสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ หรือทูลกระหม่อมเล็ก พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระราชอนุชาในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นพระเชษฐาธิราชในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ในขณะนั้นสมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถเป็นรัชทายาทลำดับที่สองแห่งการสืบราชสันตติวงศ์ พระองค์ทำผิดประเพณีด้วยการเสกสมรสกับคัทริน เดสนิตสกี สุภาพสตรีเชื้อสายยูเครนจากรัสเซียโดยไม่ได้ทรงขออนุญาตจากพระพระราชชนกและพระราชชนนีทำให้ทั้งสองพระองค์ทรงผิดหวังและกริ้วหนักมาก ต่อมาหม่อมคัทรินประสูติพระโอรสเป็นลูกครึ่งและมีฐานันดรเป็นหม่อมเจ้าโดยอัตโนมัติ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงประทานพระนามให้ว่า “หม่อมเจ้าพงษ์จักร” ภายหลังหม่อมคัทรินหย่าร้างกับสมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ พระสวามีแล้วเดินทางไปอยู่เซียงไฮ้กับพี่ชาย ส่วนสมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถก็ทิวงคตในปีถัดมา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระกรุณาสงสารพระภาติยะ(หลานที่ลูกของพี่ชาย หรือน้องชาย)ซึ่งกำพร้าชนกชนนีจึงสถาปนาหม่อมเจ้าพงษ์จักรขึ้นเป็นพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2463 อย่างไรก็ตาม ในปี พ.ศ. 2466 ทรงร่างกฎมนเทียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ ประกาศใช้เมื่อ พ.ศ. 2467 ให้ยกเว้นผู้มีพระชายาเป็นนางต่างด้าวจากการสืบราชสันตติวงศ์ ด้วยเหตุนี้พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์จึงถูกตัดออกจากการสืบราชสมบัติ เพราะมีหม่อมมารดาเป็นนางต่างด้าวนั่นเอง

Read More

21/06/2562

พบเหรียญทองคำโรมัน อายุ 2000 ปี ในอิสราเอล


พบเหรียญทองคำโรมัน อายุ 2000 ปี ในอิสราเอลในเดือนมีนาคม ปี 2016 ลอรี ริมอน นักปีนเขาชาวอิสราเอลได้พบเหรียญโบราณหายากสีทองมันวาว ขณะปีนเขาอยู่ในแคว้นกาลิลี ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกของอิสราเอล เจ้าหน้าด้านโบราณวัตถุของอิสราเอลระบุว่า เหรียญดังกล่าวเป็นเหรียญทองคำมีอายุกว่า 2,000 ปี ซึ่งมีภาพจักรพรรดิออกัสตัสแห่งโรมันอยู่บนเหรียญ หน่วยงานด้านโบราณวัตถุของอิสราเอลระบุว่า เหรียญดังกล่าวถูกสร้างขึ้นโดยจักรพรรดิทราจัน ในปีค.ศ. 107 อันเป็นส่วนหนึ่งของชุดเหรียญที่ระลึกที่อุทิศแด่จักรพรรดิโรมันที่ปกครองบ้านเมืองก่อนหน้านั้น เหรียญทองคำนี้ถือเป็นเหรียญที่ 2 ที่มีการค้นพบในโลก โดยเหรียญแรกถูกพบโดย Laurie Rimon ในชุมชน Kfar Blum ทางตอนเหนือของอิสราเอล ระหว่างการเดินป่าของเขาในพื้นที่ทางตะวันออกของแคว้นกาลิลี ปัจจุบันเหรียญดังกล่าวถูกจัดเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ Danny Syon นักสะสมเหรียญ ได้กล่าวว่าเหรียญที่ถูกพบนี้ "เป็นของหายากซึ่งมีความสำคัญระดับโลก ในทางกลับกัน เราก็ได้เห็นสัญลักษณ์ของกองทัพโรมัน อยู่ถัดจากชื่อของผู้ปกครองทราจันบนเหรียญ แทนที่จะเป็นภาพของจักรพรรดิทราจัน และในกรณีเช่นนี้ที่พบเห็นได้บ่อย ก็จะมีภาพของจักรพรรดิออกัสตัสปรากฏอยู่"Donald T. Ariel หัวหน้าภัณฑารักษ์ด้านเหรียญโบราณประจำหน่วยงาน เชื่อว่าเหรียญนี้อาจสะท้อนให้เห็นถึงการมีอยู่ของกองทัพโรมันกว่า 2,000 ปีก่อน และอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของความพยายามเพื่อปราบปรามกลุ่มก่อการร้ายชาวยิวในแคว้นกาลิลี ซึ่งข้อมูลทางประวัติศาสตร์ได้อธิบายถึงช่วงเวลาดังกล่าวว่า ทหารโรมันบางส่วนได้รับเงินเดือนสูง โดยได้รับเป็นเหรียญทองคำถึง 3 เหรียญ ซึ่งมีมูลค่าเท่ากับเหรียญเงิน 75 เหรียญ และด้วยมูลค่าที่สูงเช่นนี้ ทำให้เหล่าทหารไม่สามารถซื้อสินค้าตามท้องตลาดด้วยเหรียญทองได้ เพราะพ่อค้าแม่ค้าไม่สามารถให้เงินทอนแก่พวกเขาได้ ส่วนเหรียญจักรพรรดิทราจันที่เป็นเหรียญบรอนซ์และเงินนั้นสามารถพบเห็นได้ทั่วไป ซึ่งเหรียญทองคำนี้เป็นของที่หาได้ยากมาก จักรพรรดิจักรพรรดิทราจัน หรือจักรพรรดิไตรยานุส (Marcus Ulpius Nerva Traianus) ประสูติเมื่อ วันที่ 18 กันยายน ค.ศ.53 เป็นจักรพรรดิโรมันเมื่อ ค.ศ.98 ถึง ค.ศ.117 พระองค์เป็นจักรพรรดิองค์ที่สามใน ห้าจักรพรรดิผู้ทรงธรรม นอกจากจะปกครองจักรวรรดิได้อย่างดีเยี่ยมแล้ว ในด้านการทหารพระองค์ก็มีความสามารถไม่แพ้กัน พระองค์เป็นที่รู้จักดีในการพิชิตดาเซีย ร่วมถึงการรบกับจักรวรรดิพาร์เทีย อาณาเขตของจักรวรรดิในรัชสมัยของพระองค์นั้นถือได้ว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยมีอาณาเขตจากกาลิเซีย ไปจนถึงเมโสโปเตเมีย

Read More

21/06/2562

เหรียญทองคำโคะบัง จากสมัยเอโดะ


เมื่อ 60 ปีก่อนมีการขุดค้นพบเหรียญทองคำ 3 แบบจากช่วงศตวรรษที่ 17 และ 18 ได้จากพื้นที่ก่อสร้างแห่งหนึ่งในย่านกลางเมืองของกรุงโตเกียว เหรียญทองคำเหล่านี้คือเหรียญทองคำโคะบังจากสมัยเอโดะ มีเชื่อว่าเหรียญทองคำเคโจ เหรียญทองคำโชโตกุ และเหรียญทองคำเคียวโฮ เป็นเหรียญทองคำที่ยังคงความแวววาวเหมือนเมื่อแรกผลิต ที่แม้เวลาจะผ่านไปนานหลายศตวรรษก็ตาม แสดงให้เห็นความพยายามของรัฐบาลในขณะนั้นในการรักษาความเชื่อใจของสาธารณชนต่อเหรียญทองคำเหล่านี้โคะบังคือเหรียญกษาปณ์ที่โทะกุงะวะ อิเอะยะซุ ผลิตออกมาใช้ทันทีหลังจากเข้าครองอำนาจเมื่อต้นศตวรรษที่ 17 โคะบังผลิตด้วยมือในโรงกษาปณ์ที่มีการควบคุมอย่างเข้มงวด เหรียญกษาปณ์เหล่านี้มีสีทองเหลืองอร่ามและปรากฏลวดลายกับตราประทับหลากหลายรูปแบบ แม้เวลาล่วงเลยผ่านไปหลายศตวรรษ โคะบังก็คงความสุกปลั่งไม่ต่างจากยุคอดีตเมื่อแรกผลิต สิ่งนี้สื่อถึงความมุ่งมั่นของระบอบโชกุนในการผลิตเหรียญกษาปณ์ซึ่งเป็นที่เชื่อถือไว้วางใจและหมุนเวียนใช้งานทั่วประเทศเหรียญทองคำโคะบัง 208 เหรียญถูกขุดพบในย่านกินซา ตอนกลางของกรุงโตเกียวเมื่อปี 1956 ไม่มีรายงานการค้นพบว่า ผู้ที่ฝังเหรียญทองคำเหล่านั้นไว้เป็นใคร ทั้งนี้ประวัติศาสตร์การผลิตเหรียญกษาปณ์ของญี่ปุ่นเริ่มขึ้นเมื่อศตวรรษที่ 7 แต่หลังศตวรรษที่ 10 ไม่มีการใช้งานเหรียญกษาปณ์ที่ผลิตโดยรัฐบาลกลางเป็นเวลายาวนาน ผู้คนใช้ผ้าไหมและข้าวแทนเงิน หรือใช้เหรียญของจีน แต่มีการผลิตเหรียญที่ระลึกในวโรกาสต่างๆ ล่าสุดคือ เหรียญที่ระลึกเนื่องในโอกาสสมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะเสด็จขึ้นครองราชย์เหรียญที่ระลึกนี้มี 2 ประเภท ประเภทแรกคือเหรียญที่ทำจากทองคำบริสุทธิ์ ซึ่งมีมูลค่าหน้าเหรียญ 10,000 เยน และเหรียญที่ทำด้วยโลหะทองแดงผสม มีมูลค่าหน้าเหรียญ 500 เยน โดยจะมีการผลิตเหรียญทองคำ 50,000 เหรียญ และเหรียญทองแดง 5 ล้านเหรียญเหรียญทองคำด้านหน้าเป็นรูปหงส์สยายปีก ขณะที่ด้านหลังของเหรียญเป็นตราสัญลักษณ์ดอกเบญจมาศ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของราชวงศ์ญี่ปุ่นส่วนเหรียญทองแดงด้านหน้าเป็นภาพพระราชบัลลังก์ของสมเด็จพระจักรพรรดิที่เรียกว่า ทากามิกูระ พระราชบัลลังก์นี้ใช้ในโอกาสพิเศษในพระราชพิธีเสด็จขึ้นครองราชย์ ขณะที่ด้านหลังของเหรียญเป็นตราสัญลักษณ์ดอกเบญจมาศเช่นกัน

Read More

21/06/2562

พบเหรียญทองคำอายุ 900 ปี ในอิสราเอล


เมื่อปลายปีก่อน(2561) เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานด้านโบราณวัตถุแห่งประเทศอิสราเอลได้ประกาศว่ามีการค้นพบสมบัติโบราณล้ำค่า เป็น เหรียญทองคำหายากจำนวน 24 เหรียญและต่างหู 1 ข้าง บรรจุอยู่ในกระปุกทรงกระบอกที่ทำด้วยสัมฤทธิ์ บริเวณท่าเรือเมดิเตอร์เรเนียนโบราณของเมืองซีซาเรีย (Caesarea) ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของอิสราเอล เหรียญทองคำและต่างหูดังกล่าวถูกระบุว่ามีอายุเก่าแก่ประมาณ 900 ปี ตรงกับช่วงที่เกิดสงครามครูเสดขึ้นในดินแดนแห่งนี้ เจ้าหน้าที่ชุดสำรวจสันนิษฐานว่าเจ้าของกระปุกเหรียญน่าจะนำมาซ่อนไว้ให้พ้นจากนักรบครูเสด โดยกระปุกใบนี้ถูกซุกซ่อนไว้ระหว่างก้อนหิน 2 ก้อนที่อยู่ด้านข้างบ่อในบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งสมบัติเหล่านี้ช่วยให้ย้อนกลับไปในสมัยจักรวรรดิอับบาซิด (Abbasid) และจักรวรรดิฟาติมิด (Fatimid) ในช่วงปลายศตวรรษที่ 11 โดยเชื่อมโยงกับสงครามครูเสดซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่น่าทึ่งที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ยุคกลางของเมืองซีซาเรีย ทีมนักโบราณคดีกล่าวว่า เจ้าของเหรียญทองคำชุดนี้น่าจะเป็นชาวเมืองซีซาเรียที่อาจเสียชีวิตจากการถูกสังหารหมู่โดยกองทัพของกษัตริย์บอลด์วินที่ 1 ระหว่างสงครามครูเสด ในปี พ.ศ. 1644 (ค.ศ. 1101) การค้นพบนี้มีขึ้นระหว่างการขุดค้นทางโบราณคดี เพื่ออนุรักษ์พื้นที่ตามโครงการมรดกโลกซีซาเรีย (Caesarea World Heritage) จุดที่พบอยู่ไม่ไกลจากบริเวณที่เคยพบขุมทรัพย์ในยุคเดียวกัน 2 แห่ง หม้อสำริดบรรจุทองคำและอัญมณี เมื่อคริสต์ทศวรรษ 1960 และเรือสำริดในทศวรรษ 1990 และเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2014 ทีมนักดำน้ำสมัครเล่นชาวอิสราเอลยังได้ค้นพบขุมทรัพย์ทองคำขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยพบมาโดยบังเอิญ บริเวณทะเลนอกชายฝั่งเมดิเตอร์เรเนียน เป็นเหรียญทองคำเก่าแก่ อายุราว 1,000 ปี จำนวนกว่า 2,000 เหรียญ น้ำหนักรวมประมาณ 8 กก. สำนักงานโบราณวัตถุแห่งอิสราเอล ตรวจสอบแล้วพบว่าเหรียญทองคำดังกล่าวผลิตขึ้นในยุคคอลิฟะอัล-คิม แห่งราชวงศ์อิสลามฟาติมิด ซึ่งปกครองดินแดนแถบตะวันออกกลางประมาณศตวรรษที่ 11 และเมื่อนำเหรียญมาเทียบกับมูลค่าทองในปัจจุบันคิดเป็นเงินได้ราว 240,000 แสนดอลลาร์สหรัฐฯหรือประมาณ 7.68 ล้านบาท แต่มูลค่าทางประวัติศาสตร์มีมากจนไม่อาจประเมินได้ปัจจุบันทรัพย์สมบัติทั้งหมด ถูกจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติอิสราเอล ในกรุงเยรูซาเลม

Read More

21/06/2562

สุวรรณภูมิดินแดนแห่งทองคำ


สุวรรณภูมิ แปลตามรากศัพท์ได้ว่า ดินแดนแห่งทองคำ ชื่อนี้เป็นคำเรียกขานที่พวกพ่อค้าทั้งตะวันออกและตะวันตกดินใช้เรียกแดนที่เป็นแผ่นดินใหญ่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อเดินทางมาติดต่อแลกเปลี่ยนค้าขายกับชนพื้นเมืองที่นี่เมื่อประมาณ 2,500 ปีก่อน แต่ไม่มีการบันทึกถึงเหตุผลที่ชัดเจนว่าทำไมจึงเรียกดินแดนนี้ว่า สุวรรณภูมิ ปัจจุบันนักวิชาการจึงได้วิเคราะห์ถึงที่มาของชื่อสุวรรณภูมิไว้ 3แนวทาง คือ หนึ่ง สุวรรณภูมิ ที่หมายถึงดินแดนที่มีแร่ทองคำอุดมสมบูรณ์ เนื่องจากทองคำเป็นสิ่งหายาก ทำให้พ่อค้าอยากมาค้าขายเพื่อแสวงหาทองคำไปด้วย หรือสองอาจเป็นไปได้ว่าที่นี่เป็นแหล่งผลิตเครื่องใช้สำริดซึ่งมีส่วนผสมของดีบุกในปริมาณสูง เลยมีผลให้วัตถุมีผิวสีเหลืองคล้ายทอง จึงมีการเปรียบเปรยว่าที่นี่เป็นดินแดนแห่งทอง หรือสามเป็นการเรียกในเชิงเปรียบเทียบ หรือมีนัยถึงความอุดมสมบูรณ์ เนื่องจากดินแดนแถบนี้อุดมไปด้วยทรัพยากรต่างๆ ทั้งแร่ธาตุและของป่านานาชนิดซึ่งจัดเป็นสินค้าราคาแพง ทำให้บรรดาพ่อค้าที่เข้ามาค้าขายต่างร่ำรวยกลับไปเมื่อพิจารณาจากทั้งหมดแล้ว 3 แนวทางจะเห็นว่าการเรียกดินแดนแห่งนี้ว่าสุวรรณภูมิหรือดินแดนแห่งทองคำ ก็ดูจะไม่เกินจริงนักเพราะหากดูสภาพภูมิประเทศและทรัพยากรของดินแดนนี้ที่แผ่นดินใหญตั้งอยู่ทางตะวันออกของประเทศอินเดียและอยู่ทางทิศใต้ของประเทศจีนและอยู่ติดทะเล ทำให้เกือบทุกประเทศที่อยู่บนแผ่นดินใหญ่ คือ พม่า ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ กัมพูชา และเวียดนาม มีพื้นที่ส่วนหนึ่งติดทะเลซึ่งสามารถติดต่อกับโลกภายนอกทางทะเลได้โดยสะดวก มีแผ่นดินที่มีลักษณะเป็นแหลมใหญ่ยาว ยื่นลงไปในทะเล ประกอบด้วยคาบสมุทรพม่า คาบสมุทรมลายู และคาบสมุทรอินโดจีน ส่วนทรัพยากรธรรมชาตินั้น ดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ถือเป็นแหล่งทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์และสำคัญแห่งหนึ่งของโลก โดยเฉพาะเครื่องเทศและของป่าซึ่งเป็นที่ต้องการของชาวตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นพืชพรรณไม้เศรษฐกิจและของป่านานาชนิด ได้แก่ ไม้เนื้อหอมอย่างไม้ฝาง ไม้กฤษณา หรือจำพวกไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้สัก ไม้แดง ไม้รัง ไม้ประดู่ เป็นต้น สมุนไพร เครื่องเทศ เช่น พริกไทย กานพลู ลูกจันทร์ หรือเป็นผลิตผลจากป่า อย่างนอแรด ครั่ง งาช้าง หนัง-เขา-กระดูกสัตว์ ขนนก ขนเม่น เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีแร่ธาตุที่สำคัญอีกหลายชนิด เช่น ทองคำ เงิน ดีบุก ตะกั่ว เหล็ก ทองแดง เพชร พลอย ฯลฯด้วยสภาพภูมิประเทศที่เอื้ออำนวย ตลอดจนความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ บริเวณเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จึงเป็นดินแดนที่ดึงดูดพ่อค้าและผู้คนจากทั่วโลกให้เดินทางเข้ามาค้าขายแลกเปลี่ยนและสัมผัสดินแดนแห่งความมั่งคั่งนี้มิได้ขาด จนเกิดคำเรียกและกลายเป็นดินแดนที่มีชื่อเสียงปรากฏในเอกสารทั้งของโลกตะวันตกและตะวันออกว่า “สุวรรณภูมิดินแดนแห่งทองคำ”

Read More

21/06/2562

สามเหลี่ยมทองคำแห่งอินเดีย


สามเหลี่ยมทองคำแห่งอินเดีย บางคนเรียกว่า 3 อัญมณีแห่งอินเดียประกอบไปด้วยเมืองซึ่งเป็นแหล่งอารยธรรมอินเดียโบราณมาจนถึงปัจจุบันอันได้แก่ นิวเดลี อัครา และ ชัยปุระ เนื่องจากเมืองทั้งสามอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน การเดินทางไปยังทั้ง 3 เมืองมีลักษณะเป็นเหมือนสามเหลี่ยม ซึ่งเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางไปเที่ยวชมเมืองที่อยู่บนแต่ละมุมของสามเหลี่ยม จึงทำให้ทั้งสามเมืองนี้ถูกเรียกว่า “สามเหลี่ยมทองคำแห่งอินเดีย” หรือGolden Triangle of India นิวเดลี (New Delhi) เมืองหลวงของอินเดีย เป็นที่ตั้งของสถานที่ราชการ รัฐสภา ศูนย์กลางการปกครองต่าง ๆ และสถานทูต แลนด์มาร์คสำคัญมากมาย เช่น ประตูเมืองอินเดีย หรือIndia Gate สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ทหารที่พลีชีพในสงครามครั้งสำคัญๆ ป้อมแดง หรือ Red Fort คนอินเดีย เรียกที่นี่ว่า ลาล ขีลา ป้อมปราการที่จักรพรรดิชาห์ จาฮาน แห่งราชวงศ์โมกุล ทรงให้สร้างขึ้นเพื่อให้เป็นหัวใจของนครซาห์ชาฮานาบัด เมื่อปี 1639 ชื่อป้อมแดงมาจากเนินทรายสีแดงที่ใช้ก่อสร้าง หรือที่เรียกว่า Lal Gila ภายในเป็นพระราชวังของชาห์ จาฮาน (ผู้สร้างทัชมาฮาล) ผนังห้องงดงามด้วยหินสีต่างๆที่ถูกฝังลงไป มีราชบัลลังก์นกยูง เป็นทองคำแท้ ฝังด้วยเพชร จารึกอักษรข้อความ “If there is a paradise on earth it is this, it is this, it is this” เป็นประโยคคลาสสิกที่ตรึงใจใครหลายคนอัครา (Agra) เมืองนี้คือที่ตั้งของอนุสรณ์สถานแห่งความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก นั่นคือ ทัชมาฮาล(Taj Mahal) อนุสรณ์แห่งความรักที่พระเจ้าชาห์ จาฮาน ทรงสร้างขึ้นเพื่อเป็นสุสานของพระมเหสีผู้เป็นที่รัก และถูกยกย่องว่าเป็นอนุสรณ์แห่งความรักที่สวยงามที่สุดในโลก อัครา อยู่ห่างจากเดลลีประมาณ 200กิโลเมตร ที่นี่เคยเป็นเมืองหลวงของอินเดียในช่วงศตวรรษที่ 16 ตั้งอยู่ริมแม่น้ำพรหมบุตร หรือแม่น้ำยมุนา เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ของอินเดีย ที่เมืองนี้ยังมี ป้อมอัครา (Agra Fort)ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี 1983 ด้วยความงามที่เป็นเอกลักษณ์ ผสมผสานกับความยิ่งใหญ่ของสิ่งก่อสร้างที่เป็นศิลปะเฉพาะตัวของราชวงศ์โมกุล และยังแสดงถึงการรวมธรรมเนียมประเพณีของศาสนาอิสลาม และฮินดูเข้าด้วยกันผ่านรายละเอียดของสถาปัตยกรรมต่าง ๆ ชัยปุระ (Jaipur) เมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของรัฐราชสถาน ได้รับขนานนามว่าเป็น “นครสีชมพู”เนื่องจากในปี 1876 มหาราช ซาราม ซิงห์ (Maharaja Ram Singh) ได้มีรับสั่งให้ประชาชนทาสีชมพูทับบนสีปูนเก่าของบ้านเรือนตนเอง เพื่อต้อนรับการมาเยือนของเจ้าชายแห่งเวลส์ (Prince of Wales) มกุฎราชกุมารของอังกฤษในขณะนั้น จนเป็นเอกลักษณ์ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั้งโลก ชัยปุระเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมงดงามมากมาย เช่น ฮาวามาฮาล (Hawa Mahal) หรือที่ พระราชวังแห่งสายลม (Palace of the Winds) ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของเมือง สร้างจากหินทรายสีแดงและสีชมพู สูง 5 ชั้น มีหน้าต่างฉลุช่องลมสีชมพูอมส้ม 953 ช่องจนดูเหมือนรังผึ้ง หน้าต่างฉลุลวดลายนี้มีไว้เพื่อให้นางในวังมองทะลุมาเห็นชีวิตนอกวังได้ สามเหลี่ยมทองคำแห่งอินเดีย จึงเป็นเป้าหมายของนักท่องเที่ยวที่ปรารถนามาเห็นให้ได้ด้วยตาตัวเองสักครั้ง

Read More

21/06/2562

มือถือทองคำ รางวัลสำหรับแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 6 สมัย


บริษัท iDesign Gold บริษัทสัญชาติอเมริกัน ที่จะเข้ามาเป็นพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจกับสโมสรลิเวอร์พูลที่คว้าแชมป์ยุโรปได้เป็นสมัยที่ 6ในฤดูาลหน้า ได้ผลิตเคสไอโฟนทองคำรุ่นลิมิเต็ดเอดิชันเพื่อมอบเป็นของขวัญให้กับบรรดานักเตะลิเวอร์พูลและเจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีมชาวเยอรมันก็ได้รับของขวัญพิเศษนี้ด้วยเช่นกัน เคสมือถือรุ่นพิเศษนี้ผลิตจากทองคำ 24 กะรัต มูลค่า 3,500 ปอนด์หรือราว 143,500 บาท ด้านหลังสลักชื่อและเบอร์เสื้อของนักเตะแต่ละคนไว้ ตามด้วยโลโก้ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และโทรฟี่ "บิ๊กเอียร์" ทั้งนี้เพื่อให้แข้งลิเวอร์พูลได้หวนรำลึกถึงความยิ่งใหญ่ที่พวกเขาสร้างขึ้นในครั้งนี้ เคสมือถือทองคำนี้มาพร้อมกับโทรศัพท์มือถือ iPhone Xs โดยนักเตะหงส์แดงที่มีชื่อลงเล่นในบอลยุโรป 27 คนและเยอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีมคือผู้ที่ได้เป็นเจ้าของของขวัญสุดล้ำค่าชิ้นนี้ ทั้งนี้ ทัพ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูลทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมเมื่อปราบบาร์เซโลนาลงได้ในรองรองชนะเลิศ และในรอบชิงชนะเลิศก็ยังสามารถเอาชนะ"ไก่เดือยทอง" ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ได้อย่างสวยงาม2-0 ที่ว่านต๋า เมโทรโปลิตาโน่ รังเหย้าของทัพ"ตราหมี" แอตเลติโก มาดริด ในกรุงมาดริด ประเทศสเปน เมื่อวันเสาร์ที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา สำหรับ ไอดีไซน์ โกลด์( iDesign Gold) นั้นถือเป็นผู้เชี่ยวชาญในการออกแบบเคสมือถือ และไอโฟนรุ่นพิเศษที่ทำจากทองคำ ซึ่งแน่นอนลูกค้าส่วนใหญ่ของพวกเขาก็คือบรรดาพ่อค้าแข้งดังทั่วยุโรป และเหล่านักธุรกิจที่มีเงินเหลือใช้ โดยบริษัท ได้เคยส่งมอบ iPhone XS ให้กับนักเตะปัจจุบันและอดีตตำนานนักเตะของทีม Liverpool มาแล้วอย่าง Jamie Carragher และ Steven Gerrard สำหรับรายชื่อทั้ง 28 คนที่ได้รับไอโฟนทองคำคือ เยอร์เกน คลอปป์, 3 ฟาบิญโญ, 4 เฟอร์กิล ฟาน ไดค์, 5 จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม, 6 เดยัน ลอฟเรน, 7 เจมส์ มิลเนอร์, 8 นาบี เกอิตา, 9 โรแบร์ตโต เฟอร์มิโน, 10 ซาดิโอ มาเน, 11 โมอาเหม็ด ซาลาห์, 12 โจ โกเมซ, 13 อลิสสัน เบคเกอร์, 14 จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, 15 เดเนียล สเตอร์ริดจ์, 18 อัลเบร์โต โมเรโน, 20 อดัม ลัลลานา, 21 อเล็กซ์ ออกซ์เลด-แชมเบอร์เลน, 22 ซิมง มินโญเลต์, 23 เซอร์ดัน ชากิรี, 24 ไรอัน บริวสเตอร์, 26 แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน, 27 ดีว็อค โอริกี, 32 โจเอล มาติป, 48 เคอร์ติส โจนส์, 58 เบน วูดเบิร์น, 62 คีวิน เคลเลเฮอร์, 64 ราฟาเอล คามาโช, 66 เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์

Read More

21/06/2562

อัศวินแห่งขนแกะทองคำ (Knight of the Golden Fleece)


เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2549 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชรัชการที่ ๙ (พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช) ทรงรับถวายเครื่องราชอิสริยาภรณ์ขนแกะทองคำ สายสเปนจากสมเด็จพระราชินีโซเฟียแห่งสเปน ในวโรกาสเฉลิมฉลองทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี พระองค์จึงทรงเป็น “อัศวินแห่งขนแกะทองคำ (Knight of the Golden Fleece)” พระองค์ที่ 193 ของสายนี้ และนับเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ยุโรปเครื่องสุดท้ายที่ได้รับการถวายเครื่องราชอิสริยาภรณ์ขนแกะทองคำ“Order of the Golden Fleece” ( อ่านว่า ออเดอร์ ออฟ เดอะ โกลเด้น ฟลีส) คือหนึ่งในเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เป็นเครื่องประดับเกียรติที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานและทรงคุณค่าอย่างยิ่ง ซึ่งประวัติศาสตร์ของเครื่องราชอิสริยาภรณ์นี้สามารถย้อนไปได้ถึงในปีค.ศ.1430 เมื่อฟิลิป ดยุคแห่งเบอร์กันดีเสกสมรสกับเจ้าหญิงโปรตุเกส และได้สถาปนาเครื่องราชอิสริยาภรณ์นี้ขึ้น หลังจากนั้นมีการแต่งงานระหว่างราชวงศ์ต่างๆ การขยายตัวของจักรวรรดิสเปน และจักรวรรดิแฮปสเบิร์กส่งผลให้เกิดสงครามสืบราชบัลลังก์สเปนขึ้น จนราชวงศ์แตกออกเป็นสองสายคือ สายสเปน และสายออสเตรียเครื่องราชอิสริยาภรณ์ขนแกะทองคำ สายออสเตรีย (ภาษาเยอรมัน Orden vom Goldenen Vlies อ่านว่า ออร์เด็น ฟอม โกลเดเน็น ฟลียส์) จะยึดธรรมเนียมการพระราชทานอย่างเคร่งครัด คือสงวนไว้สำหรับผู้ที่เป็นคริสต์ศาสนิกชน นิกายโรมันคาธอลิคเท่านั้น ปัจจุบัน พระประมุขเครื่องราชอิสริยาภรณ์ขนแกะทองคำ สายออสเตรีย คือ อาร์คดยุคคาร์ลแห่งออสเตรีย พระประมุขแห่งพระราชวงศ์ฮับส์วร์ก พระองค์ปัจจุบันสำหรับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ขนแกะทองคำ สายสเปน (ภาษาสเปน Orden del Toisón de Oro อ่านว่า ออร์เดน เดล โตยโซ่น เด โอโร่) จะมีการพระราชทานให้แก่ผู้ที่เป็นคริสต์ศาสนิกชนหรือไม่ก็ได้ เพื่อสรรเสริญเชิดชูผู้ที่ประกอบคุณงามความดีอันควรค่าแก่การยกย่องและจดจำสืบต่อไป พระประมุขเครื่องราชอิสริยาภรณ์ พระองค์ปัจจุบันคือ สมเด็จพระราชาธิบดีเฟลิเป้ที่ 6 พระมหากษัตริย์แห่งสเปนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ขนแกะทองคำนี้ไม่ใช่ของที่หาชมได้ง่ายๆ โดยลำดับชั้นที่สมเด็จพระราชินีโซเฟียพระราชทานให้ในหลวงในนามของสมเด็จพระราชาธิบดีฮวน คาร์ลอส นั้นถือเป็นลำดับสูงสุด ครบชุด ในระดับเดียวกับที่พระราชทานให้ประมุขหลายราชวงศ์ รวมถึงประธานาธิบดีของประเทศต่างๆ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำไมแม้แต่คณะผู้ติดตามจากสเปนจึงสนใจอยากเห็นเป็นบุญตาเครื่องราชอิสริยาภรณ์ขนแกะทองคำ มีลักษณะเป็นสายสร้อยคอ มีจี้เป็นรูปแกะทองคำ ร้อยอยู่กับสายสร้อย สายสร้อยนั้นมีลายเป็นรูปตัวบีอันหมายถึงแคว้นเบอร์กันดี และไม่มีการประดับเพชรพลอยใดๆเมื่อแรกสถาปนากำหนดอัตราของผู้ที่ได้รับไว้ 24 คน และเพิ่มขึ้นเป็น 50 คนในปัจจุบัน และเฉพาะคาร์ทอลิกหรือประมุขต่างประเทศเท่านั้นที่จะสามารถรับได้

Read More

11/06/2562

แหวนทองคำใหญ่ที่สุดในโลก ที่ดูไบ


แหวนทองคำใหญ่ที่สุดในโลก ที่ดูไบ"นาจมา ไตบา (Najmat Taiba)" หรือ "Star of Taiba" เป็นชื่อของแหวนทองคำขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ที่จัดแสดงอยู่ที่ "คานซ์ จิวเวลส์" ร้านจิวเวลรี่ที่ตั้งอยู่ในตลาดทองย่านเดียร์ร่า (เดียร์ร่า โกลด์ ซุก) เพื่อโปรโมทสินค้า และหวังเรียกลูกค้าเข้าร้าน พร้อมใบรับรองจากกินเนสส์ บุ๊ค ว่าเป็นแหวนทองคำที่มีขนาดแต่ข้อควรระวังคือ ทองคำและอัญมณีไม่มีการแสดงราคาให้เห็น ดังนั้นผู้ซื้อควรจะต้องมีความรู้และมีทักษะในการเลือกสินค้าและต่อรองราคาด้วยใหญ่ที่สุดในโลกน่าแปลกที่แหวนทองคำวงนี้ซึ่จัดแสดงอยู่ในตลาดทองคำดูไบ แต่กลับผลิตโดยร้านจิวเวลรี่ในประเทศซาอุดิอาระเบียที่มีชื่อว่า "ไตบา (Taiba)" เมื่อปี ค.ศ. 2000 (พ.ศ. 2543) ซึ่งต้องใช้ช่างฝีมือถึง 55 คน ทำงานต่อเนื่องวันละ 10 ช.ม. เป็นเวลานานถึง 45 วันจึงแล้วเสร็จ โดย"แหวนทองคำใหญ่ที่สุดในโลก" วงนี้ มีเส้นผ่าศูนย์กลาง ที่วัดจากขอบด้านใน 490 มิลลิเมตร เส้นรอบวง 2,200 มิลลิเมตร และมีน้ำหนักมากถึง 63.85 กิโลกรัม ผลิตจากทองคำ 21 กะรัต น้ำหนัก 58.7 กิโลกรัม ประดับด้วยคริสตัลชวารอฟสกี้ 615 เม็ดน้ำหนักรวมมากถึง 5.17 กิโลกรัม ในช่วงปี ค.ศ. 2000 ที่ทำการผลิตแหวนวงนี้มีมูลค่า 547,000 ดอลลาร์หรือเกือบ 17 ล้านบาท แต่ปัจจุบันมีมูลค่าสูงกว่า 3 ล้านดอลล่าร์หรือกว่า 90 ล้านบาทเลยทีเดียว Gold Souk เป็น ตลาดทองรูปพรรณที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในตะวันออกกลาง บนถนนสายแคบๆและตามตรอกซอกซอย ตระการตาไปด้วยเครื่องประดับที่ทำจากทอง ทองคำขาว และเพชร จากร้านจิวเวอรี่นับร้อยร้าน ซึ่งทองคำที่นี่มีค่าความบริสุทธิอยูที่ 21-24 กะรัต และไม่ตำกว่า 18 กระรัต และทองคำที่นี่มีราคาถูกที่สุดในโลก เพราะเป็นสินค้าปลอดภาษี นอกจากนี้ยังสามารถซื้อทองคำแท่งเพื่อการลงทุนได้ด้วย แต่ข้อควรระวังคือ ทองคำและอัญมณีไม่มีการแสดงราคาให้เห็น ดังนั้นผู้ซื้อควรจะต้องมีความรู้และมีทักษะในการเลือกสินค้าและต่อรองราคาด้วยGold Souk เปิดทุกวัน เวลา 10.00 - 22.00 น. แต่จะปิดช่วง 13.00 - 16.00 น. และในวันศุกร์จะเปิดเวลา 16.00 น.

Read More

11/06/2562

ทองคำ vs ดอลลาร์


ทองคำ vs ดอลลาร์รายงานประจำปีของ Metals Focus องค์กรที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องอัญมณีและโลหะมีค่า ระบุถึงปริมาณความต้องการของทองคำในปีนี้ ว่าจะสูงขึ้นไปถึง 4,370 ตันเป็นอย่างน้อยหรือสูงสุดในรอบ4 ปีนับจากปี ค.ศ. 2015 เป็นต้นมา สิ่งที่ทำให้มูลค่าทองคำโดยเฉพาะ"ทองคำแท่ง" สูงขึ้นมาโดยตลอดไม่น้อยกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ ก็คือการเทขายพันธบัตรเงินดอลลาร์และหันมากวาดซื้อทองคำหรือทองแท่งชองอเมริกาและรัสเซียนั่นเองรัสเซีย กลายเป็นประเทศที่มีทองคำสำรองสูงเป็นอันดับ 5 แซงหน้าจีนไปเมื่อตั้งแต่ปีที่แล้วคือมีทองคำสำรองอยู่ที่ประมาณ 2,150 ตัน ไม่ห่างจากอันดับ 4 คือฝรั่งเศสที่มีสำรองทองคำอยู่ที่ 2,436 ตัน และอิตาลีอันดับที่ 3 ซึ่งมีทองคำสำรองอยู่ที่ 2,451.8 ตัน โดยในระยะ 5 ปีที่ผ่านมาธนาคารกลางของรัสเซียเพิ่มปริมาณทองคำสำรองโดยเฉลี่ยไม่น้อยกว่าปีละ 200 ตันเฉพาะแค่ช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้รัสเซียกว้านซื้อทองคำแท่งเข้าไปเก็บเป็นทุนสำรองแล้วถึง 37 ตัน ขณะเดียวกันรัสเซียก็เทขายพันธบัตรดอลลาร์ ไปจำนวนมากเหลือไว้เพียงแค่ 22 เปอร์เซ็นต์ของทุนสำรองทั้งหมดเท่านั้น ทั้งนี้เพราะประธานาธิบดีรัสเซียเชื่อว่า การนำเอาเงินดอลลาร์ไปใช้อย่างผิดวัตถุประสงค์ หรือนำไปใช้เป็น "เครื่องมือทางการเมือง" ของรัฐบาลสหรัฐฯ นั้น สุดท้ายจะนำไปสู่การล่มสลายของเงินดอลลาร์ เมื่อถึงเวลานั้นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุดอย่าง "ทองคำ" นั่นเอง นายเดวิด เคลลี นักยุทธศาสตร์การเงินระดับโลก เชื่อว่าการเสื่อมค่าของเงินดอลลาร์นั้น อาจมีโอกาสเกิดขึ้นถ้าหากอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปี 2019 ชะลอตัวอยู่ที่ระดับ 2 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่กาเบรียลา ซานโตส นักยุทธศาสตร์การเงินอีกรายหนึ่งได้ตั้งสมมติฐานเอาไว้ว่า ถ้าหาก 1. ธนาคารกลางสหรัฐฯ ไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 2. เศรษฐกิจอเมริกาชะลอตัว และ 3. เสถียรภาพความมั่นคงของโลกยังไม่ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นบ้าง สิ่งที่เราจะได้เห็นก็คือการเสื่อมของเงินดอลลาร์ครั้งร้ายแรง และเมื่อนั้นทองคำก็จะกลายเป็นที่ต้องการทั่วโลก ถึงขณะนี้สถานการณ์นั้นยังไม่เกิดขึ้นแต่ก็มีสัญญาณไม่ดีเมื่อตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐฯเมื่อปี2018 พุ่งขึ้นไปถึง 621,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 12.5 เปอร์เซ็นต์ หรือสูงสุดในรอบ 10 ปี ตัวเลขการว่างงานที่เพิ่มขึ้นจาก 3.5 เป็น 3.7 ในปีนี้ และอาจถึง 3.8-3.9 ในปีถัดๆ ไป อันเป็นตัวบ่งชี้ถึงการชะลอตัวทางเศรษฐกิจได้อย่างเห็นได้ชัด ขณะที่เสถียรภาพความมั่นคงของโลกก็ยิ่งไม่แน่นอนจากนโยบายที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของประธานาธิบดีทรัมป์ ด้วยเหตุนี้ทองคำจึงน่าจะมั่นคงปลอดภัยกว่าดอลลาร์เป็นไหนๆขอขอบคุณข้อมูลจาก : ผู้จัดการรายวัน 360 องศา

Read More

11/06/2562

รัสเซีย ขึ้นอันดับหนึ่ง ตุนทองคำมากที่สุดในโลก


รัสเซีย ขึ้นอันดับหนึ่ง ตุนทองคำมากที่สุดในโลก รัสเซียยังคงเคลื่อนไหวต่อเนื่องในตลาดทองคำ ล่าสุดสภาทองคำโลก (World Gold Council) ได้เปิดเผยในรายงานแนวโน้มความต้องการทองคำ (Gold Demand Trends) ฉบับล่าสุดว่ารัสเซียเป็นผู้ซื้อทองคำมากที่สุดในโลก แซงหน้าจีนไปแล้ว การซื้อทองคำมากที่สุดของรัสเซียนี้ ทำให้จีนตกลงมาอยู่อันดับสอง ตามด้วยอินเดีย ตุรกี และเม็กซิโกตามลำดับ นอกจากนี้ในรายงานแนวโน้มความต้องการทองคำ (Gold Demand Trends) ฉบับล่าสุดของสภาทองคำโลกยังระบุว่า ความต้องการทองคำทั่วโลกว่าขยายตัวสู่ระดับ 1,053.3 ตันในไตรมาสแรกของปี 2562 เพิ่มขึ้น 7% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว สำหรับปัจจัยที่ทำให้ความต้องการทองคำเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่มาจากการที่ธนาคารกลางยังคงเพิ่มการซื้อทองคำอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนได้แรงหนุนจากกองทุนรวม ETFs ที่อ้างอิงดัชนีราคาทองคำ (ETF : Exchange Traded Fundคือ กองทุนเปิดที่จดทะเบียนและซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์) ธนาคารกลางซื้อทองคำ 145.5 ตันในไตรมาส 1 เพิ่มขึ้น 68% จากช่วงเดียวกันของปี 2561และถือเป็นการเริ่มต้นปีที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่ปี 2556 การกระจายการลงทุนและความต้องการสินทรัพย์สภาพคล่องที่ปลอดภัยยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้แบงก์ชาติเข้าซื้อทองคำ ขณะที่ความต้องการทองรูปพรรณในไตรมาส 1 แตะที่ 530.3 ตัน ขยายตัว 1% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยได้แรงหนุนจากอินเดีย นอกจากนี้ราคาทองคำในสกุลเงินรูปีที่ถูกลงในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ถึงต้นเดือนมีนาคม ซื้อตรงกับเทศกาลแต่งงานที่ชาวอินเดียนิยมซื้อทองรูปพรรณเป็นสินสอดหรือของขวัญ ได้หนุนให้ความต้องการทองรูปพรรณในประเทศปรับตัวขึ้นเป็น 125.4 ตัน เพิ่มขึ้น 5%ในไตรมาส 1 นับตั้งแต่ปี 2558 สภาทองคำโลก ระบุว่า ความต้องการทองคำยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่อง อันเป็นผลมาจากการเพิ่มการถือครองทองคำของธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ เช่นเดียวกับกองทุน ETFs ที่เพิ่มการลงทุนในทองคำเมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2561 โดยการลงทุนในกองทุน ETFs ยุโรปทำสถิติสูงสุด สะท้อนให้เห็นว่า ปัจจัยการลงทุน ซึ่งได้แก่ อัตราผลตอบแทนติดลบของพันธบัตรรัฐบาลยูโรโซน ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ และความผันผวนของตลาดการเงิน จะยังคงสนับสนุนความต้องการลงทุนในทองคำต่อไป

Read More

11/06/2562

“ขุมทองแอฟริกา” กับปัญหาการค้าทองในตลาดมืด


“ขุมทองแอฟริกา” กับปัญหาการค้าทองในตลาดมืดมีการวิเคราะห์กันว่าในแต่ละปี ทองคำมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ ถูกลักลอบขนออกจากทวีปแอฟริกาผ่านสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือ ยูเออี ที่เป็นประตูทางผ่านทองคำไปสู่ตลาดในยุโรป อเมริกาเหนือ และประเทศอื่นๆทั่วโลก ข้อมูลด้านศุลกากรระบุว่า ในปี พ.ศ.2559 ยูเออีนำเข้าทองคำจากแอฟริกามีน้ำหนักรวมอยู่ที่ 446 ตัน มูลค่ากว่า 15,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว473,735 ล้านบาท ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่าในช่วง 10 ปี คือเพิ่มขึ้นจาก 67 ตัน มูลค่ารวม 1,300 ล้านดอลลาร์ หรือ40,785 ล้านบาท ในปี 2549 และที่สำคัญ ทองคำจำนวนมากเหล่านี้ไม่ได้ถูกบันทึกในการส่งออกของหลายประเทศในแอฟริกาแสดงให้เห็นว่าทองคำจำนวนมากออกจากทวีปแอฟริกาโดยไม่เสียภาษีให้ประเทศที่ผลิตแต่อย่างใด มีผลการศึกษาระบุออกมาอย่างชัดเจนว่ามีการค้าทองคำในตลาดมืดและการทำเหมืองแร่ทองคำที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายอยู่ทั่วไปในแอฟริกา ประชาชนจำนวนมากหลายล้านคนทั่วทวีปทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยการขุดหรือร่อนทองกันเองโดยไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจขนาดใหญ่ และแทบไม่ได้รับการควบคุมดูแลจากเจ้าหน้ารัฐแต่อย่างใด เรียกว่าการทำเหมืองแบบดั้งเดิม (Artisanal mining) ซึ่งมีรายได้ดีกว่าเป็นลูกจ้างในเหมืองที่ถูกกฎหมาย แต่การทำเหมืองแบบดั้งเดิมนี้ก่อให้เกิดปัญหาหนักทางด้านสิ่งแวดล้อม สารเคมีจากแร่หรือโลหะรั่วไหลเข้าสู่หิน ดินและแม่น้ำลำคลอง หลายประเทศในกาฬทวีป เช่น กานา แทนซาเนีย และแซมเบีย กำลังเผชิญกับการทำเหมืองแร่ทองคำแบบผิดกฎหมาย และการลักลอบขนทองคำออกนอกประเทศในปริมาณมหาศาลโดยแก๊งผู้มีอิทธิพลทั้งระดับท้องถิ่นและระดับชาติ ที่รับซื้อทองคำจากชาวบ้านแล้วส่งออกผ่านคนกลาง ซึ่งแน่นอนว่าขบวนการนี้คร่าชีวิตผู้คนจำนวนไม่น้อยจากการขัดผลประโยชน์นอกกฎหมาย และรัฐสูญเสียรายได้จำนวนมหาศาล นอกเหนือจากผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ยกตัวอย่างสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก (ดีอาร์คองโก) หนึ่งในประเทศผู้ผลิตทองคำรายใหญ่ ตัวเลขส่งออกทองคำอย่างเป็นทางการน้อยมาก เมื่อเทียบกับปริมาณผลิตตามประเมิน ทองคำจากดีอาร์คองโกส่วนใหญ่ถูกลักลอบขนผ่าน 2 ประเทศเพื่อนบ้านคือ ยูกันดาและรวันดา โดยแก๊งมาเฟียทรงอิทธิพลข้ามชาติหลายแก๊งบงการอยู่เบื้องหลังประธานาธิบดีนานา อากูโฟ-อัดโด ผู้นำกานา ประเทศผู้ผลิตทองคำรายใหญ่อันดับ 2 ของทวีปแอฟริกา (รองจากแอฟริกาใต้ โดยมีแทนซาเนียเป็นผู้ผลิตอันดับ 3) เปิดเผยต่อที่ประชุมเหมืองทองคำ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 62 ที่ผ่านมาว่า “การทำเหมืองแบบดั้งเดิม เริ่มต้นจากการลงทุนขนาดย่อย ก่อนจะเติบโตเป็น "ปฏิบัติการขนาดใหญ่และอันตราย" ควบคุมโดยแก๊งมาเฟียต่างชาติ “ เป็นการสะท้อนภาพการทำธุรกิจเหมืองทองคำของทวีปแอฟริกาได้อย่างชัดเจน

Read More

11/06/2562

อาชีพ “ร่อนทอง”ที่ปากชม


อาชีพ “ร่อนทอง”ที่ปากชม ที่ อ.ปากชม จ.เลย ชาวบ้านที่อยู่ติดลำน้ำโขงกลุ่มหนึ่งยังคงยึดอาชีพ "ร่อนทอง" เป็นอีกอาชีพหนึ่งเพื่อหารายได้เลี้ยงครอบครัว ใน ยามที่น้ำโขงลดลงจนแห้ง ชาวบ้านก็จะออกร่อนทองขาย โดยมีพ่อค้าไปรับซื้อถึงหมู่บ้าน กรัมละ 950-1,000 บาท แต่ปัจจุบันคนร่อนทองเหลือน้อยลงเพราะร่อนทองได้ยากขึ้น ชาวบ้านคนหนึ่งในหมู่บ้านศรีภูธร ต.ปากชม อ.ปากชม ที่ยังยืนหยัดร่อนทองในลำน้ำโขงเป็นอาชีพ เล่าว่า การร่อนหาทองคำในแม่น้ำโขงทำไม่ได้ง่ายๆ เหมือนแต่ก่อน ในแต่ละวันหาจะร่อนทองได้เท่าหัวเม็ดไม้ขีดไฟ หรือประมาณ 2 มิลลิเมตรเท่านั้น เศษแร่ทองที่ร่อนได้จะรวบรวมไปขายให้ร้านทองในตัวอำเภอ หรือไม่ก็จะรอให้มีคนของร้านทองออกมาหาซื้อถึงบ้าน แต่ไม่ได้ขายทุกวัน ขั้นตอนการร่อนทอง เริ่มจากการนำหินแร่ หรือก้อนหินที่ใช้จอบเล็กๆ ขุดขึ้นมาจากธารน้ำเอามาใส่ถัง และตะกร้า จากนั้นก็นำไปร่อนแยกในน้ำก่อน 1 รอบ และก็นำไปร่อนในน้ำไปเรื่อย ร่อนไปจนกว่าจะได้เศษหินที่มีแร่ทองคำผสมอยู่ จากนั้นก็นำปรอทมาคัดแยก มาจับทองให้เป็นก้อน ภาษาท้องถิ่นจะเรียกว่า การนำบามาล่อหรือมารวมทองกับปรอท นำไปเก็บไว้ในขวดรอขาย โดยพ่อค้าร้านทองจะรับซื้อในราคากรัมละประมาณ 950-1000 บาทแล้วแต่ราคาขึ้นลงของทองคำในตลาด ทั้งนี้ หากเป็นช่วงระดับน้ำในแม่น้ำโขงลดลง ชาวบ้านก็มีโอกาสร่อนทองได้มาก ขายได้วันละหลายพันบาท ซึ่งมีไม่บ่อยนัก แต่หากน้ำขึ้นหรือทางประเทศจีนปล่อยน้ำลงมามากชาวบ้านก็จะขาดรายได้ การร่อนทองมันขึ้นอยู่กับโชควาสนาเช่นกัน จากข้อมูลของชาวบ้านละแวกนี้ระบุว่า ในแต่ละอาทิตย์จะมีพ่อค้าหรือคนของร้านทองในตัวเมืองเข้ามารับซื้อทองคำจากชาวบ้านที่บริเวณบ้านหาดเบี้ย และจุดอื่นๆ ในอำเภอปากชม โดยก่อนจ่ายเงินพ่อค้าจะจุดไฟเผาหลอมเพื่อแยกทองคำออกมาอีกครั้ง ชาวบ้านบอกว่าหากวันไหนโชคดีร่อนได้ทองมากก็เหมือนถูกหวย ขายได้เงินหลายพันบาท ปีไหนน้ำโขงลงมากก็มีโอกาสร่อนทองได้มาก แต่หากน้ำขึ้นหรือทางจีนปล่อยน้ำลงมามาก ชาวบ้านก็จะขาดรายได้ คนเล่นทองคำหรือร่อนทองคำ ต้องอาศัยโชคช่วยเหมือนการเสี่ยงทาย "ร่อนทอง" เป็นอีกอาชีพหนึ่งของชาวบ้านที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำโขง หลายสิบปีก่อนมีคนยึดเป็นอาชีพจำนวนมาก แต่ระยะหลังเหลือคนที่ลงน้ำโขงร่อนหาเศษทองแทบจะนับหัวได้ เนื่องจากโอกาสที่จะร่อนได้ทองไม่มากเหมือนแต่ก่อน

Read More

11/06/2562

สหรัฐเข้ม ออกกฎหมายให้ธุรกิจเครื่องประดับเพชร พลอย และทองคำ ต้องระบุแหล่งที่มา


สหรัฐเข้ม ออกกฎหมายให้ธุรกิจเครื่องประดับเพชร พลอย และทองคำ ต้องระบุแหล่งที่มา รัฐบาลสหรัฐฯ เชื่อว่าวัตถุดิบที่นำมาใช้ในการผลิตเครื่องประดับนั้น เป็นแหล่งเงินทุนหนึ่งของกลุ่มนอกกฎหมายทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอิหร่าน เวเนซูเอลา และบางประเทศในทวีปแอฟริกา รัฐบาลสหรัฐจึงส่งสารถึงบรรดากิจการและกลุ่มบริษัทต่างๆ ในธุรกิจเครื่องประดับว่า ต้องเปิดเผยแหล่งที่มาของวัตถุดิบทั้งหมดไม่ใช่แค่อัญมณี เพชรหรือพลอยสีเท่านั้น แต่รวมถึงทองคำและโลหะมีค่าอื่นๆ โดยจะออกเป็นกฎหมายมาบังคับใช้ในเร็วๆนี้ในความเป็นจริงการระบุแหล่งที่มาที่ชัดเจนของวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนในเครื่องประดับทุกรายกานั้นเป็นเรื่องยาก เนื่องจากวัสดุหลายชิ้นผ่านการรีไซเคิล การนำกลับมาใช้ใหม่ และการขายผ่านตลาดรอง หรือขายผ่านมือมาหลายทอด แต่รัฐบาลสหรัฐไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นนี้ของภาคอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ และยังคงยืนกรานว่าจะต้องออกกฎหมายบังคับใช้กับผู้ประกอบการ โดยในการประชุมของภาคอุตสาหกรรมที่นิวยอร์กซิตี้ มีการสรุปสาระสำคัญเกี่ยวกับการระบุแหล่งที่มาของวัตถุดิบที่ใช้ทำเครื่องประดับไว้หกข้อคือ- ภาคอุตสาหกรรมจะต้องมี “การประเมินภัยคุกคาม” อย่างจริงจังมากกว่าที่เคยเป็นมา- โครงการ Kimberley Process ไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหาในปัจจุบัน- รัฐบาลสหรัฐฯ ให้ความสำคัญกับการมีเอกสารแสดงลำดับการครอบครองวัตถุดิบทุกชิ้น- รัฐบาลวางแผนให้ผู้จัดซื้อและผู้ซื้อในสหรัฐฯ เป็นผู้รับผิดชอบหน้าที่ดังกล่าว- จะต้องมีการให้ความรู้เพิ่มเติมในประเด็นดังกล่าวแก่ผู้เกี่ยวข้องในภาคอุตสาหกรรม- รัฐบาลเตรียมบังคับใช้กฎเกณฑ์และกฎระเบียบที่มีอยู่ให้เข้มงวดยิ่งขึ้น โดยเน้นกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการต่อต้านการฟอกเงินซึ่งหากมีการประกาศใช้กฎหมายฉบับนี้ก็จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเครื่องประดับในสหรัฐฯ ที่มีการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศจำนวนมาก และจะกระทบต่อผู้ประกอบการต่างชาติที่นำเข้าวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนในการผลิตเครื่องประดับ รวมถึงสินค้าเครื่องประดับที่ส่งมายังสหรัฐฯ ที่ต้องเปิดเผยแหล่งที่มาของวัตถุดิบทุกรายการให้เป็นไปตามกฎหมายดังกล่าวด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ ผู้ประกอบการไทยที่จะส่งออกสินค้าไปจำหน่ายในตลาดสหรัฐฯจึงต้องปรับตัวเตรียมพร้อมรับกฎหมายใหม่ที่จะบังคับใช้ในอนาคตอันใกล้ โดยสำหรับสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับทุกชิ้นจะต้องสำแดงเอกสารแหล่งที่มาของวัตถุดิบให้ถูกต้องจากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือไม่ว่าจะเป็นเพชร พลอยสี และโลหะมีค่าทั้งทองคำหรือเงิน เช่นใบรับรองจาก Responsible Jewellery Council หรือเพชรที่มีใบรับรอง Kimberley Process หรือองค์กรที่ให้การรับรองเหมืองทองคำอย่าง Fairtrade และ Fairmined เป็นต้น รวมถึงการใช้เทคโนโลยี Blockchain ที่สามารถระบุและติดตามแหล่งที่มาของอัญมณีในทุกๆ ขั้นตอนตลอดห่วงโซ่อุปทาน เพื่อแสดงถึงความโปร่งใสในธุรกิจเครื่องประดับด้วย ขอขอบคุณข้อมูลจาก สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

Read More

11/06/2562

อาหาร ที่แพงกว่าทองคำ (1)


อาหาร ที่แพงกว่าทองคำ (1) มีอาหาร และเครื่องปรุงหลายชนิดที่หายากและมีราคาแพง บางชนิดแพงกว่าทองคำ บางชนิดก็แพงที่สุดในโลก และนี่คืออาหาร 8 ชนิดที่จัดอยู่ในประเภทอาหารที่แพงกว่าทองคำ1.หญ้าฝรั่นหญ้าฝรั่นเป็นเครื่องเทศที่มีชื่อเล่นว่า "ทองคำสีแดง" ซึ่งมาจากเกสรเพศเมียของดอกหญ้าฝรั่น สาเหตุที่ทำให้หญ้าฝรั่นมีราคาแพง เพราะในหนึ่งปีมันจะออกดอกเพียง 1-2 สัปดาห์เท่านั้นในช่วงฤดูใบไม้ร่วง และต้องเก็บด้วยมือ ดอกหญ้าฝรั่นแต่ละดอกมีเกสรเพศเมียเพียง 3 เส้นเท่านั้น นั่นจึงหมายความว่าจะต้องใช้พื้นที่ปลูกหญ้าฝรั่นขนาด 3 สนามฟุตบอลหรือใช้ดอกหญ้าฝรั่นมากถึง 300,000 ดอก จึงจะได้หญ้าฝรั่น 1 กก. ด้วยเหตุนี้ทำให้เครื่องเทศชนิดนี้มีราคาอยู่ที่ประมาณ 1,100 ถึง 11,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 36,300-363,000 บาท ขึ้นอยู่กับคุณภาพของสินค้า2.คาเวียร์ คาเวียร์ คือไข่ปลาที่ผ่านกระบวนการแปรรูปด้วยการหมักเกลือ ถือเป็นหนึ่งในอาหารหรูราคาแพงที่สุดชนิดหนึ่งของโลก ทำจากไข่ปลาเบลูกาสเตอร์เจียน หรือปลาสเตอร์เจียนขาว ซึ่งพบในแถบทะเลสาบแคสเปียนและทะเลดำ ปัจจุบันถือเป็นสัตว์ที่ตกอยู่ในภาวะใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง ทำให้การหาซื้อไข่ของปลาชนิดนี้อย่างถูกต้องตามกฎหมายนั้นเป็นเรื่องยากมาก นอกจากนี้ จะต้องใช้เวลาถึง 20 ปี กว่าที่ปลาเบลูกาสเตอร์เจียนจะถึงวัยเจริญพันธุ์พร้อมออกไข่ที่ใช้ทำคาเวียร์ได้ และการจะเอาไข่มาได้นั้นจะต้องฆ่าปลาก่อนคาเวียร์อีกชนิดที่หายากยิ่งกว่าก็คือคาเวียร์จากไข่ของปลาสเตอร์เจียนเผือก ซึ่งปัจจุบันแทบจะสูญพันธุ์ไปจากถิ่นที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติแล้ว กินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ดส์ บันทึกว่า คาเวียร์จากไข่ของปลาเบลูกาสเตอร์เจียนเผือกอายุ 100 ปี มีราคาแพงที่สุดในโลก ที่กิโลกรัมละ 34,500 ดอลลาร์สหรัฐฯหรือราว 1.38 ล้านบาท 3.หอยนางรม ช่วงต้นศตวรรษที่ 19 หอยนางรมมีราคาถูกพอ ๆกับมันฝรั่งทอด แต่การทำประมงเกินขนาดและปัญหามลพิษส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อจำนวนหอยนางรมตามธรรมชาติ และทำให้อาหารทะเลชนิดนี้มีราคาแพงขึ้นร้านอาหารทะเลหรูในกรุงลอนดอน หอยนางรม 12 ตัวอาจมีราคากว่า 2,000 บาท 4. เห็ดทรัฟเฟิลขาว เห็ดทรัฟเฟิลขาว เป็นเห็ดที่เจริญเติบโตอยู่ใต้ดินและหาได้ยาก พบได้เฉพาะในแคว้นปีเยมอนเต ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของอิตาลี ขึ้นอยู่ตามรากต้นไม้บางชนิดเท่านั้น สาเหตุที่ทำให้ทรัฟเฟิลขาวมีราคาแพง เพราะมีรสชาติเข้มข้นกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ และขึ้นเองตามธรรมชาติ ไม่สามารถเพาะพันธุ์แบบฟาร์มได้ เมื่อปี 2007 เห็ดทรัฟเฟิลขาวหนึ่งหัวน้ำหนัก 1.5 กก.ได้ถูกประมูลไปด้วยราคาสูงถึง 330,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 10.89 ล้านบาท 5. แฮมอิเบอริโค แฮมอิเบอริโค ทำจากเนื้อหมูดำไอบีเรีย ที่มีถิ่นกำเนิดแถบคาบสมุทรไอบีเรีย ที่เลี้ยงโดยปล่อยอิสระในป่าต้นโอ๊ก และกินลูกโอ๊กเป็นอาหารอย่างเดียว สาเหตุที่ทำให้ราคาแพงมาจากกระบวนการผลิตที่ยาวนาน โดยแฮมที่มีราคาสูงจะผ่านการหมักเกลือนาน 36 เดือน หรืออาจนานถึง 48 เดือน ในพื้นที่ที่สภาพอากาศแห้งเป็นพิเศษ กินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ดส์ บันทึกขาแฮมราคาแพงที่สุดขาละ 4,080 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 135,000 บาท 6. เนื้อวากิวเนื้อวากิว มาจากวัวญี่ปุ่น 4 สายพันธุ์มีเอกลักษณ์ที่เนื้อจะมีไขมันแทรกเหมือนลายหินอ่อน ทำให้เนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำแทบจะละลายในปาก สาเหตุที่เนื้อชนิดนี้มีราคาแพงนั้นมาจากการเลี้ยงดูที่พิถีพิถัน และการให้อาหารตามเกณฑ์อย่างเคร่งครัด เนื้อโกเบ มีราคาขายในญี่ปุ่นที่ราวกิโลกรัมละ 640 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 21,000 บาท 7. กาแฟขี้ชะมด กาแฟขี้ชะมด มีราคาประมาณกิโลกรัมละ 700 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ ราว 23,000 บาท มีต้นกำเนิดมาจากเกาะสุมาตราของอินโดนีเซีย ที่มีราคาแพงกว่ากาแฟทั่วไปนั้นมาจากขั้นตอนการผลิตที่ยุ่งยากซับซ้อน คอกาแฟบอกว่า กาแฟชนิดนี้มีรสชาติและกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ที่เกิดจากกระบวนการหมักในกระเพาะของตัวชะมด แต่บางคนไม่เห็นด้วย และชี้ว่านี่เป็นเพียงกลยุทธ์ทางการตลาด อีกทั้งยังเป็นการทรมานสัตว์ เพราะราคากาแฟชี้ชะมดที่สูงทำให้มีการจับชะมดมาเลี้ยงเป็นฟาร์มเพื่อใช้ในการนี้เพิ่มขึ้น8. ฟัวกราส์ฟัวกราส์ ฟัวกราส์ฟัวกราส์ ทำมาจากตับห่านหรือตับเป็ดที่ถูกขุนให้ตับมีขนาดโตกว่าปกติถึง 10 เท่า ทำให้ตับมีรสชาติเข้มข้น มันละมุนลิ้น การเลี้ยงสัตว์ปีกเพื่อใช้ทำฟัวกราส์เช่นนี้มีมาตั้งแต่ยุคอียิปต์โบราณราว 2,500 ปีก่อนคริสตกาล ในปัจจุบันหลายประเทศกำหนดให้การผลิต การนำเข้า และการจำหน่ายฟัวกราส์เป็นสิ่งผิดกฎหมาย เพราะถือเป็นการทรมานสัตว์ อย่างไรก็ตามอาหารชนิดนี้ยังคงได้รับความนิยมในหลายประเทศ(วิธีการเลี้ยงคือการที่เป็ดหรือห่านถูกบังคับให้กินอาหารเกินขนาดโดยใช้ท่อกรอกปากเพื่อให้ตับมีขนาดใหญ่กว่าปกติ ทำให้เป็ดหรือห่านต้องทนทุกข์ทรมานจากการเลี้ยงด้วยวิธีนี้)

Read More

11/06/2562

แซกโซโฟนทองคำ ของในหลวงรัชกาลที่๙


แซกโซโฟนทองคำ ของในหลวงรัชกาลที่๙ ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ได้พระราชทานสัมภาษณ์แก่นาย Gereon Zimmerman จากนิตยสาร "Look" ในด้านการทรงดนตรีแซกโซโฟน ซึ่งก่อนจะออกเดินทางมาจากสหรัฐอเมริกานั้นบรรณาธิการนิตยสาร Look กำชับหนักแน่นให้ นาย Gereon Zimmerman กราบบังคมทูลถามเรื่อง”แซกโซโฟนทองคำ” ว่าราคาโดยประมาณเท่าใดและ ทำที่สวิตเซอร์แลนด์หรือที่ไหนเมื่อได้มานั่งอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ในวังสวนจิตรฯแล้วนายซิมเมอร์แมนพยายามเลียบเคียงอยู่นานก็ยังไม่ได้จังหวะเหมาะที่จะทูลถามเรื่องที่บรรณาธิการอยากให้ถาม ในที่สุดพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงได้รับสั่งขึ้นมาเองเหมือนรู้ใจว่านายซิมเมอร์แมนต้องการรู้เรื่องใด โดยพระองค์ทรงตรัสว่า"หนังสือพิมพ์ที่อเมริกาพากันลงว่าเป็นกษัตริย์ที่คลั่งดนตรี ซึ่งก็ไม่ว่าอะไร แต่ที่ไปลงจนเลยเถิดกันไปว่า แซกโซโฟนที่เป่าอยู่เป็นประจำนี้เป็นแซกโซโฟนที่ทำด้วยทองคำเนื้อแท้บริสุทธิ์ อันนี้ไม่จริงเลย สมมุติว่าจริงก็จะหนักมาก ยกไม่ไหวหรอก บางฉบับก็เขียนว่าชอบขับรถซิ่งก็เอาเถอะ ยอมให้ ไม่ถือสาหรอกแต่ไม่เชื่อว่าเรื่องพวกนี้จะเป็นการสร้างสรรค์หรือเป็นประโยชน์อันใดแก่ประเทศไทยและสหรัฐอเมริกา"ต่อจากนั้น ผู้แทนนิตยสาร Lookได้กราบบังคมทูลถามว่า ทรงโปรดดนตรีของวง "เดอะ บีเทิลส์" หรือไม่ ? พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงแย้มพระโอษฐ์แล้วรับสั่งว่า"ก็รู้ๆ กันอยู่ว่า แท้จริงแล้วเป็นส่วนหนึ่งของสินค้าออกประเทศอังกฤษ"ทั้งนี้ในบรรดาเครื่องดนตรีหลายชิ้นที่ทรงเล่นได้ ทั้ง แซกโซโฟน, เปียโน, ทรัมเป็ต, กีตาร์, ไวโอลิน, ขลุ่ย, คลาริเนต, แตร ที่ทรงโปรดที่สุด ก็คือ แซกโซโฟนเครื่องดนตรีชิ้นแรกที่ทรงหัดเล่นมาตั้งแต่อายุ ๑๓ พรรษา ขณะประทับอยู่ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ กับครูชาวอัลซาส ชื่อ นายเวย์เบรชท์ (Wey-brecht) นั่นเองโดยแซกโซโฟนที่ทรงเล่นตัวแรกนั้น ก็หาได้เป็นของใหม่ราคาแพงมีความหรูหราแต่อย่างใด หากแต่เป็นของเก่า หรือที่เรียกกันว่า ของมือสองราคา ๓๐๐ ฟรังค์สวิส ซึ่งสมเด็จพระศรีฯ พระราชทานเงินสนับสนุน ๑๕๐ ฟรังค์ ส่วนอีก ๑๕๐ ฟรังค์ เอาเงินสโมสรออก (เป็นเงินที่พระเจ้าอยู่หัว ๒ พระองค์ทรงเข้าหุ้นกัน)ในส่วนของแนวดนตรีที่โปรดมากก็อย่างที่ทราบคือ ดิกซีแลนด์ แจ๊ส โดยเมื่อสมัยทรงพระเยาว์บางทีทรงซื้อแผ่นเสียงมาฟัง ถ้าเป็นแผ่นเสียงเพลงคลาสสิก "รัฐบาล" ให้ แต่ถ้าเป็นเพลงแจ๊สต้องออกเงินส่วนพระองค์ซื้อเองขอบคุณข้อมูลจาก : หนังสือ พระราชอารมณ์ขัน โดยวิลาศ มณีวัต

Read More

11/06/2562

แบร์ริก โกลด์ บริษัทเหมืองทองคำใหญ่ที่สุดในโลก


แบร์ริก โกลด์ บริษัทเหมืองทองคำใหญ่ที่สุดในโลกบริษัท แบร์ริก โกล์ด ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ค สหรัฐอเมริกาก้าวสู่การบริษัทเหมืองทองคำขนาดใหญ่ที่สุดในโลกเมื่อเข้าซื้อกิจการของบริษัทแรนด์โกลด์ รีซอร์สเซส ด้วยวงเงิน 6.1 พันล้านดอลลาร์ เมื่อเดือนกันยายน 2561 การซื้อกิจการในครั้งนี้ จะทำให้แบร์ริคหวนกลับไปลงทุนในแอฟริกา หลังจากที่ได้ขายกิจการในภูมิภาคดังกล่าวเมื่อ 8 ปีที่แล้วแบร์ริก โกลด์ ยังคงพยายามควบรวมกิจการต่อไปเมื่อยื่นข้อเสนอซื้อกิจการของบริษัทนิวมอนต์ ไมนิ่ง คอร์ป ด้วยวงเงิน 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อตั้งบริษัทเหมืองทองขนาดใหญ่ ซึ่งมีมูลค่ารวม 4.2 หมื่นล้านดอลลาร์เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปึ 2562 ซึ่งตามข้อเสนอผู้ถือหุ้นของนิวมอนต์จะได้รับหุ้นแบร์ริกจำนวน 2.5694 หุ้นต่อหุ้นนิวมอนต์ทุกๆ 1 หุ้น และหากการควบรวมกิจการประสบความสำเร็จ บริษัทที่ก่อตั้งใหม่จะมีขนาดใหญ่กว่าคู่แข่งของแบร์ริคถึง 4 เท่า และจะช่วยลดค่าใช้จ่ายถึง 7 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่ผู้ถือหุ้นแบร์ริคจะถือหุ้นในบริษัทใหม่จำนวน 55.9% ส่วนผู้ถือหุ้นนิวมอนต์จะถือหุ้นในบริษัทใหม่ 44.1%อย่างไรก็ตาม การควบรวมกิจการไม่สามารถดำเนินการได้ตามที่หวังไว้เมื่อฝ่ายบริหารของนิวมอนต์ได้ปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าวของแบร์ริก โดยระบุว่าแบร์ริกให้ผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นนิวมอนต์ต่ำเกินไป และได้เมินเฉยต่อความเสี่ยงจากข้อตกลงดังกล่าว รวมทั้งประเมินผลบวกจากการควบกิจการมากเกินไป ขณะเดียวกัน นิวมอนต์ได้ยื่นข้อเสนอให้บริษัทแบร์ริกเข้าร่วมลงทุนในรัฐเนวาดา ซึ่งเป็นรัฐที่มีการผลิตทองคำและเงินมากที่สุดในสหรัฐ ขณะที่แบร์ริกเห็นชอบต่อข้อตกลงร่วมลงทุนดังกล่าว โดยได้ถือหุ้น 61.5% ส่วนนิวมอนต์ถือหุ้นในส่วนที่เหลือ แบร์ริก โกลด์ เป็นบริษัททองคำรายใหญ่สุดของโลก มีการทำเหมืองอยู่ใน สหรัฐฯ เปรู ชิลี อาร์เจนตินา ออสเตรเลีย แคนาดา มาลี ไอเวอรี่โคสท์ คองโก สาธารณรัฐโดมินิกัน ปาปัวนิวกินี ซาอุดิอาระเบีย แทนซาเนีย และแซมเบีย การผลิตทองคำของ แบร์ริก โกลด์ มากกว่า 75% มาจากภูมิภาคอเมริกา ในปี 2559 ผลิตทองคำได้ 5.52 ล้านออนซ์ และทองแดง 415 ล้านปอนด์ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2559 บริษัท มีปริมาณสำรองทองคำที่ 85.9 ล้านออนซ์ อย่างไรก็ดี แบร์ริก โกลด์ เคยมีเรื่องอื้อฉาวเรื่องการติดสินบนเหมืองทองในประเทศแทนซาเนีย โดยการจ่ายเงินสด 4 แสนเหรียญสหรัฐให้กับเจ้าหน้าที่รัฐบาลเพื่อเดินเรื่องซื้อขายที่ดินบริเวณรอบเหมืองทองนอร์ธมารา จากการทำข่าวเชิงสืบสวนสอบสวนของหนังสือพิมพ์วอลสตรีทเจอนัล มีเจ้าหน้าที่รัฐเป็นผู้รับเงินถึง 140 คน รับเงินคนละตั้งแต่ 19,000-121,000 เหรียญสหรัฐ โดยเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการได้รับเงินตอบแทน 250 เหรียญต่อวันจำนวน 45 วัน ขณะที่คนแทนซาเนียมีรายได้ต่อหัวปีละ 570 เหรียญต่อปีเท่านั้น แต่บริษัทแบร์ริกโกล์ด บอกว่าเป็นการจ่ายที่ถูกต้องตามกฏหมาย เพราะในพื้นที่ห่างไกล ระบบธนาคารมีข้อจำกัด การจ่ายเงินสดเป็นเพียงหนทางเดียว การจ่ายทุกยอดมีการบันทึก ตรวจสอบ และควบคุมอย่างระมัดระวัง และ สำนักงานกฎหมายแจ้งว่าทำถูกต้องตามกฎหมายของแทนซาเนีย สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักรทุกประการการทำเหมืองแร่ทองคำและการคอรัปชั่นดูจะแยกกันไม่ออกในทุกพื้นที่ทั่วโลก

Read More

11/06/2562

สถานการณ์ทองคำโลกเมื่อผ่านไตรมาสแรกของปี 2562


สถานการณ์ทองคำโลกเมื่อผ่านไตรมาสแรกของปี 2562สภาทองคำโลก รายงานแนวโน้มความต้องการทองคำประจำไตรมาส 1 ปี 2562 โดยมีข้อมูลที่สำคัญดังนี้- ความต้องการโดยรวมของทองคำทั้งโลก อยู่ที่ 1,053.3 ตัน เพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับระดับ 984.2 ตันในไตรมาส 1 ปี 2561- ความต้องการบริโภคทองคำโดยรวม ทรงตัวที่ 788.1 ตัน เทียบกับระดับ 788.6 ตันในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว- ความต้องการลงทุนทองคำโดยรวม เพิ่มขึ้น 3% แตะที่ 298.1 ตัน เทียบกับระดับ 288.4 ตันในไตรมาส 1 ปี 2561- ความต้องการทองรูปพรรณทั่วโลก ขยายตัว 1% แตะที่ 530.3 ตัน เพิ่มขึ้นจาก 527.3 ตันในช่วงเดียวกันของปี 2561- ความต้องการจากธนาคารกลาง เพิ่มขึ้น 68% สู่ระดับ 145.5 ตัน เทียบกับระดับ 86.7 ตันในไตรมาส 1 ปี 2561- ความต้องการทองคำในภาคเทคโนโลยี ลดลง 3% มาอยู่ที่ 79.3 ตัน เทียบกับ 81.8 ตันในไตรมาส 1 ปี 2561- อุปทานรวมแทบไม่เปลี่ยนแปลงที่ระดับ 1,150 ตัน ขยับลงเล็กน้อยจาก 1,153.1 ตันในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว- การรีไซเคิล เพิ่มขึ้น 5% ที่ระดับ 287.6 ตัน เทียบกับ 274.6 ตันในไตรมาส 1 ปี 2561จะเห็นว่าความต้องการทองคำของธนาคารกลางทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึง 68% จากช่วงเดียวกันของปี 2561 และถือเป็นการเริ่มต้นปีที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นมา ทั้งนี้มีปัจจัยมาจากความต้องการกระจายการลงทุนและความต้องการสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ซึ่งหากรวมกับ 3ไตรมาสหลังของปี 61 การซื้อทองคำของธนาคารกลางทั่วโลกทำสถิติสูงสุดที่ 715.7 ตัน ส่วนความต้องการทองรูปพรรณในไตรมาส 1 แตะที่ 530.3 ตัน ขยายตัว 1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วนั้นได้แรงหนุนมาจากอินเดีย เพราะช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ถึงต้นเดือนมีนาคมตรงกับเทศกาลแต่งงานที่ชาวอินเดียนิยมซื้อทองรูปพรรณเป็นสินสอดหรือของขวัญ ทำให้ความต้องการทองรูปพรรณในประเทศปรับตัวขึ้นเป็น 125.4 ตัน เพิ่มขึ้น 5% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และเป็นระดับสูงที่สุดสำหรับไตรมาส 1 นับตั้งแต่ปี 2558 นอกจากนี้ การลงทุนในทองคำแท่งและเหรียญทองคำยังลดลงเล็กน้อย โดยลดลง 1% มาอยู่ที่ระดับ 257.8 ตัน การปรับตัวลงนี้มีสาเหตุมาจากความต้องการทองคำแท่งลดลงเพียงอย่างเดียว เนื่องจากการซื้อเหรียญทองยังขยายตัวได้ 12% สู่ระดับ 56.1 ตัน จีนและญี่ปุ่นเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้การลงทุนดังกล่าวลดลง โดยในญี่ปุ่น การลงทุนสุทธิพลิกติดลบจากแรงขายทำกำไร หลังจากที่ราคาทองในประเทศพุ่งทะยานขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ขณะที่การใช้ทองคำเป็นส่วนประกอบในอุตสาหกรรม เช่น ในผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ไร้สาย และไฟ LED ก็ปรับตัวลดลง 3% แตะที่ 79.3 ตัน เนื่องจากความขัดแย้งทางการค้า ยอดขายที่ซบเซาของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และความท้าทายทางเศรษฐกิจทั่วโลก ได้ส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมเทคโนโลยีอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

Read More

Loading...
More