บทความทั่วไป

27/09/2561

จับตาอุสาหกรรมเครื่องประดับทองของมาเลเซีย


มาเลเซีย เป็นประเทศขนาดเล็ก มีประชากรราว 30 ล้านคน แต่มีความหลากหลายด้านเชื้อชาติ ร้อยละ 50 เป็นชาวมลายู รองลงมาคือชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน และอินเดีย ประชากรส่วนใหญ่อยู่ในวัยแรงงาน ในภาคบริการ อุตสาหกรรมและเกษตรกรรมตามลำดับหลายปีมานี้มาเลเซียให้ความสำคัญกับการผลิตเครื่องประดับทองเพื่อส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศเพราะมีศักยภาพในการผลิต ถึงแม้ฐานการผลิตจะมีขนาดไม่ใหญ่นักเมื่อเทียบกับผู้ผลิตเครื่องประดับทองจากประเทศอื่นๆ แต่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ทั้งในและต่างประเทศ ด้วยเหตุที่ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามและชาวจีน เครื่องประดับทองที่ผลิตได้จึงมีรูปแบบตรงกับรสนิยมและดึงดูดความสนใจจากนักท่องเที่ยวชาวจีนและตะวันออกกลาง จนสามารถขยายฐานลูกค้าได้ในหลายประเทศเช่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สิงคโปร์ ฮ่องกง บาห์เรน และสหรัฐอเมริกา เป็นต้นปัจจุบันมาเลเซียเป็นแหล่งผลิตและส่งออกเครื่องประดับทองที่มีศักยภาพแห่งหนึ่งในตลาดโลก ซึ่งเป็นผลมาจากการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากภาครัฐ ผู้ประกอบการเองก็ตื่นตัวพัฒนาตัวเองตลอดเวลา ทั้งการเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาใช้ในการผลิต และการรวมตัวเป็นสมาคมเพื่อสร้างความเข้มแข็งในการเจรจาต่อรอง เป็นต้น เหล่านี้ช่วยให้อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องประดับทองของมาเลเซียเติบโตต่อเนื่องในส่วนของการผลิตเครื่องประดับทองของมาเลเซียนั้น ในอดีตใช้วัตถุดิบจากเหมืองแร่ทองคำในประเทศมาที่มีอยู่ 14 แห่ง มาแปรรูป แต่ติดปัญหาที่ไม่มีโรงงานสกัดทองคำภายในประเทศ เมื่อหลอมแร่ทองคำแล้วจะต้องส่งไปสกัดในต่างประเทศเพื่อให้ได้ทองคำบริสุทธิ์ซึ่งเป็นกระบวนการที่ยุ่งยากซับซ้อนประกอบกับแหล่งแร่ทองคำในประเทศไม่เพียงพอกับความต้องการในอุตสาหกรรมเครื่องประดับทอง จึงต้องมีการนำเข้าทองคำบริสุทธิ์จากต่างประเทศ เช่น สวิสเซอร์แลนด์ สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ตุรกี และสหรัฐอเมริกา รวมแล้วไม่ต่ำกว่าปีละ 75 ตันปี 2016 มาเลเซียส่งออกเครื่องประดับทองมูลค่าราว 1.38 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าส่วนใหญ่ทำจากทองคำ 22 K ทั้งในรูปแบบของสร้อยคอ สร้อยข้อมือ ต่างหูและเข็มกลัด ร้อยละ 70 ถูกส่งไปตลาดตะวันออกกลางซึ่งถือเป็นตลาดหลัก รองลงมาคือยุโรป เอเชีย และอเมริกาเหนือส่วนผู้บริโภคในประเทศส่วนใหญ่ก็ยังคงนิยมเครื่องประดับทองมากกว่าเครื่องประดับชนิดอื่นๆ เพราะนอกจากจะใช้สวมใส่และมอบเป็นของขวัญแล้วยังสามารถนำไปลงทุนได้ด้วยเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

27/09/2561

ทองคำกับชาวเวียดนาม


เวียดนามเป็นตลาดใหญ่ของผู้บริโภคเนื่องจากมีประชากรกว่า 100 ล้านคน มีประมาณการกันว่าในแต่ละปีชาวเวียดนามใช้จ่ายเงินเพื่อซื้อเครื่องประดับทองราว 3.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ และมีแนวโน้มขยายตัวอย่างเต่อเนื่อง จากการเพิ่มขึ้นของชนชั้นกลาง ส่งผลต่อการบริโภคเครื่องประดับทอง เพื่อสะท้อนฐานะทางสังคมและเพื่อสะสมเป็นสินทรัพย์ชาวเวียดนามนิยมเครื่องประดับทอง 24 K ที่มีค่าความบริสุทธิ์ของทองคำ 99.99% ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ทางการกำหนด ส่วนลวดลายนิยมลายดอกไม้ชนิดต่างๆและลายธรรมชาติเช่นลายใบไม้ ผลไม้ ซึ่งชาวเวียดนามเห็นมาสามารถใส่กับชุดประจำชาติได้เหมาะสมที่สุดในส่วนของการเลือกซื้อเครื่องประดับทองของชาวเวียดนามนั้นจะแตกต่างกันไปตามวัยและรายได้ คือผู้มีอายุและกลุ่มผู้มีรายได้สูงนิยมซื้อเครื่องประดับทอง24 K แบบครบชุดทั้งสร้อยคอ กำไร และต่างหู ส่วนคนรุ่นใหม่นิยมซื้อเครื่องประดับทองแบบชิ้นเดี่ยวและสวมใส่ครั้งละชิ้น นอกจากนี้ยังนิยมทองคำและทองคำขาว 18 K และ 14 K ที่มีลวดลายทันสมัย แต่ส่วนใหญ่ชาวเวียดนามก็จะมีเครื่องประดับทอง24 K แบบครบชุด เก็บไว้เพื่อนำออกมาใส่เวลาออกงานสำคัญต่างๆนอกจากนี้ ภาพศิลปะซึ่งทำจากทองคำ99.99% ก็เป็นอีกหนึ่งสินค้าที่ได้รับความนิยมตลาดเวียดนาม ส่วนมากวางจำหน่ายตามเมืองใหญ่อย่างโฮจิมินห์ ซิตี้ และ ฮานอยด์ แสดงให้เห็นถึงความชื่นชอบการสะสมสินค้าที่เกี่ยวกับทองคำ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีรายได้สูง มีฐานะดี ที่มักจะซื้องานภาพศิลปะทองคำไว้ตกแต่งบ้านและมอบเป็นของขวัญ หรือของกำนันในเทศกาลต่างๆ มีบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายภาพศิลปะทองคำ 2 บริษัทที่เป็นผู้ริเริ่มและนำเข้าไปจำหน่ายในเวียดนาม หนึ่งคือบริษัท Colin จากอิตาลี และอีกหนึ่งคือ Prima Gold จากประเทศไทยชาวเวียดนามก็เหมือนกับชาวอาเซียนอื่นๆที่นิยมเครื่องประดับทองและมักจะซื้อเก็บไว้เมื่อมีรายได้ ทั้งเพื่อการเก็บออมแทนการออมเงิน และการสวมใส่เพื่อแสดงฐานะทางสังคมเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

27/09/2561

อินโดนีเซีย ผู้ผลิตทองคำรายใหญ่ในAEC


อินโดนีเซีย เป็นหนึ่งใน10 ประเทศที่มีการทำเหมืองแร่ทองคำมากที่สุดในโลก มีปริมาณการผลิตเฉลี่ยมากกว่า 200 ล้านตันต่อปีการผลิตทองคำจากเหมืองในอินโดนีเซีย คิดเป็นปริมาณ 4% ของการผลิตทองคำในตลาดโลกจากเหมืองแร่ขนาดใหญ่ที่สัมปทานโดยบริษัทต่างชาติ และเหมืองที่รัฐบาลเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อย่างเหมืองกราสเบิร์ก (Grasberg mine) ในเมืองทิมิกา เกาะปาปัวเหมืองกราสเบิร์ก (Grasberg mine) ถือเป็นเหมืองทองที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นเหมืองทองแดงที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก ดำเนินงานโดยมีบริษัทฟรีพอร์ทแมคมอแรนของสหรัฐฯเป็นหุ้นใหญ่ มีคนงาน 19,500 คน ที่ทำงานขุดค้นแร่ทองแดงทองคำ และแร่เงิน อยู่บนยอดเขาสูงกว่า 4,200 เมตร แหล่งแร่แห่งนี้ถูกค้นพบโดยนักธรณีวิทยาชาวดัตช์ตั้งแต่ปี 1936การที่รัฐบาลเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ทำให้การทำเหมืองทองของอินโดนีเซียมีกระบวนการที่ครบวงจรตั้งแต่การถลุง การสกัด เพื่อให้ได้ทองคำบริสุทธิ์ ไปจนถึงการผลิตทองคำที่ใช้ในอุตสาหกรรม และทองรูปพรรณความต้องการบริโภคทองคำของชาวอินโดนีเซียมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งทองคำแท่ง และทองรูปพรรณความบริสุทธิ์ตั้งแต่ 14-24 K แต่ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในกลุ่มชนชั้นสูงคือทอง 18 K(ทอง75%) และ 24K (ทอง99.99%) ส่วนกลุ่มชนชั้นล่างนิยมทอง 24K เพราะสามารถนำกลับไปขายได้ในราคาสูงตลาดทองรูปพรรณของอินโดนีเซียมีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็วและมีบริษัทต่างชาติเข้าไปลงทุนเปิดสาขา ขายทองรูปพรรณในรูปแบบจิวเวอรี่มากขึ้นเช่น Tiffany, Caroiyn รวมถึง Golg Master และ Pranda Jewely จากประเทศไทยด้วยแหล่งซื้อขายทองแท่งและทองรูปพรรณในอินโดนีเซียมีมากมาย และกระจายไปตามเกาะใหญ่ๆของประเทศเช่น เกาะสุมาตรา เกาะชวา เกาะบอร์เนียว จะมีร้านทองอยู่ในเขตเศรษฐกิจและแหล่งชอปปิ้งในเมืองเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

27/09/2561

เหมืองทองคำโต๊ะโม๊ะ


สุดเขตชายแดนใต้ของไทย ครั้งหนึ่งเคยเป็นเหมืองแร่ทองคำ ที่นำพาคนนับพันให้เดินทางไปแสวงโชคผู้คนสมัยนั้นรู้จักกันในชื่อ เหมืองทองคำโต๊ะโมะ เหมืองทองคำโต๊ะโมะ อยู่ในเขต อำเภอสุคิริน จังหวัดนราธิวาส มีการค้นพบแร่ทองคำที่บ้านโต๊ะโมะมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ในบริเวณป่าลึกของเทือกเขาสุไหนโล-ลก ซึ่งเป็นต้นน้ำของลำห้วยลิโซ สาขาหนึ่งของต้นแม่น้ำสายบุรี อยู่ห่างจากชายแดนมาเลเซีย 800 เมตร ชาวบ้านพบผงทองคำปะปนลงมากับน้ำจึงใช้ เลียง ที่ทำด้วยไม้ รูปร่างคล้ายกระทะเป็นเครื่องมือร่อนทอง เมื่อแรกพบชาวจีนชื่อฮิว ซิ้นจิ๋ว ซึ่งค้าขายอยู่แถบชายแดนไทย-มาเลเซียนำคนงาน 50 คน เข้าไป หาทองคำด้วยวิธีการร่อนเอาตามสายน้ำตั้งแต่บ้านกาลูบีขึ้นไปทางต้นน้ำ จนเกือบถึงชายแดนมาเลเซีย และพบว่ายิ่งใกล้ต้นน้ำมากเท่าใดปริมาณทองคำก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไปผู้คนจำนวนมากก็หลั่งไหลมาขุดทองที่บ้านโต๊ะมะ ประมาณกันว่ามีนักแสวงโชคมากถึงพันกว่าคน และร่อนหาทองคำได้คนละ1-2 สลึงต่อวันเลยทีเดียว หลังจากนั้นรัฐบาลสยามได้เข้ามาจัดการเรื่องการขุดทองโดยมอบหมายให้นายอาฟัด ซึ่งเป็นบุตรชายของฮิวซิ้นจิ๋ว ซึ่งรับสืบทอดงานขุดหาทองคำต่อจากบิดา เป็นผู้รักษาผลประโยชน์ให้รัฐบาล โดยเก็บภาษีจากชาวบ้านที่เข้าไปขุดค้นหาทองคำ และได้รับพระราชทานราชทินนามเป็น "หลวงวิเศษสุวรรณภูมิ" (นายอาฟัด เป็นบิดาของ ฉัตรชัย วิเศษสุวรรณภูมิ หรือ นักเขียนเจ้าของนามปากกาพนมเทียนนั่นเอง และดินแดนใต้สุดอัน เร้นลับที่เหมืองโต๊ะโมะซึ่งปู่และพ่อเป็นผู้บุกเบิก คือส่วนหนึ่งของแรงบันดาลใจ นวนิยายผจญภัย "เพชรพระอุมา" อันโด่งดัง นั่นเอง)ต่อมาในปี พ.ศ.2473 โดยชาวอังกฤษเข้ามาติดตั้งเครื่องจักรทำเหมืองทองคำอยู่ระยะหนึ่ง แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรจึงเลิกกิจการไป ก่อนที่เหมืองทองคำจะเปิดดำเนินการอย่างเป็นระบบและจริงจังในปี พ.ศ.2475 เมื่อบริษัทฝรั่งเศสชื่อ Societe d"Or de Litcho เข้ามาสำรวจและพบว่าลึกลงไปในผืนดินของขุนเขาโต๊ะโมะและลิโช ซึ่งอยู่ในแนวเทือกเขาสุไหงโก-ลก มีแร่ทองคำอยู่จำนวนมาก ที่สำคัญเนื้อทองคำมีเปอร์เซ็นต์สูง จึงได้ขอสัมปทานจากรัฐบาลไทยทำเหมืองทองคำเป็นเวลา 20 ปี บริษัทฝรั่งเศสดำเนินกิจการได้ไม่นานก็เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 เหมืองทองคำต้องปิดตัวลง แต่มีบันทึกไว้ว่าในระหว่างปี พ.ศ. 2479-2483 บริษัท Societe d"Or de Litcho ขุดทองคำไปได้ถึง 1,851.44 กิโลกรัมเลยทีเดียวหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลไทยเข้ามาดำเนินการเองแต่ทำได้ไม่นานก็ประสบปัญหาจึงสั่งปิดเหมืองและกลายเป็นเหมืองร้างอยู่นานหลายสิบปี ก่อนที่จะจัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์เหมืองโต๊ะโมะให้ผู้สนใจเข้าชมบริเวณที่เคยเป็นเรือนพัก จุดล่องแพและอุปกรณ์ร่อนแร่ทองคำในปัจจุบันเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

27/09/2561

ดอลลาร์แข็ง ทองคำร่วง


สภาทองคำโลก(World Gold Council) ระบุว่าความต้องการทองคำ ครึ่งปีแรกของปีนี้(2561)ลดลง 6 เปอร์เซ็นต์ ไมทำจึงเป็นเช่นนั้น อะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้ทองคำสินทรัพย์ปลอดภัยประเภทหนึ่งมีความต้องการลดลง และราคาลดลงอย่างต่อเนื่องเป็นที่ทราบกันดีว่า ดอลลาร์สหรัฐ เป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดทิศทางราคาทองคำ น้ำมัน หรือแม้สินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งปัจจุบันเงินดอลลาร์แข็งค่ามากที่สุดในรอบ 13 เดือน และยังยืนระยะต่อเนื่อง ประกอบกับการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด จาก 0 เปอร์เซ็นต์ ปรับขึ้นมาเป็น 1.75 %และยังคาดว่าจะปรับขึ้นอีกถึง 2.25 % มาตรการลดภาษีของรัฐบาลเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้การใช้จ่ายผู้บริโภคมากขึ้น การลงทุนจากเอกชนและรัฐดีขึ้น เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ขยายตัวเร็วสุดตั้งแต่ 2014 ด้วยปัจจัยบวกเหล่านี้ ทำให้เงินไม่ไหลออกไปซื้อสินทรัพย์อื่น ดอลลาร์จึงแข็งค่าส่งผลต่อราคาทองคำที่ดิ่งลงมากสุดในรอบ 19 เดือนและยังมองไม่เห็นปัจจัยอะไรที่จะดึงให้ราคาทองฟื้นตัว ในขณะที่ราคาทองคำลดลงแทนที่จะช่วยกระตุ้นการลงทุนในทองคำ กลับทำให้นักลงทุนเทขายทองคำ แล้วหันไปถือดอลลาร์สหรัฐฯแทน ทำให้ความต้องการทองครึ่งปีนี้น้อยลงมาก อีกปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาทองคำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คือความกังวลต่อวิกฤตค่าเงินและเศรษฐกิจตุรกี นักวิเคราะห์มองว่าหากมีปัจจัยอะไรมาฉุดดอลลาร์สหรัฐฯ ให้อ่อนค่าลง ก็อาจทำให้ราคาทองปรับขึ้นได้บ้าง แต่ในมุมของผู้ค้าทองคำเชื่อว่าราคาทองไม่น่าจะต่ำลงไปกว่านี้มากนักราคาทองคำตลาดโลกที่ตำลงนี้ส่งผลต่อราคาทองคำในบ้านเรา ร้านทองต้องปรับป้ายราคาหลายรอบต่อวัน อีกทั้งค่าเงินบาทก็มีผลต่อราคาทองคำในบ้านเราด้วย ซึ่งในรอบเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาราคาทองถือว่าดิ่งลงมากที่สุดในรอบปี นับตั้งแต่ข่าววิกฤตเศรษฐกิจของตุรกี ราคาทองบ้านเราร่วงลงไปแล้ว 500 บาท แต่ถ้าเทียบตั้งแต่ต้นปี ราคาทองเปลี่ยนแปลงลดลงบาทละ 1,500 ในสถานการณ์แบบนี้คงเกิดคำถามว่าควรซื้อ หรือขายออกดี สำหรับนักลงทุนควรรอให้สถานการณ์ราคานิ่งก่อนไม่ต้องรีบร้อน แต่ถ้าต้องการซื้อทองรูปพรรณเพื่อเป็นของขวัญหรือเครื่องประดับ ก็ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมเพราะราคาทองต่ำสุดในรอบ 2-3 ปี เลยทีเดียวเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

27/09/2561

ทำไมตุรกีจึงเป็นศูนย์กลางของ ทองคำ


องค์กรส่งเสริมอุตสาหกรรมทองคำโลก หรือ World Gold Council ได้เผยแพร่รายงานเรื่อง Turkey: gold in action พูดถึงอุตสาหกรรมเครื่องประดับและบทบาทของทองคำในชีวิตประจำวันของชาวตุรกี ได้ข้อสรุปที่น่าสนใจว่าประเทศตุรกีเป็นเสมือนโลกใบย่อมของตลาดทองคำโลก เนื่องจากมีเกี่ยวข้องกับทองคำตั้งแต่การทำเหมือง การสกัดทอง ไปจนถึงการออกแบบเครื่องประดับ และการลงทุน นอกจากนี้การศึกษาค้นคว้าของ World Gold Council ยังมีข้อมูลสำคัญที่ช่วยสนับสนุนแนวคิดที่ ตุรกีคือศูนย์กลางการค้าทองคำและเครื่องประดับทองคำที่สำคัญของโลก อีกหลายประเด็น เช่นพ่อค้าในอาณาจักรโบราณที่ชื่อลิเดีย (Lydia) ซึ่งก็คือดินแดนตุรกีในปัจจุบัน ริเริ่มที่จะใช่เหรียญทองคำเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้า ซึ่งนั่นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนคริสตกาลถึง 700 ปี และปัจจุบันตุรกีก็ยังคงเป็นหนึ่งในผู้ผลิตเหรียญทองอย่างเป็นทางการรายใหญ่ที่สุดของโลก แสดงให้เห็นว่าทองคำหยั่งรากลึกใน วัฒนธรรมของตุรกีมาอย่างยาวนาน สำหรับชาวตุรกีทองคำเป็นสิ่งที่ไม่อาจแยกออกจากกันได้แต่ละครัวเรือนมีทองคำสะสมในปริมาณมาก ประมาณการว่าในภาคครัวเรือนมีทองคำสะสมไว้รวมกว่า 3,500 ตัน ทองคำ “ใต้หมอน” เป็นคำพูดเปรียบเปรยที่พูดถึงการสะสมทองคำของชาวตุรกี ที่มักจะเก็บไว้ใต้หมอนและมันได้กลายเป็นฟันเฟืองเล็กๆ แต่มีความสำคัญในระบบการเงินของตุรกีมาทุกยุคสมัย อุตสาหกรรมเหมืองทองคำของตุรกีมีขนาดเล็ก แต่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว การผลิตทองคำ เพิ่มขึ้นเกือบทุกปีนับตั้งแต่ปี 2001 เป็นต้นมา โดยสูงขึ้นจาก 2 ตันเป็น 33.5 ตันในปี 2013 ตุรกีเป็นผู้ส่งออกเครื่องประดับทองรายใหญ่เป็นอันดับสองของโลกรองจาก อิตาลีตลาดส่งออกเครื่องประดับทองรายใหญ่ที่สุดของตุรกีก็คือ ตะวันออกกลาง แต่ตุรกีก็ยังสามารถส่งออกไปยัง สหรัฐอเมริกา รัสเซีย และเยอรมนีด้วยเช่นกัน ด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัย ฝีมือช่างที่โดดเด่น ศักยภาพในการผลิตที่ตอบสนองได้ทุกความต้องการ คุณภาพงานชั้นเยี่ยม ราคาที่เอื้อต่อการแข่งขันในตลาด และความสามารถในการส่งมอบสินค้าในระยะเวลาที่สั้น ส่งผลให้ธุรกิจการค้าและการส่งออกเครื่องประดับทองของตุรกีเติบโตอย่างรวดเร็ว และทำให้ตุรกีกลายเป็นศูนย์กลางการค้าทองคำและเครื่องประดับทองคำที่สำคัญของโลกเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

27/09/2561

บรูไน ลูกค้าทองคำรายใหญ่ของไทย


บรูไน เป็นประเทศสมาชิกในอาเซียนที่มีการใช้ผลิตภัณฑ์อัญมณีและเครื่องประดับของไทยมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เครื่องประดับทอง สินค้าที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ อันดับ1.ทองรูปพรรณ 2. เครื่องประดับทองประเภท 18 – 22 K ประดับด้วยเพชร และ3.เครื่องประดับเงินประดับด้วยพลอยสีเจียระไน โดยรูปแบบจะเน้นที่ขนาดใหญ่และหนากว่าของไทยแต่มีน้ำหนักเบากว่า เช่น สร้อยคอ กำไลข้อมือ และแหวน ที่มีลวดลายรูปดอกไม้ ส่วนต่างหู ไม่เป็นที่นิยมเพราะผู้หญิงบรูไนจะสวมใส่ผ้าโพกศีรษะหรือฮิญาบ ที่บรูไนตลาดซื้อขายเครื่องประดับจะคึกคักในช่วงครึ่งปีหลังเพราะเป็นช่วงเทศกาลถือศีลอดของชาวมุสลิมหรือรอมฎอน และช่วงเทศกาลแต่งงาน อย่างไรก็ตามลูกค้าหลักในปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นข้าราชการที่นิยมซื้อเครื่องประดับทองคำหลังจากได้รับโบนัสในช่วงต้นปี สำหรับราคาเครื่องประดับทองคำในบรูไนจะขึ้นอยู่กับความบริสุทธิ์ ของทองคำเป็นหลัก ถ้า ทองคำ 24K ราคาโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ กรัมละ 67 ดอลลาร์บรูไน(BND) ทองคำ 22K ราคากรัมละ 62.5 BND และ 21K ราคากรัมละ 60 BND และตั้งแต่ปี 2559 ราคาทองคำรูปพรรณลดลงเล็กน้อย คือเครื่องประดับ ทองคำ 24K ราคาโดยเฉลี่ย ประมาณ 63 BND ทองคำ 22K ราคากรัมละ 59 BND ในอดีต การซื้อขายทองคำแท่งของบรูไนสามารถทำได้ที่ธนาคารที่ได้รับใบอนุญาตจากรัฐบาลเท่านั้น เช่น Bank Islam Brunei Darussalam (BIBD) ซึ่งเป็นผู้นำเข้าทองคำแท่ง PAMP (ผู้ผลิตทองคำยักษ์ใหญ่)จาก สวิสเซอร์แลนด์ หรือผู้ค้าทองคำ เครื่องประดับที่ได้รับสิทธิ์จากกระทรวงการคลัง ของบรูไนให้สามารถจำหน่ายทองคำแท่งได้เท่านั้น และการนำเข้าทองคำแท่งไม่ต้องเสียภาษี แต่จะมีการจัดเก็บภาษี 5% สำหรับการนำเข้าทองคำประเภทรูปพรรณ ต่อมาในปี ค.ศ.2000 รัฐบาลได้ยกเลิกข้อจำกัดนี้ทำให้ชาวบรูไน สามารถซื้อขายทองคำแท่งได้อย่างเสรี จึงมีการนำเข้าทองคำจากต่างประเทศมากขึ้น แสดงให้เห็นว่าชาวบรูไนเริ่มที่จะเก็บทองคำแท่งไว้เพื่อการออม และการลงทุนมากขึ้น รวมถึงเครื่องประดับทองคำรูปพรรณที่ยังคงเป็นที่ต้องการด้วย ถึงแม้บรูไนจะเป็นประเทศเล็กๆในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน แต่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจ เป็นชาติที่นิยมสินค้าและบริการที่มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับในระดับสากล จึงนับเป็นโอกาสในการลงทุนของผู้ประกอบการไทยที่สนใจความท้าทายในการประกอบธุรกิจใหม่ที่บรูไนอัตราแลกเปลี่ยน 1 BND เท่ากับ 23.75 บาท (ข้อมูล ณ.วันที่ 6 กันยายน 61)เช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

27/09/2561

แหล่งแร่ทองคำสำคัญของโลก


@page { margin: 2cm } p { margin-bottom: 0.25cm; direction: ltr; line-height: 115%; text-align: left; orphans: 2; widows: 2 } จากข้อมูลของ Natural Resource Holding (2013)บริษัทที่มีการลงทุนในเรื่องการทำเหมืองทองคำ และสินแร่อื่นๆ รายงานว่า ทั่วโลก มีแหล่งแร่ทองคำทั้งหมด 580 แห่ง อเมริกาเหนือเป็นภูมิภาคที่มีแหล่งแร่ทองคำมากที่สุดในโลก อยู่ที่ประมาณ 1,130.9 ล้านออนซ์ จากแหล่งแร่ทองคำ 199 แห่ง รองลงมาคือแอฟริกามีปริมาณแร่ทองคำประมาณ 841.7 ล้านออนซ์ จากแหล่งแร่ทองคำ 109 แห่ง นอกจากนี้Natural Resource Holding (2013) ยังเปิดเผยรายงานเกี่ยวกับการผลิตแร่ทองคำทั่วโลกอย่างน่าสนใจในหลายประเด็นอย่างอาทิเช่นแหล่งแร่ทองคำ 580 แหล่งทั่วโลก มีคุณภาพทองคำเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1.01 กรัมต่อตัน และในจำนวนนี้ เป็นแหล่งแร่ทองคำที่มีการผลิตแล้วจำนวน 199 แห่ง ซึ่งมีคุณภาพเฉลี่ยประมาณ 1.18 กรัมต่อตัน ส่วนแหล่งแร่ทองคำที่ยังอยู่ในช่วงการพัฒนาหรือยัง ไม่มีการผลิต 381 แห่ง มีคุณภาพเฉลี่ยประมาณ 0.89 กรัมต่อตัน จีนเป็นประเทศที่มีการผลิตทองคำมากที่สุด คือ 455 ตัน รองลงมา ได้แก่ ประเทศ ออสเตรเลีย รัสเซีย และสหรัฐอเมริกา ในขณะที่ประเทศที่มีปริมาณสำรองแร่ทองคำมากที่สุด ได้แก่ ประเทศออสเตรเลีย รัสเซีย และแอฟริกาใต้ สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีแหล่งแร่ทองคำที่มีปริมาณทองคำมากที่สุด โดยมีปริมาณทองคำประมาณ 473.6 ล้านออนซ์ จากทั้งหมด 59 แหล่ง รองลงมา ได้แก่ แคนาดา 471.5ล้านออนซ์จากทั้งหมด 99 แหล่ง แอฟริกาใต้ 466.6 ล้านออนซ์ จากทั้งหมด 33 และรัสเซีย 328.3ล้านออนซ์จากทั้งหมด 33 แหล่ง ออสเตรเลีย 258.6 6 ล้านออนซ์ จากทั้งหมด56 แหล่ง ชิลี147.5 ล้านออนซ์ จากทั้งหมด 15 แหล่ง และแมกซิโก136.6 ล้านออนซ์ จากทั้งหมด 33 แหล่งถึงแม้ภูมิภาคแอฟริกาจะไม่ได้มีทรัพยากรแร่ทองคำมากที่สุดในโลก แต่ก็เป็นภูมิภาคที่มีแหล่ง แร่ทองคำคุณภาพดีที่สุดในโลก แหล่งแร่ทองคำของประเทศแอฟริกาใต้มีคุณภาพสูงถึง 6.04 กรัมต่อตัน ในขณะที่แทนซาเนีย สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก (DRC) และมาลีก็มีแหล่งแร่ทองคำคุณภาพดีเช่นกันคือประมาณ 2.3-2.8 กรัมต่อตันสวิสเซอร์แลนด์เป็นประเทศผู้ส่งออกทองคำมากที่สุดในโลก (ปี 2559) คิดเป็นมูลค่าประมาณ 82,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นสัดส่วน ประมาณร้อยละ 25 ของมูลค่าทองคำที่ส่งออกทั่วโลก รองลงมา ได้แก่ ฮ่องกง สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และสหรัฐอเมริกา ตามลำดับประเทศไทยส่งออกทองคำมากที่สุดเป็นอันดับที่10 ที่ 7,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯคิดเป็นร้อยละ 2.2 ของมูลค่าทองคำที่ส่งออกทั่วโลกเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

27/09/2561

แหล่งแร่ทองคำใหม่ในจีน


ข้อมูลจากกรมสำรวจธรณีวิทยาแห่งสหรัฐอเมริกา (United States Geological Survey: USGS) พบว่าในปี 2559 มีการผลิตแร่ทองคำจากเหมืองแร่ทั่วโลกประมาณ 3,100 ตัน โดยประเทศจีนเป็นประเทศที่มีการผลิตทองคำมากที่สุด คือ 455 ตัน รองลงมา ได้แก่ ประเทศ ออสเตรเลีย รัสเซีย และสหรัฐอเมริกา ตามลำดับ ในขณะที่ประเทศที่มีปริมาณสำรองแร่ทองคำมากที่สุด ได้แก่ ประเทศออสเตรเลีย รัสเซีย และแอฟริกาใต้ ตามลำดับ จีน อาจเป็นประเทศที่มีการผลิตทองคำมากที่สุดเป็นอันดับ1ของโลก ต่อไปอีกหลายปีเมื่อกระทรวงที่ดินและทรัพยากรของจีนได้เปิดเผยข้อมูลใหม่ เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2560 ว่าได้มีการสำรวจพื้นที่ในคาบสมุทรเจียวตง ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของมณฑลซานตง พบว่า มีแหล่งทรัพยากรทองคำสำรองใหม่กว่า 2,400 ตัน ซึ่งมากกว่าจำนวนรวมของทรัพยากรทองคำสำรอง ที่มีสะสมในคาบสมุทรเจียวตงมาตั้งแต่เริ่มการสถาปนาจีนยุคใหม่ในช่วง 61 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้มณฑลซานตงครองอันดับแหล่งผลิตทองคำที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน และก้าวขึ้นมาเป็นแหล่งแร่ทองคำที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก เจียวตงมีปริมาณการผลิตทองคำรวม71 ตัน คิดเป็น 1 ใน 6 ของปริมาณการผลิตทองคำในประเทศจีน ซึ่งปัจจุบันเจียวตงมีแหล่งทรัพยากรทองคำสำรองรวมทั้งสิ้น 3,694 ตันผู้เชี่ยวชาญด้านธรณีวิทยาของจีนยังได้วิเคราะห์ตามทฤษฎีใหม่เกี่ยวกับแร่ คาดการณ์ว่าพื้นที่ของเจียวตงในระดับความลึก 3,000 เมตร จะมีแร่ทองคำไม่น้อยกว่า 6,000 ตัน และในระดับความลึก 5,000 เมตรอาจจะมีแร่ทองคำมากถึง 10,000 ตันเลยทีเดียวในทางทฤษฎี พื้นผิวโลกสามารถถูกเจาะลงไปได้ 10 กิโลเมตร และการทำเหมืองที่ทันสมัยของโลกอยู่ที่ระดับความลึก 2,000 – 4,000 เมตร ซึ่งในขณะนี้ ประเทศจีนยังทำเหมืองแร่อยู่ที่ระดับความลึกแค่ 500 เมตรเท่านั้น ดังนั้นหากมีพัฒนาการทำเหมืองให้ลึกได้ถึง 2,000 เมตร ปริมาณทรัพยากรแร่ของจีนก็จะเพิ่มขึ้นจากที่มีอยู่ในปัจจุบันเป็น 2 เท่าทั้งนี้การทำเหมืองแร่ในระดับลึกนั้น จะมีผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมทางนิเวศวิทยาน้อยกว่าการทำเหมืองบนหน้าพื้นดิน ซึ่งตรงกับข้อกำหนดในการสร้างความสมดุลทางนิเวศวิทยาของจีนในปัจจุบัน ไม่แน่ว่าต่อไปทองรูปพรรณที่ขายตามร้านทองบ้านเราอาจมาจากแหล่งทองคำที่พบใหม่ในมณฑลซานตงก็เป็นได้เช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

06/09/2561

โบรกเกอร์ โกลด์ฟิวเจอร์ส (Gold Future)


อยากจะลงทุนในตลาดซื้อขายทองคำล่วงหน้า(Gold Future) ต้องทำอย่างไร ไปซื้อที่ร้านทองได้หรือไม่ แล้วจะทำอย่างไรไม่ให้โดนหลอก คำตอบคือต้องไปซื้อกับบริษัทโบรกเกอร์โกลด์ฟิวเจอร์สที่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์หรือ ก.ล.ต.เท่านั้นในปัจจุบันการซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์สอย่างถูกต้องตามกฎหมายในประเทศไทยจะมีเพียงในตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือ TFEX เพียงแห่งเดียวเท่านั้น และโบรกเกอร์ที่ได้รับอนุญาตจะต้องเป็นบริษัทสมาชิกของตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า และต้องได้รับใบอนุญาตจากสำนักงาน ก.ล.ต. ดังนั้น ก่อนตัดสินใจซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์ส ผู้ลงทุนควรตรวจสอบว่าบริษัทเหล่านั้น เป็นบริษัทที่ได้รับใบอนุญาตจริงหรือไม่ นักลงทุนสามารถตรวจสอบรายชื่อโบรกเกอร์ที่ซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์ส ได้ที่ หน้าเวปไซด์ของ บริษัท ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ Thailand Futures Exchange หรือ TFEX ซึ่งปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 7 ธันวาคม 2560)มีบริษัทสมาชิกประเภทตัวแทนทั่วไป รวม 40 บริษัท ในจำนวนบริษัทสมาชิกทั้ง 40 บริษัท มีบริษัทสมาชิกที่เปิดให้บริการซื้อขายอนุพันธ์ผ่านอินเทอร์เน็ต 36 บริษัทบริษัทโบรกเกอร์โกลด์ฟิวเจอร์สที่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องจากสำนักงาน ก.ล.ต. จะต้องปฎิบัติตามข้อกำหนดหลายประการเพื่อให้แน่ใจว่าบริษัทมีระบบงานที่ได้มาตรฐานและมีนโยบายบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม ซึ่งจะทำให้มั่นใจได้ว่าผู้ลงทุนจะได้รับชำระกำไรขาดทุนตามที่เกิดขึ้นจริง เช่น จะต้องแยกสินทรัพย์ของผู้ลงทุนออกจากของบริษัท มีเงินกองทุนสภาพคล่องขั้นต่ำตามที่กำหนด และมีเจ้าหน้าที่การตลาดที่ได้รับใบอนุญาตจากสำนักงานฯ ข้อควรระวังของนักลงทุนคือ อย่าหลงเชื่อแก๊งค์มิจฉาชีพที่ชอบอ้างว่าเป็นโบรกเกอร์ทองคำ ซึ่ง โบรกเกอร์ทองเถื่อนเหล่านี้ มักจะโทรศัพท์ไปชักชวนให้ลงทุนในทองคำ โดยอ้างตนเป็นนายหน้าซื้อขายตั๋วทองคำที่มี วิธีซื้อขายคล้ายกับโกลด์ฟิวเจอร์ส แต่ใช้เงินทุนน้อยมาก เพียงแค่ประมาณ 1% ของมูลค่าตั๋วจริงเท่านั้น และเป็นการซื้อขายใน Spot Market ไม่ใช่การซื้อขายในตลาดล่วงหน้าตั๋วทองคำจึงไม่มีวันหมดดอายุ ผู้ลงทุนที่หลงเชื่ออาจสูญเป็นจำนวนมาก เพราะโบรกเกอร์เหล่านี้ ไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับที่ถูกต้องของสำนักงาน ก.ล.ต. ตามที่กฎหมายกำหนดเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

06/09/2561

ย้อนประวัติศาสตร์ 147 ปี การทำเหมืองแร่ทองทำ


ประเทศไทยมีการทำเหมืองแร่มาตั้งแต่รัชกาลที่ 4 ช่วงแรกนิยมทำเหมืองดีบุก ต่อมาเมื่อมีพระราชบัญญัติการทำเหมืองแร่ ร.ศ. 120 การทำเหมืองก็ขยายตัวเพิ่มขึ้น มีการทำเหมืองแร่กว่า 40 ชนิด แต่มีแร่เศรษฐกิจที่สำคัญอยู่เพียง 10 ชนิดเท่านั้นคือ ถ่านหิน ยิปซัม หินอุตสาหกรรม เฟลด์สปาร์ สังกะสี โดโลไมต์ ดีบุก ทรายแก้ว เกลือหินและโพแทซ และทองคำ เหมืองทองคำเริ่มทำครั้งแรกในปี พ.ศ. 2414 แต่ทำได้ไม่นานก็ปิดกิจการไป และกลับมาทำกันอีกครั้ง ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 มีบันทึกว่ามีชาวอิตาเลี่ยนมาขอขุดทองที่ อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่าสามารถขุดพบได้จำนวนเท่าใด ต่อมาก่อนถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลสยามได้ให้สัมปทานแก่บริษัทจากอังกฤษและฝรั่งเศส ทำการสำรวจและทำเหมืองแร่จากแหล่งแร่ทองคำหลายแห่ง เช่น แหล่งโต๊ะโมะ จ.นราธิวาส บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ แหล่งกบินบุรี จ.ปราจีนบุรี เป็นต้นมีการบันทึกไว้ว่า บริษัท Societe des Mine d’Or de Litcho ของฝรั่งเศสซึ่งทำเหมืองแร่ทองคำที่แหล่งโต๊ะโมะ จ.นราธิวาส ได้ทองคำหนักถึง 1,851.44 กิโลกรัมเลยทีเดียว ในขณะที่กรมโลหะกิจ หรือกรมทรัพยากรธรณีในปัจจุบัน ได้ทำเหมืองทองคำที่แหล่งบ้านบ่อ จ.ปราจีนบุรี ระหว่างปีพ.ศ. 2479-2483 ได้ทองคำถึง 54.62 กิโลกรัมปัจจุบันประเทศไทยมีพื้นที่ทำเหมืองแร่ทองคำที่ได้รับประทานบัตรหรือใบอนุญาตให้ขุดแร่ได้มีทั้งหมด 33 แปลง จากประทานบัตรเหมืองแร่ทั้งหมดกว่า 1,500 แปลง ทองคำที่ผลิตได้ในประเทศจะส่งออกเกือบทั้งหมด ซึ่งช่วง 10 ปีที่ผ่านมามูลค่าการส่งออกทองคำมีแนวโน้มสูงขึ้นตามราคาทองคำในตลาดโลก โดยมูลค่าการส่งออกในปี 2554 ประเทศไทยส่งออกทองคำรวม 2,860,219 กรัม มูลค่า 4,425.4 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวในปี 2555 ผลิตได้ 4,895,021 กรัม มูลค่า 8,119.9 ล้านบาท ประเทศไทยมีแหล่งแร่ทองคำไม่ถึงร้อยละ 1 ของแร่ทั้งประเทศ แต่ราคาทองคำในตลาดโลกที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ก็ดึงความสนใจให้นักลงทุนหันมาขุดทองกันมากขึ้นแต่ การทำเหมืองแร่ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูงที่มีการลงทุนค่อนข้างมาก และอาจมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทำให้การทำเหมืองแร่ในประเทศไทยยังคงมีข้อจำกัดอยู่ในเวลานี้เช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

06/09/2561

เรื่องลับๆกับทองคำ


เรารู้ว่า ทองคำ เป็นโลหะชนิดหนึ่งที่มีสีเหลือง มันวาว สะท้อนแสงได้ดี และราคาแพง นิยมนำมาทำเป็นเครื่องประดับ เป็นทรัพย์สิน เป็นการลงทุน และเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ แต่ยังมีความลับเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับทองคำอีกมากมายที่เรายังไม่รู้ ทองคำเป็นแร่ธาตุที่ไม่มีวันสูญสลาย เมื่อขุดขึ้นมาแล้วก็ยังอยู่บนโลกต่อไป มีการคาดการณ์กันว่า นับตั้งแต่มนุษย์ชาติรู้จักการใช้ทองคำเมื่อ 6,000 ปีก่อน ได้มีการขุดทองคำขึ้นมาบนโลกแล้วกว่า 174,000 ตันประเทศที่ผลิตทองคำมากที่สุดในโลก 5 อันดับแรก ได้แก่ 1. จีน 2. ออสเตรเลีย 3. สหรัฐอเมริกา 4. รัสเซีย 5. แอฟริกาใต้ และเหมืองทองคำที่ลึกที่สุดในโลกชื่อ Tau Tona อยู่ที่แอฟริกาใต้ มีความลึกเกือบ 4 กิโลเมตร ระหว่างปี ค.ศ. 2001 – 2012 ราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้นเป็นเวลา 12 ปีติดต่อกัน จากราคาต่ำสุดที่ 250 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ไปอยู่ที่ราคาสูงสุด 1900 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือเพิ่มขึ้น 7.6 เท่า นั่นทำให้ ราคาทองคำแท่งของไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากบาทละ 5,200 บาท ไปสูงสุดที่บาทละ 26,000 บาท หรือเพิ่มขึ้นกว่า 5 เท่า เมื่อนำทองคำบริสุทธิ์น้ำหนัก 1 ออนซ์ มาตีให้เป็นแผ่นบางๆ จะตีได้กว้างถึง 9 ตารางเมตรและเมื่อนำทองคำน้ำหนัก 1 ออนซ์มายืดให้มีความหนา 5 ไมครอน สามารถยืดได้ยาวถึง 50 ไมล์ และหากนำทองที่มีอยู่ในโลกทั้งหมดมารวมกัน แล้วดึงให้เป็นเส้นลวดที่ความหนา 5 ไมครอนนี้ สามารถนำมาพันรอบโลกได้ถึง 11,200,000 รอบเลยทีเดียวจุดเดือดของทองคำนั้นสูงถึง 2,808 องศาเซลเซียส และการจะทำให้ทองคำละลายต้องใช้ความร้อนสูงถึง 1,064 องศาเซลเซียส เมื่อปี 1869 มีการขุดพบทองคำก้อนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดตั้งแต่มีการขุดพบทองคำก้อน ชั่งได้ประมาณ 2,316 ทรอยออนซ์ หรือประมาณ 72 กิโลกรัม ที่เมืองมอเลียกัลในประเทศออสเตรเลีย มันถูกเรียกว่า “Welcome Stranger” ที่แปลว่า ยินดีต้อนรับคนแปลกหน้า ทองคำราว 147,300,000 ออนซ์ หรือประมาณ 4,600 ตัน ถูกเก็บไว้อยู่ในศูนย์รับฝากทองแท่งที่เมืองฟอร์ตน็อกซ์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวลับๆที่น่าสนใจของทองคำที่เราอาจไม่เคยรู้มาก่อนเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

06/09/2561

นำทองคำกลับบ้าน


การเรียกคืนทองคำที่ฝากไว้ในต่างประเทศ กำลังเป็นกระแสที่หลายประเทศดำเนินการอยู่ การเร่งเรียกทองคำกลับคืนหรือการกลับมาสะสมทองคำนั้น อาจเป็นดัชนีชี้วัดการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจหรือการเกิดสงครามใหญ่ได้ อีกทั้งการเรียกขอคืนทองคำทั้งหมดที่เก็บไว้ในธนาคารกลางสหรัฐและที่ธนาคารกลางฝรั่งเศษของเยอรมันเมื่อ 5 ปีก่อนก็ทำให้หลายๆประเทศเริ่มเดินตามการนำทองคำกลับบ้านเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.2009 โดยอินเดียได้ขนทองคำจำนวน 200 ตัน กลับจากไอเอ็มเอฟ ซึ่งถือเป็นการเคลื่อนย้ายทองคำกลับบ้านระดับนานาชาติในปริมาณมากเป็นครั้งแรก ปี ค.ศ. 2011 เม็กซิโก อ้างความจำเป็นเรื่องการค้าขายกับหลายประเทศเช่น ประเทศบริกส์ จีน รัสเซีย อินเดีย ที่เรียกร้องการซื้อขายเป็นทองคำแทนเงินสกุลอื่นทำให้ต้องเรียกทองคำ 100 ตัน กลับมาจากธนาคารกลางสหรัฐ เช่นเดียวกับเวเนซุเอลา ขนทองคำ 160 ตัน มูลค่าประมาณ 9 พันล้านดอลลาร์ กลับบ้านจากอเมริกาในเดือนมกราคม ค.ศ. 2012 ปีค.ศ. 2014 ปริมาณสำรองทองคำของชาวดัตช์ ที่ถูกเก็บไว้ในห้องเก็บของธนาคารกลางของสหรัฐ 122.5 ตันถูกส่งกลับไปยังอัมสเตอร์ดัม ซึ่ง; ธนาคารกลางของเนเธอร์แลนด์ยังคงเก็บสำรองทองคำไว้ในนิวยอร์ก ออตตาวาและลอนดอน ขณะที่ออสเตรีย มีแผนเรียกทุนสำรองทองคำ 50 เปอร์เซ็นต์กลับจากกรุงลอนดอน 30 เปอร์เซ็นต์และ 20 เปอร์เซ็นต์จากสวิตเซอร์แลนด์ภายในเดือนพฤษภาคมในปี 2020 15 มีนาคม 2018 ปี ฮังการีได้เรียกทองคำคืนจากอังกฤษ 3 ตันด้วยเหตุผลทางด้านเศรษฐกิจ จึงเรียกทองคำกลับมาเก็บไว้ป้องกันความเสี่ยง ตุรกีเป็นประเทศล่าสุดที่เรียกคืนทองคำทั้งหมดที่เก็บไว้ในธนาคารกลางสหรัฐ จำนวน 220 ตันกลับประเทศ ซึ่งแม้จะเริ่มเรียกทองคำกลับบ้านมาตั้งแต่ปี 2002 แต่ก็ยังไม่สามารถดำเนินการได้ตามที่หวังไว้ตุรกีก็เหมือนๆกับหลายประเทศในยุโรป ที่ย้ายทองคำไปฝากที่ไว้ที่อเมริกาเพื่อหลบหนีการปล้นทองคำจากธนาคารกลางของยุโรปของฮิตเลอร์ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2เช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

06/09/2561

เยอรมัน กับทองคำ


ก่อนปี 2008 เยอรมนีมีความต้องการทองคำเฉลี่ยเพียงปีละ 17 ตันเท่านั้น ในขณะที่กองทุน ETC ที่หนุนด้วยทองคำไม่ได้รับความนิยมในตลาด(Exchange-Traded Commodity (ETCs) คือกองทุนที่ไปลงทุนในสินทรัพย์โภคภัณฑ์จำพวกทองคำ น้ำมัน) แสดงให้เห็นว่าการลงทุนในทองคำของประเทศเยอรมณีได้รับความสนใจน้อยมากจนกระทั่งเกิดวิกฤตทางการเงินในช่วงปี 2008 ทำให้ชาวเยอรมันเริ่มตระหนักว่าเงินแบบธนบัตร (fiat currencies) อาจไม่มีเสถียรภาพและสูญเสียมูลค่ามหาศาลได้ในอนาคต ประกอบกับความเชื่อมั่นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์เริ่มลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้ทองคำถูกมองว่าเป็นเงินที่แท้จริง (real money)ด้วยเหตุนี้จึงกระตุ้นให้นักลงทุนชาวเยอรมันสนใจในทองคำมากขึ้นจนกระทั่งปี 2017 เยอรมนีได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำระดับโลกในการลงทุนทองคำไปแล้ว ถือเป็นพัฒนาการอย่างเงียบๆ ในช่วงตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมาเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

06/09/2561

เครื่องทองลงยา/ลงยาราชาวดี


การลงยา เป็นการเพิ่มสีสัน ความสวยงามให้กับเครื่องประดับ ที่อยู่คู่คนไทยมาอย่างยาวนาน สารานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถานเล่ม ๒๕ อธิบายไว้ว่า การลงยามีในหลายประเทศและมีอยู่หลายแบบ ประเทศไทยนิยมในแบบที่เรียกว่า กลัวซอนเน(cloisonné)หรือที่จีนเรียกว่า ฟาลัง (fa-lang) ซึ่งนิยมกันมาตั้งแต่อียิปต์ กรีก เปอร์เซีย โรมัน และตะวันออกกลาง ตลอดจนประเทศในเอเชียด้วย ลงยาคือ การแต้มสีหรือน้ำยาลงในร่องลายของภาชนะ อาวุธ หรือเครื่องประดับที่เป็นโลหะแทนการฝังอัญมณี เดิมใช้เฉพาะสีแดง เขียว ต่อมามีสีเพิ่มคือ แดง เขียว น้ำเงิน และฟ้า เครื่องใช้ที่ลงยามีชื่อเรียกต่างๆกันชองเปลอเว เป็นเครื่องโลหะลงยา นิยมกันมากในยุโรปยุคกลาง โดยใช้วิธีทุบแผ่นพื้นโลหะให้เป็นร่องบุบลงไป หยอดน้ำยาสีต่างๆลงในร่องเหล่านั้น ตามลวดลาย แล้วนำไปอบ งานช่างไทยที่มีลักษณะคล้ายกันนี้เรียกว่า "เครื่องถมปัด" พบได้ที่ซุ้มประตูหน้าต่างปราสาทพระเทพบิดรกลัวซอนเน เป็นการใช้เส้นทองหรือทองแดงเดินลายพื้นโลหะแทนการทุบพื้นโลหะให้บุบ นิยมใช้กันในสมัยจักรวรรดิไบแซนไทน์ แล้วแพร่เข้ามาที่จีนทำกันอย่างแพร่หลายที่กวางตุ้ง เรียกว่า"เครื่องลงยาแบบกวางตุ้ง" หรือ ฟาลัง เป็นที่รู้จักกันดีในสมัยอยุธยาเพราะไทยเป็นลูกค้าสำคัญของจีนเรียกว่า "เครื่องลงยาสี" กราบิแวร์ เป็นของอาหรับและตะวันออกกลางใช้วิธีเดียวกับชองเปลอเว แต่ทำบนเครื่องปั้นเผาที่กดผิวให้ต่ำเป็นตอนๆ ตามลวดลายหรือรูปที่ร่างไว้ก่อน แล้วจึงลงน้ำยาและนำไปอบอุณหภูมิต่ำ ลักษณะคล้ายกันนี้ไทยเรียก"เครื่องปังเคย" หรือ "เครื่องถ้วยเบญจรงค์" นั่นเอง สำหรับกรรมวิธีการลงยาสีของไทยนั้น ชาวเปอร์เซียคงเป็นผู้นำเข้ามาเผยแพร่ตั้งแต่สมัยอยุธยา จึงนิยมอยู่ในหมู่ข้าราชการและราชสำนัก และคงไม่มีสีมากเท่าปัจจุบันเพราะปรากฏในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงโปรดปรานลงยาสีชนิดที่เรียกว่าราชาวดี โดยเป็นสีฟ้าสีเดียว ดังนั้น เครื่องราชูปโภคหลายชิ้นจึงลงยาราชาวดี ซึ่งตัวยาสีนี้คือแก้วสีที่หลอมละลายกับแร่ธาตุที่มีสีต่าง ๆ ได้เป็นสีใสตามเนื้อแก้ว ถ้าต้องการให้ขุ่นจะผสมออกไซด์ของดีบุกหรือพลวง งานลงยาสีฟ้าหรือ"ลงยาราชาวดี" ส่วนมากจะเป็นของเจ้านายชั้นสูง หากไม่มีสีฟ้าในชิ้นงานจะเรียกว่า "ทองลงยา" ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4การทำเครื่องลงยามีความรุ่งเรืองมาก เครื่องราชูปโภคและราโชปโภค รวมทั้งเครื่องประกอบยศของเจ้านายตลอดจนขุนนางต่างๆ รวมถึงเครื่องประกอบสมณศักดิ์พระภิกษุสงฆ์ ล้วนเป็นเครื่องลงยาราชาวดีแทบทั้งสิ้นเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

06/09/2561

เครื่องทองน้อย เครื่องทองใหญ่


เครื่องทองน้อย และเครื่องทองใหญ่ เป็นเครื่องนมัสการของไทยเพื่อการแสดงออกถึงการเคารพบูชากราบไหว้ เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่สืบทอดกันมาแต่ครั้งโบราณ แฝงไปด้วยคติธรรมความละเอียดอ่อนและความหมายแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ เครื่องนมัสการของหลวง และเครื่องนมัสการของราษฎร์เครื่องทองน้อย เป็นเครื่องบูชาชนิดหนึ่งสําหรับพระเจ้าแผ่นดินทรงใช้บูชาเฉพาะวัตถุ ประกอบด้วยเชิงเทียน ๑ เชิง เชิงธูป ๑ เชิง กรวยปักดอกไม้ ๓ กรวย ตั้งในพานทองลงยาราชาวดี เรียกเต็มๆว่า เครื่องนมัสการทองน้อย ซึ่งแต่ก่อนมีเพียงพระมหากษัตริย์เท่านั้นที่จะทรงใช้เครื่องทองน้อยเป็นเครื่องราชสักการะพระบรมศพ พระบรมอัฐิ พระบรมราชานุสาวรีย์ และใช้ในโอกาสทรงธรรม แต่ในปัจจุบันเครื่องทองน้อยนอกจากใช้สำหรับการสักการบูชาของพระมหากษัตริย์แล้ว พระบรมวงศานุวงศ์ พระสงฆ์ และสามัญชนทั่วไป ก็สามารถใช้เครื่องทองน้อยในโอกาสต่างๆได้ด้วยไม่ว่าจะเป็นงานพระราชพิธี งานพระราชกุศล งานรัฐพิธี และงานด้านศาสนาเครื่องทองใหญ่ เป็นเครื่องนมัสการที่ใช้ในงานพระราชพิธีประจำพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามเท่านั้น ตั้งถวายเพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประกอบด้วยพุ่มดอกไม้ 5 พุ่ม พุ่มข้าวตอก 5 พุ่ม เทียน 5 เล่ม ธูปไม้ระกำ 5 ดอก โดยพานรองพุ่มและเชิงเทียนเชิงธูปนั้นมีขนาดใหญ่ทำจากทองคำลงยาราชาวดีตั้งบนโต๊ะเท้าคู้สลักลายปิดทองนอกจากเครื่องทองน้อย และเครื่องทองใหญ่แล้วยัง เครื่องนมัสการของไทยที่ใช้ในพระราชพิธีและพิธีต่างๆยังมีอีกหลายประเภท ที่สำคัญๆได้แก่ เครื่องนมัสการทองทิศ หรือ เครื่องนมัสการทองใหญ่สำรับใหญ่ เป็นเครื่องนมัสการอย่างเดียวกับเครื่องนมัสการทองใหญ่ แต่มีขนาดเล็กกว่า ทรงใช้บูชาพระพุทธรูปหรือปูชนียสถานสำคัญต่างๆ เครื่องนมัสการพานทองสองชั้น ทำด้วยทองคำ หรือ กาไหล่ทอง เป็นเครื่องบูชาที่พระมหากษัตริย์ทรงใช้ในงานพระราชพิธี งานทรงวางพวงมาลาในวันสำคัญ ต่าง ๆเครื่องนมัสการทองคำลงยาราชาวดี ทำด้วยทองคำ ลงยาราชาวดี ใช้สำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เท่านั้น ในงานพระราชพิธีบำเพ็ญพระกุศลทักษิณานุปทานอุทิศถวายพระบรมราชบุพการี งานบำเพ็ญพระกุศลพระศพ เครื่องนมัสการทองคำลงยารอง ทำด้วยทองคำลงยา เพื่อสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงจุดนมัสการนอกจากนี้ยังมี เครื่องนมัสการทองทิศกะไหล่ทอง เครื่องนมัสการทองใหญ่เครื่องแก้ว เครื่องนมัสการกระบะ เครื่องนมัสการกระบะมุก เครื่องทองน้อยเครื่องหงส์ เครื่องทองน้อยแก้วเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

06/09/2561

โกลด์ฟิวเจอร์สเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน


โกลด์ฟิวเจอร์ส(Gold Futures) หรือ สัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า เชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหนมีการจ่ายเงิน จริงหรือไม่เมื่อได้กำไร แล้วถ้าคู่สัญญาบิดพลิ้วจะทำอย่างไร เป็นคำถามที่มักจะได้ยินเป็นประจำสำหรับนักลงทุนหน้าใหม่โกลด์ฟิวเจอร์ส(Gold Futures) หรือ สัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้าอยู่ภายใต้การดูแลของบริษัทตลาดอนุพันธ์ (ประเทศไทย) จำกัด(มหาชน) หรือ TFEX ซึ่งเป็นศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่ได้รับการจัดตั้งอย่างเป็นทางการภายใต้พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้าพ.ศ.2546 เพื่อทำหน้าที่จัดให้มีการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่ตอบสนองความต้องการของผู้ลงทุน และดูแลการซื้อขายให้ถูกต้อง โปร่งใส และ ยุติธรรม นอกจากนี้ทุกๆการซื้อขายใน TFEX จะมี บริษัทสำนักหักบัญชี (ประเทศไทย)จำกัด(TCH) ทำหน้าที่รับประกันการจ่ายชำระเงินระหว่างคู่สัญญา หากคู่สัญญาฝ่ายที่ขาดทุนบิดพลิ้วไม่ยอมจ่ายชำระเงิน ให้ฝ่ายที่ได้กำไร สำนักหักบัญชีก็จะค้ำประกันการจ่ายชำระเงินนั้นให้ก่อน ผู้ลงทุนจึงมั่นใจได้ว่าหากได้กำไร จากการซื้อขายก็จะได้รับเงินส่วนกำไรนั้นอย่างแน่นอน สำหรับการกำกับดูแลนั้น คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์หรือ ก.ล.ต. เป็น จะเป็นหน่วยงานสำคัญที่คอยดูแลการดำเนินงานของ TFEX และโบรกเกอร์อนุพันธ์อีกขั้นหนึ่งเพื่อให้การซื้อขายโปร่งใส และเชื่อถือได้ผู้ลงทุนจึงมั่นใจได้ว่าจะสามารถซื้อขายในราคาที่เป็นธรรม นอกจากนี้ผู้ลงทุนที่มีสถานะซื้อหรือสถานะขายโกลด์ฟิวเจอร์สอยู่ จะได้ปรับยอดเงินในบัญชีหลักประกันทุกสิ้นวันแม้ว่าจะยังถือสัญญาไว้ก็ตาม ทั้งนี้การซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์ส ผู้ลงทุนจะต้องวางเงินหลักประกันขั้นต้นหรือ Initial Margin ไว้กับโบรกเกอร์อนุพันธ์ก่อนส่งคำสั่งซื้อขายและเมื่อซื้อหรือขาย โกลด์ฟิวเจอร์สไปแล้ว ในทุกสิ้นวันโบรกเกอร์จะปรับยอดเงินในบัญชีของผู้ลงทุน โดยจะคำนวณว่าในวันนั้นๆ ผู้ลงทุนได้กำไรหรือขาดทุนเท่าไร และจะนำยอดกำไรขาดทุนนี้มารวมกับเงินในบัญชีของผู้ลงทุน ในกรณีที่ผู้ลงทุนขาดทุนจนทำให้เงินในบัญชีที่วางไว้ลดลงจนต่ำกว่าระดับหลักประกันที่โบรกเกอร์กำหนดที่เรียกว่า หลักประกันรักษาสภาพ (Maintenance Margin) โบรกเกอร์ก็จะเรียกให้ผู้ลงทุนนำเงินมาวางเพิ่มเติม ให้ระดับเงินในบัญชีกลับไปอยู่ที่ระดับหลักประกันขั้นต้นอีกครั้งหนึ่ง การคำนวณ กำไรขาดทุนทุกสิ้นวันนี้ เรียกว่า Mark to Market ซึ่งเป็นระบบที่ช่วยทำให้ผู้ลงทุนสามารถติดตามสถานะการซื้อขายของตนได้ตลอดเวลา หากเกิดภาวะขาดทุนก็สามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การซื้อขายได้ในทันทีเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

06/09/2561

การลงทุนทองคำแท่ง กับ โกลด์ฟิวเจอร์สต่างกันอย่างไร


การลงทุนในตลาดทองคำ ที่นิยมทำกันมี 2 รูปแบบคือ การลงทุนในทองคำแท่ง การลงทุนใน โกลด์ฟิวเจอร์ส (Gold Futures) หรือ สัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า ซึ่งทั้งสองแบบมีวิธีการและข้อดีข้อเสียแตกต่างกันคือการลงทุน ในทองคำแท่งต้องจ่ายชำระเงินเต็มจำนวน ซึ่งต่างจากโกลด์ฟิวเจอร์ส หรือสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้าที่ใช้วิธีการวางเงินเป็นหลักประกันโดยใช้เงินประมาณ 1 ใน 10 ของราคาทองคำที่เราจะซื้อต่อสัญญาเท่านั้น ระยะเวลาลงทุน ทองคำแท่งสามารถถือไปได้เรื่อยๆจนกว่าจะพอใจและขายได้เมื่อต้องการขาย แต่โกลด์ฟิวเจอร์ส ใช้ระยะสั้นไม่เกิน 6 เดือน เหมาะสำหรับผู้ต้องการทำกำไรในระยะสั้น หรือใช้เพื่อบริหารความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาทองคำการส่งมอบสินค้า ทองคำแท่งมีการส่งมอบสินค้า โดยผู้ซื้อจะได้รับทองคำทันทีหลังจากตกลงซื้อขาย แต่ โกลด์ฟิวเจอร์ส ไม่มีการส่งมอบทองคำจริง แต่ใช้วิธีการจ่ายชำระเงิน ตามส่วนต่างกำไรขาดทุนที่เกิดขึ้น เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษา และความยุ่งยากในการส่งมอบสินค้าทองคำแท่งใช้กลยุทธ์ซื้อและถือยาว เพื่อรอทำกำไร เมื่อราคาทองปรับตัวเพิ่มขึ้น ในขณะที่โกลด์ฟิวเจอร์ส สามารถทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง ผู้ลงทุนสามารถซื้อก่อนขายหรือขายก่อนซื้อได้ ทำให้สามารถ ทำกำไรได้ทุกสภาวะตลาด ทองคำแท่งใช้วิธีติดต่อซื้อขายโดยตรงกับ ร้านทอง แต่โกลด์ฟิวเจอร์สซื้อขายผ่าน ระบบTFEXซึ่งผู้ลงทุนสามารถซื้อขายได้สะดวกรวดเร็ว โดยโทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่การตลาดหรือส่งคำสั่งซื้อขายด้วยตนเองผ่าน อินเตอร์เน็ตก็ได้ข้อมูลราคาซื้อขายทองคำแท่ง เปลี่ยนแปลงโดยเฉลี่ยวันละครั้ง ตามราคาที่สมาคมค้าทองคำประกาศ ซึ่งราคานี้จะเผยแพร่ตามช่องทางที่ผู้ขายให้บริการ เช่น หน้าร้านค้า และเว็ปไซต์ แต่ราคาของ โกลด์ฟิวเจอร์ส จะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ตามรายการซื้อขายที่เกิดขึ้นจริง ผู้ลงทุนสามารถตรวจสอบข้อมูลซื้อขายได้ตลอดเวลาผ่านเว็ปไซต์ มือถือ โทรทัศน์ และช่องทางอื่นๆ ที่โบรกเกอร์ให้บริการซึ่งราคาจะอ้างอิงกับ Gold Spot + ค่าเงินบาทการซื้อขายทองคำแท่งจะไม่มีค่าธรรมเนียม การซื้อขายแต่มีส่วนต่างระหว่างราคาขายและราคาซื้อคืนที่ขั้นต่ำกว่า 100 บาทต่อทองคำหนัก 1 บาท แต่โกลด์ฟิวเจอร์ส มีค่าธรรมเนียมการซื้อขายซึ่งต้องสอบถามทาง Broker ข้อสุดท้ายคือการชำระเงินการซื้อทองคำแท่งจะต้องชะระเป็นเงินสดกับ ผู้ขายหรือร้านทองโดยตรงแต่โกลด์ฟิวเจอร์ส สามารถ เลือกชำระเงินได้ในหลายรูปแบบ เช่น การโอนเงินผ่านระบบบัญชีธนาคารอัตโนมัติ (ATS) จ่ายเป็นเงินสด หรือจ่ายเช็คเข้าบัญชีโบรกเกอร์ก็ได้ เมื่อเห็นความแตกต่างแบบนี้แล้วก็เลือกการลงทุนที่เหมาะกับเราได้เลยเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

06/09/2561

โกลด์ฟิวเจอร์ส (Gold Futures) คืออะไร


โกลด์ฟิวเจอร์ส(Gold Futures) หรือ สัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า เป็นการลงทุนรูปแบบหนึ่งที่ผู้ลงทุนสามารถทำกำไรได้ตามความคาดการณ์ที่มีต่อราคาทองคำได้ทั้งในภาวะราคาทองขาขึ้นและราคาทองขาลง ด้วยคุณลักษณะเด่นที่สามารถซื้อก่อนขายหรือขายก่อนซื้อก็ได้ วิธีการซื้อ-ขายโกลด์ฟิวเจอร์สนั้นต่างจากการซื้อขายทองคำทั่วไป เวลาเราจะซื้อทองรูปพรรณ หรือทองคำแท่งเพื่อการออมหรือเพื่อการลงทุนมากน้อยแค่ไหนก็ตาม เราก็แค่เดินเข้าไปซื้อในร้านทองจ่ายเงิน เท่านี้ก็เรียบร้อย แต่ถ้าเราจะลงทุนในสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้าหรือโกลด์ฟิวเจอร์ส วิธีการก็จะแตกต่างกันไปอย่างสิ้นเชิงแรกเริ่มเราต้องเปิดบัญชีก่อนเพื่อให้ได้บัญชี ในการซื้อ-ขายโกลด์ฟิวเจอร์ส พอเรามีบัญชีแล้วเราก็ต้องศึกษาการเคลื่อนไหวของราคาทองที่อ้างอิงกับ Spot London และทำความเข้าใจ เมื่อมั่นใจว่าศึกษาและทำความเข้าใจดีแล้วก็ต้องวางหลักประกันซึ่ง บริษัท ตลาดอนุพันธ์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือTFEXเป็นผู้กำหนดหลักประกัน จากนั้นก็สามารถทำกำไรในโกลด์ฟิวเจอร์สได้เลย การลงทุนในโกลด์ฟิวเจอร์สนั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือ มีค่าธรรมเนียม และส่วนต่างการซื้อขายต่ำกว่า ทำให้สามารถซื้อขายเพื่อทำกำไรได้ถี่กว่า การซื้อขายทำได้สะดวกและการชำระเงินสามารถชำระโดยการหักบัญชีได้ ราคาซื้อขายจะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ตามหลักอุปสงค์/ อุปทาน ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับราคาตามร้านค้า กลยุทธ์ที่ใช้ในการซื้อขายหลากหลายกว่าสามารถใช้เพื่อบริหารความเสี่ยงได้ ใช้ทุนต่ำกว่าที่จำนวนทองคำเท่ากัน ส่วนข้อเสียคือมีอายุเวลาของสัญญา มีความเสี่ยงสูง อาจโดนเรียกหลักทรัพย์ค้ำประกันเพิ่มกรณีขาดทุนจำนวนมากก็ได้และไม่ได้รับทองจริง ข้อควรระวังในการซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์ส เนื่องจากผู้ลงทุนใช้เงินทุนน้อย ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินทั้งจำนวนใน การซื้อขาย เพียงแค่วางเงินประกัน 1 ใน 10 ของมูลค่าสัญญาก็ซื้อขายได้แล้ว ดังนั้น หากผู้ลงทุน ได้กำไร ก็จะเป็นอัตราส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับเงินลงทุน แต่หากขาดทุนก็จะเป็นอัตราส่วนที่สูง เช่นเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงของราคาทองคำและอัตราแลกเปลี่ยนก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ผู้ลงทุน ควรคำนึงในการซื้อขาย โดยปกติแล้วราคาทองคำจะเคลื่อนไหวสวนทางกับอัตราแลกเปลี่ยน ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงของค่าเงินจึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ผู้ลงทุนควรติดตามในการซื้อขาย นอกจากนี้ โกลด์ฟิวเจอร์สยังมีอายุจำกัด ซึ่งแตกต่างจากหุ้นและทองคำจริงที่ไมมีวันหมดอายุ หากผู้ลงทุนถือโกลด์ฟิวเจอร์สไปจนถึงวันครบอายุสัญญา ก็จะมีการปิดสถานะของสัญญาให้ผู้ลงทุนโดยอัตโนมัติ โดยผู้ลงทุนจะได้กำไรขาดทุนตามส่วนต่างของราคาที่ซื้อขายตอนต้นและ ราคา ณ วันที่สัญญาหมดอายุ ผู้ลงทุนจึงควรรู้จักระดับความเสี่ยงที่ตนเองยอมรับได้ก่อนตัดสินใจลงทุน และควรติดตามผลการลงทุนอย่างสม่ำเสมอเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

29/08/2561

วิวัฒนาการการค้าทองคำในประเทศไทย


ในอดีต วงการค้าทองคำ จะเป็นลักษณะต่างคนต่างทำ ส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการประกอบการค้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการใช้เปอร์เซ็นต์ทอง โดยผู้ค้าทองบางรายผลิตทอง 99% บางรายก็ผลิตทอง 97% มีการแข่งขันโดยการทำการตลาด เรื่องค่ากำเหน็จ การแจกของชำร่วย การกำหนดเวลาเปิด - ปิดร้านทอง ซึ่งปัญหาเป็นปัญหามาโดยตลอด ด้วยเหตุนี้ทางผู้ประกอบการร้านค้าทองรายใหญ่ในย่านถนนเยาวราช จึงได้มาร่วมประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อให้การแข่งขันมีความเสมอภาค พร้อมทั้งกำหนดมาตรฐานการค้าทองร่วมกัน โดยที่ประชุมเห็นควรที่จะจัดรวมกลุ่มให้เข้มแข็งขึ้น โดยจัดตั้งเป็นชมรมภายใต้ชื่อ “ชมรมร้านค้าทอง 11 ห้าง” จากนั้นภาครัฐได้นำกฎระเบียบต่าง ๆ เข้ามาบังคับใช้ในการดำเนินธุรกิจ อาทิเช่น เรื่องการจัดเก็บภาษี แกนนำในชมรมฯ จึงมีความเห็นว่าควรที่จะจัดตั้งเป็นสมาคมอย่างเป็นทางการ จึงเป็นที่มาของ “สมาคมค้าทองคำ” เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2526 โดยสมาชิกสมาคมในระยะแรกประกอบด้วยร้านค้าทองในย่านเยาวราช และต่อมาได้มีสมาชิกที่ประกอบธุรกิจค้าทองคำจากทั่วประเทศเข้ามาเป็นสมาชกเพิ่มขึ้น บทบาทหน้าที่ของสมาคมค้าทองคำคือ การสร้างมาตรฐานเปอร์เซ็นต์ทอง 96.5% ทั่วประเทศ โดยรวมกับสคบ.ควบคุมโรงงานผู้ผลิตหรือร้านค้าส่งทุกรายให้ผลิตสินค้าที่มีมาตรฐานตามที่กำหนด ไปจนถึงปลายทางก็คือร้านค้าปลีก มีการสุ่มตรวจเปอร์เซ็นต์ความบริสุทธิ์ของทองอยู่เสมอ ทำให้ในปัจจุบัน ปัญหาทองเขียวหรือทองเปอร์เซ็นต์ต่ำที่พบบ่อยครั้งในอดีต หมดไปจากร้านทอง สมาคมค้าทองคำ ยังได้ให้ความร่วมมือภาครัฐ ในการประชาสัมพันธ์ให้ร้านทองประกันราคารับซื้อคืนทองรูปพรรณของตัวเอง ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจว่า หากซื้อทองจากร้านนั้น ๆ และเมื่อนำมาขายคืน จะไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ ช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้บริโภค และทำให้การค้าขายทองคำของไทยมีความคล่องตัวขึ้น ร่วมมือกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ, สภาทนายความ และหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องแก้ปัญหาการผลิตทองปลอมเพื่อหลอกขาย หรือขายฝากให้แก่ร้านทองทั่วไป ในรูปแบบของทองรูปพรรณเก่า มีการให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการทั่วประเทศเรื่องการดูทองปลอมอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้สมาคมค้าทองคำ ยังเป็นผู้กำหนดและประกาศราคาทองคำของประเทศไทย โดยพิจารณาองค์ประกอบของราคาทองคำในตลาดโลก ค่าเงินบาท อัตราค่า Premium รวมถึง Demand และ Supply ภายในประเทศเป็นสำคัญ ปัจจุบันตลาดค้าทองคำของไทยนั้น เป็นตลาดที่มีการแข่งขันอย่างสมบูรณ์ และสามารถดำเนินไปด้วยกลไกตลาดอย่างแท้จริงเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

29/08/2561

พระแก้วมรกต


Normal 0 false false false EN-US X-NONE TH <w:LatentStyles DefLockedState="false" DefUnhideWhenUsed="true" DefSemiHidden="true" DefQFormat="false" DefPriority="99" LatentStyleCount="267"> <w:LsdException Locked="false" Priority="0" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Normal"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="9" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="heading 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="10" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Title"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="11" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Subtitle"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="22" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Strong"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="20" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Emphasis"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="59" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Table Grid"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="1" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="No Spacing"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="60" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Shading"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="61" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light List"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="62" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Grid"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="63" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="64" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="65" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="66" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="67" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="68" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="69" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="70" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Dark List"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="71" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Shading"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="72" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful List"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="73" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Grid"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="60" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Shading Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="61" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light List Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="62" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Grid Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="63" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 1 Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="64" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 2 Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="65" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 1 Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="34" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="List Paragraph"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="29" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Quote"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="30" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Intense Quote"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="66" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 2 Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="67" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 1 Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="68" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 2 Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="69" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 3 Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="70" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Dark List Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="71" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Shading Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="72" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful List Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="73" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Grid Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="60" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Shading Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="61" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light List Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="62" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Grid Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="63" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 1 Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="64" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 2 Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="65" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 1 Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="66" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 2 Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="67" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 1 Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="68" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 2 Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="69" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 3 Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="70" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Dark List Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="71" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Shading Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="72" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful List Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="73" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Grid Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="60" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Shading Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="61" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light List Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="62" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Grid Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="63" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 1 Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="64" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 2 Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="65" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 1 Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="66" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 2 Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="67" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 1 Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="68" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 2 Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="69" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 3 Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="70" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Dark List Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="71" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Shading Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="72" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful List Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="73" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Grid Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="60" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Shading Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="61" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light List Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="62" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Grid Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="63" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 1 Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="64" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 2 Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="65" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 1 Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="66" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 2 Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="67" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 1 Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="68" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 2 Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="69" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 3 Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="70" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Dark List Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="71" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Shading Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="72" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful List Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="73" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Grid Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="60" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Shading Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="61" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light List Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="62" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Grid Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="63" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 1 Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="64" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 2 Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="65" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 1 Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="66" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 2 Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="67" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 1 Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="68" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 2 Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="69" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 3 Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="70" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Dark List Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="71" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Shading Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="72" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful List Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="73" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Grid Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="60" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Shading Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="61" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light List Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="62" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Grid Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="63" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 1 Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="64" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 2 Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="65" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 1 Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="66" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 2 Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="67" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 1 Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="68" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 2 Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="69" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 3 Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="70" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Dark List Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="71" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Shading Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="72" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful List Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="73" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Grid Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="19" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Subtle Emphasis"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="21" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Intense Emphasis"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="31" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Subtle Reference"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="32" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Intense Reference"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="33" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Book Title"/> <!-- /* Font Definitions */ @font-face {font-family:"Cordia New"; panose-1:2 11 3 4 2 2 2 2 2 4; mso-font-charset:0; mso-generic-font-family:swiss; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:-2130706429 0 0 0 65537 0;} @font-face {font-family:"Cordia New"; panose-1:2 11 3 4 2 2 2 2 2 4; mso-font-charset:0; mso-generic-font-family:swiss; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:-2130706429 0 0 0 65537 0;} @font-face {font-family:Calibri; panose-1:2 15 5 2 2 2 4 3 2 4; mso-font-charset:0; mso-generic-font-family:swiss; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:-520092929 1073786111 9 0 415 0;} /* Style Definitions */ p.MsoNormal, li.MsoNormal, div.MsoNormal {mso-style-unhide:no; mso-style-qformat:yes; mso-style-parent:""; margin-top:0in; margin-right:0in; margin-bottom:10.0pt; margin-left:0in; line-height:115%; mso-pagination:widow-orphan; font-size:11.0pt; mso-bidi-font-size:14.0pt; font-family:"Calibri","sans-serif"; mso-ascii-font-family:Calibri; mso-ascii-theme-font:minor-latin; mso-fareast-font-family:Calibri; mso-fareast-theme-font:minor-latin; mso-hansi-font-family:Calibri; mso-hansi-theme-font:minor-latin; mso-bidi-font-family:"Cordia New"; mso-bidi-theme-font:minor-bidi;} a:link, span.MsoHyperlink {mso-style-noshow:yes; mso-style-priority:99; color:blue; text-decoration:underline; text-underline:single;} a:visited, span.MsoHyperlinkFollowed {mso-style-noshow:yes; mso-style-priority:99; color:purple; mso-themecolor:followedhyperlink; text-decoration:underline; text-underline:single;} p.MsoNoSpacing, li.MsoNoSpacing, div.MsoNoSpacing {mso-style-priority:1; mso-style-unhide:no; mso-style-qformat:yes; mso-style-parent:""; margin:0in; margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:11.0pt; mso-bidi-font-size:14.0pt; font-family:"Calibri","sans-serif"; mso-ascii-font-family:Calibri; mso-ascii-theme-font:minor-latin; mso-fareast-font-family:Calibri; mso-fareast-theme-font:minor-latin; mso-hansi-font-family:Calibri; mso-hansi-theme-font:minor-latin; mso-bidi-font-family:"Cordia New"; mso-bidi-theme-font:minor-bidi;} .MsoChpDefault {mso-style-type:export-only; mso-default-props:yes; font-family:"Calibri","sans-serif"; mso-ascii-font-family:Calibri; mso-ascii-theme-font:minor-latin; mso-fareast-font-family:Calibri; mso-fareast-theme-font:minor-latin; mso-hansi-font-family:Calibri; mso-hansi-theme-font:minor-latin; mso-bidi-font-family:"Cordia New"; mso-bidi-theme-font:minor-bidi;} .MsoPapDefault {mso-style-type:export-only; margin-bottom:10.0pt; line-height:115%;} @page WordSection1 {size:595.3pt 841.9pt; margin:1.0in 1.0in 1.0in 1.0in; mso-header-margin:35.4pt; mso-footer-margin:35.4pt; mso-paper-source:0;} div.WordSection1 {page:WordSection1;} --> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:"Table Normal"; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-priority:99; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0in 5.4pt 0in 5.4pt; mso-para-margin-top:0in; mso-para-margin-right:0in; mso-para-margin-bottom:10.0pt; mso-para-margin-left:0in; line-height:115%; mso-pagination:widow-orphan; font-size:11.0pt; mso-bidi-font-size:14.0pt; font-family:"Calibri","sans-serif"; mso-ascii-font-family:Calibri; mso-ascii-theme-font:minor-latin; mso-hansi-font-family:Calibri; mso-hansi-theme-font:minor-latin; mso-bidi-font-family:"Cordia New"; mso-bidi-theme-font:minor-bidi;} พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือ พระแก้วมรกต เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของไทย ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือ วัดพระแก้ว ในพระบรมมหาราชวัง กรุงเทพมหานคร เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นเป็นราชธานี ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดพระศรีรัตนศาสนาดารามขึ้นในพระบรมมหาราชวัง และได้อัญเชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรมาประดิษฐานในพระอุโบสถ เมื่อวันจันทร์ เดือน 4 แรม 5 ค่ำ ปีมะโรง พุทธศักราช 2327 และได้มีพระราชศรัทธาโปรดให้จัดสร้างเครื่องทรงฤดูร้อนและฤดูฝน ถวาย ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้จัดสร้างเครื่องทรงฤดูหนาว ถวายเป็นพุทธบูชาเพิ่มอีกชุดหนึ่ง นับแต่นั้นพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรจึงมีเครื่องทรงครบ 3 ฤดู ซึ่งถือเป็นต้นกำเนิดของพระราชพิธีเปลี่ยนเครื่องทรงทั้งสามฤดูทุกปีมาจนถึงปัจจุบันโดยมีการกำหนดวันเริ่มต้นฤดูกาลเพื่อเปลี่ยนเครื่องทรง ดังนี้ ฤดูร้อน กำหนดวันแรม 1 ค่ำ เดือน 4 ราวเดือนมีนาคม ฤดูฝน กำหนดวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ราวเดือนกรกฎาคม ฤดูหนาว กำหนดวันแรม 1 ค่ำ เดือน 12 ราวเดือนพฤศจิกายน เครื่องทรงทั้ง 3 ฤดูในปัจจุบันจัดสร้างขึ้นใหม่ในวโรกาสมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี ในวันที่ 9 มิถุนายน 2539 ทดแทนชุดเดิมที่ชำรุดไปมาก สร้างจากทองคำ และอัญมีต่างๆ เครื่องทรงพระแก้วมรกตฤดูหนาว ใช้อัญมณีในการจัดสร้างรวมทั้งหมด 15,868 เม็ด น้ำหนัก 2,863.44 กะรัต น้ำหนัก 572.68 กรัม น้ำหนักลงยา 27.69 กรัม น้ำหนักทองสุทธิ 5,579.50 กรัม รวมน้ำหนักเครื่องทรงพระพุทธมณีรัตนปฏิมากรฤดูหนาวชุดใหม่ 6,179.87 กรัม เครื่องทรงพระแก้วมรกตฤดูร้อน ใช้อัญมณีในการจัดสร้างรวมทั้งหมด 6,297 เม็ด น้ำหนัก 2,132.81 กะรัต น้ำหนัก 426.56 กรัม น้ำหนักลงยา 166.24 กรัม น้ำหนักทองสุทธิ 7,145.00 กรัม รวมน้ำหนัก 7,737.80 กรัม เครื่องทรงพระแก้วมรกตฤดูฝน ใช้อัญมณีในการจัดสร้างทั้งหมด 15,388 เม็ด น้ำหนัก 694.98 กะรัต น้ำหนัก 139.00 กรัม น้ำหนักลงยา 153.54 กรัม น้ำหนักทองสุทธิ 7,913.84 กรัม รวมน้ำหนัก 8,206.38 กรัม สำหรับเครื่องทรงฯ ชุดเดิมได้รับการเก็บรักษาไว้เป็นโบราณวัตถุอันล้ำค่า และจัดแสดงอยู่ ณ พิพิธภัณฑ์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม สามารถเข้าชมได้ทุกวัน ยกเว้นวันที่มีพระราชพิธีเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

29/08/2561

ทองคำกับความเชื่อ


ไม่น่าเชื่อว่ามนุษย์ทุกมุมโลก แม้จะต่างเชื้อชาติ ภาษา ความเชื่อ แต่กลับรู้จักแร่ธาตุที่ชื่อว่า “ทองคำ”มานานกว่า 6,000 ปี และนำมาใช้ด้วยจุดประสงค์ที่คล้ายกัน คือ นำมาทำเป็นเครื่องประดับ แสดงฐานะในสังคม นำมาสร้างรูปเคารพต่างๆ และในโรมันยุคแรกมีบันทึกว่า เมื่อครั้งที่กรุงโรมถูกเบรนนุส หัวหน้าเผ่าเซลต์ยึดได้นั้น ชาวโรมันต้องเสียทองคำถึงหนึ่งพันปอนด์เพื่อเป็นค่าไถ่กรุงโรง แสดงให้เห็นว่า ทองคำถูกใช้เป็นสื่อกลางในการซื้อขายแลกเปลี่ยน ของมีค่า และสินค้าอีกด้วย นอกจากนี้ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ ยังแสดงให้เห็นว่าทองคำมีบทบาทต่อความเชื่อของมนุษย์แต่ละเผ่าพันธุ์แตกต่างกันไป ชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่าทองคำคือร่างกายของเทพเจ้าและเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นอมตะ และมีการนำทองคำบริสุทธิ์มาสร้างเป็นโรงศพของกษัตริย์ และเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง เพราะเชื่อว่า นอกจากกระบวนการรักษาศพไม่ให้เน่าเปื่อยด้วยการทำมัมมี่แล้ว โลงศพทองคำจะช่วยให้ศพอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ไม่เสื่อมสลาย แม้จะยังไม่มีข้อพิสูจน์ที่สามารถยืนยันได้อย่างแน่ชัด แต่ก็เป็นที่น่าสังเกตว่าศพมัมมี่ ที่ค้นพบจะต้องบรรจุไว้ในโลงทองคำเท่านั้น ชาวจีนมีความเชื่อว่าทองคำมีคุณสมบัติเป็นยาบำรุงชั้นเลิศ การกินทองคำจะทำให้สุขภาพดี แม้ปัจจุบันยังไม่มีการทางวิทยายาศาสตร์จะยังพิสูจน์อะไรไม่ได้ก็ตาม และชาวจีนยังเชื่อว่าทองคำ คือสัญลักษณ์แห่งโชคลาภ ถือเป็นของขวัญล้ำค่าสำหรับมอบให้แห่กัน ในช่วงเทศกาลสำคัญอย่างเช่น ตรุษจีน ปีใหม่ ชาวแอสเท็กซ์ ชุมชนโบราณที่อาศัยอยู่ในแถบอเมริกาใต้มีความเชื่อว่า ทองคำคือหยาดเหงื่อของสุริยเทพ เพราะมีสีเหลือง สุกสว่าง แวววาวเหมือนแสงตะวันในยุคล่าอาณานิคม ชาวสเปนที่เดินทางมาโลกใหม่ได้ทำลายล้างจักรวรรดิอินคาและแอสเท็กซ์เพื่อแย่งชิงทองคำปริมาณมหาศาล ชาวอินเดีย ทองคำมิใช่เป็นเพียงเครื่องแสดงถึงฐานะทางสังคม ความหรูหรามั่งคั่งเท่านั้น หากแต่ยังมีบทบาทแทบจะในทุกช่วงที่สำคัญของชีวิต ตั้งแต่เกิด โดยเฉพาะในพิธีแต่งงานชาวอินเดียเชื่อ ว่า ทองคำจะนำโชคลาภมาให้ นอกจากนี้ ทองคำยังถูกนำมาใช้เพื่อความงาม โดยเฉพาะกับชนชั้นสูงในยุคสมัยต่างๆ เช่นในราชสำนักจีนมีการใช้ลูกกลิ้งที่ทำจากทองคำมานวดตามร่างกายเพื่อถนอมผิว หรือในยุคอียิปต์โบราณ พระนางคลีโอพัตรา ทรงสวมใส่หน้ากากทองคำบริสุทธิ์ในขณะบรรทม เพราะเชื่อว่าจะช่วยรักษาความงาม ความอ่อนเยาว์ของผิวพรรณไว้ได้ แม้ในปัจจุบันความเชื่อเรื่องทองคำกับความงามก็ยังมีอยู่แต่มาในรูปของมาร์กหน้าทองคำ หรือร้อยไหม เป็นต้น เช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

29/08/2561

กรรมวิธีการผลิต เครื่องทองสมัยกรุงศรีอยุธยา


เครื่องทองในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีรูปแบบ ลวดลาย ความประณีต งดงามเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งมีกรรมวิธีในการทำต่างๆ กันคือ “ตีเป็นแผ่น” โดยนำทองแผ่นมาตีเป็นแผ่นบางๆ แล้วนำไปหุ้มพระพุทธรูป ภาชนะ เครื่องใช้ไม้สอย หรือชิ้นส่วนศิลปะสถาปัตยกรรม เช่น พระแทนราชบัลลังก์ บุษบก ยอดปราสาท ยอดเจดีย์ เป็นต้น ถ้าแผ่นทองนั้นถูกตีให้มีเนื้อทองบางมากๆ จนเป็น ทองคำเปลว ก็จะนำทองนั้นไป ปิดลงบนผิวของวัสดุต่างๆ โดยใช้ ยางรักหรือวัสดุอื่นเป็นตัวประสานให้ติดแน่น ทำให้วัสดุที่ได้รับการปิดทองนั้น มีผิวเป็นสีทองงดงาม “บุ” หมายถึง การตีทองขึ้นเป็นรูปทรงต่างๆ สิ่งของที่ได้จะบางเบากว่าการหล่อ ใช้ทองน้อยกว่า แต่ต้องใช้ฝีมือในการทำมากกว่า “หล่อ” หมายถึง การทำแม่พิมพ์เป็นรูปทรงสิ่งของที่ต้องการ แล้วนำทองมาหลอมละลายจนเป็นของเหลวแล้วเทลงในแม่พิมพ์ รอจนเย็นจึงถอดพิมพ์ออกและตกแต่งรายละเอียด มักใช้ในงานสำคัญๆที่เป็นของสูง เช่น พระพุทธรูป เทวรูป หรือเครื่องราชูปโภค เป็นต้น การหล่อนี้ถ้าเป็นของใหญ่ ๆ ก็ต้องใช้ช่างที่มีความชำนาญและเทคนิคมาก เพื่อป้องกันการแตกร้าวของเนื้อทอง ปัจจุบันช่างฝีมือในการบุหาได้ยาก ขณะที่เทคโนโลยีการหล่อทำได้ง่ายขึ้น สิ่งของที่แต่โบราณนิยมทำโดยการบุ เช่น ขัน กระโถน กาน้ำ จึงหันมาใช้วิธีหล่อแทน “สลัก” คือการทำลวดลายโดยใช้เครื่องมือปลายแหลมคมตอกลงไปบนผิวทองให้เป็นลวดลายจากด้านหน้าของวัตถุ ถ้าตอกจนผิวทองนั้นขาดทะลุเป็นลายโปร่งเรียกว่า “ฉลุ” “คร่ำ” คือ การรีดทองเป็นเส้นเล็กๆ แล้วตอกฝังเป็นลวดลายลงไปบนโลหะอื่น เช่น เหล็ก นิยมทำกับใบมีด ใบกรรไกร สันดาบ ด้ามมีด ด้ามดาบ ด้ามกรรไกร หรือฝักมีด ฝักดาบ วิธีการนี้ ในประเทศสเปน โปรตุเกส ยังนิยมทำเป็นของใช้และเครื่องประดับอยู่ เรียกของใช้ที่ทำด้วยวิธีการนี้ว่าเครื่อง “ดามัสกัส” “กาไหล่” หรือ “กะไหล่” เป็นการเคลือบโลหะอื่น เช่น เงินหรือทองแดง ด้วยทองคำ ทำให้ผิววัสดุแลดูเป็นสีทอง คล้ายๆกับการชุบนั่นเอง “ถม” คือการขูดผิววัสดุที่เป็นทองให้เป็นลวดลาย แล้วนำ “น้ำยาถม” ซึ่งมีสีดำเนื้อข้นมาทาถมลงไปจนเต็ม แล้วขัดแต่งจนเรียบสนิทเป็นผิวเดียวกัน ทำให้เกิดลวดลายดำบนผิวสีทอง เรียกว่า “ถมทอง” ถมก็เป็นวิธีการที่ไทยรับมาจากโปรตุเกสเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีวิธีการถัก การทอ เช่นการทอรวมกับลายผ้า และการฝังเช่นการฝังกับอัญมณีเป็นต้นเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

29/08/2561

กรุทอง วัดมหาธาตุและ วัดราชบูรณะ


เมื่อครั้งเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ทองคำมากมายสูญหายไปพร้อมกับการเสียกรุง ทั้งทองที่ประดับประดาอยู่ตามวัดวาอารามต่างๆ และเครื่องทองชิ้นสำคัญๆอีกมาก จนกระเมื่อ พ.ศ.2499 และ พ.ศ. 2500 เกิดปรากฏการณ์“กรุแตก” ขึ้นที่ วัดมหาธาตุและ วัดราชบูรณะ หลังจากนั้นคนไทยและชาวโลกจึงได้มีโอกาสชื่นชมฝีมือช่างทองชั้นสูงในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นอีกครั้งหนึ่ง วัดมหาธาตุ สร้างในรัชสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 (ขุนหลวงพะงั่ว พ.ศ.1913-1931) กษัตริย์พระองค์ที่ 3 แห่งกรุงศรีอยุธยา เมื่อครั้งกรุงแตกวัดมหาธาตุถูกทำลายเสียหายไปมาก ยกเว้นองค์ปรางค์ประธานที่ไม่ได้ผลกระทบใดๆและยังอยู่ต่อมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ จนเมื่อปีพ.ศ. 2455 ในสมัยรัชกาลที่ 6 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์องค์พระปรางค์ได้ถล่มลงมาจนเหลือเพียงส่วนล่าง และส่วนฐานเท่านั้น วัดราชบูรณะ ตั้งอยู่เคียงข้างกันกับวัดมหาธาตุ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา พ.ศ. 1967-1991) ทรงสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1967 ทั้งสองวัดเป็นสำคัญและสร้างอยู่ในยุคสมัยใกล้เคียงกัน แต่ปรางค์ประธานของวัดราชบูรณะไม่ถูกทำลายและยังคงสภาพอยู่จนถึงทุกวันนี้ เหตุการณ์ “กรุแตก” เกิดขึ้นเมื่อกรมศิลปากร ทำการบูรณะวัด โดยพบสิ่งของมีค่ามากมายอยู่ในบริเวณที่เรียกว่า “ห้องบรรจุพระบรมธาตุ” ซ่อนอยู่ภายในปรางค์ประธานของทั้งสองวัด ทั้งนี้คนไทยมีธรรมเนียมอย่างหนึ่งที่เรียกว่าการ “ประจุพระ” คือเมื่อก่อสร้างพระธาตุเจดีย์สำเร็จแล้วจะมีพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุและของมีค่าอื่นๆเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา เช่นพระพุทธรูปทำด้วยเงินและทอง เครื่องราชูปโภคจำลอง ต้นไม้เงินทอง พระพิมพ์ แผ่นลานทอง เครื่องมือ เครื่องใช้ และเครื่องประดับต่างๆ ที่ผู้มีจิตศรัทธาอุทิศถวายร่วมด้วยอีกเป็นจำนวนมาก เป็นการร่วมสร้างพระธาตุเจดีย์ซึ่งเป็นบุญใหญ่ ดังนั้น กรุที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุจึงมิได้มีเพียงสิ่งอันควรเคารพบูชาเท่านั้น แต่ได้กลายเป็น“กรุมหาสมบัติ” ไปด้วย ซึ่งสิ่งของมีค่าที่พบในกรุวัดราชบูรณะมีจำนวนมากกว่าที่พบในกรุวัดมหาธาตุ เครื่องทองที่พบเป็นเครื่องราชูปโภคชิ้นเอกหลายชิ้น ได้แก่ จุลมงกุฎ (ใช้ครอบพระมาลีของเจ้านายผู้ชาย) พระแสงดาบฝักทองคำฝังอัญมณี ด้ามเป็นแก้วผลึกและทองคำประดับอัญมณี กรองศอ ทับทรวง พาหุรัด ทองพระกร พระธำมรงค์ ปั้นเหน่ง สร้อยพระศอ และที่พระมาลา หรือคอบพระเกศาของเจ้านายสตรี ซึ่งทำด้วยเส้นทอง ถักเป็นตาข่ายโปร่ง มีลวดลายดอกไม้และเว้าเป็นช่องโค้งเพื่อรับกับมวยผมแบบรวบต่ำ เครื่องราชูปโภคเหล่านี้มีลวดลายและเทคนิคการทำแบบสมัยอยุธยาตอนต้น เครื่องทองเหล่านี้ประเมินค่าไม่ได้ ปัจจุบันเก็บรักษาและจัดแสดงอยู่ที่ห้องเครื่องทองและห้องพระบรมสารีริกธาตุชั้นบนของอาคารหนึ่ง พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

29/08/2561

เครื่องราชูปโภคทองคำ


เครื่องบรรณาการแด่จักรดิพรรดินโปเลียน ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 มีพระราชประสงค์ในการเปิดประเทศสู่ความทันสมัยและหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับประเทศมหาอำนาจตะวันตก ในสมัยนั้น จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ส่งคณะราชทูตสยามชุดหนึ่งไปเจริญพระราชไมตรีกับสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรียแห่งอังกฤษ เมื่อปี พ.ศ. 2400 และอีกคณะหนึ่งไปเจริญพระราชไมตรีกับฝรั่งเศส เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. 2404 ในการไปเจริญสัมพันธไมตรีกับฝรั่งเศสครั้งนั้นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ได้ส่งเครื่องราชูปโภคทองคำ เป็นเครื่องบรรณาการถวายแด่พระเจ้าจักรพรรดินโปเลียนที่ ๓ ซึ่งนอกจากเป็นการเชื่อมความสัมพันธไมตรีแล้ว ยังแฝงด้วยกุศโลบายของพระองค์ที่ทรงต้องการแสดงให้ประเทศมหาอำนาจตะวันตกเห็นถึงความเป็นอารยประเทศของสยาม ผ่านงานช่างฝีมืออันวิจิตรงดงาม ละเอียดอ่อนและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตนของสยามประเทศ เครื่องราชูปโภคทองคำที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ส่งไปเป็นเครื่องมงคลราชบรรณาการนั้น ส่วนใหญ่ทำด้วยวัสดุมีค่า ตกแต่งด้วยการลงยาสีที่งดงามและ มีความประณีตด้วยฝีมือช่างทองหลวงมีลักษณะทางศิลปกรรมแบบเดียวกันกับเครื่องราชูปโภคทองคำที่ใช้เป็นเครื่องประกอบพระอิสริยยศ ได้แก่ พานกลีบบัวปากแฉกทองคำลงยา ขันสรงพระพักตร์ทองคำลงยา พานรองขันสรงพระพักตร์ทองคำลงยา กล่องหรือหีบหมากทองคำลงยา พระสุพรรณศรีทองคำลงยามีลักษณะเป็นกระโถนทรงปลี ขนาดเล็ก พระเต้าหรือคนโททองคำลงยาเป็นภาชนะใส่น้ำเย็น มังสีทองคำลงยาเป็นภาชนะสำหรับรองพระมหาสังข์ ตลับทรงรีทองคำลงยา ถาดทองคำลายสลัก จุ๋นทองคำลายสลักหรือภาชนะสำหรับรองถ้วยชา เครื่องราชูปโภคทองคำในเครื่องมงคลราชบรรณาการนี้มีเทคนิคหลักที่ใช้ในการสร้างเช่นเดียวกับการทำเครื่องราชูปโภคทองคำ ที่ใช้สำหรับพระมหากษัตริย์หรือราชวงศ์ชั้นสูงของสยาม ทั้งเทคนิคการสร้างหรือการขึ้นรูปด้วยการตีแผ่นทองคำ การหลอม การแผ่ การรีด และเทคนิคการตกแต่งลวดลายด้วยการดุลลาย สลักลายดุนนูน สลักร่องลายลงยาหรือการเหยียบลายเป็นต้น เทคนิคและวิธีการสร้างเครื่องราชูปโภคทองคำ นี้สะท้อน ให้เห็นงานช่างฝีมือไทยว่าไม่แพ้ชาติใดในโลกเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

29/08/2561

เครื่องราชูปโภค


สำนักงานราชบัณฑิตยสภา ให้ความหมายของ เครื่องราชูปโภค ไว้ว่า หมายถึง เครื่องใช้สอยของพระราชา ใช้เป็นคำรวมเรียกของใช้ต่างๆ เช่น พระสุพรรณราช คือ กระโถนใหญ่ พระสุพรรณศรี คือ กระโถนเล็ก พานพระขันหมาก คือ พานหมาก ซึ่งจัดวางซองพลู พานหมากดิบ หมากแห้ง ผอบยาเส้น เป็นต้น พระสุพรรณภาชน์ใหญ่ พระสุพรรณภาชน์น้อย คือ ภาชนะสำหรับตั้งพระกระยาหารทั้งเครื่องคาวและเครื่องหวาน พระมณฑปรัตนกรัณฑ์ คือ ภาชนะสำหรับใส่น้ำเสวย มีจอกทองคำเกลี้ยงลอยอยู่ เป็นต้น เครื่องราชูปโภค เหล่านี้ล้วนทำจากทองคำแกะสลักเป็นลวดดดายต่างๆ ปัจจุบัน เครื่องราชูปโภค ใช้ตั้งประกอบในการพระราชพิธี นอกจากนี้เครื่องราชูปโภค ยังหมายถึงสิ่งของเครื่องใช้ส่วนพระองค์พระมหากษัตริย์เพื่อแสดงพระเกียรติยศ จำแนกเป็น ๑๔ หมวด ได้แก่ (๑) เครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ ประกอบด้วย พระมหาเศวตฉัตร พระมหาพิชัยมงกุฎ พระแสงขรรค์ชัยศรี พัดวาลวิชนีและพระแส้จามรี ฉลองพระบาทเชิงงอน (๒) ศิราภรณ์ ประกอบด้วย พระชฎากลีบ พระชฎาเดินหน พระชฎา ๕ ยอด พระมหามาลาเส้าสูง พระมาลาเส้าสูง พระมาลาเบี่ยง (๓) พระสังวาล ประกอบด้วย สังวาลพระนพ พระมหาสังวาล พระสังวาลพราหมณ์ธุรำ (๔) พระธำมรงค์ ประกอบด้วย พระธำมรงค์วิเชียรจินดา พระธำมรงค์รัตนวราวุธ (๕) เครื่องสูง เป็นเครื่องประดับพระราชอิสริยยศในกระบวนเสด็จพระราชดำเนิน ประกอบด้วย ฉัตร ๕ ชั้น ๗ ชั้น บังแทรก ฉัตรชุมสาย จามร พระกลด บังสูรย์ พัดโบก (๖) เครื่องประโคม ประกอบด้วย แตรมโหระทึก สังข์แตรและกลองชนะ (๗) เครื่องบรมอิสริยราชูปโภค ประกอบด้วย พานพระขันหมาก พระมณฑปรัตนกรัณฑ์ พระสุพรรณศรีบัวแฉก พระสุพรรณราช (๘) พระแสงศาสตราวุธ ประกอบด้วย พระแสงดาบคาบค่าย พระแสงดาบใจเพชร พระแสงเวียด พระแสงฟันปลา พระแสงแฝด พระแสงฝักทองเกลี้ยง พระแสงอัษฎาวุธ (๙) เครื่องนมัสการ ใช้ในงานพระราชพิธีทางศาสนา ประกอบด้วย เครื่องนมัสการทองใหญ่ เครื่องนมัสการพานทองสองชั้น เครื่องนมัสการทองลงยาราชาวดี เครื่องนมัสการทองทิศ เครื่องนมัสการทองน้อย เครื่องนมัสการกระบะถม เครื่องนมัสการท้ายที่นั่ง เครื่องนมัสการบูชายิ่ง เครื่องทรงธรรมสำรับใหญ่ พระเต้าทักษิโณทก (๑๐) ต้นไม้ทองเงิน (๑๑) ราชรถ สำหรับเชิญพระโกศพระบรมศพเข้ากระบวนแห่ไปยังพระเมรุ ประกอบด้วย พระมหาพิชัยราชรถ เวชยันตราชรถ (๑๒) ราชยาน เป็นยานพาหนะประเภทคานหาม ประกอบด้วย พระยานมาศสำหรับประทับราบมีพนักพิง พระยานมาศ ๓ ลำคาน พระราชยานกงสำหรับประทับห้อยพระบาท พระราชยานถม พระราชยานทองลงยา พระที่นั่งราชยานพุดตานถม พระราชยานงา พระราชยานพุดตานทอง พระที่นั่งราเชนทรยาน (๑๓) พระโกศ สำหรับทรงพระบรมศพ ประกอบด้วย พระโกศทองใหญ่ ๒ พระโกศ (๑๔) พระมหาสังข์ สำหรับทรงใช้ในพระราชพิธีต่าง ๆ เช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

29/08/2561

อยุธยา ยุครุ่งเรืองเมืองทองคำ


ว่ากันว่า สมัยกรุงศรีอยุธยา คือ ยุคที่รุ่งเรืองที่สุด ร่ำรวยที่สุด และมั่งคั่งที่สุด โดยเฉพาะทองคำที่มีอยู่มากมายเต็มพระนคร ดังจดหมายเหตุของลาลูแบร์ ที่บันทึกไว้ในปีพุทธศักราช 2230 ความว่า “ในกรุงศรีอยุธยานั้นมีพระพุทธรูปทองคำและวัตถุทองคำต่าง ๆ มากมาย ตามวัดวาอาราม โบสถ์ วิหาร ต่างก็ประดับไปด้วยทองคำและอัญมณี กรุงศรีอยุธยานั้นเป็นแหล่งทองคำสมคำร่ำลืออย่างแท้จริง” นอกจากบันทึกของคณะทูตฝรั่งเศสแล้ว เมื่อต้นปีพุทธศักราช 2500 ยังมีการขุดพบกรุสมบัติ จำนวนมากในวัดราชบูรณะและวัดพระมหาธาตุ ทั้งข้าวของเครื่องใช้และทรัพย์สมบัติต่างๆซึ่งล้วนทำจากทองคำทั้งสิ้น จึงเป็นหลักฐานจากยืนยันได้อย่างชัดเจนว่ากรุงศรีอยุธยานั้นเป็นยุครุ่งเรืองเป็นเมืองทองคำอย่างแท้จริง เหตุผลที่ทำให้กรุงศรีอยุธยาเป็นยุครุ่งเรืองด้วยทองคำน่าจะมาจากหลายปัจจัยคือ การเก็บส่วย ในสมัยอยุธยา มีระบบการเก็บส่วย หรือภาษี จากเมืองขึ้นและประชาชนในรูปแบบของทองคำ เช่น ส่วยที่เรียกเก็บจากเมืองบางสะพาน เป็นต้นได้จากการรับบริจาคหรือเรี่ยไร ในสมัยก่อน การสร้างศาสนสถาน การหล่อพระพุทธรูป การสร้างเจดีย์ มักมีการรับบริจาคหรือการเรี่ยไรจากข้าราชบริพาร ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ และราษฏรทั่วไป ตามกำลังฐานะและแรงศรัทธาได้จากการค้าขายแลกเปลี่ยน จากบันทึกของชาวยุโรป ระบุว่ากรุงศรีอยุธยาเป็นตลาดค้าขายทองคำ มีทั้งพ่อค้าชาว ชวา มลายู อาหรับ จีน นำทองคำมาแลกเปลี่ยนกับสินค้าอื่นๆ และกรุงศรีอยุธยาเองก็นำทองคำออกขายหรือแลกเปลี่ยนกับสินค้าของต่างชาติด้วยเช่นกันได้จากเครื่องราชบรรณาการ ตามธรรมเนียมเมืองประเทศราช ต้องส่งเครื่องราชบรรณาการ เป็นต้นไม้เงินต้นไม้ทองให้แก่กรุงศรีอยุธยาทุกๆ 3 ปี เพื่อแสดงว่า ยอมสวามิภักดิ์หรือยอมอยู่ใต้อำนาจ ทำให้มีทองคำนำเข้าสู่ ท้องพระคลัง และนำไปแปรรูปเป็นเครื่องราชูปโภคต่างๆจำนวนมากได้จากการริบของเอกชนมาเป็นของหลวง กรณีนี้เกิดขึ้นเมื่อมีการทำความผิด ที่ร้ายแรงต้องโทษประหารชีวิตแล้วยังต้องถูกริบทรัพย์สมบัติทุกอย่างเข้าหลวงยึดมาจากข้าศึก ที่แพ้สงครามซึ่งมีให้เห็นมาโดยตลอดในสมัยกรุงศรีอยุธยา ทั้งหมดนี้คือเหตุผลว่าทำไมสมัยกรุงศรีอยุธยาจึงได้ชื่อว่ายุคแห่งทองคำของไทยหมายเหตุ : ลาลูแบร์ เป็นเอกอัครราชฑูตชาวฝรั่งเศสจากราชสำนักพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ที่เดินทางเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับกรุงศรีอยุธยาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

29/08/2561

ขนมไทยตระกูลทอง


ขนมไทย ส่วนมากประกอบด้วยวัตถุดิบสำคัญ 3 อย่างคือ แป้ง น้ำตาล และกะทิ ส่วนจะใช้ แป้งข้าวเหนียว แป้งข้าวจ้าว แป้งท้าวยายม่อม แป้งสาคู หรือน้ำตาลมะพร้าว น้ำตาลทราย น้ำตาลปี๊บ ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะทำขนมอะไร ส่วนวัตถุดิบประกอบอื่นๆก็แตกต่างกันไปตามชนิดของขนมนั้นๆเช่น ไข่ ถั่ว มะพร้าวขูด เป็นต้น รสชาติของขนมไทยจึงมีเอกลักษณ์ที่ความหวานและมัน แต่แค่วัตถุดิบเท่านี้ก็สามารถดัดแปลงทำขนมได้นับร้อยชนิด นอกจากความละเอียดอ่อนในการทำขนมแล้ว การตั้งชื่อขนมไทยก็น่ามหัศจรรย์ไม่แพ้กันโดยเฉพาะการนำคำว่า ทอง มาตั้งเป็นชื่อขนม นัยว่าเพื่อความเป็นสิริมงคลตามแบบฉบับของคนไทยนั่นเอง ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง เราคุ้นเคยกับขนมทั้ง 3 ชนิดนี้เป็นอย่างดีเพราะยังมีขายแพร่หลายกันอยู่ในปัจจุบัน ทำจาก แป้ง ไข่ และน้ำตาลทราย ในรูปแบบที่แตกต่างกัน ทองหยิบ รูปร่างคล้ายดอกไม้ ทองหยอด มีลักษณะเป็นลูกกลม ฝอยทองเป็นเส้นติดกันเป็นแพ ทั้ง 3 ชนิดจัดเป็นขนมมงคลที่สื่อถึงมี ความมั่งคั่งร่ำรวย มีเงินทองใช้ไม่หมด และการทีชีวิตคู่ที่ยืนยาวเหมือนเส้นฝอยทอง ขนมดาราทอง หรือ ทองเอกกระจัง หรือขนมจ่ามงกุฎ เป็นขนมในราชสำนัก ใช้สำหรับเครื่องเสวยถวายพระเจ้าแผ่นดิน มีมาตั้งแต่สมัยพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 2 มีความหมายถึงหัวหน้าผู้เป็นใหญ่ จึงนิยมมอบให้กับผู้ใหญ่ในโอกาสเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง ปัจจุบันหาซื้อยากแล้ว ขนมทองเอก ขั้นตอนการทำค่อนข้างยากและพิถีพิถัน สมัยก่อนใช้วิธีแกะสลักเป็นรูปดอกไม้ ปัจจุบันใช้วิธีกดพิมพ์ โดดเด่นกว่าขนมตระกูลทองชนิดอื่นๆตรงที่มีทองคำเปลว100%ติดไว้ด้านบน นิยมให้กันในการแสดงความยินดี อวยพรให้เจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ขนมทองชมพูนุช มีรสชาติและสีสันคล้ายทองเอก แต่ต่างตรงที่ใช้แป้งคนละชนิดกัน และไม่ติดทองคำเปลวแท้ มีสีเหลืองโปร่ง สุขสว่าง ตามความหมายของชื่อทองชมพูนุช ขนมทองม้วน ทำจากแป้ง ผสมกับ กะทิ และไข่ ส่วนผสมเพิ่มเติมอาจจะใส่งาดำ ผักชี พริกไทย น้ำปูนใส หรือเครื่องปรุงอื่นๆแล้วแต่จะดัดแปลง ทำให้สุกด้วยการผิงไฟ แล้วนำมาม้วน จะมีทั้งรสเค็ม หวาน หอม มัน ทองพลุ ท้าวทองกีบม้า ดัดแปลงมาจากเอแคลร์ของฝรั่งเศส เปลี่ยนวิธีทำให้สุกด้วยการอบ มาเป็นการทอดในกระทะทอง ทองพลุ บ่งบอกถึงความเจริญรุ่งเรื่องเฟื่องฟูเสมือนพลุที่ใช้จุดเพื่อการเฉลิมฉลองนั่นเอง นอกจากนี้ก็ยังมี ขนมทองทัต ทองอัฐ ทองนพคุณ และทองพับ เป็นต้นเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

29/08/2561

เอกลักษณ์เครื่องทองเพชรบุรี


เครื่องทองเพชรบุรี อาจไม่คุ้นชื่อเท่ากับทองสุโขทัย แต่ก็เป็นภูมิปัญญาไทยที่สืบทอดกันมายาวนานจากช่างทองหลวงในสมัยรัตนโกสินทร์ ลักษณะเด่นอยู่ที่ลวดลายที่อ่อนช้อยงดงามถอดแบบมาจากลายโบราณในสมัยกรุงศรีอยุธยา เครื่องทองของเพชรบุรี ส่วนมากผลิตเป็นเครื่องประดับประเภทสร้อยคอ สร้อยข้อมือ แหวน ต่างหู จี้ เข็มกลัด ซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอยู่ที่รูปทรงและลวดลายที่ดัดแปลงมาจากธรรมชาติ นอกจากจะทำจากทองคำแล้ว ก็ยังทำจากเงิน นาค และอัญมณีต่างๆอีกด้วย งานเครื่องทองสกลุลช่างเพชรบุรี ที่มีชื่อเสียงและเป็นเอกลักษณ์ได้แก่ สร้อยขัดมัน ถือเป็นชิ้นงานพื้นฐานดั้งเดิมที่ช่างเมืองเพชรทุกคนต้องทำเป็น มีลักษณะเป็นห่วงกลมเกี่ยวกันเป็นลูกโซ่ต่อเนื่องกัน โดยช่างจะใช้ตะไบลบเหลี่ยมห่วงของสร้อยออกตลอดเส้น มีทั้งแบบสี่เสา หกเสา และแปดเสา ทำเป็นสร้อยคอและสายสะพายแล่ง สร้อยสี่เสาจะมีขนาดเล็ก สร้อยหกเสามีขนาดปานกลาง ส่วนสร้อยแปดเหลี่ยมจะมีขนาดใหญ่ สร้อยขัดมันนี้ยังมีให้เห็นตามร้านทองทั่วไป กำไลก้านบัว เป็นรูปแบบเครื่องประดับที่ผสมผสานศิลปะระหว่างอยุธยาและจีน เป็นกำไลข้อเท้าหรือข้อมือที่ส่วนปลายของทั้งสองด้านทำด้วยทองคำดุนลายเป็นรูปดอกบัวหลวง ตรงกลางทำด้วยนาก เวลาใส่ใช้การบิดหรือคลายเกลียวที่ปลายข้างหนึ่งของกำไล แหวนหรือกำไลพิรอด พิรอดคือชื่อเรียกเครื่องรางที่ถักด้วยผ้ายันต์หรือสายสิญจน์เป็นกำไลหรือแหวน ต่อมาทำด้วยทองแค่ยังใช้วิธีการถักแบบเดิม ตรงหัวแหวนนิยมฝังพลอยนพเก้า เชื่อกันว่าการสวมแหวนหรือกำไลพิรอด จะช่วยให้แคล้วคลาดจากพยัญตราย และสิ่งชั่วร้ายต่างๆ แหวนตะไบ เป็นแหวนฝังพลอยหรือเพชรซีก ช่างทองเพชรบุรีจะสร้างลวดลายและตบแต่งโดยการตะไบขอบทั้งสองข้างของแหวนให้เป็นร่องลึก จึงเป็นที่มาของชื่อเรียกแหวนตะไบ เครื่องทองเมืองเพชรบุรีสวมใส่ได้ทั้งชายและหญิง แต่กลุ่มผู้บริโภคส่วนใหญ่เป็นวัยผู้ใหญ่และนักสะสมที่ชื่นชอบศิลปะแบบโบราณ มีรูปแบบเฉพาะตัว ซึ่งสำหรับคนรุ่นใหม่อาจดูเชย ไม่ทันสมัย ทำให้เครื่องทองเพชรบุรีหาได้ค่อนข้างน้อย ตามร้านทองตู้แดงทั่วไปแต่ก็ยังพอมีอยู่บ้างตามต่างจังหวัดแต่ไม่แพร่หลายมากนัก นี่จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ ช่างฝีมือทำเครื่องประดับทองเพชรบุรีและผู้ประกอบการเครื่องทองเมืองเพชรบุรีลดน้อยลง นอกจากนี้ การถ่ายทอดงานช่างทองจังหวัดเพชรบุรี มักสอนให้เฉพาะแค่คนในครอบครัวและผู้ที่มีใจรักในศิลปะอย่างจริงจังเท่านั้น จึงเกิดการขาดช่วงและเกิดช่างฝีมือน้อยลงเรื่อยๆ ซึ่งในอนาคตเครื่องทองเมืองเพชรบุรีอาจสูญหายไปจากเมืองไทยเหมือนช่างทองสกุลอื่นๆอีกมากมายก็เป็นได้เช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

24/08/2561

หอเครื่องทองไทย


หอเครื่องทองไทย แหล่งเรียนรู้เรื่องราวของทองไทยในแง่มุมต่างๆ ทั้งเครื่องมืออุปกรณ์ในการทำทอง กรรมวิธีการทำทอง การผลิตเครื่องทองโบราณ เครื่องทองหลวง และสกุลช่างทองของไทย จัดแสดงในรูปแบบนิทรรศการ บนพื้นที่ขนาด 460 ตารางเมตร แบ่งการจัดแสดงออกเป็นส่วน ๆได้แก่ ส่วนข้อมูลเกี่ยวกับทอง แสดงต้นกำเนิดทองคำ ตั้งแต่เป็นสายแร่นำมาแยกออกด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หลอมออกมาเป็นก้อนทองคำซึ่งป็นวัตถุดิบในการผลิตเครื่องทอง ส่วนประวัติช่างทองไทย ซึ่งปัจจุบันเหลือสกุลช่างทองอยู่เพียง 3 สกุล ที่สามารถนำมาจัดแสดงได้คือ สกุลช่างทองสุโขทัย สกุลช่างทองเมืองเพชร และสกุลช่างทองถมนครสกุลช่างทองสุโขทัย เป็นเครื่องทองที่ทำจากทองคำบริสุทธิ์ 99.99% โดดเด่นที่ลวดลายสวยงามและกรรมวิธีการผลิตที่เรียกว่า สร้อยถัก ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของสกุลช่างทองสุโขทัย สกุลช่างทองเมืองเพชร เป็นการสืบทอดทักษะเชิงช่างจากสมัยอยุธยา โดยพัฒนาต่อยอดจนเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ลวดลายที่ได้รับความนิยมอย่างเช่น ลายดอกพิกุล ดอกมะลิ ก้านบัว ส่วนใหญ่นิยมทำเครื่องประดับประเภทสร้อยคอ สร้อยข้อมือ แหวน ตุ้มหู สกุลช่างถมนคร เป็นสกุลช่างทองจากนครศรีธรรมราช ผลิตเครื่องถมทองและเงิน โดยเฉพาะ เครื่องราชูปโภคของพระมหากษัตริย์ หรือผลิตเพื่อเป็นเครื่องบรรณาการแด่กษัตริย์ต่างชาติ ที่เรียกว่าเครื่อง "ถมทอง" ก็คือเครื่องถมเงิน แต่ใช้น้ำปรอทที่มีทองคำเคลือบบนลวดลายทั้งหมด นิยมใช้ทำภาชนะหรือเครื่องประดับที่มีลายทองบนพื้นสีดำ ส่วนสาธิตกรรมวิธีการผลิต แสดงให้เห็นขั้นตอนการหลอมทองคำเป็นวัตถุดิบ จนกระทั่งผลิตขึ้นเป็นชิ้นงาน พร้อมจัดแสดงเครื่องมือใช้ในการทำทอง เช่น แป้นชักลวด ที่ใช้ผลิตเส้นทองให้มีความหนาและยาวให้ได้ตามต้องการ เครื่องเป่าแล่น เป็นเครื่องให้ความร้อนเพื่อทำให้ทองอ่อนตัวและง่ายต่อการขึ้นรูป และการทำลวดลายต่างๆ ส่วนจัดแสดงชิ้นงานจากฝีมือช่างสกุลต่างๆ ที่ทำจากทองคำแท้ทั้งหมด เป็นลวดลายและรูปแบบที่หาชมไม่ได้ตามร้านทองทั่วไป เช่นกำไลประดับพลอยนพเก้า แหวนลูกไม้ประดับรัตนชาติ 3 สี กระดุม หรือ ดอกบัวสัตตบงกช หวนแลกำไลพิรอด เป็นแหวนเครื่องราง เชื่อกันว่าทำให้แคล้วคลาดจากโชคร้าย และปะวะหล่ำ ซึ่งเป็นงานเครื่องประดับทองที่ได้รับอิทธิพลจากชาวจีนรูปร่างคล้าย โคมไฟสัญลักษณ์ แห่งความก้าวหน้า ความเจริญรุ่งเรือง สว่างไสว ปะวะหล่ำนี้อาจยังพอหาชมได้ตามร้านทองทั่วไปถ้าสนใจเรื่องราวของทองคำในประเทศไทยไปชมได้ที่บนชั้น 2 ของศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ(องค์การมหาชน) หรือ ศ.ศ.ป. ต.ช้างใหญ่ อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยาเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

24/08/2561

รู้จักทองชนิดต่างๆ


หากพูดถึง ทอง โดยมากเราจะนึกถึงแต่ ทองคำ ที่มีสีเหลือง เนื่องจากมีความบริสุทธิ์ของแร่ทองคำ 24Kแต่ทองก็มีสีที่แตกต่างได้หากมีการผสมแร่ธาตุชนิดอื่นๆเข้าไปและมีชื่อเรียกแตกต่างกันไป ทองคำขาว หรือ Platinum เป็นแร่ธาตุที่มีสีเงินเทา มีน้ำหนักมาก สามารถยืดและตีเป็นแผ่นได้ ทนต่อการกัดกร่อน นำมาทำเครื่องประดับได้ดีเนื่องจากมีความหนาแน่นมากทำให้แกะลายได้สวยกว่าทองและถึงแม้จะใช้ไปนานๆลวดลายก็ยังคงคมชัดเหมือนเดิมที่สำคัญคือไม่สึก หลุดร่อน น้ำหนักเท่าเดิมไม่สูญหายเหมือนทองแม้จะใช้ไปนานแค่ไหนก็ตาม แพลทินัมหายากกว่าทองคำจึงมีราคาสูงกว่าทองคำ 2-3 เท่า ทองขาว หรือ White gold คนทั่วไปมักสับสนเข้าใจว่า ทองขาว (White gold) เป็นชนิดเดียวกันกับทองคำขาว (Platinum) แต่ความจริงแล้วแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะทองขาวหมายถึงการผสมกันของทองคำกับโลหะอื่นๆ ซึ่งจะมีคุณสมบัติต่างกัน เช่นถ้าผสมนิกเกิล ก็จะแข็งเหมาะที่จะทำแหวนและหมุดผสมแพลเลเดียมจะอ่อนนุ่มกว่าเหมาะสำหรับประดับอัญมณี แต่ถ้าผสมทองแดง เงิน และ แพลทินัม ใช้สำหรับเพิ่มน้ำหนักและความคงทน โดยปกติเครื่องประดับที่ทำจากทองขาว นิยมเคลือบด้วย โรเดียม เพื่อเพิ่มความขาว และเงางาม ทองเขียว หรือ Green gold เป็นทองคำผสมแร่อื่นๆเช่น เงิน มีความบริสุทธิของเนื้อทองคำ18 กะรัตคือประกอบไปด้วยทองคำ 75% และเงิน 25% ทองคำสีกุหลาบ หรือ Rose gold เป็นโลหะเจือระหว่างทองคำและทองแดง บางครั้งเรียกทองคำชมพู (Pink gold) และ ทองคำแดง (Red gold) ตามสีที่ได้ หรือเรียกว่าทองรัสเซีย เพราะเคยเป็นที่นิยมกันมากในรัสเซียในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 แต่สำหรับคนไทยรู้จักกันในชื่อ “นาก” ซึ่งนิยมนำมาทำเป็นเครื่องประดับและขายอยู่ตามร้านทองทั่วไป ทองคำสีเทา คือการนำทองคำมาผสมด้วยแร่เงิน แมงกานีส และ ทองแดงลงไปตามสัดส่วนเฉพาะ ทองคำสีม่วง เป็นการผสมกันของของทองคำและอะลูมิเนียม โดยใช้ทองประมาณ 79% จึงสามารถเรียกเป็นทอง 18 กะรัตได้ ทองคำม่วงเปราะกว่าโลหะเจือทองคำชนิดอื่นๆ แตกหักได้ง่าย ทองคำดำ หรือ Black gold เป็นทองที่ใช้กันในเครื่องเพชรพลอย สีของทองคำดำสามารถสร้างได้หลายวิธี ชุบโลหะโรเดียมดำหรือรูทีเนียมด้วยไฟฟ้า ทองเหลือง และทองสัมฤทธิ์ หรือ สำริด เรียกทองแต่ไม่มีส่วนผสมของทองคำเลย ทองเหลืองเป็นโลหะผสมระหว่างทองแดงกับสังกะสี ใช้ทำเครื่องใช้เครื่องประดับ และงานทางศิลปะ ส่วรทองสัมฤทธิ์ หรือ สำริด เป็นโลหะผสมระหว่างทองแดง และดีบุก สัมฤทธิ์บางชนิดอาจมีส่วนผสมของสังกะสี หรือตะกั่วปนอยู่ด้วย ทองเกือบทุกสีมีขายตามร้านทองทั่วไป ในรูปแบบแตกต่างกันทั้งของใช้และเครื่องประดับเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

24/08/2561

8 วิธี ดูทองคำแท้


การดูทองคำว่าเป็นของแท้ หรือ ปลอม อาจไม่ใช่ปัญหาของร้านทองทั่วไป แต่สำหรับผู้บริโภคที่ไม่มีประสบการณ์หรือความชำนาญอาจไม่รู้ว่ามีวิธีดูอย่างไร และนี่คือ 8 วิธี เบื้องต้นในการดูทองคำแท้ 1. ดูจากขนาดของทอง วิธีนี้ต้องใช้การสังเกตให้ดี ต้องรู้ว่าทองคำหนัก 1 บาท หรือ 2 บาทนั้น ควรมีขนาดแค่ไหน น้ำหนักกับขนาดต้องสอดคล้องกัน ถ้าบอกหนัก 1 บาทแต่มีขนาดใหญ่มากก็ให้ระวังไว้เลยว่าอาจเป็นทองปลอมได้ 2. วัดจากน้ำหนักของทองคำ วิธีนี้ถ้าไม่มีเครื่องชั่งก็ต้องมีทองคำแท้อีกชิ้นหนึ่งไว้เทียบกัน เพราะทองคำแท้ไม่ว่าจะเส้นใหญ่หรือเส้นเล็ก ถ้าน้ำหนัก 1 บาท ก็จะมีน้ำหนักเท่ากันเสมอ 3. ดูที่ตราหรือโลโกร้าน ใช้แว่นขยายส่องดูตามข้อหรือห่วงของทอง ทองแท้ทั่วไปจะมีการตีตราร้านไว้อย่างชัดเจนเพื่อเป็นการการันตี บอกแหล่งที่มา หรือมีการตอกตัวเลขบอกความบริสุทธิ์ของทองไว้ด้วยเช่น 14k 18k 22k 24k ถ้าตรานั้นเบลอๆไม่ชัดเจนก็ให้ระวังไว้ก่อนว่าอาจเป็นของปลอม ให้หลีกเลี่ยงการซื้อ 4. หยดด้วยน้ำกรดไนตริก ทองคำแท้เมื่อหยดด้วยกรดไนตริก จะไม่เกิดปฏิกิริยา ไม่เปลี่ยนสี หรือหลอมละลาย แต่ถ้าทองคำนั้นมีโลหะอื่นผสม เช่น ทองแดง ก็จะละลายไปอย่างเห็นได้ชัดเจน วิธีนี้คงต้องทำที่ร้านทองเพราะกรดไนตริก หาซื้อไม่ได้ตามร้านค้าทั่วไป 5. ทดสอบโดยใช้แม่เหล็ก ถ้าใช้แม่เหล็กแล้วดูดติดทันทีทองเส้นนั้นเป็นทองปลอมแน่นอนเพราะใส่เหล็กในปริมาณมาก แต่ถ้าเป็นทองคำแท้แม่เหล็กจะดูดไม่ติด 6. ดูจากรอยต่อหรือจุดที่ทองเสียดสีกัน วิธีนี้สามารถใช้แว่นขยายดูตามรอยต่อหรือจุดเสียดสี ถ้าเป็นทองคำแท้จะไม่มีรอยถลอก ลอก หรือเปลี่ยนสี แต่ถ้าเป็นทองคำชุบหรือทองปลอม ตามรอยต่อเหล่านี้จะเกิดการลอกหรือถลอก 7. ทดสอบโดยการกัด ทองคำแท้จะมีความแข็งไม่มาก ถ้ากัดก็จะเกิดรอยบุ๋มเห็นได้ชัด แต่ถ้าเป็นทองปลอม ทองผสมเหล็กหรือทองแดง หรือทองชุบ จะแข็งมาก กัดแล้วไม่เกิดรอยบุ๋ม 8. โยนลงบนกระจก ทองคำเป็นโลหะที่มีเนื้อนุ่ม ไม่แข็งเหมือนเหล็กหรือทองแดง ถ้าโยนไปกระทบกับกระจกจะได้ยินเสียงกระทบกันแบบนุ่มๆ ไม่มีเสียงแหลม ดัง แต่ถ้าเป็นทองปลอมเสียงจะดังแก๊งๆอย่างชัดเจน นี่คือ 8 วิธีดูทองคำแท้ เพื่อป้องกันความเสี่ยงในเบื้อต้น อย่างไรก็ดีการซื้อทองคำจากร้านทองที่เชื่อถือได้ก็เป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่ถ้ามีคนเอามารับจำนำหรือรับซื้อทองคำจากใคร ควรนำไปให้ร้านทองตรวจสอบก่อนตัดสินใจเสมอ เช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

24/08/2561

รู้หรือไม่ ชาติใดบริโภคทองคำมากที่สุดในโลก


จีน เป็นประเทศที่บริโภคทองคำมากที่สุดในโลกในปี 2016 รองลงมาคือ อินเดีย สหรัฐอเมริกาและเยอรมนี จากรายรายงานล่าสุดของสภาทองคำโลกหรือ World Gold Council นอกจากปัจจัยด้านจำนวนประชากรแล้ว สาเหตุที่จีน และ อินเดียบริโภคทองคำมากที่สุดในโลกอันดับ1 และ2 สลับกันมาโดยตลอดก็เพราะทั้งสองประเทศมีเทศกาลสำคัญที่มีความเกี่ยวข้องกับการซื้อทองคำอยู่หลายเทศกาล อินเดีย มีเทศกาลดีวาลี (Diwali) หรือเทศกาลแห่งแสงที่ชาวอินเดียนิยมซื้อทองคำเป็นของกำนัลให้แก่คนในครอบครัว ซึ่งจะเกิดขึ้นราวเดือนตุลาคม แล้วต่อด้วย ฤดูกาลแห่งการแต่งงานของหนุ่ม-สาวชาวอินเดีย ซึ่งนอกจากจะนิยมให้สินสอดเป็นทองรูปพรรณแล้ว เครื่องประดับสำหรับเจ้าบ่าวเจ้าสาวก็นิยมทำมาจากทองด้วย ประกอบกับแต่ละปีมีการแต่งงานกันปีละหลายล้านคู่ จึงไม่น่าแปลกใจว่ายอดการบริโภคทองคำของอินเดียจะมากมายมหาศาลแค่ไหน สำหรับประเทศจีน เป็นที่ทราบกันดีว่าเทศกาลตรุษจีนเป็นช่วงที่ความต้องการทองคำจะมีปริมาณสูงที่สุด ซึ่งต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงวันชาติจีน ที่มีการซื้อทองให้เป็นของขวัญและการออม กับสมาชิกในครอบครัวด้วย ในส่วนของประเทศไทย ไม่น่าเชื่อว่าประเทศที่มีประชากรราว 70 ล้านคน จะมีการบริโภคทองคำมากเป็นอันดับ5 ของโลก เฉพาะในปี 2016 คนไทยบริโภคทองคำถึง 81.53 ตัน และมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออก ในอดีตการซื้อทองคำในประเทศไทยเป็นไปเพื่อการเก็บออม เป็นสินทรัพย์และเครื่องประดับ แต่ในช่วงไม่ถึง 10 ปีที่ผ่านมาพฤติกรรมการซื้อทองคำของคนไทยเปลี่ยนไปเป็นการลงทุนและการเก็งกำไรมากขึ้น สะท้อนจากตัวเลขการนำเข้า–ส่งออกทองคำแท่งของไทยที่เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยในปี 2001 ไทยเป็นผู้นำเข้าทองคำอันดับที่ 6 ของโลกและก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำเข้าทองคำอันดับที่ 2 ในปี 2010 ในขณะที่การส่งออกก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดดจากการเป็นผู้ส่งออกทองคำอันดับที่ 38 ของโลกในปี 2001 มาเป็น ผู้ส่งออกอันดับที่ 3 ในปี 2010 นอกจากนี้ World Gold Council ยังระบุว่าตั้งแต่ปี 2011 ไทยก้าวขึ้นมาเป็นประเทศที่บริโภคทองคำเป็นอันดับหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกแซงหน้าเวียดนามไปแล้ว ผลจากพฤติกรรมการบริโภคทองคำที่เปลี่ยนไปจากเดิมของคนไทยที่ซื้อทองในฐานะเครื่องประดับและเพื่อออมเงินในระยะยาวกลับกลายมาเป็นการลงทุนระยะสั้นและการเก็งกำไร ทำให้ในปีนั้นไทยก้าวขึ้นไปเป็นประเทศที่บริโภคทองคำแท่งและเหรียญทองเป็นอันดับ 3 ของโลกรองจากอินเดียและจีนเลยทีเดียว เชื่อในอนาคตความนิยมของนักลงทุนชาวไทยจะส่งผลให้ประเทศไทยสามารถครองตำแหน่งผู้บริโภคทองคำลำดับต้นๆของโลกต่อไปเช็คราคาทองคำวันนี้และย้อนหลังได้ที่https://www.aagold-th.com/gold-rate/

Read More

23/08/2561

เยาวราช ถนนสายทองคำ


เยาวราช ย่านธุรกิจการค้าที่รู้จักกันดีในนาม ไซน่าทาวน์ เพราะเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมและการค้าของชาวไทยเชื้อสายจีนมานานนับร้อยปี ตลอดสองข้างทางของถนนความยาวถนนราว 1.5 กิโลเมตร คลาคล่ำไปด้วยร้านรวงที่ขายสินค้านานาชนิด ทั้งกลางวันกลางคืน ทั้งของกินของใช้ซึ่งได้ชื่อว่ามีคุณภาพยอดเยี่ยมไม่แพ้ที่ใด และสิ่งหนึ่งที่อยู่คู่เยาวราชจนกลายเป็นสัญลักษณ์ที่ขาดกันไม่ได้ของถนนสายนี้ก็คือ ร้านทอง นั่นเอง เยาวราชเต็มไปด้วยร้านทองมากมายทั้งใหม่และเก่า ร้านทองที่เก่าแก่ที่สุดต้องย้อนกลับไปถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่๕ ซึ่งปัจจุบันก็ยังคงดำเนินกิจการอยู่ ส่วนร้านทองใหม่ๆก็ยังมีเปิดกิจการอยู่เรื่อยๆ เคยมีการรวบรวมจำนวนร้านขายทองทั้งหมดทั้งฝั่งถนนเยาวราชและบริเวณรอบๆนั้นมีมากว่า 170 ร้าน ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งรวมร้านขายทองไว้มากที่สุดของประเทศไทยจนได้ชื่อว่าเป็น ถนนสายทองคำ ร้านทองย่านเยาวราช ขายทองรูปพรรณที่มีค่าความบริสุทธิ์ 96.5% ซึ่งถือเป็นค่ามาตรฐานของทองคำบริสุทธิ์ซึ่งรับรองมาตรฐานโดยสมาคมค้าทอง ว่าคำเหมาะที่จะนำมาทำเป็นทองรูปพรรณเพราะมีสีเหลืองสุกสว่างสวยงามคงทนแข็งแรง มากกว่าทอง 99.99% ที่มีความอ่อนตัว ขาด และบิดงอเสียรูปได้ง่าย ซึ่งร้านทองในเยาวราชส่วนใหญ่เป็นสมาชิกของสมาคมค้าทองคำอยู่แล้ว ทำให้ลูกค้ามั่นใจว่าซื้อทองที่เยาวราชจะได้ทองดี มีส่วนส่วนผสมที่ได้มาตฐานทองคำบริสุทธิและไม่มีทองปลอมแน่นอน ด้วยเหตุนี้ทองเยาวราชจึงได้รับความนิยมจากผู้ลูกค้ามาอย่างยาวนาน ถนนเยาวราช สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็น 1 ใน 18 ถนนที่สมเด็จกรมเจ้าพระยานริศรานุวัตตวงศ์ เสนาบดีกระทรวงโยธาธิการ กราบบังคมทูลว่าจะสร้างตามโครงการถนน อำเภอสำเพ็ง ซึ่งเป็นนโยบายสร้างถนนในท้องที่ที่เจริญแล้ว เพื่อส่งเสริมการค้าขายใช้เวลาในการก่อสร้างนาน 8 ปี คือเริ่มสร้างเมื่อปีพ.ศ.2435 และเสร็จสมบูรณ์ในปี 2443 เริ่มตั้งแต่คลองรอบกรุง ตรงข้ามป้อมมหาไชย ตัดลงไปทางทิศใต้ บรรจบถนนจักรวรรดิที่สี่แยกวัดตึก ผ่านถนนราชวงศ์เรียกสี่แยกราชวงศ์" ก่อนไปบรรจบกับถนนเจริญกรุงก่อนถึงวัดไตรมิตรฯ เดิมให้ชื่อว่าถนนยุพราช และต่อมารัชกาลที่ 5 ทรงโปรดเกล้าฯพระราชทานชื่อใหม่เป็น"ถนนเยาวราช"

Read More

23/08/2561

10 อันดับประเทศที่ถือครองทองคำสำรองมากที่สุดในโลก


ทองคำสำรอง หรือ gold reserve เป็นสินทรัพย์ชนิดหนึ่ง ที่ธนาคารกลางของแต่ละประเทศประเทศ หรือองค์กรทางการเงินระหว่างประเทศ ซื้อเก็บสะสมไว้เป็นส่วนหนึ่งของทุนสำรองระหว่างประเทศเพื่อเป็นการลงทุนและเป็นหลักประกันทางการเงินของประเทศและองค์กรนั้นๆ ทองคำ 1 ตันมีมูลค่าเท่ากับ 41.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.38 พันล้านบาท (ณ ราคาวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ. 2017) สภาทองคำโลกได้จัดอันดับประเทศที่ถือครองทองคำผ่านธนาคารกลางในแต่ละประเทศมากที่สุดในโลก 10 อันดับ ณ สิ้นปี 2017 ประกอบด้วย อันดับ 1 สหรัฐอเมริกาที่ยังคงเป็นประเทศที่ถือครองทองคำมากที่สุดในโลกที่ 8,134 ตัน ซึ่งส่วนใหญ่ถูกเก็บไว้ที่คลังเก็บทองคำฟอร์ทน็อกซ์ อันดับ 2 เยอรมนี 3,337 ตัน อันดับ 3 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) 2,184 ตัน อันดับ 4 อิตาลี 2,452 ตัน อันดับ 5 ฝรั่งเศส 2,436 ตัน อันดับ 6 จีน 1,842 ตัน อันดับ 7 รัสเซีย 1,828 ตัน อันดับ 8 สวิตเซอร์แลนด์ 1,040 ตัน อันดับ 9 ญี่ปุ่น 765 ตัน อันดับ 10 เนเธอร์แลนด์ 612 ตัน แต่เมื่อผ่านไตรมาสแรกของปี 2518 ตัวเลขการถือครองทองคำของแต่ละประเทศก็เปลี่ยนไป โดยรัสเซีย กลายเป็นประเทศที่ถือครองทองคำมากที่สุดเป็นอันดับห้าของโลก หลังจากที่ธนาคารกลางรัสเซีย (ซีบีอาร์) ได้เพิ่มการถือครองทองคำอีก20 ตัน เป็น 1,857 ตันเมื่อเดือนมีนาคม อย่างไรก็ตามสหรัฐ ยังคงเป็นประเทศที่ถือครองทองคำมากที่สุดในโลกที่ 8,134 ตัน เยอรมนีตามมาเป็นอันดับสอง ที่ 3,374 ตัน ขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ) ถือครองทองคำมากที่สุดเป็นอันดับสามที่ 2,814 ตัน และฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีทองคำสำรองมากที่สุดเป็นอันดับที่สี่ สำหรับประเทศไทยในไตรมาสแรกของปี 2561 มีทองคำสำรองเพิ่มขึ้น1.59 ตัน เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ไทยมีทองคำสำรองถึง154 ตัน หลักจากทรงตัวมานานกว่า 6 ปี ในระดับ 152.41ตัน ตั้งแต่ปี 2543-2561 ซึ่งทองคำสำรองของไทยอยู่ที่อันดับ 24 ของโลก

Read More

23/08/2561

ใครเป็นผู้กำหนดราคา ซื้อ-ขาย ทองคำ


ราคาทองในประเทศไทยถูกกำหนดด้วยตัวแปรที่สำคัญ 4 ประการคือ 1. ราคาทองต่างประเทศ (Gold spot)2. อัตราค่า Premium (ค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นในการนำเข้า/ส่งออกทองคำ)3. ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐ4. Demand และ Supply ของทองคำภายในประเทศ สมาคมค้าทองทำ จะเป็นผู้กำหนดราคาทองแท่งและทองรูปพรรณในทุกๆเช้าในเวลาประมาณ 9.30-9.50 น.เพื่อให้ร้านค้าทองทั่วประเทศนำไปใช้ในการซื้อ-ขาย โดยปกติจะกำหนดราคาวันละครั้งแต่ก็อาจมีเปลี่ยนแปลงได้หลายครั้งในหนึ่งวันในกรณีที่ตลาดมีความผันผวนหรือมีปัจจัยอื่นๆเข้ามา ซึ่งการประกาศราคานี้จะทำกันเฉพาะวันจันทร์-วันศุกร์เท่านั้น ส่วนวันเสาร์ อาทิตย์ ราคาจะไม่เปลี่ยนแปลง สำหรับผู้บริโภค การซื้อทองตามราคาขายที่ประกาศดูจะไม่มีปัญหา แต่การขายทองไม่ได้ราคาตามที่ประกาศดูจะเป็นปัญหาคาใจไม่น้อย เพราะบางครั้งก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเราขายทองได้ราคาต่ำกว่าที่ประกาศรับซื้อคืน ก่อนอื่นต้องรู้ก่อนว่า การคิดราคารับซื้อทองคืนมี 2 หน่วยงานที่รับผิดชอบคือ สมาคมค้าทองคำแห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งก็จะมีหลักเกณฑ์ในการคิดคำนวณการซื้อคืนไว้ค่อนข้างชัดเจน และการซื้อคืนทองรูปพรรณก็จะถูกหักมากกว่าการซื้อคืนทองแท่ง 1.8% ต่อกรัม เช่นราคารับซื้อคืนทองคำแท่งคือบาทละ20,000 บาท ราคารับซื้อคืนทองรูปพรรณ ก็จะอยู่ที่ประมาณ 19,632.2 บาท ซึ่งต่ำกว่าราคารับซื้อคืนทองคำแท่งราวสามร้อยกว่าบาท ซึ่งราคานี้จะได้เฉพาะการนำทองไปเพิ่มน้ำหนักหรือเปลี่ยนลาย แต่ถ้าขายเลยก็จะถูกลงกว่านี้ ในขณะที่สคบ.กำหนดหลักเกณฑ์การซื้อทองรูปพรรณคืนจากลูกค้าโดยให้หักออกได้ไม่เกิน 5% เช่นถ้าซื้อคืนทองรูปพรรณ 1 บาท ก็จะโดนหักราว 1,000 บาท ทั้งนี้เฉพาะทองที่ซื้อจากร้านนั้นเท่านั้น หมายความว่าหากซื้อทองรูปพรรณจากร้านหนึ่งแล้วไปขายอีกร้านหนึ่งก็มีโอกาสที่จะโดนหักมากกว่า 5% ก็ได้ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะร้านทองจะได้กำไรเฉพาะตอนที่ขายทองให้ผู้บริโภคเท่านั้น การที่ร้านทองรับซื้อทองคืนจากลูกค้าไม่ได้ทำกำไรเพราะไม่สามารถเอาทองไปวนขายได้ ต้องนำไปหลอมใหม่ทั้งหมด นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมซื้อทองที่ไหนก็ควรไปขายคืนที่นั่น เพราะเราจะโดนหักน้อยกว่าไปขายคืนให้ร้านอื่นนั่นเอง

Read More

23/08/2561

มาตรฐานร้านทอง


ซื้อทองร้านไหนดี ร้านเล็ก ร้านใหญ่ ดูอย่างไรว่าได้มาตรฐานทั้งเรื่องของคุณภาพและน้ำหนักทอง วันนี้เรามีหลักง่ายๆให้ผู้ที่จะซื้อทองไว้คอยสังเกตว่าร้านทองนั้นๆได้มาตรฐานหรือไม่ ข้อแรกเลย จะต้องแจ้งราคาทองที่หน้าร้านอย่างชัดเจน ทั้งราคาทองแท่งและทองรูปพรรณ ทั้งราคารับซื้อเข้า และราคาขายออก ราคาทองนี้จะเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละวัน ขึ้นอยู่กับราคาทองคำในตลาดโลกในวันนั้นๆ ซึ่งสมาคมผู้ค้าทองคำจะเป็นผู้ประกาศราคาใหม่ทุกวัน ต่อมาเมื่อเข้าไปในร้านแล้วต้องดูป้ายที่ติดอยู่ที่ถาดหรือเป็นแท็คกระดาษเล็กๆคล้องติดไว้ที่สินค้าซึ่งจะบอกค่ากำเหน็ดสำหรับทองรูปพรรณ และค่าบล็อกสำหรับทองคำแท่ง ร้านทองแต่ละร้านอาจจะคิดราคาแตกต่างกันขึ้นอยู่กับฝีมือช่าง ความยากง่ายของลวดลาย และค่าแรง ผู้ขายจะต้องแจ้งราคาขายและเปอร์เซ็นต์ทองให้ผู้ซื้อทองทราบว่าสินค้าที่จะซื้อนั้นมีเนื้อทองกี่เปอร์เซ็นต์ เพระสินค้าบางชนิดมีเปอร์เซ็นต์ทองน้อยไม่เท่ากัน อาจไม่ใช่มาตรฐาน 96.5% ทุกชิ้น เช่น กรอบพระ ต่างหู กำไล ที่อาจมีการใช้ทองคำเปอร์เซ็นต่างกันออกไปที่ 90%, 99% เป็นต้น นอกจากนี้จะต้องมีป้ายบอกประเภทสินค้าอย่างชัดเจนว่าเป็นสร้อย แหวน กำไล มีโลโก้หรือตราสัญลักษณ์ยี่ห้อรวมถึงระบุเปอร์เซ็นทองระบุลงไปบนชิ้นงานทุกชิ้นจะได้รู้แหล่งที่มาของทองชิ้นนั้นมาจากที่ได้ ยกเว้นงานสั่งทำที่อาจจะไม่มีการตอกตราเหล่านี้ แต่หากชื่อที่ตอกกับชื่อร้านไม่ตรงกันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะร้านทองค้าปลีกทั่วไปอาจซื้อทองมาจากร้านทองค้าส่งอีกทีก็ได้ เมื่อตกลงซื้อทองชิ้นใดแล้ว ผู้ขายจะต้องชั่งน้ำหนักทองให้ดูทุกครั้ง แม้จะมีป้ายบอกน้ำหนักติดไว้แล้วก็ตาม เพื่อให้ลูกค้าได้ตรวจสอบน้ำหนักได้อย่างถูกต้อง โดยทองหนัก 1 บาทจะต้องมีน้ำหนักทองมาตรฐานไม่น้อยกว่า 15.244 กรัมสำหรับทองคำแท่ง และจะต้องหนักไม่น้อยกว่า 15.16 กรัมสำหรับทองรูปพรรณ ส่วนจะเป็น 15.17 กรัม 15.18 กรัม 15.19. กรัม หรือ 15.20 กรัม ถือเป็นทอง 1 บาททั้งหมดที่สำคัญต้องมีจุดทศนิยมสองตำแหน่ง หากร้านทองมีใบรับประกันก็ควรต้องระบุน้ำหนักกรัมที่ชั่งได้ลงไปในใบรับประกันด้วย และถ้าอยากให้มั่นใจที่สุดก็สามารถสามารถตรวจสอบรายชื่อร้านผู้ผลิตทองรูปพรรณที่ผ่านการตรวจสอบมาตรฐานความบริสุทธิ์ของทองรูปพรรณจากสคบ. ได้จากเว็บไซต์ของสมาคมค้าทองคำ หากร้านทองได้ไม่แสดงฉลากและไม่ปฏิบัติตามที่กำหนดนอกจากเราไม่ซื้อทองจากร้านนั้นแล้วยังสามารถโทรแจ้งไปที่สายด่วนสคบ.1166 ซึ่งมีโทษสูงสุดคือจำคุก 6 เดือน

Read More

23/08/2561

ทองเนื้อเก้า เกณฑ์กำหนดคุณภาพทองไทยในอดีต


การกำหนดคุณภาพของทองคำในปัจจุบัน ใช้ความบริสุทธิ์ของทองคำในการบ่งบอกคุณภาพของทองคำ โดยการคิดเนื้อทองเป็น “กะรัต” ทองคำบริสุทธิ์ หมายถึง ทองคำที่มีเนื้อทอง 99.99 เปอร์เซ็นต์หรือมากกว่านั้น เรียกกันว่าทองร้อยเปอร์เซ็นต์หรือเรียกกันในระบบสากลว่า ทอง 24 กะรัตหรือ 24K ทองที่มีเกณฑ์การบ่งบอกคุณภาพของเนื้อทองโดยบ่งบอกความบริสุทธิ์เป็นกะรัตนี้มีชื่อเรียกว่า “ทองเค” จะ 14K 18K 21K ก็ขึ้นอยู่กับความบริสุทธิ์ของทองคำว่ามีโลหะอื่นเจือปนมากน้อยแค่ไหน สำหรับประเทศไทยเรา นอกจากการกำหนดคุณภาพของทองคำแบบในปัจจุบันแล้ว ในอดีต มีปรากฏหลักฐานปรากฏในพระราชหัตถเลขาเชิงอธิบายของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กล่าวถึงราคาทองคำตามแบบที่ซื้อขายกันในตลาดของเมืองเชียงแสนโบราณโดยกำหนดราคาตามลักษณะความบริสุทธิ์และน้ำหนักของทองว่า “ทองคำเนื้อต่ำซื้อขายกันหนักบาทหนึ่งเป็นเงินสี่บาทจึงเรียกว่า เนื้อสี่ ที่เนื้อสูงขึ้นไปกว่านั้นทองคำหนักบาทหนึ่งเป็นราคาเงินห้าบาทเรียกว่า เนื้อห้า…ทองคำหนักบาทหนึ่งเป็นราคา ๘ บาท เรียกว่า เนื้อแปด…ทองคำเนื้อสุกสูงอย่างเอกเช่น ทองบางตะพาน ขายกันบาทหนึ่งเป็นราคาเงิน ๙ บาท เรียกว่า นพคุณเก้าน้ำ“ ทองบริสุทธิ์หรือทองเนื้อเก้านี้ แม้ต่อมาราคาซื้อขายกันในตลาดอื่นอาจแพงขึ้น ทองหนักบาทหนึ่งอาจมีราคาเป็นเงิน ๑๐ บาท ถึง ๒๐ บาท ก็ไม่เรียกว่าทองเนื้อสิบ หรือ ทองเนื้อยี่สิบ แต่ยังคงเรียกว่า ทองเนื้อเก้า มาจนถึงปัจจุบัน ต่อมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้มีประกาศระบุถึงการกำหนดคุณภาพทองคำ โดยตั้งพิกัดราคาทองคำ ตามพระราชหัตถเลขาของรัชกาลที่4 โดยปริมาณของเนื้อทองคำบริสุทธิ์ในทองรูปพรรณ เนื้อทองคำดังกล่าวอาจผสมด้วยแร่เงิน หรือทองแดงมากน้อยตามคุณภาพของทองคำ ส่วนการเรียกทองคุณภาพต่างๆนั้น ก็ใช้วิธีการเรียกราคาของทองคำต่อน้ำหนักทองหนึ่งบาทเป็นมาตรฐานในการเรียกชื่อทองคำ โดยเริ่มตั้งแต่ทองเนื้อสี่ขึ้นไปจนถึงทองเนื้อเก้าเช่นเดียวกัน ดังนั้นทองเนื้อเก้า จึงเป็นคำเรียกทองคำที่มีเนื้อบริสุทธิ์ มีราคาซื้อขายกันแพงที่สุดตั้งแต่ในอดีต คือ ทองน้ำหนัก ๑ บาท มีราคาเป็นเงิน ๙ บาทแต่ก็ยังมีชื่อเรียกอื่นๆอีกเช่น ทองธรรมชาติ ทองชมพูนุช ทองเนื้อแท้ ทองคำเลียง เป็นต้น ส่วนทองเนื้ออื่นๆที่ไม่ใช่ทองเนื้อเก้า ก็มีชื่อเรียกต่างกันไปเช่น ทองเนื้อ6 เรียกทองดอกบวบ เพราะมีเป็นทองที่มีสีเหลืองอ่อนคล้ายดอกบวบ เป็นต้น ปัจจุบันหากเดินเข้าไปในร้านทอง แล้วบอกมาซื้อทองเนื้อเก้า คนขายอาจมีงงบ้างเพราะไม่เข้าใจว่าคืออะไร

Read More

23/08/2561

ทำไมซื้อทอง ต้องไปที่เยาวราช


คนไทยเชื่อว่า ทองดี ต้องที่เยาวราช ซื้อทองทั้งทีต้องไปซื้อที่เยาวราช ความเชื่อนี้มีเหตุผลรองรับไม่ได้ถูกทำให้เชื่ออย่างล่องลอย ข้อแรก ลูกค้ามั่นใจว่า ทองคำที่เยาวราชมีค่าความบริสุทธิที่ 96.5% ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งเยาวราชและได้รับการตรวจสอบและควบคุมคุณภาพโดยสมาคมค้าทองคำความลับข้อนี้นี่เองที่ทองเยาวราชเป็นที่นิยมของผู้ซื้อทอง ข้อสอง ความซื่อตรงต่อผู้บริโภค ลูกค้าน้อยคนที่จะรู้ว่าการผลิตทองรูปพรรณนั้นต้องมีส่วนประกอบสองส่วน หนึ่งคือ ทองคำที่เป็นโครงสร้างหลักซึ่งทองเยาวราชใช้ทอง96.5% และทองประสานหรือเนื้อทองที่ใช้ต่อเชื่อมซึ่งมีค่าความบริสุทธิ์ต่ำลงมาที่ 70 – 85% แล้วแต่ลักษณะงานและความชำนาญของช่าง ร้านทองบางร้านอาศัยความไม่รู้ของผู้ซื้อแอบผสมทองประสานที่มีความบริสุทธิ์ต่ำลงไปในปริมาณมาก แต่ทองเยาวราชช่างทองมีฝีมือและร้านค้าก็มีนโยบายใช้ทองประสานให้น้อยที่สุด งานทองของเยาวราชจึงได้คุณภาพ และมีค่ากำเหน็จที่สูงกว่าร้านทองทั่วไปเล็กน้อย ข้อสาม รับประกันด้วยชื่อเสียงที่สะสมมาหลายชั่วอายุคน ร้านทองเยาวราชหลายร้านมีอายุนับร้อยปี บางร้านแม้เปิดใหม่แต่ก็การันตีด้วยชื่อเสียงของคำว่าร้านขายทองในเยาวราช ทำให้ต้องรักษาคุณภาพและชื่อเสียงของร้านและย่านเยาวราชไว้อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ทองทุกชิ้นล้วนผ่านระบบตรวจสอบคุณภาพที่เคร่งครัด มีการตอกสัญลักษณ์ของร้านซึ่งหมายถึงการรับประกันว่าขายคืนได้ราคา เป็นมาตรฐานที่ร้านทองทั่วประเทศยอมรับ หากลูกค้านำทองจากเยาวราชไปขายที่อื่นและเจ้าของร้านทองเห็นสัญลักษณ์ที่ประทับไว้ ก็จะรับซื้อทองเหล่านั้นในราคาที่ดีกว่าปกติ ราคาที่ลูกค้าต้องจ่ายให้กับทองเยาวราชจึงไม่ใช่เพียงค่าสินค้าเท่านั้นแต่ยังมีค่า “แบรนด์” ที่สะสมชื่อเสียงกันมานานหลายชั่วอายุคน เรียกว่าซื้อความมั่นใจและวางใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าได้ของดีไม่มีย้อมแมวขายอย่างแน่นอน ทั้งหมดนี้จึงเป็นบทสรุปที่ว่าทำไม ซื้อทองต้องไปที่เยาวราช แต่ลูกค้าที่เดินเข้าไปในร้านทองอาจรู้สึกว่านิดๆว่าคนขายไม่ได้ให้การบริการที่ดีเท่าไหร่ นั้นเป็นเพราะพวกเขาเชื่อว่าสินค้าที่ขายนั้นดีที่สุดจนผู้ซื้อไม่สามารถหาได้จากที่ไหนได้นั่นเอง

Read More

23/08/2561

ทองเหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกัน


ทองรูปพรรณที่ขายกันทั่วไปในร้านขายทองของแต่ละประเทศ ดูภายนอกอาจมีสีสันและเรียกว่าทองเหมือนกัน แต่ความจริงแล้วมีส่วนผสมและความบริสุทธิ์ของเนื้อทองแตกต่างกัน ตามความนิยมและลักษณะการใช้สอย อย่างที่เราทราบกันว่าทองคำบริสุทธินั้นมีเนื้ออ่อนนุ่มถ้านำมาทำเป็นทองรูปพรรณโดยตรงจะทำให้บุบ และเสียรูปได้ง่าย จึงมีการนำทองคำบริสุทธิ์ไปผสมกับโลหะอื่นๆเช่น เงิน ทองแดง นิกเกล และสังกะสี เพื่อให้เนื้อแข็งและคงรูปได้ดีขึ้นเมื่อนำไปทำทองรูปพรรณซึ่งอัตราส่วนจะขึ้นอยู่กับสูตรของผู้ผลิตทองแต่ละราย แต่ละประเทศ บางรายอาจผสมทองแดงในสัดส่วนที่มาก เพื่อให้สีของทองออกมามีสีอมแดง หรือบางรายอาจชอบให้ทองมีสีเหลืองขาวก็จะผสมเงินเพื่อให้สีอ่อนลงเป็นต้น สำหรับการกำหนดคุณภาพทองคำในประเทศไทย เราใช้มาตรฐานความบริสุทธิ์ของทองคำเท่ากับ 96.5% หรือ 23.16 กะรัต หรือ 24 กะรัต หากมีโลหะอื่นผสมอยู่มาก ความบริสุทธิ์ของทองคำก็จะลดต่ำลงมา เราก็จะเรียกทองเหล่านั้นตามเนื้อทองบริสุทธิ์ที่ผสมอยู่ เช่น ทอง 14 กะรัต หรือทอง K หมายถึง ทองที่มีเนื้อทองบริสุทธิ์ 14 ส่วน และมีโลหะอื่นเจือปน 10 ส่วน เป็นต้น ส่วนทองรูปพรรณของประเทศต่างๆกจะมีสัดส่วนของโลหะอื่นๆแตกต่างกันตามความนิยม คือ Normal 0 false false false EN-US JA TH <w:LatentStyles DefLockedState="false" DefUnhideWhenUsed="true" DefSemiHidden="true" DefQFormat="false" DefPriority="99" LatentStyleCount="267"> <w:LsdException Locked="false" Priority="0" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Normal"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="9" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="heading 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="10" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Title"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="11" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Subtitle"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="22" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Strong"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="20" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Emphasis"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="59" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Table Grid"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="1" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="No Spacing"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="60" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Shading"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="61" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light List"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="62" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Grid"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="63" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="64" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="65" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="66" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="67" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="68" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="69" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="70" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Dark List"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="71" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Shading"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="72" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful List"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="73" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Grid"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="60" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Shading Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="61" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light List Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="62" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Grid Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="63" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 1 Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="64" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 2 Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="65" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 1 Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="34" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="List Paragraph"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="29" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Quote"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="30" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Intense Quote"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="66" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 2 Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="67" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 1 Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="68" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 2 Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="69" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 3 Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="70" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Dark List Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="71" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Shading Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="72" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful List Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="73" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Grid Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="60" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Shading Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="61" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light List Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="62" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Grid Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="63" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 1 Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="64" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 2 Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="65" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 1 Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="66" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 2 Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="67" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 1 Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="68" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 2 Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="69" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 3 Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="70" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Dark List Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="71" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Shading Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="72" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful List Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="73" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Grid Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="60" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Shading Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="61" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light List Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="62" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Grid Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="63" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 1 Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="64" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 2 Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="65" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 1 Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="66" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 2 Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="67" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 1 Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="68" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 2 Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="69" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 3 Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="70" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Dark List Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="71" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Shading Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="72" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful List Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="73" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Grid Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="60" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Shading Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="61" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light List Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="62" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Grid Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="63" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 1 Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="64" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 2 Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="65" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 1 Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="66" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 2 Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="67" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 1 Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="68" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 2 Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="69" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 3 Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="70" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Dark List Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="71" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Shading Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="72" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful List Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="73" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Grid Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="60" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Shading Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="61" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light List Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="62" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Grid Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="63" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 1 Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="64" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 2 Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="65" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 1 Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="66" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 2 Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="67" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 1 Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="68" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 2 Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="69" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 3 Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="70" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Dark List Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="71" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Shading Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="72" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful List Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="73" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Grid Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="60" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Shading Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="61" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light List Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="62" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Grid Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="63" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 1 Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="64" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 2 Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="65" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 1 Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="66" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 2 Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="67" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 1 Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="68" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 2 Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="69" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 3 Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="70" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Dark List Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="71" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Shading Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="72" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful List Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="73" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Grid Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="19" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Subtle Emphasis"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="21" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Intense Emphasis"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="31" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Subtle Reference"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="32" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Intense Reference"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="33" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Book Title"/> <!-- /* Font Definitions */ @font-face {font-family:"Cordia New"; panose-1:2 11 3 4 2 2 2 2 2 4; mso-font-charset:0; mso-generic-font-family:swiss; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:-2130706429 0 0 0 65537 0;} @font-face {font-family:"Cordia New"; panose-1:2 11 3 4 2 2 2 2 2 4; mso-font-charset:0; mso-generic-font-family:swiss; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:-2130706429 0 0 0 65537 0;} @font-face {font-family:Calibri; panose-1:2 15 5 2 2 2 4 3 2 4; mso-font-charset:0; mso-generic-font-family:swiss; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:-520092929 1073786111 9 0 415 0;} @font-face {font-family:JasmineUPC; panose-1:2 2 6 3 5 4 5 2 3 4; mso-font-charset:0; mso-generic-font-family:roman; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:16777223 2 0 0 65537 0;} /* Style Definitions */ p.MsoNormal, li.MsoNormal, div.MsoNormal {mso-style-unhide:no; mso-style-qformat:yes; mso-style-parent:""; margin-top:0in; margin-right:0in; margin-bottom:10.0pt; margin-left:0in; line-height:115%; mso-pagination:widow-orphan; font-size:11.0pt; mso-bidi-font-size:14.0pt; font-family:"Calibri","sans-serif"; mso-ascii-font-family:Calibri; mso-ascii-theme-font:minor-latin; mso-fareast-font-family:Calibri; mso-fareast-theme-font:minor-latin; mso-hansi-font-family:Calibri; mso-hansi-theme-font:minor-latin; mso-bidi-font-family:"Cordia New"; mso-bidi-theme-font:minor-bidi;} .MsoChpDefault {mso-style-type:export-only; mso-default-props:yes; font-family:"Calibri","sans-serif"; mso-ascii-font-family:Calibri; mso-ascii-theme-font:minor-latin; mso-fareast-font-family:Calibri; mso-fareast-theme-font:minor-latin; mso-hansi-font-family:Calibri; mso-hansi-theme-font:minor-latin; mso-bidi-font-family:"Cordia New"; mso-bidi-theme-font:minor-bidi;} .MsoPapDefault {mso-style-type:export-only; margin-bottom:10.0pt; line-height:115%;} @page WordSection1 {size:8.5in 11.0in; margin:1.0in 1.0in 1.0in 1.0in; mso-header-margin:.5in; mso-footer-margin:.5in; mso-paper-source:0;} div.WordSection1 {page:WordSection1;} --> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:"Table Normal"; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-priority:99; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0in 5.4pt 0in 5.4pt; mso-para-margin-top:0in; mso-para-margin-right:0in; mso-para-margin-bottom:10.0pt; mso-para-margin-left:0in; line-height:115%; mso-pagination:widow-orphan; font-size:11.0pt; mso-bidi-font-size:14.0pt; font-family:"Calibri","sans-serif"; mso-ascii-font-family:Calibri; mso-ascii-theme-font:minor-latin; mso-hansi-font-family:Calibri; mso-hansi-theme-font:minor-latin; mso-bidi-font-family:"Cordia New"; mso-bidi-theme-font:minor-bidi;} table.MsoTableGrid {mso-style-name:"Table Grid"; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-priority:59; mso-style-unhide:no; border:solid windowtext 1.0pt; mso-border-alt:solid windowtext .5pt; mso-padding-alt:0in 5.4pt 0in 5.4pt; mso-border-insideh:.5pt solid windowtext; mso-border-insidev:.5pt solid windowtext; mso-para-margin:0in; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:11.0pt; mso-bidi-font-size:14.0pt; font-family:"Calibri","sans-serif"; mso-ascii-font-family:Calibri; mso-ascii-theme-font:minor-latin; mso-hansi-font-family:Calibri; mso-hansi-theme-font:minor-latin; mso-bidi-font-family:"Cordia New"; mso-bidi-theme-font:minor-bidi;} <table class="MsoTableGrid" border="1" cellspacing="0" cellpadding="0" style="border-collapse:collapse;border:none;mso-border-alt:solid windowtext .5pt; mso-yfti-tbllook:1184;mso-padding-alt:0in 5.4pt 0in 5.4pt;mso-border-insideh: .75pt solid windowtext;mso-border-insidev:.75pt solid windowtext"> <td width="102" valign="top" style="width:76.3pt;border:solid windowtext 1.0pt; mso-border-top-alt:.5pt;mso-border-left-alt:.5pt;mso-border-bottom-alt:.75pt; mso-border-right-alt:.75pt;mso-border-color-alt:windowtext;mso-border-style-alt: solid;padding:0in 5.4pt 0in 5.4pt;height:32.2pt"> <p class="MsoNormal" align="center" style="margin-bottom:19.2pt;text-align:center; line-height:18.0pt"><span lang="TH" style="font-size:16.0pt;font-family:&quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;; background:#FBFBFD">กะรัต/หน่วย<span style="font-size:16.0pt; font-family:&quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;;mso-fareast-font-family:&quot;Times New Roman&quot;"> <td width="104" valign="top" style="width:77.95pt;border:solid windowtext 1.0pt; border-left:none;mso-border-left-alt:solid windowtext .75pt;mso-border-alt: solid windowtext .75pt;mso-border-top-alt:solid windowtext .5pt;padding:0in 5.4pt 0in 5.4pt; height:32.2pt"> <p class="MsoNormal" align="center" style="margin-bottom:19.2pt;text-align:center; line-height:18.0pt"><span style="font-size:16.0pt;font-family:&quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;; background:#FBFBFD">%ความบริสุทธิ์<span style="font-size:16.0pt;font-family:&quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;;mso-fareast-font-family: &quot;Times New Roman&quot;"> <td width="104" valign="top" style="width:77.95pt;border:solid windowtext 1.0pt; border-left:none;mso-border-left-alt:solid windowtext .75pt;mso-border-alt: solid windowtext .75pt;mso-border-top-alt:solid windowtext .5pt;padding:0in 5.4pt 0in 5.4pt; height:32.2pt"> <p class="MsoNormal" align="center" style="margin-bottom:19.2pt;text-align:center; line-height:18.0pt"><span lang="TH" style="font-size:16.0pt;font-family:&quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;; background:#FBFBFD">เฉดสีที่ได้<span style="font-size:16.0pt; font-family:&quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;;mso-fareast-font-family:&quot;Times New Roman&quot;"> <td width="307" valign="top" style="width:229.9pt;border:solid windowtext 1.0pt; border-left:none;mso-border-left-alt:solid windowtext .75pt;mso-border-top-alt: .5pt;mso-border-left-alt:.75pt;mso-border-bottom-alt:.75pt;mso-border-right-alt: .5pt;mso-border-color-alt:windowtext;mso-border-style-alt:solid;padding:0in 5.4pt 0in 5.4pt; height:32.2pt"> <p class="MsoNormal" align="center" style="margin-bottom:19.2pt;text-align:center; line-height:18.0pt"><span lang="TH" style="font-size:16.0pt;font-family:&quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;; background:#FBFBFD">ประเทศที่นิยม<span lang="TH" style="font-size:16.0pt; font-family:&quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;;mso-fareast-font-family:&quot;Times New Roman&quot;"> <td width="102" valign="top" style="width:76.3pt;border:solid windowtext 1.0pt; border-top:none;mso-border-top-alt:solid windowtext .75pt;mso-border-alt: solid windowtext .75pt;mso-border-left-alt:solid windowtext .5pt;padding: 0in 5.4pt 0in 5.4pt"> <p class="MsoNormal" align="center" style="margin-bottom:19.2pt;text-align:center; line-height:18.0pt"><span style="font-size:16.0pt;font-family:&quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;; background:#FBFBFD">24 K<span style="font-size:16.0pt;font-family: &quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;;mso-fareast-font-family:&quot;Times New Roman&quot;"> <td width="104" valign="top" style="width:77.95pt;border-top:none;border-left: none;border-bottom:solid windowtext 1.0pt;border-right:solid windowtext 1.0pt; mso-border-top-alt:solid windowtext .75pt;mso-border-left-alt:solid windowtext .75pt; mso-border-alt:solid windowtext .75pt;padding:0in 5.4pt 0in 5.4pt"> <p class="MsoNormal" align="center" style="margin-bottom:19.2pt;text-align:center; line-height:18.0pt"><span style="font-size:16.0pt;font-family:&quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;; background:#FBFBFD">99.99%<span style="font-size:16.0pt;font-family: &quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;;mso-fareast-font-family:&quot;Times New Roman&quot;"> <td width="104" valign="top" style="width:77.95pt;border-top:none;border-left: none;border-bottom:solid windowtext 1.0pt;border-right:solid windowtext 1.0pt; mso-border-top-alt:solid windowtext .75pt;mso-border-left-alt:solid windowtext .75pt; mso-border-alt:solid windowtext .75pt;padding:0in 5.4pt 0in 5.4pt"> <p class="MsoNormal" align="center" style="margin-bottom:19.2pt;text-align:center; line-height:18.0pt"><span lang="TH" style="font-size:16.0pt;font-family:&quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;; background:#FBFBFD">ทอง<span style="font-size:16.0pt;font-family:&quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;; mso-fareast-font-family:&quot;Times New Roman&quot;"> <td width="307" valign="top" style="width:229.9pt;border-top:none;border-left: none;border-bottom:solid windowtext 1.0pt;border-right:solid windowtext 1.0pt; mso-border-top-alt:solid windowtext .75pt;mso-border-left-alt:solid windowtext .75pt; mso-border-alt:solid windowtext .75pt;mso-border-right-alt:solid windowtext .5pt; padding:0in 5.4pt 0in 5.4pt"> <p class="MsoNormal" align="center" style="margin-bottom:19.2pt;text-align:center; line-height:18.0pt"><span lang="TH" style="font-size:16.0pt;font-family:&quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;; background:#FBFBFD">สวิส จีน ฮ่องกง อินโดนีเซีย<span style="font-size: 16.0pt;font-family:&quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;;mso-fareast-font-family:&quot;Times New Roman&quot;"> <td width="102" valign="top" style="width:76.3pt;border:solid windowtext 1.0pt; border-top:none;mso-border-top-alt:solid windowtext .75pt;mso-border-alt: solid windowtext .75pt;mso-border-left-alt:solid windowtext .5pt;padding: 0in 5.4pt 0in 5.4pt"> <p class="MsoNormal" align="center" style="margin-bottom:19.2pt;text-align:center; line-height:18.0pt"><span style="font-size:16.0pt;font-family:&quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;; background:#FBFBFD">23.16 K<span style="font-size:16.0pt;font-family: &quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;;mso-fareast-font-family:&quot;Times New Roman&quot;"> <td width="104" valign="top" style="width:77.95pt;border-top:none;border-left: none;border-bottom:solid windowtext 1.0pt;border-right:solid windowtext 1.0pt; mso-border-top-alt:solid windowtext .75pt;mso-border-left-alt:solid windowtext .75pt; mso-border-alt:solid windowtext .75pt;padding:0in 5.4pt 0in 5.4pt"> <p class="MsoNormal" align="center" style="margin-bottom:19.2pt;text-align:center; line-height:18.0pt"><span style="font-size:16.0pt;font-family:&quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;; background:#FBFBFD">96.5%<span style="font-size:16.0pt;font-family: &quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;;mso-fareast-font-family:&quot;Times New Roman&quot;"> <td width="104" valign="top" style="width:77.95pt;border-top:none;border-left: none;border-bottom:solid windowtext 1.0pt;border-right:solid windowtext 1.0pt; mso-border-top-alt:solid windowtext .75pt;mso-border-left-alt:solid windowtext .75pt; mso-border-alt:solid windowtext .75pt;padding:0in 5.4pt 0in 5.4pt"> <p class="MsoNormal" align="center" style="margin-bottom:19.2pt;text-align:center; line-height:18.0pt"><span lang="TH" style="font-size:16.0pt;font-family:&quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;; background:#FBFBFD">เหลืองทองเข้ม<span style="font-size:16.0pt; font-family:&quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;;mso-fareast-font-family:&quot;Times New Roman&quot;"> <td width="307" valign="top" style="width:229.9pt;border-top:none;border-left: none;border-bottom:solid windowtext 1.0pt;border-right:solid windowtext 1.0pt; mso-border-top-alt:solid windowtext .75pt;mso-border-left-alt:solid windowtext .75pt; mso-border-alt:solid windowtext .75pt;mso-border-right-alt:solid windowtext .5pt; padding:0in 5.4pt 0in 5.4pt"> <p class="MsoNormal" align="center" style="margin-bottom:19.2pt;text-align:center; line-height:18.0pt"><span lang="TH" style="font-size:16.0pt;font-family:&quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;; background:#FBFBFD">ไทย<span style="font-size:16.0pt;font-family:&quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;; mso-fareast-font-family:&quot;Times New Roman&quot;"> <td width="102" valign="top" style="width:76.3pt;border:solid windowtext 1.0pt; border-top:none;mso-border-top-alt:solid windowtext .75pt;mso-border-alt: solid windowtext .75pt;mso-border-left-alt:solid windowtext .5pt;padding: 0in 5.4pt 0in 5.4pt"> <p class="MsoNormal" align="center" style="margin-bottom:19.2pt;text-align:center; line-height:18.0pt"><span style="font-size:16.0pt;font-family:&quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;; background:#FBFBFD">22 K<span style="font-size:16.0pt;font-family: &quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;;mso-fareast-font-family:&quot;Times New Roman&quot;"> <td width="104" valign="top" style="width:77.95pt;border-top:none;border-left: none;border-bottom:solid windowtext 1.0pt;border-right:solid windowtext 1.0pt; mso-border-top-alt:solid windowtext .75pt;mso-border-left-alt:solid windowtext .75pt; mso-border-alt:solid windowtext .75pt;padding:0in 5.4pt 0in 5.4pt"> <p class="MsoNormal" align="center" style="margin-bottom:19.2pt;text-align:center; line-height:18.0pt"><span style="font-size:16.0pt;font-family:&quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;; background:#FBFBFD">91.7%<span style="font-size:16.0pt;font-family: &quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;;mso-fareast-font-family:&quot;Times New Roman&quot;"> <td width="104" valign="top" style="width:77.95pt;border-top:none;border-left: none;border-bottom:solid windowtext 1.0pt;border-right:solid windowtext 1.0pt; mso-border-top-alt:solid windowtext .75pt;mso-border-left-alt:solid windowtext .75pt; mso-border-alt:solid windowtext .75pt;padding:0in 5.4pt 0in 5.4pt"> <p class="MsoNormal" align="center" style="margin-bottom:19.2pt;text-align:center; line-height:18.0pt"><span lang="TH" style="font-size:16.0pt;font-family:&quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;; background:#FBFBFD">เหลืองทอง<span style="font-size:16.0pt;font-family: &quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;;mso-fareast-font-family:&quot;Times New Roman&quot;"> <td width="307" valign="top" style="width:229.9pt;border-top:none;border-left: none;border-bottom:solid windowtext 1.0pt;border-right:solid windowtext 1.0pt; mso-border-top-alt:solid windowtext .75pt;mso-border-left-alt:solid windowtext .75pt; mso-border-alt:solid windowtext .75pt;mso-border-right-alt:solid windowtext .5pt; padding:0in 5.4pt 0in 5.4pt"> <p class="MsoNormal" align="center" style="margin-bottom:19.2pt;text-align:center; line-height:18.0pt"><span lang="TH" style="font-size:16.0pt;font-family:&quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;; background:#FBFBFD">อินเดีย อินเดีย ตะวันออกกลาง มาเลย์ สิงคโปร์<span style="font-size:16.0pt;font-family:&quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;;mso-fareast-font-family: &quot;Times New Roman&quot;"> <td width="102" valign="top" style="width:76.3pt;border:solid windowtext 1.0pt; border-top:none;mso-border-top-alt:solid windowtext .75pt;mso-border-alt: solid windowtext .75pt;mso-border-left-alt:solid windowtext .5pt;padding: 0in 5.4pt 0in 5.4pt"> <p class="MsoNormal" align="center" style="margin-bottom:19.2pt;text-align:center; line-height:18.0pt"><span style="font-size:16.0pt;font-family:&quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;; background:#FBFBFD">21 K<span style="font-size:16.0pt;font-family: &quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;;mso-fareast-font-family:&quot;Times New Roman&quot;"> <td width="104" valign="top" style="width:77.95pt;border-top:none;border-left: none;border-bottom:solid windowtext 1.0pt;border-right:solid windowtext 1.0pt; mso-border-top-alt:solid windowtext .75pt;mso-border-left-alt:solid windowtext .75pt; mso-border-alt:solid windowtext .75pt;padding:0in 5.4pt 0in 5.4pt"> <p class="MsoNormal" align="center" style="margin-bottom:19.2pt;text-align:center; line-height:18.0pt"><span style="font-size:16.0pt;font-family:&quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;; background:#FBFBFD">87.5%<span style="font-size:16.0pt;font-family: &quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;;mso-fareast-font-family:&quot;Times New Roman&quot;"> <td width="104" valign="top" style="width:77.95pt;border-top:none;border-left: none;border-bottom:solid windowtext 1.0pt;border-right:solid windowtext 1.0pt; mso-border-top-alt:solid windowtext .75pt;mso-border-left-alt:solid windowtext .75pt; mso-border-alt:solid windowtext .75pt;padding:0in 5.4pt 0in 5.4pt"> <p class="MsoNormal" align="center" style="margin-bottom:19.2pt;text-align:center; line-height:18.0pt"><span lang="TH" style="font-size:16.0pt;font-family:&quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;; background:#FBFBFD">เหลืองทอง<span style="font-size:16.0pt;font-family: &quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;;mso-fareast-font-family:&quot;Times New Roman&quot;"> <td width="307" valign="top" style="width:229.9pt;border-top:none;border-left: none;border-bottom:solid windowtext 1.0pt;border-right:solid windowtext 1.0pt; mso-border-top-alt:solid windowtext .75pt;mso-border-left-alt:solid windowtext .75pt; mso-border-alt:solid windowtext .75pt;mso-border-right-alt:solid windowtext .5pt; padding:0in 5.4pt 0in 5.4pt"> <p class="MsoNormal" align="center" style="margin-bottom:19.2pt;text-align:center; line-height:18.0pt"><span lang="TH" style="font-size:16.0pt;font-family:&quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;; background:#FBFBFD">กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง<span style="font-size: 16.0pt;font-family:&quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;;mso-fareast-font-family:&quot;Times New Roman&quot;"> <td width="102" valign="top" style="width:76.3pt;border:solid windowtext 1.0pt; border-top:none;mso-border-top-alt:solid windowtext .75pt;mso-border-alt: solid windowtext .75pt;mso-border-left-alt:solid windowtext .5pt;padding: 0in 5.4pt 0in 5.4pt"> <p class="MsoNormal" align="center" style="margin-bottom:19.2pt;text-align:center; line-height:18.0pt"><span style="font-size:16.0pt;font-family:&quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;; background:#FBFBFD">18 K<span style="font-size:16.0pt;font-family: &quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;;mso-fareast-font-family:&quot;Times New Roman&quot;"> <td width="104" valign="top" style="width:77.95pt;border-top:none;border-left: none;border-bottom:solid windowtext 1.0pt;border-right:solid windowtext 1.0pt; mso-border-top-alt:solid windowtext .75pt;mso-border-left-alt:solid windowtext .75pt; mso-border-alt:solid windowtext .75pt;padding:0in 5.4pt 0in 5.4pt"> <p class="MsoNormal" align="center" style="margin-bottom:19.2pt;text-align:center; line-height:18.0pt"><span style="font-size:16.0pt;font-family:&quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;; background:#FBFBFD">75%<span style="font-size:16.0pt;font-family:&quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;; mso-fareast-font-family:&quot;Times New Roman&quot;"> <td width="104" valign="top" style="width:77.95pt;border-top:none;border-left: none;border-bottom:solid windowtext 1.0pt;border-right:solid windowtext 1.0pt; mso-border-top-alt:solid windowtext .75pt;mso-border-left-alt:solid windowtext .75pt; mso-border-alt:solid windowtext .75pt;padding:0in 5.4pt 0in 5.4pt"> <p class="MsoNormal" align="center" style="margin-bottom:19.2pt;text-align:center; line-height:18.0pt"><span lang="TH" style="font-size:16.0pt;font-family:&quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;; background:#FBFBFD">เหลือง<span style="font-size:16.0pt;font-family: &quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;;mso-fareast-font-family:&quot;Times New Roman&quot;"> <td width="307" valign="top" style="width:229.9pt;border-top:none;border-left: none;border-bottom:solid windowtext 1.0pt;border-right:solid windowtext 1.0pt; mso-border-top-alt:solid windowtext .75pt;mso-border-left-alt:solid windowtext .75pt; mso-border-alt:solid windowtext .75pt;mso-border-right-alt:solid windowtext .5pt; padding:0in 5.4pt 0in 5.4pt"> <p class="MsoNormal" align="center" style="margin-bottom:19.2pt;text-align:center; line-height:18.0pt"><span lang="TH" style="font-size:16.0pt;font-family:&quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;; background:#FBFBFD">อิตาลี สวิส ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น อเมริกา<span style="font-size:16.0pt;font-family:&quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;;mso-fareast-font-family: &quot;Times New Roman&quot;"> <td width="102" valign="top" style="width:76.3pt;border:solid windowtext 1.0pt; border-top:none;mso-border-top-alt:solid windowtext .75pt;mso-border-alt: solid windowtext .75pt;mso-border-left-alt:solid windowtext .5pt;padding: 0in 5.4pt 0in 5.4pt"> <p class="MsoNormal" align="center" style="margin-bottom:19.2pt;text-align:center; line-height:18.0pt"><span style="font-size:16.0pt;font-family:&quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;; background:#FBFBFD">14 K<span style="font-size:16.0pt;font-family: &quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;;mso-fareast-font-family:&quot;Times New Roman&quot;"> <td width="104" valign="top" style="width:77.95pt;border-top:none;border-left: none;border-bottom:solid windowtext 1.0pt;border-right:solid windowtext 1.0pt; mso-border-top-alt:solid windowtext .75pt;mso-border-left-alt:solid windowtext .75pt; mso-border-alt:solid windowtext .75pt;padding:0in 5.4pt 0in 5.4pt"> <p class="MsoNormal" align="center" style="margin-bottom:19.2pt;text-align:center; line-height:18.0pt"><span style="font-size:16.0pt;font-family:&quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;; background:#FBFBFD">58.3%<span style="font-size:16.0pt;font-family: &quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;;mso-fareast-font-family:&quot;Times New Roman&quot;"> <td width="104" valign="top" style="width:77.95pt;border-top:none;border-left: none;border-bottom:solid windowtext 1.0pt;border-right:solid windowtext 1.0pt; mso-border-top-alt:solid windowtext .75pt;mso-border-left-alt:solid windowtext .75pt; mso-border-alt:solid windowtext .75pt;padding:0in 5.4pt 0in 5.4pt"> <p class="MsoNormal" align="center" style="margin-bottom:19.2pt;text-align:center; line-height:18.0pt"><span lang="TH" style="font-size:16.0pt;font-family:&quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;; background:#FBFBFD">เหลือง<span style="font-size:16.0pt;font-family: &quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;;mso-fareast-font-family:&quot;Times New Roman&quot;"> <td width="307" valign="top" style="width:229.9pt;border-top:none;border-left: none;border-bottom:solid windowtext 1.0pt;border-right:solid windowtext 1.0pt; mso-border-top-alt:solid windowtext .75pt;mso-border-left-alt:solid windowtext .75pt; mso-border-alt:solid windowtext .75pt;mso-border-right-alt:solid windowtext .5pt; padding:0in 5.4pt 0in 5.4pt"> <p class="MsoNormal" align="center" style="margin-bottom:19.2pt;text-align:center; line-height:18.0pt"><span lang="TH" style="font-size:16.0pt;font-family:&quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;; background:#FBFBFD">สหรัฐอเมริกา อเมริกาเหนือ อังกฤษ เยอรมัน<span style="font-size:16.0pt;font-family:&quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;;mso-fareast-font-family: &quot;Times New Roman&quot;"> <td width="102" valign="top" style="width:76.3pt;border:solid windowtext 1.0pt; border-top:none;mso-border-top-alt:solid windowtext .75pt;mso-border-alt: solid windowtext .75pt;mso-border-left-alt:solid windowtext .5pt;padding: 0in 5.4pt 0in 5.4pt"> <p class="MsoNormal" align="center" style="margin-bottom:19.2pt;text-align:center; line-height:18.0pt"><span style="font-size:16.0pt;font-family:&quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;; background:#FBFBFD">10 K <td width="104" valign="top" style="width:77.95pt;border-top:none;border-left: none;border-bottom:solid windowtext 1.0pt;border-right:solid windowtext 1.0pt; mso-border-top-alt:solid windowtext .75pt;mso-border-left-alt:solid windowtext .75pt; mso-border-alt:solid windowtext .75pt;padding:0in 5.4pt 0in 5.4pt"> <p class="MsoNormal" align="center" style="margin-bottom:19.2pt;text-align:center; line-height:18.0pt"><span style="font-size:16.0pt;font-family:&quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;; background:#FBFBFD">41.6% <td width="104" valign="top" style="width:77.95pt;border-top:none;border-left: none;border-bottom:solid windowtext 1.0pt;border-right:solid windowtext 1.0pt; mso-border-top-alt:solid windowtext .75pt;mso-border-left-alt:solid windowtext .75pt; mso-border-alt:solid windowtext .75pt;padding:0in 5.4pt 0in 5.4pt"> <p class="MsoNormal" align="center" style="margin-bottom:19.2pt;text-align:center; line-height:18.0pt"><span lang="TH" style="font-size:16.0pt;font-family:&quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;; background:#FBFBFD">เหลือง <td width="307" valign="top" style="width:229.9pt;border-top:none;border-left: none;border-bottom:solid windowtext 1.0pt;border-right:solid windowtext 1.0pt; mso-border-top-alt:solid windowtext .75pt;mso-border-left-alt:solid windowtext .75pt; mso-border-alt:solid windowtext .75pt;mso-border-right-alt:solid windowtext .5pt; padding:0in 5.4pt 0in 5.4pt"> <p class="MsoNormal" align="center" style="margin-bottom:19.2pt;text-align:center; line-height:18.0pt"><span lang="TH" style="font-size:16.0pt;font-family:&quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;; background:#FBFBFD">สหรัฐอเมริกา อเมริกาเหนือ <td width="102" valign="top" style="width:76.3pt;border:solid windowtext 1.0pt; border-top:none;mso-border-top-alt:solid windowtext .75pt;mso-border-alt: solid windowtext .75pt;mso-border-left-alt:solid windowtext .5pt;padding: 0in 5.4pt 0in 5.4pt"> <p class="MsoNormal" align="center" style="margin-bottom:19.2pt;text-align:center; line-height:18.0pt"><span style="font-size:16.0pt;font-family:&quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;; background:#FBFBFD">9 K <td width="104" valign="top" style="width:77.95pt;border-top:none;border-left: none;border-bottom:solid windowtext 1.0pt;border-right:solid windowtext 1.0pt; mso-border-top-alt:solid windowtext .75pt;mso-border-left-alt:solid windowtext .75pt; mso-border-alt:solid windowtext .75pt;padding:0in 5.4pt 0in 5.4pt"> <p class="MsoNormal" align="center" style="margin-bottom:19.2pt;text-align:center; line-height:18.0pt"><span style="font-size:16.0pt;font-family:&quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;; background:#FBFBFD">37.5% <td width="104" valign="top" style="width:77.95pt;border-top:none;border-left: none;border-bottom:solid windowtext 1.0pt;border-right:solid windowtext 1.0pt; mso-border-top-alt:solid windowtext .75pt;mso-border-left-alt:solid windowtext .75pt; mso-border-alt:solid windowtext .75pt;padding:0in 5.4pt 0in 5.4pt"> <p class="MsoNormal" align="center" style="margin-bottom:19.2pt;text-align:center; line-height:18.0pt"><span lang="TH" style="font-size:16.0pt;font-family:&quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;; background:#FBFBFD">เหลืองปนเขียว <td width="307" valign="top" style="width:229.9pt;border-top:none;border-left: none;border-bottom:solid windowtext 1.0pt;border-right:solid windowtext 1.0pt; mso-border-top-alt:solid windowtext .75pt;mso-border-left-alt:solid windowtext .75pt; mso-border-alt:solid windowtext .75pt;mso-border-right-alt:solid windowtext .5pt; padding:0in 5.4pt 0in 5.4pt"> <p class="MsoNormal" align="center" style="margin-bottom:19.2pt;text-align:center; line-height:18.0pt"><span lang="TH" style="font-size:16.0pt;font-family:&quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;; background:#FBFBFD">อังกฤษ <td width="102" valign="top" style="width:76.3pt;border:solid windowtext 1.0pt; border-top:none;mso-border-top-alt:solid windowtext .75pt;mso-border-top-alt: .75pt;mso-border-left-alt:.5pt;mso-border-bottom-alt:.5pt;mso-border-right-alt: .75pt;mso-border-color-alt:windowtext;mso-border-style-alt:solid;padding: 0in 5.4pt 0in 5.4pt"> <p class="MsoNormal" align="center" style="margin-bottom:19.2pt;text-align:center; line-height:18.0pt"><span style="font-size:16.0pt;font-family:&quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;; background:#FBFBFD">8 K <td width="104" valign="top" style="width:77.95pt;border-top:none;border-left: none;border-bottom:solid windowtext 1.0pt;border-right:solid windowtext 1.0pt; mso-border-top-alt:solid windowtext .75pt;mso-border-left-alt:solid windowtext .75pt; mso-border-alt:solid windowtext .75pt;mso-border-bottom-alt:solid windowtext .5pt; padding:0in 5.4pt 0in 5.4pt"> <p class="MsoNormal" align="center" style="margin-bottom:19.2pt;text-align:center; line-height:18.0pt"><span style="font-size:16.0pt;font-family:&quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;; background:#FBFBFD">33.3% <td width="104" valign="top" style="width:77.95pt;border-top:none;border-left: none;border-bottom:solid windowtext 1.0pt;border-right:solid windowtext 1.0pt; mso-border-top-alt:solid windowtext .75pt;mso-border-left-alt:solid windowtext .75pt; mso-border-alt:solid windowtext .75pt;mso-border-bottom-alt:solid windowtext .5pt; padding:0in 5.4pt 0in 5.4pt"> <p class="MsoNormal" align="center" style="margin-bottom:19.2pt;text-align:center; line-height:18.0pt"><span lang="TH" style="font-size:16.0pt;font-family:&quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;; background:#FBFBFD">เหลืองซีด <td width="307" valign="top" style="width:229.9pt;border-top:none;border-left: none;border-bottom:solid windowtext 1.0pt;border-right:solid windowtext 1.0pt; mso-border-top-alt:solid windowtext .75pt;mso-border-left-alt:solid windowtext .75pt; mso-border-top-alt:.75pt;mso-border-left-alt:.75pt;mso-border-bottom-alt: .5pt;mso-border-right-alt:.5pt;mso-border-color-alt:windowtext;mso-border-style-alt: solid;padding:0in 5.4pt 0in 5.4pt"> <p class="MsoNormal" align="center" style="margin-bottom:19.2pt;text-align:center; line-height:18.0pt"><span lang="TH" style="font-size:16.0pt;font-family:&quot;JasmineUPC&quot;,&quot;serif&quot;; background:#FBFBFD">เยอรมัน อิตาลี กรีซ เพราะฉะนั้นไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมซื้อทองมาจากต่างประเทศ แต่มาขายในประเทศกลับได้ราคาน้อยว่าที่เราคิด ก็เพราะเปอร์เซ็นความบริสุทธิแตกต่างกันนั่นเอง

Read More

23/08/2561

ประโยชน์ของ ทองคำ ที่คุณอาจยังไม่รู้


ทองคำไม่ได้เป็นแค่เครื่องประดับ ทุนสำรองเงินตราของประเทศ หรือแค่เพื่อลงทุนทำกำไรเท่านั้น แต่ทองคำยังนำมาประโยชน์ในด้านอื่นๆอีกหลายอย่าง แบบที่เราคาดไม่ถึงเลยทีเดียว ทองคำเป็นธาตุโลหะทรานซิชัน มีสีเหลืองทองมันวาวเนื้ออ่อนนุ่ม มีความอ่อนตัวสูง สามารถยืดและตีเป็นแผ่นได้บางมาก เชื่อหรือไม่ว่าทองคำบริสุทธิ์หนัก 1 ออนซ์สามารถดึงเป็นเส้นลวดยาวได้ถึง 80 กิโลเมตร ถ้าตีเป็นแผ่นก็จะได้บางเกินกว่า 1/300,000 นิ้ว ส่วนความกว้างจะได้ถึง 9 ตารางเมตร หรือทองน้ำหนักประมาณ 2 บาท จะสามารถยืดออกเป็นเส้นลวดได้ยาวถึง 8 กิโลเมตร หรืออาจตีเป็นแผ่นบางได้ถึง 100 ตารางฟุตเลยทีเดียว นอกจากนี้ทองคำยังไม่ทำปฏิกิริยากับสารเคมีส่วนใหญ่ยกเว้นสารเคมีบางชนิด เช่น คลอรีน ฟลออรีน และน้ำประสานทอง จึงทนต่อการผุกร่อน ไม่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนดังนั้นเมื่อสัมผัสถูกอากาศสีของทองจะไม่หมองและไม่เป็นสนิม สามารถนำไฟฟ้าได้ดี สะท้อนความร้อนได้ดี มีจุดหลอมเหลวและจุดเดือดสูงที่ 1,064 องศาเซลเซียส และ2,970องศาเซลเซียสตามลำดับ สามารถขึ้นรูปและยืดขยายได้มาก ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้จึงมีการนำทองคำไปใช้ประโยชน์ได้ในหลายด้าน ด้านอวกาศ มีการนำทองคำมาใช้เป็นชุดนักบินอวกาศและแคปซูล เพื่อป้องกันไม่ให้นักบินอวกาศกระทบกับรังสีในอวกาศที่มีพลังงานสูง นอกจากนี้ยังมีการใช้ทองคำบริสุทธิ์เคลือบกับเครื่องยนต์ ระบบอิเล็กทรอนิกส์ หมวกเหล็ก เกราะบังหน้า และอุปกรณ์อื่นๆ ที่ใช้ในอวกาศ เนื่องจากทองคำที่มีความหนาเพียง 0.000006 นิ้ว และมีคุณสมบัติช่วยสะท้อนรังสีความร้อนจากดวงอาทิตย์ไม่ให้ทำลายหรือลดประสิทธิภาพการทำงานของอุปกรณ์เหล่านี้ได้ ด้านทันตกรรม มีการใช้ทองคำเพื่อการครอบฟัน เชื่อมฟัน หรือการเลี่ยมทอง และยังมีการใช้ในการผลิตฟันปลอมด้วย เนื่องจากทองคำมีความคงทนต่อการกัดกร่อน การหมองคล้ำ และยังมีความแข็งแรงอีกด้วย โดยจะใช้ทองคำผสมกับธาตุอื่น เช่น แพลทินัม ด้านอิเล็กทรอนิกส์ มีการนำทองคำมาใช้เป็นวัสดุที่ทำหน้าที่สัมผัสในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เช่น เครื่องคิดเลข โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ หรือโทรศัพท์มือถือ เนื่องจากทองคำมีค่าการนำไฟฟ้าสูง และมีความคงทนต่อการกัดกร่อน จึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และอายุการใช้งานของเครื่องไฟฟ้าเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้ ทองคำจึงเป็นแร่ที่มีมูลค่า เป็นที่ต้องการของตลาดและได้รับความนิยมมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

Read More

23/08/2561

ประวัติศาสตร์ ทองคำ


มนุษย์รู้จักทองคำมาเกือบหกพันปีแล้ว คำว่า “Gold” นั้นมาจากคำภาษาอังกฤษ คือ “Geolo” ซึ่งแปลว่าเหลือง ส่วนสัญลักษณ์ทางวิทยาศาสตร์ของธาตุทองคำคือ “Au” มาจากคำภาษาลาติน คือ “Aurum” แปลว่าทอง ในยุคโบราณทองคำถูกนำมาใช้เป็นเครื่องตกแต่งในพิธีกรรมทางศาสนา หรือเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความมีอำนาจ ความรุ่งเรือง ในดินแดนที่มีความเจริญสูงสุดเคยมีการใช้ทองคำเป็นเงินตราด้วย จนมาถึงศตวรรษที่ 19 ได้มีการกำหนดมาตรฐานทองคำใช้กันเป็นครั้งแรกในประเทศอังกฤษแล้วค่อยๆ แผ่ขยายออกไปประเทศอื่นๆ และเริ่มนำมาตรฐานทองคำเข้ามาใช้ในระบบเงินตราตั้งแต่นั้นมา ในช่วง 6000 ปีที่ผ่านมา คาดว่ามีการขุดทองคำขึ้นมาใช้แล้วมากกว่า 125,000 ตัน โดย แบ่งออกเป็น 2 ยุด คือ ยุคแรก และยุคหลังการตื่นทอง ยุคแรกคือ ในช่วง 2000 ปีก่อนคริสตกาล เริ่มที่ชาวอียิปต์ ทำการขุดทองคำจากบริเวณที่เป็นประเทศอียิปต์ ซูดาน และซาอุดิอาราเบียในปัจจุบัน ซึ่งสามารถขุดได้ไม่ถึงปีละ 1 ตัน ต่อมาในยุคอาณาจักรโรมันรุ่งเรือง คาดว่ามีการขุดทองคำได้ปีละ5-10 ตัน จากสเปน โปรตุเกส และแอฟริกา ช่วงกลางศตวรรษที่ 15 มีการผลิตทองคำ 5-8 ตันต่อปีจากแถบแอฟริกาตะวันตก ซึ่งคือบริเวณประเทศกานาในปัจจุบัน ในช่วงปลายศตวรรษที่ 17 มีการผลิตทองคำรวม 10-12 ตัน จากแอฟริกาตะวันตกและ อเมริกาใต้ ในปี ค.ศ. 1847 หนึ่งปีก่อนเกิดการตื่นทองในแคลิฟอร์เนีย รัสเซียผลิตทองคำได้ 30-35 ตัน คิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของจำนวนที่ผลิตได้ทั้งโลกที่มีประมาณ 75 ตัน ยุคที่สอง คือหลังปี ค.ศ. 1848 เป็นต้นมา นับเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญหลังมีการค้นพบทองคำในแคลิฟอร์เนียและในออสเตรเลีย โดยในแต่ละแห่งสามารถขุดทองคำในแต่ละปีเกือบ 100 ตัน ต่อมามีการค้นพบแหล่งทองคำในแอฟริกาใต้ ซึ่งเป็นแหล่งที่มีผลผลิตทองคำสูงที่สุดมาต่อเนื่องยาวนานนับจากช่วงปลายศตวรรษที่ 18 จนถึงปัจจุบัน ในช่วงศตวรรษที่ 19 มีการขุดทองคำได้เฉลี่ยปีละ 400 ตัน ในช่วงปี 1990 มีเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาช่วยทำให้การขุดค้นได้ทองคำทำได้มากขึ้นเฉลี่ย 1,744 ตันต่อปี เลยทีเดียว คาดว่ากว่า 90% ของทองคำที่เคยถูกขุดขึ้นนั้น ถูกขุดขึ้นมาหลังปี ค.ศ. 1848 หรือตั้งแต่ยุคตื่นทองในแคลิฟอร์เนียนี่เอง สำหรับประเทศไทยดินแดนสุวรรณภูมิ ก็มีความผูกพันกับทองคำมายาวนาน นับย้อนไปอาจถึงสมัยอาณาจักรเชียงแสนเพราะมีหลักฐานเป็นพระพุทธรูปหล่อด้วยทองคำศิลปะแบบเชียงแสนปรากฏอยู่จากนั้นทองคำก็ถูกนำมาใช้ในการทำเครื่องราชกกุธภัณฑ์ และเครื่องราชูปโภคสำหรับสถาบันพระมหากษัตริย์ มาจนถึงปัจจุบัน

Read More

23/08/2561

Gold Souk ดูไบ ตลาดทองคำใหญ่ที่สุดในตะวันออกกลาง


ขึ้นชื่อว่า ดูไบ ย่อมไม่มีอะไรธรรมดาแน่นอน เพราะนี่คือเมืองแห่งความมหัศจรรย์ที่ผันตัวเองจากดินแดนทะเลทรายมาสู่ความมั่งคั่ง ล้ำสมัยไปด้วยเทคโนโลยีและสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่ตระการตาเป็นศูนย์กลางการค้า ธุรกิจ และการขายสินค้าปลอดภาษี ขณะเดียวกันก็ยังมีตลาดหรือที่เรียกว่าซุก (Souk) แบบดั้งเดิม ที่ขายสินค้า มากมายหลายอย่าง เช่น spice souk หรือตลาดเครื่องเทศ souk madinat หรือตลาดพื้นเมือง แต่ที่ขึ้นชื่อที่สุดก็คือ Gold Souk หรือตลาดขายทองนั่นเอง Gold Souk ตั้งอยู่ในย่านการค้า DEIRA เป็นตลาดทองคำเก่าแก่ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังทั่วโลกมาตั้งแต่ทศวรรษ1940 เมื่อมีพ่อค้าและนักลงทุนจากอินเดียและอิหร่านเดินทางเข้ามาค้าขายในแถบนี้ และยังคงความนิยมอยู่จนถึงปัจจุบัน ด้วยเป็นตลาดทองคำปลอดภาษี คุณภาพดี ราคาดี และเป็นตลาดทองรูปพรรณที่ใหญ่ที่สุดในตะวันออกกลาง มีร้านซื้อ ขาย ทองคำและจิวเวอรี่ในตลาดนี้กว่า 300 ร้าน ประมาณการกันว่าในบางช่วงการค้าขายทองคำในGold Souk รวมกันแล้วมีมากกว่า 10 ตันเลยทีเดียว ทองรูปพรรณที่ขายอยู่ใน Gold Souk จะมีสีแดงมากกว่าทองรูปพรรณที่ขายในร้านทองของไทย เพราะมีเนื้อทองน้อยกว่าคือ มีอยู่ประมาณ 21 กระรัต (21K) หรือประมาณ 87.5% ซึ่งน้อยกว่าทองรูปพรรณของไทยที่มีเนื้อทอง 96.5% หรือ 23.16 กระรัต (23.16 K) ราคาทองคำกำหนดตามน้ำหนักผู้ขายจะตั้งราคาจากลวดลายและฝีมือช่างทอง ผู้ซื้อสามารถต่อรองราคา ซึ่งที่ Gold Souk ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในแหล่งที่ทองราคาต่ำที่สุดในโลก นอกจากทองรูปพรรณแล้วลูกค้ายังสามารถซื้อทองคำแท่งเพื่อการลงทุน หรือนำทองเก่ามาแลกเปลี่ยนเป็นทองใหม่ได้ด้วย โดยอัตราราคาทองคำประจำวันใน souk อ้างอิงตามอัตราทองคำสากลของวันนั้น และติดราคาไว้ตามตู้แสดงสินค้าของแต่ละร้านเหมือนร้านทองในเมืองไทย ปัจจุบัน ดูไบ ยกระดับตนเองจากตลาดค้าทองแบบดั้งเดิมในซุค สู่การเป็นศูนย์กลางการค้าทองคำแห่งโลกสมัยใหม่ได้อย่างรวดเร็ว ด้วยคุณภาพทองคำที่มีความบริสุทธิ์สูง มีดีไซน์ให้เลือกหลากหลาย เป็นสินค้าปลอดภาษี และมีราคาถูกกว่าประเทศอื่นๆนั่นเอง

Read More

23/08/2561

เยาวราช ถนนสายทองคำ


เยาวราช ย่านธุรกิจการค้าที่รู้จักกันดีในนาม ไซน่าทาวน์ เพราะเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมและการค้าของชาวไทยเชื้อสายจีนมานานนับร้อยปี ตลอดสองข้างทางของถนนความยาวถนนราว 1.5 กิโลเมตร คลาคล่ำไปด้วยร้านรวงที่ขายสินค้านานาชนิด ทั้งกลางวันกลางคืน ทั้งของกินของใช้ซึ่งได้ชื่อว่ามีคุณภาพยอดเยี่ยมไม่แพ้ที่ใด และสิ่งหนึ่งที่อยู่คู่เยาวราชจนกลายเป็นสัญลักษณ์ที่ขาดกันไม่ได้ของถนนสายนี้ก็คือ ร้านทอง นั่นเอง เยาวราชเต็มไปด้วยร้านทองมากมายทั้งใหม่และเก่า ร้านทองที่เก่าแก่ที่สุดต้องย้อนกลับไปถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่๕ ซึ่งปัจจุบันก็ยังคงดำเนินกิจการอยู่ ส่วนร้านทองใหม่ๆก็ยังมีเปิดกิจการอยู่เรื่อยๆ เคยมีการรวบรวมจำนวนร้านขายทองทั้งหมดทั้งฝั่งถนนเยาวราชและบริเวณรอบๆนั้นมีมากว่า 170 ร้าน ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งรวมร้านขายทองไว้มากที่สุดของประเทศไทยจนได้ชื่อว่าเป็น ถนนสายทองคำ ร้านทองย่านเยาวราช ขายทองรูปพรรณที่มีค่าความบริสุทธิ์ 96.5% ซึ่งถือเป็นค่ามาตรฐานของทองคำบริสุทธิ์ซึ่งรับรองมาตรฐานโดยสมาคมค้าทอง ว่าคำเหมาะที่จะนำมาทำเป็นทองรูปพรรณเพราะมีสีเหลืองสุกสว่างสวยงามคงทนแข็งแรง มากกว่าทอง 99.99% ที่มีความอ่อนตัว ขาด และบิดงอเสียรูปได้ง่าย ซึ่งร้านทองในเยาวราชส่วนใหญ่เป็นสมาชิกของสมาคมค้าทองคำอยู่แล้ว ทำให้ลูกค้ามั่นใจว่าซื้อทองที่เยาวราชจะได้ทองดี มีส่วนส่วนผสมที่ได้มาตฐานทองคำบริสุทธิและไม่มีทองปลอมแน่นอน ด้วยเหตุนี้ทองเยาวราชจึงได้รับความนิยมจากผู้ลูกค้ามาอย่างยาวนาน ถนนเยาวราช สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็น 1 ใน 18 ถนนที่สมเด็จกรมเจ้าพระยานริศรานุวัตตวงศ์ เสนาบดีกระทรวงโยธาธิการ กราบบังคมทูลว่าจะสร้างตามโครงการถนน อำเภอสำเพ็ง ซึ่งเป็นนโยบายสร้างถนนในท้องที่ที่เจริญแล้ว เพื่อส่งเสริมการค้าขายใช้เวลาในการก่อสร้างนาน 8 ปี คือเริ่มสร้างเมื่อปีพ.ศ.2435 และเสร็จสมบูรณ์ในปี 2443 เริ่มตั้งแต่คลองรอบกรุง ตรงข้ามป้อมมหาไชย ตัดลงไปทางทิศใต้ บรรจบถนนจักรวรรดิที่สี่แยกวัดตึก ผ่านถนนราชวงศ์เรียกสี่แยกราชวงศ์" ก่อนไปบรรจบกับถนนเจริญกรุงก่อนถึงวัดไตรมิตรฯ เดิมให้ชื่อว่าถนนยุพราช และต่อมารัชกาลที่ 5 ทรงโปรดเกล้าฯพระราชทานชื่อใหม่เป็น "ถนนเยาวราช"

Read More

18/04/2561

ฉลากทองรูปพรรณที่ทางสคบ.กำหนดเป็นอย่างไร+


ทองรูปพรรณ ก็คือทองคำบริสุทธิ์ที่มีสัดส่วนของแร่ทองคำในเนื้อทองอยู่ที่ 96.5%-99% และนำทองบริสุทธิ์นั้นมาผสมกับแร่โลหะอื่น ๆ เพื่อให้ขึ้นรูปได้ นำมาทำเป็นรูปร่างและรูปทรงต่าง ๆ เพื่อใช้เป็นเครื่องประดับหรือตกแต่ง เช่น สร้อยคอ สร้อยข้อมือ แหวน นาฬิกา กำไลมือกำไลเท้า เข็มกลัดหรือกรอบใส่พระเป็นต้น เมื่อเราไปซื้อทองยังร้านขายของ เคยสังเกตบ้างหรือไม่ว่า ทองรูปพรรณที่อยู่ในร้านทองที่ได้นำออกมาขายให้เราจะมาพร้อมกับฉลากที่ติดอยู่ ฉลากนั้นไม่ใช่ว่าร้านทองร้านไหนจะติดฉลากเป็นอย่างไรก็ได้ แต่ตัวฉลากทองรูปพรรณจะต้องมีรายละเอียดต่าง ๆ ตามหลักเกณฑ์ของหน่วยงานสคบ. เพื่อที่ว่าจะได้มีมาตรฐานเดียวกัน กันการนำทองปลอมหรือทองที่ไม่ได้มาตรฐานมาขายให้กับลูกค้านั่นเอง แล้วเราจะทราบได้อย่างไรว่าฉลากทองที่ติดกันอยู่ตามร้านต่าง ๆ กับตัวสินค้านั้นเป็นฉลากของสคบ.ที่ได้มตรฐานถูกต้องจริง เราก็ต้องมาสังเกตจากรายละเอียดต่าง ๆ ของตัวฉลสากทองว่า เป็นรายละเอียดที่ถูกต้องและครบถ้วนตามที่หน่วยงาน สคบ. กำหนดจริง ๆ หรือไม่ สาเหตุอีกอย่างที่จำเป็นต้องมีฉลากทองก็พราะทองรูปพรรณนับว่าเป็นสินค้าที่มีการควบคุมฉลากให้เหมือนกันทุกร้าน เป็นการกำหนดไว้ป้องกันการรับซื้อขายและการทองรูปพรรณให้ถูกต้อง และตัวผู้ซื้อเองก็จะได้รับความเป็นธรรมด้วย สำหรับหน่วยงาน หรือ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ที่มีชื่อย่อว่า สคบ. เป็นหน่วยงานที่มีสังกัดอยู่ในสำนักนายกรัฐมนตรี ได้มีการระบุว่า ทองรูปพรรณนั้นนับเป็นสินค้าที่ควบคุมฉลาก โดยฉลากดังกล่าวนั้นจะต้องระบุข้อความดังต่อไปนี้ครบถ้วน คือ 1. จะต้องระบุชื่อ รวมถึงประเภท ชนิดของทองรูปพรรณนั้น 2. ต้องมีชื่อร้านสถานที่ตั้งของร้านหรือมีเครื่องหมายการค้าที่มีการจดทะเบียนในไทยอย่างถูกต้องของผู้ผลิตหรือของผู้นำเข้าทองรูปพรรณนั้น ทองรูปพรรณที่นำมาขายนั้นถ้าเป็นแบบที่นำเข้าจากต่างประเทศจะต้องระบุชื่อของประเทศที่เป็นผู้ผลิตด้วย 3. ต้องมีการระบุเปอร์เซ็นต์บริสุทธิ์ของทองรูปพรรณชิ้นนั้นด้วย โดยสามารถที่จะระบุเป็นกะรัตหรือจะเป็นเปอร์เซ็นต์,ร้อยละ หรือจะเลือกใช้สัญลักษณ์ เป็น %หรือเป็นตัวอักษร K แทนก็ได้ 4. จะต้องมีการระบุน้ำหนักลงไปที่ป้ายด้วย โดยที่ระบุหน่วยเที่ใช้เป็นกรัม หรือจะใช้เป็นตัวย่อใช้สัญลักษณ์ ก. หรือ g. แทนก็ย่อมได้ 5. การใส่ราคาที่ป้าย ให้ระบุโดยใช้หน่วยเป็นเงินสกุลไทย และถ้าจะระบุเงินสกุลอื่นด้วย หรือจะเลือกใช้สัญลักษณ์ของสกุลเงินนั้น ๆ ก็ได้ 6. ต้องมีการแปะป้ายบ่งบอกราคาที่ร้านนั้น ๆ รับซื้อทองรูปพรรณราคาขั้นต่ำตามที่ทางสมาคมค้าทองคำประกาศไว้ในเวลานั้นด้วย ในครั้งต่อไปที่เข้าไปเลือกซื้อทองคำรูปพรรณก็จะสังเกตตามฉลากที่ระบุตามเกณฑ์ของ สคบ.ได้ว่าต้องมีรายละเอียดอะไรบ้าง เพี่อจะได้ทองรูปพรรณที่เป็นทองแท้และได้มาตรฐาน

Read More

18/04/2561

ลงทุนในทอง ควรซื้อทองรูปพรรณหรือทองคำแท่งดี วันนี้เรามีคำแนะนำมาบอก


หลายคนที่กำลังสนใจซื้อทองเพื่อการลงทุน แต่ยังลังเล ตัดสินใจไม่ถูกเลือกไม่ได้ว่าจะลงทุนซื้อทองคำแท่งหรือทองรูปพรรณมาเก็บไว้เพื่อขายเก็งกำไรดี วันนี้เรามีคำแนะนำมาบอกกัน การซื้อทองสำหรับการลงทุนนั้นส่วนใหญ่แล้วนักลงทุนจะนิยมซื้อทองคำแท่งเพราะในการขายทำกำไรจะได้กำไรมากกว่าทองรูปพรรณเนื่องจากไม่โดนหักค่ากำเหน็จซึ่งก็คือค่างานฝีมือในการออกแบบทองคำเป็นเครื่องประดับนั่นเอง สำหรับทองคำแท่งที่นิยมซื้อขายเพื่อการลงทุน มีทั้งทองคำประเภท 99.9% และประเภท 96.5% ซึ่งทองคำประเภท 96.5% เป็นทองคำที่ได้รับความนิยมซื้อเพื่อการลงทุนมากกว่า โดยนักลงทุนสามารถซื้อทองคำแท่งมาตรฐานเริ่มต้นได้ที่ขนาด 1 บาท 2 บาท 5 บาท 10 บาท 20 บาท และ 50 บาท แล้วแต่เงื่อนไขและทองคำที่ผลิตออกมาจำหน่ายของทางร้านหรือห้างทองนั้น ๆ นอกจากการซื้อทองคำแท่งตามที่กล่าวมาข้างต้นเพื่อเก็บไว้เก็งกำไรในอนาคตแล้ว ปัจจุบันยังมีการซื้อขายทองคำแบบออนไลน์ที่เรียกว่าการเทรดทอง ซึ่งเป็นการซื้อขายทองคำแท่งประเภท 99.9% ผ่านช่องทางออนไลน์โดยไม่จำเป็นต้องมีทองคำในมือ ซึ่งถือเป็นการลงทุนซื้อทองที่น่าสนใจอีกรูปแบบหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามนักลงทุนควรจะศึกษาข้อมูลและหาความรู้ให้ละเอียดถี่ถ้วนเสียก่อนตัดสินใจนำเงินไปลงทุน เมื่อรู้จักและทราบข้อดีของทองคำแท่งกันแล้ว ก็มาทราบถึงข้อดีของทองรูปพรรณกันบ้างเพราะถึงแม้ว่าทองรูปพรรณจะมีค่ากำเหน็จแต่ก็มีข้อดีหลายประการที่ทำให้เหมาะกับการซื้อเก็บไว้เพื่อลงทุนในอนาคต ได้แก่ 1. นำมาสวมใส่เป็นเครื่องประดับได้ คนที่ชอบใส่ทองเป็นเครื่องประดับ อาจจะเลือกลงทุนในทองรูปพรรณคละเคล้าไปกับการลงทุนในทองคำแท่งก็ได้ เพื่อจะได้นำมาสวมใส่เพื่อความสวยงามและเพิ่มมูลค่าให้กับบุคลิก การแต่งกายของตัวเอง 2. ใช้มอบให้เป็นของขวัญได้ การเก็บทองคำในลักษณะของทองรูปพรรณ สามารถนำมาใช้ประโยชน์ด้วยการมอบเป็นของขวัญให้คนที่คุณรักหรือนำมาใช้ในโอกาสสำคัญต่าง ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นใช้เป็นสินสอด งานหมั้น เนื่องจากหากต้องไปหาซื้อทองในช่วงนั้น ๆ ทองคำอาจจะมีราคาสูง ทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น 3. เลือกแบบทองรูปพรรณที่มีค่ากำเหน็จต่ำเพื่อการลงทุน หากคุณอยากได้ทองรูปพรรณที่ทั้งสามารถสวมใส่เป็นเครื่องประดับก็ได้ สามารถขายเก็งกำไรแล้วได้ราคาดีด้วยในคราวเดียวกัน ก็อาจจะเลือกซื้อทองรูปพรรณที่มีลวดลายการออกแบบไม่หวือหวาหรือมีลวดลายมากนัก เพราะค่ากำเหน็จก็จะมีราคาถูกลงไปด้วย ในการซื้อทองนั้นนักลงทุนสามารถเลือกลงทุนได้ทั้งในทองคำแท่งและทองรูปพรรณขึ้นอยู่กับงบประมาณ ความชอบ รวมถึงวัตถุประสงค์ของการลงทุนที่ย่อมมีความแตกต่างกันไป

Read More

18/04/2561

อยากลงทุนซื้อขายทอง แต่ยังไม่มีประสบการณ์ ควรเริ่มต้นยังไง


ทองคำ เป็นหนึ่งในโลหะที่มีมูลค่า มีราคาได้รับความนิยมในการนำมาสวมใส่เป็นเครื่องประดับ รวมถึงยังได้รับความนิยมในการซื้อและขายทองเพื่อเก็งกำไรและสร้างรายได้จากการลงทุนอีกด้วย และหากคุณกำลังสนใจการซื้อ ขายทอง เพื่อการลงทุนแต่ยังไม่มีประสบการณ์หรือยังไม่เคยลงทุนในลักษณะนี้มาก่อน วันนี้เรามีคำแนะนำสำหรับคนที่ต้องการลงทุนในทองคำมาฝากกัน 1. ประเมินเงินลงทุนของตัวเอง สิ่งสำคัญอันดับแรกก็คือการประเมินเงินลงทุนของตัวเอง เพราะการลงทุนในทองเป็นการลงทุนแบบซื้อมาขายไป คุณต้องประเมินว่าคุณมีเงินเย็นสำหรับใช้ในการลงทุนเป็นจำนวนเท่าไหร่ เพราะเมื่อคุณซื้อทองมาแล้ว ใช่ว่าราคาทองจะขึ้นแล้วสามารถขายได้เลยเสมอไป หากคุณมีสภาพคล่องต่ำ การลงทุนในทองคำ อาจจะไม่เหมาะสมกับการลงทุนของคุณเท่าไรนัก 2. ศึกษาราคาทอง ทองคำเป็นโลหะที่มีราคาผันผวนและเปลี่ยนแปลงไปทุกวันตามราคาของตลาดโลกในราคาหน่วยต่อบาท โดยราคาทองจะมีการอัพเดทความเปลี่ยนแปลงทุกวัน ยกเว้นวันเสาร์ อาทิตย์ เพราะฉะนั้นหากคุณสนใจการลงทุนซื้อ ขายทอง คุณจะต้องคอยติดตามราคาและสถานการณ์ของทองคำอยู่เสมอ ซึ่งราคาของทองคำแท่ง และราคาทองรูปพรรณก็จะมีราคาแตกต่างกันไป 3. ประเภทของทองที่ต้องการลงทุน เมื่อพูดถึงความแตกต่างกันของราคาทองคำแท่งและทองรูปพรรณ คุณจะต้องประเมินว่าทองคำที่คุณต้องการจะซื้อมาลงทุนนั้น จะเป็นการซื้อเก็บแล้วขายทองเพื่อเก็งกำไรอย่างเดียว หรือต้องการซื้อเพื่อนำมาสวมใส่เป็นเครื่องประดับด้วย เพราะหากคุณเน้นที่การเก็งกำไร ทองคำแท่งจะเหมาะสมกว่า เนื่องจากในการซื้อขายทองรูปพรรณทุกครั้งจะมีค่ากำเหน็จ ซึ่งจะถูกหักออกไปเมื่อทำการขาย ทำให้กำไรที่คุณจะได้รับลดน้อยลง 4. ระยะเวลาและจำนวนในการซื้อ ขาย ขึ้นอยู่กับราคาทองในช่วงนั้น ๆ หากราคาทองในตลาดมีราคาต่ำลงมาคุณอาจจะซื้อทองคำแท่งเก็บในปริมาณมากเพื่อรอราคาขึ้นแล้วขายทอง ทำกำไร แต่หากราคาทองในตลาดขึ้น ๆ ลง ๆ แบบไม่หวือหวา อาจจะทยอยซื้อเก็บ หรือซื้อเป็นทองรูปพรรณก็ได้ 5. การเก็บรักษา นอกจากการซื้อ ขายทอง ประเภทและการติดตามราคาทองแล้ว อีกหนึ่งอย่างซึ่งผู้ที่ต้องการลงทุนในทองคำต้องทราบก็คือการดูแลและการเก็บรักษาทอง โดยควรมีสถานที่จัดเก็บทองคำให้มิดชิด ไม่ว่าจะเป็นการเก็บไว้ในตู้เซฟหรือการฝากไว้ที่ธนาคาร รวมถึงควรนำทองออกมาตรวจสอบสภาพและทำความสะอาดเป็นระยะ โดยอาจจะใช้น้ำเปล่าชุบน้ำเช็ด เพื่อเป็นการรักษาให้ทองคำมีความสวยงามและเงางามอยู่เสมอ โดยเฉพาะทองรูปพรรณ การซื้อทองเก็บเป็นไอเดียการลงทุนที่ดี เพราะทองคำเป็นสินทรัพย์ที่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินได้ง่าย ซึ่งเหมาะสำหรับคนที่มีเงินเก็บหรือมีเงินเย็น แต่หากคุณต้องการลงทุนซื้อ ขายทอง เก็งกำไรแบบซื้อมาขายไป คุณจะต้องมีความรู้ในการลงทุนทองคำในระดับหนึ่ง รวมถึงจะต้องคอยติดตามข่าวสาร สถานการณ์ราคาทองคำอย่างต่อเนื่อง

Read More

18/04/2561

เอกลักษณ์ช่างทองสุโขทัย


ทองดีนั้นนอกจากจะอยู่ที่เนื้อของทองแล้ว สำหรับทองรูปพรรณการวัดคุณค่าของทองแต่ละชิ้นยังขึ้นอยู่กับแหล่งที่มาหรือที่เรียกกันว่าสกุลของทองด้วย สกุลทองหมายถึงฝีมือและเอกลักษณ์ของช่างกลุ่มที่ทำทองรูปพรรณนั้นขึ้นมา ซึ่งไทยเรามีทองขึ้นชื่ออยู่ด้วยกันสามสกุลทองด้วยกันก็คือ 1 สกุลช่างทองเมืองเพชร 2 สกุลช่างถมนคร และ3 สกุลช่างทองสุโขทัย สำหรับคำว่าช่างทองสุโขทัยอาจจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดสำหรับคนทั่วไปคิดว่า ช่างทองสุโขทัยคือทองโบราณแท้จากสมัยสุโขทัยก็เป็นได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วศิลปะการทำทองของช่างทองสุโขทัยเกิดขึ้นในสมัยรัตนโกสิทนทร์เรานี่เอง เป็นทองในยุครัตนโกสินทร์ที่มีแหล่งกำเนิดในจังหวัดสุโขทัย ที่อำเภอศรีสัชนาลัย ซึ่งเดิมทีแล้วกรุงสุโขทัยในสมัยที่เป็นอาณาจักรรุ่งเรืองในสุวรรณภูมินี้ก็ได้มีการทำทองรูปพรรณซึ่งมีความละเอียด ประณีตและสวยงาม ซึ่งเป็นในแบบของทองเป็นเครื่องประดับลวดลายแบบไทยโบราณ แต่แล้วเมื่อกาลผ่านไปและได้มีการเปลี่ยนอาณาจักร ลักษณะของทองในศิลปะโบราณแบบสุโขทัยก็ลบเลือนลงจนแทบจะหายไป จนกระทั่งในช่วงปีพ.ศ. 2473 สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นช่วงที่มีการฟื้นฟูศิลปะของการทำทองในแบบช่างทองสมัยสุโขทัยขึ้น เช่นการแกะลายจากสร้อยถักสมัยโบราณ ลวดลายถักสี่เสาจากสร้อยสำริดเก่าแก่ที่ยังคงเก็บรักษาไว้อยู่ การนำเอาลวดลายศิลปะจากปูนปั้นตามโบราณสถานที่หลงเหลืออยู่มาประยุกต์ขึ้น นี่จึงเป็นจุดกำเนิดของทองสุโขทัย เอกลักษณ์ของทองจากช่างทองสุโขทัยนั้น มาจากการนำเอาศิลปะการทำทองแบบโบราณมาฟื้นฟูอีกครั้งและทำด้วยฝีมือที่ละเอียดปราณีตและเป็นทองที่ใช้มือทำทุกชิ้น ทำจากทองบริสุทธิ์ 99.5% -99.99% ต่างจากทองตามร้านทองตู้แดงทั่วไปที่เป็นทอง 96.5% ทำให้มีราคาที่สูงกว่า ทองจากช่างทองสุโขทัยทุกชิ้นถือเป็นงานศิลปหัตถกรรมที่ทรงคุณค่า สีของทองก็เป็นเอกลักษณ์ช่างทองสุโขทัยที่แตกต่างเช่นกัน ด้วยเปอร์เซ็นต์ทองที่บริสุทธิ์กว่าทำให้จะสังเกตได้ว่าทองสุโขทัยจะมีสีที่เหลืองกว่า มีลักษณะสีเลืองเหมือนดอกจำปาต่างจากทองทั่วไปที่จะมีสีอมส้มกว่าด้วย ช่างทองสุโขทัยมีเทคนิคในการถักทองที่ต่างจากที่อื่น ๆ ที่เป็นเอกลักษณ์คือ ช่างทองสุโขทัยมีลักษณะการถักตั้งแต่สามเสาไปจนถึง 200 เสาก็มี ยิ่งจำนวนเสามากทองก็จะยิ่งมีลักษณะกลม มีการถักแบบเปียและมีเทคนิคการลงยา หากมีการตกแต่งอัญมณีทองสุโขทัยจะสังเกตว่าอัญมณีจะมีขนาดเล็ก เพราะทองมีความบริสุทธิ์สูงทำให้มีลักษณะอ่อนตัวกว่าไม่เหหมาะจะใช้อัญมณีใหญ่และหนัก เมื่อต้องการหาซื้อทองสุโขทัยจึงต้องสังเกตเอกลักษณ์ที่ได้กล่าวมาจึงจะได้ทองช่างสุโขทัยแท้

Read More

18/04/2561

รู้จัก เข้าใจ การลงทุนในทอง


ทองคำ คือทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดประเภทหนึ่งซึ่งคนทั่วโลกให้การยอมรับ หากคุณเป็นเจ้าของทองคำไม่ว่าจะในยุคสมัยใดและสถานที่ใดทั่วโลกก็นับว่าคุณมีทรัพย์สมบัติที่จะทำให้คุณมีฐานะทางการเงินขึ้นมาได้ทั้งสิ้น ทองคำคือสินทรัพย์ที่ใช้สำหรับป้องกันความเสี่ยงเป็นสากล การเลือกลงทุนในทองคำจึงนับเป็นการลงทุนที่เรียกได้ว่ามั่นคงและให้ผลกำไรที่สูง โดยเฉพาะการลงทุนในทองคำแท่ง ทองคำแท่งเมื่อเทียบกับทองรูปพรรณแล้วถือว่าเป็นชนิดทองที่น่าลงทุนมากกว่า ด้วยรูปทรงที่เน้นน้ำหนักและปริมาณทองคำแบบสมบูรณ์ทำให้ทองคำแท่งมีน้ำหนักต่อบาทมากกว่าทองรูปพรรณ คือ 15.244 กรัม ก่อนที่จะเริ่มลงทุนในทองคำแท่ง ลองมาทำความรู้จักและเข้าใจการลงทุนทองคำที่ควรรู้ 5 ข้อด้วยกันก่อน 1. วิธีการซื้อทองคำแท่ง โดยปกติแล้ววิธีการที่ทำกันมาแต่โบราณทั่วไปก็คือการซื้อทองคำแท่งจากร้านทองที่เชื่อถือได้ ทองคำแท่งนั้นจะเริ่มต้นอยู่ที่น้ำหนัก 1 บาทมีลักษณะเป็นแผ่นและไม่มีค่ากำเหน็จต่างจากทองคำรูปพรรณ แต่จะเสียค่าบล็อก หากไม่ต้องการเสียค่าบล็อกต้องซื้อในน้ำหนัก 5 บาทขึ้นไป 2. การขายทองคำแท่ง ราคาขายทองคำแท่งมักจะมีราคาที่ถูกกว่าราคาขายในช่วงเวลา ณ ขณะนั้นประมาณ 100 บาท แต่ในบางครั้งอาจไม่ถึง ซึ่งหมายถึงกรณีการขายคืนให้กับร้านเดิมที่ซื้อมา หากเป็นการขายให้กับร้านอื่นที่ไม่ได้ซื้อมาจะได้ราคาที่ต่ำกว่านั้น 3. ระยะเวลาในการลงทุน ข้อดีของการลงทุนในทองคำแท่งก็คือ ทองคำแท่งเป็นทรัพย์สมบัติของเราซึ่งอยู่ในรูปแบบวัตถุที่มีมูลค่าสูง จับต้องครอบครองไว้ได้ ต่างจากการลงทุนในรูปแบบอื่น ๆ เพราะยิ่งนานวันก็จะยิ่งทวีค่าขึ้น โอกาสที่ค่าทองจะตกลงนั้นมีน้อย อาจจะมีบ้างในระยะสั้น แต่ถ้านับเป็นการลงทุนเพื่อออมเงินระยะยาวอย่างไรเสียค่าทองก็จะต้องขึ้นอย่างแน่นอน ทองคำแท่งจึงเหมาะที่จะใช้ลงทุนและออมทั้งในระยะสั้นและระยะยาว 4. คุณสมบัติผู้ลงทุนในทองคำแท่ง แน่นอนว่าไม่ว่าใครก็ลงทุนในทองคำแท่งได้หากมีเงินทุน แต่การลงทุนในทองคำแท่งที่เหมาะสมที่สุดเงินลงทุนก้อนนั้นควรจะเป็นเงินเย็น คุณสมบัติผู้ลงทุนในทองคำแท่งต้องติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวการขึ้นลงของค่าทองคำแท่ง เพื่อหาจังหวะในการซื้อเมื่อค่าทองลงมาในจุดต่ำที่สุดในช่วงเวลานั้นและขายทองคำ หลายครั้งที่ค่าทองคำอาจจะค้างอยู่ในค่าใดค่าหนึ่งเป็นระยะเวลานาน ๆ ต้องรอจังหวะในการขายเพื่อทำกำไร 5.ค่าขึ้นลงของทองคำ ค่าขึ้นลงของทองคำส่วนใหญ่แล้วจะเป็นไปตามค่าของเงินดอลล่าร์สหรัฐเป็นหลัก ถ้าค่าเงินดอลล่าร์ในตลาดโลกตกลง ค่าทองคำก็จะตกลงด้วยเป็นช่วงเวลาที่เหมาะจะลงทุนซื้อเพื่อเก็งกำไร ในขณะเดียวกัน ตรงกันข้ามถ้าค่าเงินดอลล่าร์ขึ้น ค่าทองคำก็จะขึ้นด้วยเช่นกัน เมื่อทราบถึงสิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับการลงทุนทองคำกันแล้ว ก็อย่าลืมศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคนิคในการเก็งกำไรทองคำให้ได้ราคาและการควบคุมยอดในการลงทุนให้อยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ และควรใช้เงินเย็นในการลงทุนทองคำ ก็จะช่วยให้การลงทุนมีความเสี่ยงน้อยลงได้นั่นเอง

Read More

18/04/2561

ทองเคคืออะไร


เครื่องประดับที่ทำจากทองเป็นเครื่องประดับที่มีค่ามีราคา ด้วยความสวยงามเปล่งประกายเหลืองอร่ามของเนื้อทองและคุณค่าของแร่ธาตุทองคำแท้ที่สามารถขายต่อได้ จึงมีผู้คนทั่วโลกนิยมเครื่องประดับทองแท้กัน ทั้งใส่เพื่อความสวยงามบ่งบอกถึงฐานะและยังเป็นการลงทุน ออมเงินและเก็งกำไรได้อีกช่องทางหนึ่งด้วย นอกจากทองคำแท้บริสุทธิ์ที่นำมาทำทองรูปพรรณที่เป็นเครื่องประดับ ทำจากทองที่มีเปอร์เซ็นต์สูงคือ 96.5% ไปจนถึง 99% แล้ว ก็ยังมีทองอีกชนิดหนึ่งที่เป็นเครื่องประดับทองในราคาที่ย่อมลงมากว่าทองบริสุทธิ์และผู้คนนิยมซื้อมาใส่กัน ไม่ลอกไม่ดำและมีความสวยงามแววาวเปล่งประกายไม่แพ้กัน นั่นก็คือ ทองเค ทำให้เกิดความสงสัยสำหรับผู้ที่ไม่รู้ขึ้นมาว่า ทองเคนั้นที่แท้จริงเป็นทองคำแท้หรือไม่ บางคนก็เข้าใจผิดไปว่าคำว่า ทองเค เป็นอีกชนิดหนึ่งของประเภททองคำ แล้วทองเคคืออะไรกันแน่ เราจะมาเฉลยเรื่องนี้ให้กระจ่างด้วยกัน คำตอบของชื่อเรียก ทองเค นั้นก็คือทองคำแท้เช่นกัน แต่ว่าในเนื้อของทองรูปพรรณที่เป็นชนิดเรียกว่าทองเคนั้น ไม่ใช่ทองคำบริสุทธิ์ทั้งหมด 100% และก็แตกต่างจากทองคำแท้บริสุทธิ์ที่เป็นทอง 96.5-99% ด้วย เพราะทองคำแท้ 96.5-99% นั้นสาเหตุที่ไม่ใช่ทอง 100% เพราะทอง100% จะมีความเหลวไม่สามารถคงรูปได้ จำเป็นจะต้องนำแร่ธาตุอื่นมาผสมเพื่อขึ้นรูปและทำให้คงรูปอยู่ แต่ทองเคนั้นจะยิ่งมีเปอร์เซ็นต์ของเนื้อแร่ทองบริสุทธิ์ที่น้อยกว่า ก่อนอื่นต้องเข้าใจตัว เค หรือ K ที่ใช้เรียกทองชนิดนี้ก่อน K นั้นย่อมาจาก Karat เป็นหน่วยของทองซึ่งต่างจาก Carat ที่เรียกหน่วยของเพชร หรือ CT การัตทองนั้นสำหรับทองคำบริสุทธิ์ที่นิยมซื้อกันคือ 96.5% จะมีหน่วยการัตหรือ เค อยู่ 23.16 เค ซึ่งทองชนิดนี้เราจะสังเกตได้ว่าเป็นทองที่นำมาทำทองรูปพรรณโดยมีลวดลายและขึ้นรูปอยู่ในเนื้อทอง และไม่ค่อยนิยมประดับอัญมณีอื่น ๆ ลงไปบนเรือนทอง ถ้าจะประดับบ้างก็เพียงเม็ดเล็ก ๆ เท่านั้น เนื้องจากเนื้อของทองจะเหลวนั่นเอง แต่ถ้าเป็นร้านเพชรพลอยที่ต้องใช้ความแข็งของทองมาก ๆ ในการรองรับเพชรและอัญมณีอื่น ๆ ก็จะเลือกใช้เป็นทองที่แข็งกว่าก็คือเพิ่มจำนวนของธาตุอื่นและลดค่าเคของทองลงนั่นเอง ทองที่ใช้ในร้านเพชรมักจะใช้ทองเคที่มีค่าทองที่ 8 เค 9 เค 10 เค 14 เค และ 18 เค ถ้าใครต้องการซื้อเครื่องประดับทองมาใส่เล่นเพื่อความสวยงาม ไม่ได้เน้นไว้ออมหรือลงทุนเก็งกำไร ทองเคก็เป็นอีกทางเลือกที่จะทำให้คุณได้เลือกซื้อเครื่องประดับที่สวยงาม ไม่ลอกไม่ดำ คงทนเช่นทองแต่มีราคาย่อมเยากว่าทองได้

Read More

18/04/2561

ทองคำเปลวคือทองจริง ๆ หรือไม่ ?


เมื่อเราไปไหว้พระตามวัดต่าง ๆ เราจะได้พบเห็นทองคำเปลว เป็นทองคำแผ่นเล็ก ๆ บาง ๆ ที่อยู่ในกระดาษทรงสี่เหลี่ยมขนาดย่อมภาษาอังกฤษเรียกตามลักษณะของทองที่เป็นแผ่นบาง ๆ ว่า Gold leaf หรือทองใบไม้ ทองคำเปลวนั้นเอาไว้สำหรับปิดองค์พระและใช้ตกแต่งของต่าง ๆ แต่หลาย ๆ คนก็เกิดความสงสัยกันว่า ทองคำเปลวนั้นใช่ทองจริงทองแท้หรือไม่ ทองคำเปลวแท้ที่จริงงแล้วทำมาจากอะไร ทองคำเปลวที่เราได้เห็นกันนั้นมีมาตั้งแต่สมัยโบราณเป็นการนำทองคำแท้ ๆ มาตีแผ่เป็นแผ่นบางมากนอกจากนำมาใช้ปิดองค์พระพุทธรูปแล้วก็ยังนำมาปิดทำข้าวของเครื่องใช้มีค่าที่ต้องการตกแต่งให้สวยงาม นำมาตกแต่งขนมไทย ๆ เช่นขนมจ่ามงกุฎด้วย ทองคำเปลวแท้นั้นมีหลายเกรด แต่เกรดที่ดีเยี่ยมจะเป็นทองคำเปลวที่ทำมาจากทอง 22 กะรัต ซึ่งเป็นทองคำ 99.99% และมีทองคำเปลวอีกชนิดเรียกกันว่าทองเขียว เป็นทองคำเกรดด้อยกว่าคือทองคำ 97% ประกายทองจะเป็นเหลืองออกเขียว ทองคำบริสุทธิ์เหล่านี้เมื่อนำมาทำเป็นทองคำเปลวก็จะมีวิธีการทำเป็น 2 อย่างซึ่งมีราคาต่างกันคือ 1. ทองคัด เป็นการนำทองคำแท้มาหลอมและตีให้เป็นแผ่นเต็มขนาดตามที่ต้องการจากนั้นจึงจะนำมาตัดซอยให้ได้ขนาดที่เห็นเป็นแผ่นเล็ก ๆ นั่นเอง 2. ทองต่อ เป็นการนำเอาทองคำเปลวที่เป็นเศษมาต่อกันจนได้ขนาดที่ต้องการจะนำไปใช้ ทองต่อจะมีราคาที่ถูกกว่าทองคัด นอกจากทองคำเปลวที่นำทองคำแท้บริสุทธิ์มาทำแล้ว ปัจจุบันด้วยมูลค่าของทองที่มีราคาแพงทำให้มีการคิดค้นทองคำเปลวแบบวิทยาศาสตร์ขึ้นใช้แทน ทองเปลววิทยาศาตร์จะทำจากสารคล้ายกับตะกั่วนำมาผสมกับสีมีลักษณะมองผิวเผินจะเหมือนกับทองคำเปลวแท้เพราะสีเหลืองสุกปลั่งเช่นเดียวกัน แต่หากสังเกตให้ดีจะมีความแตกต่างคือ ทองคำเปลวแท้จะมีประกายที่สวยสว่างกว่า เมื่อนำไปปิดองค์พระหรือวัสดุต่าง ๆ จะติดแน่นติดได้ง่ายกว่า อีกทั้งถ้าพิสูจน์ด้วยการกดลงที่นิ้วจะแตกตัวและติดอยู่กับผิวเราได้ง่าย ส่วนทองเปลววิทยาศาสตร์จะนำไปติดองค์พระหรือวัตถุต่าง ๆ ได้ยากกว่า ต้องติดอย่างเบามือ เนื้อทองวิทยาศาสตร์ มีความยืดหยุ่นมากกว่าเมื่อกดลงที่นิ้วจะไม่แตกตัวง่ายอย่างทองเปลวจริง สำหรับทองเปลวที่เป็นทองแท้ เมื่อติดไปยังองค์พระจนมีความหนามาก ๆ บางวัดจะลอกทองนั้นออกมาและนำไปหลอมเป็นทองก้อนและขายเพื่อนำเงินมาบำรุงวัดได้ วัดบางแห่งมีขายเฉพาะทองเปลวแท้ แต่วัดบางวันก็มีทั้งสองอย่างขายผสมกันไป ทองเปลวที่เป็นทองแท้ยังนำมาใช้ในวงการแพทย์และใช้ในด้านความงามเช่นนำมาเป็นส่วนผสมบำรุงผิวอีกด้วย

Read More

Loading...
More